วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 23:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 201 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ... 14  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2009, 20:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ต.ค. 2009, 22:09
โพสต์: 59

ชื่อเล่น: นุ่น
อายุ: 17
ที่อยู่: นนทบุรี

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสาธุนะคร้า

.....................................................
การให้ธรรมะเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 16:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เวลาทำกิจกรรมที่ต้องสัมผัสกับส่วนของร่างกาย เช่น

เวลาสระผม เอามือขยี้ผม หรือนวดหนังศีรษะก็กำหนดว่า ขยี้หนอๆๆ รู้สึกว่ากะโหลกศีรษะแข็งมาก

และไม่แน่ใจว่า แค่เหมือนเห็นหรือเห็นจริง ๆ ว่าในกะโหลกมีอะไร

ก็กำหนดว่า รู้หนอๆๆ และรู้สึกว่า ผมเรานี่น่าขยะแขยง เหมือนเป็นขยะ

เวลาแปรงฟัน ล้างหน้า ฯลฯ ก็เป็นค่ะ

อีกอย่างหนึ่งคือ รู้สึกว่า มือที่ขยี้มีแต่กระดูก ซักผ้า หรือทำอย่างอื่นก็เป็นค่ะ

ความจริงเป็นมานานประมาณเดือนกว่าถึง 2 เดือนแล้วกระมังคะ

แต่ไม่เคยถามเรื่องนี้เลย

อาการแบบนี้ยังจะเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ หรือยังไงคะ




คำถามก่อนหน้า คุณรินพิจารณาข้อความด้านล่างอีกครั้ง

อ่านแล้วเข้าใจแค่ไหนก็แค่นั้น

ส่วนการฝึกอบรมทางจิต ก็พึงกำหนดรู้ตามวิธีดังกล่าวต่อไป แล้วจิตจะพัฒนาตามขั้นของมันเรื่อยๆไป



คนบำเพ็ญกรรมฐานบางอย่าง ที่มอง (นึก) เห็นคน หรือตนเอง

หรือ อะไรๆ เป็นอสุภะ เป็นปฏิกูล ไม่สวยไม่งาม

เรียกว่า อารมณ์ยังอยู่ในขั้นสมถะ ยังมอง (นึกเห็น) ไปตามสมมุติบัญญัติ

ส่วนวิปัสสนา มอง (นึก) เห็นตามสภาวะแท้ๆ ตรงตามที่สิ่งทั้งหลาย

มันเป็นของมัน ตามเหตุปัจจัย เรียกว่าตามเป็นจริง

เพราะตามความจริง สิ่งทั้งหลายไม่มีงามไม่งาม ไม่มีสวย

ไม่มีน่าเกลียด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 24 ต.ค. 2009, 16:12, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 16:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตามปกติ ผู้เจริญปัญญาด้วยการพิจารณาไตรลักษณ์ จะพัฒนาความเข้าใจ ต่อโลกและชีวิต

ให้เข้มคมชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมกับมีความเปลี่ยนแปลงทางด้านสภาพจิต

เป็นขั้นตอนสำคัญ ๒ ขั้นตอน คือ

:b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54:

ขั้นตอนที่ ๑


เมื่อเกิดความรู้เท่าทันสังขาร มองเห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความไม่เป็นตัวตน

ชัดเจนขึ้นในระดับปานกลาง จะมีความรู้สึกทำนองเป็นปฏิกิริยาเกิดขึ้น คือรู้สึกในทางตรงข้าม

กับความรู้สึกที่เคยมีมาแต่เดิม

ก่อนนั้น เคยยึดติดหลงใหลในรูป รส กลิ่น เสียง เป็นต้น มัวเมา เพลิดเพลินอยู่กับสิ่งนั้น

คราวนี้ พอมองเห็นไตรลักษณ์เข้าแล้ว ความรู้สึกเปลี่ยนไป กลายเป็นรู้สึกเบื่อหน่าย รังเกียจ

อยากหนีไปเสียให้พ้น

บางที ถึงกับรู้สึกเกลียดกลัว หรือ ขยะแขยง นับว่าเป็นขั้นที่ความรู้สึกแรงกว่าความรู้

แม้ว่า จะเป็นขั้นตอนที่ปัญญายังไม่สมบูรณ์ และ ความรู้สึกยังเอนเอียง แต่ก็เป็นขั้นตอน

ที่สำคัญ หรือ บางทีถึงกับจำเป็น ในขณะที่จะถอนตนให้หลุดออกไปได้จากความหลงใหล

ยึดติด ซึ่งเป็นภาวะที่มีพลังแรงมาก เพื่อจะสามารถก้าวต่อไปสู่ภาวะที่สมบูรณ์ ในขั้นตอนที่ ๒ ต่อไป

ในทางตรงข้าม ถ้าหยุดอยู่เพียงขั้นนี้ ผลเสียจากความรู้สึกที่เอนเอียงก็จะเกิดขึ้นได้


:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


ขั้นตอนที่ ๒


เมื่อความรู้เท่าทันนั้น พัฒนาต่อไป จนกลายเป็นความรู้เห็นตามความเป็นจริง

ปัญญาเจริญเข้าสู่ภาวะสมบูรณ์ เรียกว่า รู้เท่าทันธรรมดาอย่างแท้จริง

ความรู้สึกเบื่อหน่าย รังเกียจ และ อยากจะหนีให้พ้นไปเสียนั้น ก็จะหายไป

กลับรู้สึกเป็นกลาง ทั้งไม่หลงใหล ทั้งไม่หน่ายแสยง

ไม่ติดใจ แต่ก็ไม่รังเกียจ ไม่พัวพัน แต่ก็ไม่เหม็นเบื่อ

มีแต่ความรู้ชัดตามที่มันเป็น และความรู้สึกโปร่งโล่งเป็นอิสระ พร้อมด้วยท่าที

ของการที่จะปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆ ไปตามความสมควรแก่เหตุผล และตามเหตุปัจจัย

พัฒนาการ ทางจิตปัญญาขั้นนี้ ในระบบการปฏิบัติของวิปัสสนา

ท่านเรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ -(ญาณ อันเป็นไปโดยความเป็นกลางต่อสังขาร)

เป็นขั้นตอนที่สำคัญและจำเป็น ในการที่จะเข้าถึงความรู้ ประจักษ์แจ้งสัจจะและความเป็นอิสระ

ของจิตโดยสมบูรณ์


viewtopic.php?f=2&t=25519&p=139718#p139718

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 16:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีตัวอย่างขั้นตอนที่ ๑ เทียบเคียง (นำมาจากเว็บบอร์ดอื่น)

ทำยังไงดีคะ

ทำไมรักถึงรู้สึกว่า ตัวเองทำไมมันสกปรกจังเลย ใจเราก็สกปรกปะปนไปด้วยกิเลสต่างๆ

รู้สึกว่า ตัวรักเองเป็นคนบาปหนามากๆ

ทั้งๆที่ก็ไม่ปรารถนาทำบาปทำชั่ว มีรักมีห่วงมีหวงมีหึง

ไม่โลภไม่อยากได้ของๆใคร

มีโกรธบ้าง แต่ก็ไม่แค้นหรือคิดอาฆาตใคร (โกรธแป๊บๆ)

ไม่ถึงกับหลงหรือมัวเมามาก..ข้อนี้ไม่กล้าจะฟันธงแต่จะใช้สติพิจารณาเพื่อไม่ให้หลงหรือมัวเมา

และก็มีพรหมวิหาร 4 อยู่กับตัว


ทุกครั้งที่เกิดความรู้สึกเหล่านี้ขึ้น จะรู้สึกหดหู่ใจ รู้สึกอึดอัดขัดจิตไปหมดเลยค่ะ นึกรู้ขึ้นมาทีไรแล้ว

รู้สึกคลื่นไส้

บางทีก็นั่งร้องไห้แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเฉยเลย

(เวลาร้องไห้ด้วยอารมณ์แบบนี้รักจะร้องไปคิดถึงพระพุทธเจ้าไป เพราะรู้สึกเป็นทุกข์ใจ

และสับสนไม่รู้ว่าคืออะไร ? และต้องทำอย่างไร?)


อารมณ์แบบนี้ จะขึ้นมาเป็นพักๆค่ะ ไม่ได้เกิดขึ้นตลอด จนทำให้เกิดอาการสับสน ทำอะไรไม่ถูก

หาทางออกให้กับอารมณ์ใจของตัวเองไม่ได้

รู้แต่โดยปกติจะนึกถึงความตายไว้กับตัวตลอด หลังๆจะฝึกการภาวนานึกถึงพระนิพพานอยู่บ่อยๆ

เพราะภาวนานึกถึงพระนิพพานแล้วจะรู้สึกสงบเย็น

(มีบ้างอยู่บ่อยๆที่ลืมภาวนา พอนึกได้ก็จะภาวนา แต่เรื่องความตายจะนึกอยู่ตลอด

แล้วก็ตั้งใจจะถือศีล 5 ตลอดชีวิตมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาน่ะค่ะ)


ใคร่ขอคำแนะนำจากผู้รู้ค่ะ ว่าเมื่อความรู้สึกเหล่านี้เกิดจนทำให้เรารู้สึก อึดอัดไม่สบายกายไม่สบายใจ

ไปหมด

รักควรทำอย่างไรดีคะ สิ่งที่เกิดนั้นคืออะไร ทำไมถึงทำให้มีความรู้สึกแบบนี้

http://board.palungjit.com/f4/ช่วยรักด้วยค่ะ-เรื่องของสมาธิ-130124.html

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 07 พ.ย. 2009, 22:16, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2009, 09:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




985658hgu7yqfuh6.gif
985658hgu7yqfuh6.gif [ 292.05 KiB | เปิดดู 4251 ครั้ง ]
ผ่อนคลายด้วย

"เสเลเมา" :b32:

http://www.imeem.com/aamaam/music/b_1rOWvS//

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 30 ต.ค. 2009, 09:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2009, 11:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:22
โพสต์: 264

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อวานเห็นตัวอย่างสภาวะของผู้ปฏิบัติท่านหนึ่ง แต่ไม่ได้โพสต์ตอบ วันนี้จะมาโพสต์ แต่ตัวอย่างหายไปแล้ว
คือสภาวะของตัวเองก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ค่ะ
แต่ก่อนหน้าที่จะฝึกปฏิบัติก็เป็นนะคะ คงเป็นเพราะการประสบอุปสรรคปัญหาต่าง ๆ จึงทำให้คิด/เห็นว่าชีวิตก็เท่านี้แหละ เลยอยากไปบวชเสียเลย ตอนนี้ชักจะไม่แน่ใจว่าที่เป็นแบบนี้เพราะเราเป็นอยู่แล้วด้วยหรือเปล่า

.....................................................
"เราไม่สรรเสริญแม้แต่ความตั้งอยู่ได้ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ต้องพูดถึงความเสื่อมถอยจากกุศลธรรมทั้งหลาย
เรายกย่องสรรเสริญอย่างเดียว แต่ความก้าวหน้าต่อไปในกุศลธรรมทั้งหลาย"

(องฺ. ทสก. ๒๔/๕๓/๑๐๑)


แก้ไขล่าสุดโดย รินรส เมื่อ 30 ต.ค. 2009, 11:12, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2009, 11:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




poocheefaa3.jpg
poocheefaa3.jpg [ 20.84 KiB | เปิดดู 4229 ครั้ง ]
คุณรินถามหา นำมาให้ใหม่ได้ครับ



กระผมภาวนามาเกือบ 3 เดือนแล้ว คือทำวัตรเช้า-เย็น แล้วก็นั่งสมาธิเดินจงกรมทุกวัน
ประมาณ 1-4 ชั่วโมง
พึ่งมาปฏิบัติเอาจริงๆจังๆ ประมาณอาทิตย์กว่าๆ
คือว่าผมเลิกจากทำงานประมาณ 16.30น. จากนั้นผมจะทำความสะอาดบริเวณรอบบ้านให้สะอาด
คือทำทุกวันถือเป็นกิจวัตร
และไม่กินข้าวเย็น ถือเป็นกิจวัตรประจำวัน คือว่าจะตัดความสบายออกจากจิตไม่ติดในวัตถุต่างๆ เป็นกิจวัตร และรูปนามต่างๆ นุ่งขาวห่มขาวทุกวัน

ช่วงที่หนึ่ง.

จิตรู้จักสัมผัสธรรมชาติในรอบตัวของเรา ว่าเป็นธรรมะทุกลมหายใจทุกวินาที
ไม่ว่าจิตจะคิดอะไรก็เป็นธรรมชาติเป็นธรรมะหมดทุกอย่างเลยครับ
ผมปฏิบัติไปเรื่อยๆ ก็ยังติดอยู่ในอารมณ์นั้นอยู่


ช่องที่สอง.

จิตผมมันไม่ยึดติดในอารมณ์นั้นแล้ว จิตดวงใหม่มันเกิดขึ้นมาแทนในอารมณ์นั้น
จิตมันนิ่งเข้าไปเรื่อยๆ จนเบาสบาย จิตมันไม่ยึดติดในทุกข์หรือว่าในสุข
ไม่ว่ารูป-นาม จิตมันพิจารณาละเอียดมาก ธาตุขันธ์ รูปนาม เหลือแค่สติที่ตั้งมั่น
อยู่ภายในจิต สติมันมีอยู่ทุกลมหายใจกำหนดรู้อย่างเดียวมันไม่เข้าไปยึดอะไรเลย

กรุณาช่วยตอบ การปฏิบัติขั้นต่อไปให้.ผมหน่อยครับ พอเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป

กระผมเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายทางโลก คือการเกิด การเจ็บ การตาย การแย่งชิงดี
ชิงเด่น การหลงในลาภ ยศ สรรเสริญ ต่างนาๆ ไม่ว่าจะเจอสิ่งแวดล้อมอะไรต่างๆ
ผมพิจารณาว่า มันเสื่อมเกดขึ้นแล้วก็ดับไป ยังไปหลงติดว่าเป็นตัวเป็นตนอยู่นั่นแหละ
ล้วนแล้วมันเป็นทุกข์ทั้งหมดเลย

กรุณาช่วยบอกสถานที่บวชพระให้ผมด้วยครับ สายกรรมฐานพระป่า
คือว่าไม่อยากจะไปทำงานเลย คือไม่อยากจะไปยึดติดในกิเลสต่างๆ
ผมก็อยากจะบวชถวายในวันพ่อแห่งชาติ
ผมไม่รู้จะติดต่อทางวัดป่าได้ยังไง...ในการขอเข้าไปบวชพระ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 30 ต.ค. 2009, 11:36, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2009, 17:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีไม่น้อยประเภทปฏิบัติกรรมฐานแล้วหลงทางหลงธรรมหลงนิมิตหลงความคิด

แล้วจะหลงชีวิตปัจจุบันในที่สุด

พิจารณาการทำกรรมฐานของบุคคลผู้หนึ่ง




หนูได้ทำสมาธิโดยระลึกถึงหลวงปู่องค์หนึ่งที่หนูได้รู้จักจากพี่คนหนึ่ง
ที่แนะให้กำหนดท่านเวลานั่งสมาธิ ท่านคือ หลวงปู่ดู่
คืนวันที่12/1/50 เวลาประมาณ 22.30 น. หลังจากพี่คนนั้น
ได้ส่งรูปหลวงปู่ดู่มาให้หนูสำหรับกำหนดนิมิต
และแนะนำวิธีทำสมาธิสูตรหลวงปู่ดู่(วิชาเปิดโลก) แล้ว

หนูจึงเริ่มเข้าสมาธิแบบที่หนูถนัดและเคยศึกษามาจากแม่คือ
หายใจเข้า-ออกช้าๆให้ใจได้เย็นๆลงแล้วจึง
กำหนดนิมิตเป็นภาพท่านที่กำลังยิ้มอยู่ ในนิมิตนั้นปรากฏ
เป็นท่านกำลังยิ้มอย่างใจดี ขณะนั้นรู้สึกตื่นเต้นและกลัว



สักพักหนูรู้สึกว่าจิตได้ตามท่านไป
แล้วท่านก็พาหนูไปที่สวนแห่งหนึ่ง
ที่สวนแห่งนี้มีพืชพรรณ
ดอกไม้ ที่สวยงามต่างๆมากมาย
มีต้นไม้ใหญ่ๆอยู่หลายต้นมีพุ่มดอกไม้เล็กๆ
และข้างๆก็ปรากฏเป็นลำธาร
โดยมีพื้นหญ้าเขียวขจีเป็นพื้น
ความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้เมื่อเข้ามาคือความสงบ รื่นรมย์
สิ่งเหล่านี้ทำให้จิตใจของหนูสงบลง หนูเหลียวไปมองหลวงปู่
หลวงปู่ท่านนั่งลงหันหลังให้ลำธาร
ท่านนั่งลงบนผ้าสีขาวที่ปูลาดไว้อย่างดี
แล้วท่านก็หลับตาทำสมาธิ
เหมือนจะแสดงเป็นนัยยะบางอย่าง

หนูนั่งลงบนหญ้าเบื้องหน้าท่านแล้วสังเกตเห็นเทวดาแถวนั้น
มาร่วมโมทนาด้วย
หนูจึงทำสมาธิบ้างโดยหายใจเข้าภาวนาว่า พองหนอ หายใจออกภาวนาว่า ยุบหนอ

ฯลฯ

http://board.palungjit.com/f126/ประสบการณ์ถอดจิต-หลวงปู่ดู่เมตตาพาไปสอนที่วิมาน-67165.html

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2009, 10:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แล้วจะทราบได้อย่างไรคะ ว่าอาการบางอย่างเป็นผลอันเนื่องมาจากการปฏิบัติ
หรือเป็นเพราะผู้ปฏิบัติท่านนั้นมีนิสัยใจคออย่างนั้นอยู่แล้ว



ข้อความอ้างอิงคุณรินถามก่อนหน้าแต่หายไปไหนแว้ว :b20: (คุณรินคงลบไป)

เห็นแล้วครับ เก็บไว้แล้วแต่ยังไม่ตอบ เพราะเห็นคำถามไม่รีบร้อน



ตอบให้ดังนี้ :b1:

คำตอบโดยสรุป คือ เนื่องกันเป็นเหดุเป็นผลกันครับ พูดให้อิงหลักก็ว่า มันอาศัยกันและกันเกิดขึ้น

(ปฏิจจสมุปบันธรรม)



ตอบขยายความออกไปก็ดังนี้

เมื่อมองให้ลึกลงไปถึงก้นบึ้งของจิตใจ สิ่งที่เกิดมีเป็นทุกอย่าง (ทั้งดีไม่ดี)จิตใจได้สะสมไว้ทั้งเก่า

และใหม่ ฯลฯ

เมื่อมาปฏิบัติกรรมฐาน คือ มนสิการร่างกายและความคิดได้กระชั้นชิดถี่ขึ้นๆ สิ่งที่จิตใจสะสมไว้นั่น

ก็แสดงตัวออกมาในรูปต่างๆที่เรารู้ สัมผัสเองที่ผ่านๆมานั่นแหละ

ที่เรียกกันว่า สภาวะ (สภาวะ สิ่งที่มีเป็นเกิดของมันเอง ไม่มีใครดลบันดาลให้เป็น มันเป็นของมันเอง

จึงเรียกว่าสภาวะ หรือสภาวธรรม)

แต่ที่มีปัญหาไถ่ถามหรือวิตกกังวลในหมู่นักภาวนาทั่วๆไป ก็เพราะเมื่อภาวะนั่นๆปรากฏแก่ตนแล้ว

ไม่เข้าใจ (ไม่รู้จะเอาอีท่าไหนดี) พูดง่ายๆว่าไม่เข้าใจธรรมะหรือธรรมชาติ จึงตกอกตกใจ

ในบางรายเลิกปฏิบัติไปเลยก็มี มีบางรายถึงกับเพี้ยน หรือหลงภาวะนั้นเป็นตุเป็นตะไปก็มี




:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

ว่างๆก็ดูสภาวธรรมที่ปรากฏแก่โยคีที่ทำการภาวนาแต่ละคนๆที่

http://www.free-webboard.com/home.php?n ... hammachati

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 11 พ.ย. 2009, 16:31, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2009, 17:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




DSC_5339.jpg
DSC_5339.jpg [ 298.73 KiB | เปิดดู 4116 ครั้ง ]
อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย
อยู่ตรงที่บริเวณทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวเชียงใหม่ที่ให้ความเคารพอย่างมาก
ผู้ที่เดินทางขึ้นดอยสุเทพมักจะแวะมานมัสการอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัยเพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนเดินทางขึ้นดอย

อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัยได้สร้างขึ้นหลังจากที่ครูบาศรีวิชัยได้มรณภาพแล้ว ทางราชการและชาวเมืองเชียงใหม่
ได้บริจากทรัพย์ช่วยกันสร้าง โดยให้กรมศิลปกากรเป็นผู้ออกแบบก่อสร้าง
เมื่อแล้วเสร็จได้นำมาประดิษฐานไว้ที่เชิงเขาห้วยแก้วอันเป็นจุดเริ่มต้นของการขึ้นดอยสุเทพ
ดังที่ปรากฎในปัจจุบัน

http://www.imeem.com/yatong/music/n8a4FWmm/cmu/

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2009, 20:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:22
โพสต์: 264

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ข้อความอ้างอิงคุณรินถามก่อนหน้าแต่หายไปไหนแว้ว :b20: (คุณรินคงลบไป)

เห็นแล้วครับ เก็บไว้แล้วแต่ยังไม่ตอบ เพราะเห็นคำถามไม่รีบร้อน



ขอบพระคุณสำหรับคำตอบค่ะ :b8:
เข้าใจแล้วค่ะ

มาลบคำถามไปเมื่อตอนสายวันนี้ค่ะ
ไม่รีบร้อนอยากได้คำตอบ แถมตอนแรกยังลังเลอยู่ว่าจะถามหรือไม่ถามดีหนอ
พอไม่มีคำตอบเลยลบคำถามไปค่ะ


อ้างคำพูด:
แต่ที่มีปัญหาไถ่ถามหรือวิตกกังวลในหมู่นักภาวนาทั่วๆไป ก็เพราะเมื่อภาวะนั่นๆปรากฏแก่ตน
แล้ว ไม่เข้าใจ (ไม่รู้จะเอาอีท่าไหนดี) พูดง่ายๆว่าไม่เข้าใจธรรมะหรือธรรมชาติ จึงตกอกตกใจ

ในบางรายเลิกปฏิบัติไปเลยก็มี มีบางรายถึงกับเพี้ยน หรือหลงภาวะนั้นเป็นตุเป็นตะไปก็มี



เมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ก่อน มีอยู่วันหนึ่งที่มีสติตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะทำอะไรก็รู้ทันหมด วันนั้นดีใจค่ะ เพราะคิดว่าตัวเองก้าวหน้าจังเลย ทั้งที่ก่อนหน้ามีแต่รู้ทันบ้างไม่ทันบ้าง แต่ถัดจากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ สภาวะนี้ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย คือมีทั้งทันและไม่ทันเหมือนเดิมค่ะ :b9: ถ้าสภาวะนี้เกิดขึ้นหลาย ๆ วันคงหลงไปแล้วแน่ ๆ เลยค่ะ


และอีกสภาวะหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นอยู่ประมาณ 2-3 วัน คือรู้สึกว่าตัวเองจะตายภายในพรุ่งนี้มะรืนนี้ (รู้สึกเฉย ๆ ไม่ได้กลัวตายนะคะ แต่สงสัยมากทีเดียวว่าเราจะอายุสั้นเหรอนี่) พอผ่านไปหลาย ๆ วันเข้า ก็ไม่เห็นตัวเองจะเป็นอะไร สุขภาพก็ปกติดี ความรู้สึกแบบนี้เป็นสภาวธรรมใช่หรือเปล่าคะ ไม่ใช่ลางสังหรณ์ แบบนี้คนมี six sense ท่าทางจะลำบากกว่าคนที่ไม่มีนะคