วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 23:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2009, 18:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




girl_med2.jpg
girl_med2.jpg [ 23.9 KiB | เปิดดู 4555 ครั้ง ]
หลักการสำคัญของการตรัสรู้ ต่อจาก ๒ ลิงค์นี้


(หลักทั่วไป)

viewtopic.php?f=2&t=26467

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

(หลักมาตรฐานด้านสมถะ)

viewtopic.php?f=2&t=26376

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 14 ธ.ค. 2009, 18:52, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2009, 18:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลักการสำคัญของการตรัสรู้ตอนว่าด้วย...


หลักมาตรฐานด้านวิปัสสนา


การพิจาณาสังขารให้เกิดความเห็นแจ้งเข้าชัด รู้จักมองเห็นสิ่งทั้งหลายตามสภาวะที่เป็นจริง ซึ่งเรียกสั้นๆว่า

วิปัสสนานั้น เป็นส่วนสาระสำคัญของการตรัสรู้ หรือ บรรลุมรรคผล

ผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึงจุดหมายของพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นสมถยานิกหรือวิปัสสนายานิก

ไม่ว่าจะเป็นวิธีปฏิบัติแบบใดในวิธีทั้ง ๔ มี สมถปุพพังคมวิปัสสนา วิปัสสนาปุพพังคมสมถะ

ยุคนัทธสมถวิปัสสนา และ ธัมมุทธัจจวิคคหิตมานัส จะต้องผ่านการปฏิบัติส่วนนี้ทั้งสิ้น

สำหรับวิปัสสนายานิก การพิจารณาเช่นนี้จะเริ่มขึ้นตั้งแต่แรกปฏิบัติ แต่สำหรับสมถยานิก

การพิจารณานี้จะเป็นส่วนต่อท้ายหรือครอบยอดของสมถะ

ถ้าเทียบกับข้อความในหลักมาตรฐานด้านสมถะที่ผ่านมาแล้ว การพิจารณาหรือวิปัสสนาที่จะกล่าวต่อไปนี้

ก็คือ ส่วนขยายของข้อความที่ท่านบรรยายไว้สั้นๆว่า “เพราะเห็นด้วยปัญญา อาสวะทั้งหลายก็หมดสิ้นไป”

:b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54:

พูดอีกอย่างหนึ่งว่า เป็นส่วนของปัญญาวิมุตติ

วิปัสสนานี้แสดงออกยักเยื้องได้เป็นหลายอย่างหลายแนว ในบาลีเท่าที่พบ มีบรรยายไว้เป็นสำนวนแบบ

หลายสำนวน

ก่อนที่จะศึกษาสำนวนแบบเหล่านั้น ขอให้พิจารณาดูคำบรรยายสรุปการการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก่อน

เพื่อให้เห็นแนวว่าการตรัสรู้นั้น แม้จะเป็นกระบวนการอันเดียว แต่ก็สามารถอธิบายได้หลายนัย

เกี่ยวโยงไปถึงข้อธรรมได้หลายหมวด

คำบรรยายสรุปเหล่านี้ ก็เป็นสำนวนแบบเช่นเดียวกัน และมีหลายสำนวน อยู่ในต่างแห่งต่างที่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2009, 19:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุด้วยครับท่านกรัชกาย

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2009, 19:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ยกมาให้พิจารณาดังต่อไปนี้


“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด ญาณทัศนะตามเป็นจริงของเรา ซึ่งมีปริวัฏฏ์ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้ ในอริยสัจ ๔

ประการเหล่านี้ หมดจดแจ่มชัดดีแล้ว เมื่อนั้นแหละ เราจึงปฏิญาณในโลก...ว่าเราได้ตรัสรู้แล้ว

ซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็แล ญาณทัศนะ เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า เจโตวิมุตติของเราเป็นอกุปปา

นี้เป็นอันติมชาติ บัดนี้ไม่มีภพใหม่อีก”

(วินย. 4/ 16/21 สํ.ม. 19/1670/530)


“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด เรารู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งอัสสาทะ (คุณ ส่วนดี) ของอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้

โดยความเป็นอัสสาทะ ซึ่งอาทีนพ (โทษ ส่วนเสีย) โดยความเป็นอาทีนพ และซึ่งนิสสรณะ

(ภาวะรอดพ้น ทางออก ความเป็นอิสระ) โดยความเป็นนิสสรณะ

เมื่อนั้น เราจึงปฏิญาณในโลก...ว่าเราได้ตรัสรู้แล้ว ซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ...บัดนี้ ไม่มีภพ

ใหม่อีก”

(สํ.ข.17/60/35)

.
“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด เรารู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งอัสสาทะของอายตนะภายในทั้ง ๖ เหล่านี้

โดยความเป็นอัสสาทะ ซึ่งอาทีนพโดยความเป็นอาทีนพ และซึ่งนิสสรณะโดยความเป็นนิสสรณะ

เมื่อนั้น เราจึงปฏิญาณในโลก...ว่าเราได้ตรัสรู้แล้ว ซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ...บัดนี้ ไม่มีภพ

ใหม่อีก”

(สํ.สฬ.18/13/8)


“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด เรารู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งสมุทัย ความอัสดง อัสสาทะ อาทีนพ และนิสสรณะ

ของอินทรีย์ทั้ง ๕ (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา) เหล่านี้

เมื่อนั้น เราจึงปฏิญาณในโลก....ว่าเราได้ตรัสรู้แล้ว ซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ...บัดนี้ ไม่มีภพใหม่

อีก”

(สํ.ม.19/895/270)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2009, 19:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด เรารู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งสมุทัย ความดับ อัสสาทะ อาทีนพ และนิสสรณะ

ของอินทรีย์ทั้ง ๖ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เหล่านี้

เมื่อนั้น เราจึงปฏิญาณในโลก...ว่าเราได้ตรัสรู้แล้ว ซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ...บัดนี้ไม่มีภพใหม่อีก”

(สํ.ม.19/908/272)


“ภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติสมาธิที่เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก...

ภิกษุทั้งหลาย ดังที่เป็นมา แม้เราเอง ก่อนสัมโพธิ ยังมิได้ตรัสรู้ เป็นโพธิสัตว์ ก็ดำรงอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้

เป็นอันมาก เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้เป็นอันมาก กายก็ไม่เหนื่อย จักษุก็ไม่เมื่อย และจิตของเราก็หลุดพ้น

จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ยึดมั่น”

(สํ.ม.19/1328-9/400-1)


“ภิกษุทั้งหลาย จักษุเกิดขึ้นแล้ว ญาณ...ปัญญา...วิชชา...แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา

ในธรรมทั้งหลายที่มิเคยได้ยินได้ฟังมาก่อนว่า “เวทนา คือดังนี้....สมุทัยแห่งเวทนาเป็นดังนี้...

ปฏิปทาที่นำไปสู่สมุทัยแห่งเวทนาเป็นดังนี้...นิโรธแห่งเวทนาเป็นดังนี้...ปฏิปทาที่นำไปสู่นิโรธแห่งเวทนา

เป็นดังนี้...อัสสาทะแห่งเวทนาเป็นดังนี้...อาทีนพแห่งเวทนาเป็นดังนี้.....นิสสรณะแห่งเวทนาเป็นดังนี้”

(สํ.สฬ.18/440/289)


“ภิกษุทั้งหลาย จักษุเกิดขึ้นแล้ว ญาณ...ปัญญา...วิชชา...แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา

ในธรรมทั้งหลาย ที่มิเคยได้ยินได้ฟังมาก่อนว่า

“กาเย กายานุปัสสนา คือ ดังนี้...ก็กาเย กายานุปัสสนานั้น เป็นธรรมควรเจริญ....

กาเย กายานุปัสสนานั้นเราเจริญแล้ว...

เวทนาสุ เวทนานุปัสสนา คือ ดังนี้....เวทนาสุ เวทนานุปัสสนานั้นเป็นธรรมควรเจริญ....

เวทนาสุ เวทนานุปัสสนานั้น เราเจริญแล้ว...

จิตเต จิตตานุปัสสนา คือ ดังนี้....ก็จิตเต จิตตานุปัสสนานั้นเป็นธรรมควรเจริญ...

จิตเต จิตตานุปัสสนานั้นเราเจริญแล้ว...

ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสนา คือ ดังนี้...ก็ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสนานั้น เป็นธรรมควรเจริญ...

ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสนานั้นเราเจริญแล้ว”

(สํ.ม.19/796-9/239-240- ข้อนี้คือสติปัฏฐาน 4 ข้อ)


(ลิงค์สติปัฏฐานเต็มๆ)

viewtopic.php?f=2&t=21861#



:b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39:


“ภิกษุทั้งหลาย จักษุเกิดขึ้นแล้ว ญาณ...ปัญญา...วิชชา...แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา

ในธรรมทั้งหลาย ที่มิเคยได้ยินได้ฟังมาก่อนว่า

“อิทธิบาท (ข้อที่ 1) คือ ดังนี้...ก็อิทธิบาท (ข้อที่ 1 ) นั้น เป็นธรรมควรเจริญ...

ก็อิทธิบาท (ข้อที่ 1 ) นั้น เราเจริญแล้ว...

ก็อิทธิบาท (ข้อที่ 2-3-4) นั้น คือ ดังนี้...

ก็อิทธิบาท (ข้อที่ 2-3-4) นั้น เป็นธรรมควรเจริญ...

ก็อิทธิบาท (ข้อที่ 2-3-4) นั้น เราเจริญแล้ว”

(สํ.ม.19/1119-1122/331-2 )


(อิทธิบาท ๔ เต็มๆที่...)

viewtopic.php?f=2&t=20241#

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 14 ธ.ค. 2009, 19:46, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2009, 19:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


“ภิกษุทั้งหลาย ก่อนแต่สัมโพธิ เมื่อยังไม่ตรัสรู้ เป็นโพธิสัตว์อยู่ เราได้มีความคิดว่า

“โลกนี้ประสบความทุกข์ยากเสียนัก ย่อมเกิด แก่ ตาย จุติ และอุบัติ แต่ทั้งที่เป็นเช่นนี้

ก็หารู้จักนิสสรณะ แห่งทุกข์คือชรามรณะนี้ไม่ เมื่อไรเล่านิสสรณะแห่งทุกข์ คือ ชรามรณะนี้จักปรากฏ”


“เราได้มีความคิดดังนี้ “เมื่ออะไรมีอยู่หนอ ชรามรณะจึงมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี ?”

เพราะโยนิโสมนสิการ เราก็มีความรู้ชัดจำเพาะลงไป (อภิสมัย) ด้วยปัญญาว่า “เมื่อชาติมีอยู่ ชรามรณะ

จึงมี เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี...

เมื่ออะไรมีอยู่หนอ ชาติจึงมี...

เมื่ออะไรมีอยู่หนอ ภพจึงมี...อุปาทานจึงมี...ตัณหาจึงมี...เวทนาจึงมี...ผัสสะจึงมี..สฬายตนะ

จึงมี...นามรูปจึงมี...วิญญาณจึงมี ?

เพราะโยนิโสมนสิการ เราได้มีความรู้ชัดจำเพาะลงด้วยปัญญาว่า “เมื่อนามรูปมีอยู่ วิญญาณจึงมี เพราะนามรูป

เป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี”

เราได้มีความคิดว่า “วิญญาณย่อมวกกลับ (เพียงแค่นี้) ไม่พ้นเลยไปจากนามรูปได้

ด้วยเหตุผลเพียงเท่านั้น จึงเกิด แก่ ตาย จุติ หรืออุบัติ อันได้แก่ เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ

เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป

เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ

เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ...เวทนา...ตัณหา...อุปาทาน...ภพ...ชาติ...ชรามรณะ

โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส

ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ จึงมีด้วยประการฉะนี้

จักษุเกิดขึ้นแล้ว ญาณ...ปัญญา...วิชชา...แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลาย

ที่มิเคยได้ยินได้ฟังมาก่อนว่า “สมุทัย สมุทัย” ดังนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2009, 19:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


“ภิกษุทั้งหลาย เราได้มีความคิดดังนี้ว่า “เมื่ออะไรไม่มีหนอ ชรามรณะจึงไม่มี

เพราะอะไรดับ ชรามรณะจึงดับ ?”

เพราะโยนิโสมนสิการ เราได้มีความรู้ชัดจำเพาะลงไป (= อภิสมัย) ด้วยปัญญาว่า

“เมื่อชาติไม่มี ชรามรณะก็ไม่มี

เพราะชาติดับ ชรามรณะจึงดับ...

เมื่ออะไรไม่มีหนอ ชาติจึงไม่มี....

เมื่ออะไรไม่มีหนอ ภพจึงไม่มี...อุปาทานจึงไม่มี...ตัณหาจึงไม่มี...เวทนาจึงไม่มี..ผัสสะจึง

ไม่มี...สฬายตนะจึงไม่มี...นามรูปจึงไม่มี...วิญญาณจึงไม่มี

เพราะโยนิโสมนสิการ เราได้มีความรู้ชัดจำเพาะลงไปด้วยปัญญาว่า เมื่อนามรูปไม่มี วิญญาณก็ไม่มี

เพราะนามรูปดับ วิญญาณจึงดับ”

เราได้มีความคิดว่า เราได้บรรลุมรรคาเพื่อความตรัสรู้นี้แล้ว กล่าวคือ เพราะนามรูปดับ วิญญาณจึงดับ

เพราะวิญญาณดับ เพราะนามรูปจึงดับ

เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ...ผัสสะ...เวทนา...ตัณหา...อุปาทาน...ภพ...ชาติ...ชรา

มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสจึงดับ

ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ จึงมีด้วยประการฉะนี้

จักษุเกิดขึ้นแล้ว ญาณ...ปัญญา...วิชชา...แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลาย

ที่มิเคยได้ยินได้ฟังมาก่อนว่า “นิโรธ นิโรธ” ดังนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2009, 19:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


“ภิกษุทั้งหลาย เราได้เห็นมรรคาเก่า หนทางเก่า ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปางก่อนทั้งหลาย

เคยเสด็จไปแล้ว...ได้แก่มรรคามีองค์ ๘ ประการ อันประเสริฐนี้เอง

กล่าวคือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ

สัมมาสมาธิ ...

เราได้ดำเนินตามมรรคานั้น เมื่อเดินตามมรรคานั้น จึงได้รู้ชัดซึ่งชรามรณะ

รู้ชัดซึ่งสมุทัย แห่งชรามรณะ

รู้ชัดซึ่งนิโรธ แห่งชรามรณะ

รู้ชัดซึ่งปฏิปทา อันนำไปสู่นิโรธแห่งชรามรณะ....

รู้ชัดซึ่งชาติ รู้ชัดซึ่งสมุทัยแห่งชาติ

รู้ชัดซึ่งนิโรธแห่งชาติ รู้ชัดซึ่งปฏิปทา อันไปสู่นิโรธแห่งชาติ ฯลฯ

(ภพ อุปาทาน ตัณหา เวทนา ผัสสะ สฬายตนะ นามรูป วิญญาณ)

รู้ชัด ซึ่งสังขารทั้งหลาย รู้ชัด ซึ่งสมุทัยแห่งสังขาร รู้ชัดซึ่งนิโรธแห่งสังขาร

รู้ชัด ซึ่งปฏิปทาอันนำไปสู่นิโรธแห่งสังขาร

ครั้นรู้ชัดความนั้นแล้ว จึงบอกแก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย

พรหมจรรย์ จึงเจริญแพร่หลาย แผ่ขยาย เป็นที่รู้ของพหูชน เป็นปึกแผ่น จนเทวะและมนุษย์ทั้งหลาย

ประกาศกันได้เป็นอย่างดี”


(สํ.นิ.16/250-253/126-130 ฯลฯ)


:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:
ลิงค์อริยสัจ

viewtopic.php?f=2&t=22926

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 15 ธ.ค. 2009, 10:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2009, 20:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

สาธุครับ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2009, 20:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สำนวนแบบที่กล่าวสรุปการบรรลุอาสวักขยญาณ หรือ อรหัตผล หรือปัญญาวิมุตติของสาวก หรือบุคคลทั่วไป

ก็มีหลายสำนวน มีทั้งที่เหมือนหรือคล้ายอย่างนี้ และมี่แปลกออกไปบ้าง

แต่จะไม่ยกมาแสดงในที่นี้

เพราะเมื่อว่าโดยสาระสำคัญแล้ว ก็ลงในแนวเดียวกัน กล่าวคือ สภาวธรรมหรือสังขารธรรมทั้งหลาย

มักถูกแยกแยะออกเป็นส่วนย่อยในรูปต่างๆ ซึ่งโดยมากแยกออกเป็นขันธ์ ๕ หรืออายตนะ ๑๒ แล้วพิจารณา

ความจริงตามแนวไตรลักษณ์ คือ อนิจจตา ทุกขตา อนัตตา มีมากแห่งที่เน้นเฉพาะแง่ที่เกี่ยวกับอัตตา

และภาวะที่เป็นอนัตตา

บางคราวก็สืบสาวความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัยตามแนวปฏิจจสมุปบาท

ถ้าพูดในแง่หลักปฏิบัติ ก็จะเป็นการกล่าวถึงหลักธรรมหมวดใดหมวดหนึ่งในพวกโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ

สิ่งที่น่าสนใจมากทั้งสำหรับนักศึกษาและนักปฏิบัติ ก็คือสำนวนแบบที่บรรยายแนวการพิจารณา ซึ่งถ้าจับสาระ

ได้ก็จะเป็นประโยชน์ในการเจริญวิปัสสนาเป็นอย่างมาก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2009, 20:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อ)

ต่อไปนี้ จะนำสำนวนแบบเหล่านั้นมาแสดงบางส่วนพอเป็นตัวอย่าง และให้ผู้ศึกษาจับสาระเอาเอง

โดยไม่พึงติดในภาษา


(ท่านกล่าวว่า แนวพิจารณาเหล่านี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้หลายแบบตามความเหมาะสมกับอัธยาศัย

ของบุคคล- สํ.อ.2/321)


สำนวนสามัญสำหรับพิจารณาขันธ์ ๕

“ภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง

วิญญาณไม่เที่ยง

อริยสาวก ผู้ได้เรียนรู้ เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหายติดแม้ในรูป...แม้ในเวทนา...แม้ในสัญญา...

แม้ในสังขารทั้งหลาย...แม้ในวิญญาณ

เมื่อหายติด (นิพพิทา) ย่อมคลายออก (วิราคะ) เพราะคลายออก ย่อมหลุดพ้น

เมื่อหลุดพ้น ย่อมมีญาณว่า หลุดพ้นแล้ว ย่อมรู้ชัดว่า สิ้นเกิด จบมรรคชีวิตประเสริฐ

(พรหมจรรย์) เสร็จกรณีย์ ไม่มีกิจอื่นอีกเพื่อภาวะเช่นนี้


“ภิกษุทั้งหลาย รูปปัจจัยบีบคั้นได้ (ทุกข์) เวทนา...สัญญา...สังขารทั้งหลาย...วิญญาณ

ปัจจัยบีบคั้นได้...

เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหายติด ฯลฯ


“ภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เป็นตน (อนัตตา) เวทนา...สัญญา...สังขารทั้งหลาย...วิญญาณ

ไม่เป็นตน ...

เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหายติด ฯลฯ

(สํ.ข.17/39-41/27 )


:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

ในการพิจารณาตามแนวของสำนวนนี้ คำว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อาจยักเยื้องไปได้ต่างๆ

ตามอัธยาศัย เช่น อาจเป็นว่า รูป เป็นมาร ฯลฯ

เวทนาร้อนเป็นไฟหมดแล้ว ฯลฯ

รูปเป็นสิ่งที่มีความเกิดเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา ฯลฯ

(สํ.ข. 17/133/88 ; 334/217, 88/239-243)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 15 ธ.ค. 2009, 20:08, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2009, 20:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


“รูป...เวทนา...สัญญา...สังขารทั้งหลาย...วิญญาณไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นปัจจัยบีบคั้นได้

(ทุกข์) สิ่งใดมีปัจจัยบีบคั้นได้ สิ่งนั้นไม่เป็นตน (อนัตตา) สิ่งใด ไม่เป็นตน สิ่งนั้นอริยสาวก

พึงเห็นด้วยสัมมาปัญญาตามเป็นจริงว่า ไม่ใช่ นั่นของเรา ไม่ใช่ เราเป็นนั่น ไม่ใช่ นั่นเป็นตัวตนของเรา

เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหายติด ฯลฯ”

(สํ.ข. 17/42/28; 152/101)

(แปลตามสำนวนแบบว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา)


“ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมองเห็นรูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ที่ไม่เที่ยงนั่นแหละว่า ไม่เที่ยง

ความเห็นของเธอนั้นเป็นสัมมาทิฐิ เมื่อมองเห็นถูกต้อง ย่อมหายติด เพราะสิ้นนันทิ ก็สิ้นราคะ

เพราะสิ้นราคะ ก็สิ้นนันทิ เพราะสิ้นนันทิและราคะ จิตก็หลุดพ้น เรียกว่าหลุดพ้นด้วยดี”

(สํ.ข. 17/103/63)


“ภิกษุทั้งหลาย จงพิจารณา โดยแยบคายซึ่งรูป - (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)

เมื่อพิจารณาโดยแยบคาย....เมื่อเห็นคล้อยตามที่เป็นจริง ย่อมหายติดในรูป- (เวทนา ฯลฯ

วิญญาณ) เพราะสิ้นนันทิ ก็สิ้นราคะ เพราะสิ้นราคะ ก็สิ้นนันทิ เพราะสิ้นนันทิและราคะ

จิตก็หลุดพ้น เรียกว่าหลุดพ้นด้วยดี”

(สํ.ข. 17/104/64)

ฯลฯ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2009, 21:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




102008597.jpg
102008597.jpg [ 71.28 KiB | เปิดดู 4454 ครั้ง ]
:b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2009, 21:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สำนวนสามัญ: พิจารณาอายตนะและธรรมอื่นที่เกี่ยวเนื่อง

“ภิกษุทั้งหลาย ตา...หู..จมูก...ลิ้น...กาย...ใจไม่เที่ยง เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหายติด ฯลฯ

ตา...หู..จมูก...ลิ้น...กาย...ใจ ปัจจัยบีบคั้นได้ เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหายติด ฯลฯ

ตา...หู..จมูก...ลิ้น...กาย...ใจ ไม่เป็นตน เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหายติด ฯลฯ

รูป ... เสียง... กลิ่น ...รส... โผฏฐัพพะ... ธรรมารมณ์ ไม่เที่ยง ...ปัจจัยบีบคั้นได้ ...

ไม่เป็นตน เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหายติด ฯลฯ

(สํ.สฬ. 18/279-284/194-5)



ในการพิจารณาตามแนวของสำนวนนี้ คำว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อาจยักเยื้องไปได้ ต่างๆ

ตามอัธยาศัย เช่น อาจเป็นว่า จักษุมืดไปหมดแล้ว ตาร้อนเป็นไฟไปแล้ว หรือว่าตาเป็นสิ่งมีความเสื่อม

ได้เป็นธรรมดา ดังนี้เป็นต้น

(สํ.สฬ. 18/31-32/23-26 ฯลฯ)


:b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54:

“ภิกษุทั้งหลาย ตา...หู..จมูก...ลิ้น...กาย...ใจ ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นปัจจัยบีบคั้นได้

สิ่งใดปัจจัยบีบคั้นได้ สิ่งนั้นไม่เป็นตน สิ่งใดไม่เป็นตน สิ่งนั้นพึงเห็นด้วยสัมมาปัญญาตามเป็นจริงว่า

ไม่ใช่ นั่นของเรา ไม่ใช่ เราเป็นนั่น ไม่ใช่ นั่นคือตัวตนของเรา เมื่อเห็นอย่างนี้ ย่อมหายติด

ฯลฯ


“ภิกษุทั้งหลาย รูป ... เสียง... กลิ่น ...รส... โผฏฐัพพะ... ธรรมารมณ์ ไม่เที่ยง

สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นปัจจัยบีบคั้นได้ สิ่งใดปัจจัยบีบคั้นได้ สิ่งนั้นไม่เป็นตน สิ่งใดไม่เป็นตน

สิ่งนั้น พึงเห็นด้วยสัมมาปัญญาตามเป็นจริงว่า ไม่ใช่ นั่นของเรา ไม่ใช่เราเป็นนั่น

ไม่ใช่ นั่นคือตัวตนของเรา เมื่อเห็นอย่างนี้ ย่อมหายติด ฯลฯ


(สํ. สฬ.18/1-6/1-3)

ยังมีอีกหลายสำนวน ขยายออกไปจาก อายตนะ ๑๒ ถึง วิญญาณ ๖ สัมผัส ๖ และเวทนาที่เป็นสุข

ทุกข์ อทุกขมสุข

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 17 ธ.ค. 2009, 18:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2009, 18:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


“ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมองเห็น ตา (หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

ธรรมารมณ์) ที่ไม่เที่ยงนั่นแหละว่าไม่เที่ยง ความเห็นของเธอนั้น เป็นสัมมาทิฐิ เมื่อเห็นถูกต้อง

ย่อมหายติด เพราะสิ้นนันทิ ก็สิ้นราคะ เพราะสิ้นราคะก็สิ้นนันทิ เพราะสิ้นนันทิและราคะ จิตก็หลุดพ้น

เรียกว่า หลุดพ้นด้วยดี”

(สํ.สฬ.18/245/179)


“ภิกษุทั้งหลาย จงพิจารณาโดยแยบคายซึ่ง ตา (หู ฯลฯ ธรรมารมณ์) จงเห็นคล้อยไปตามความเป็น

จริง ซึ่งอนิจจตาแห่งตา (หู ฯลฯ ธรรมารมณ์) เมื่อพิจารณาโดยแยบคาย เมื่อเห็นคล้อยไปตาม

ความเป็นจริง ย่อมหายติดในตา (หู ฯลฯ ธรรมารมณ์) เพราะสิ้นนันทิ ก็สิ้นราคะ เพราะสิ้นราคะ

ก็สิ้นนันทิ เพราะสิ้นนันทิและราคะ จิตก็หลุดพ้น เรียกว่า หลุดพ้นด้วยดี”


(สํ.สฬ.18/247/179)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร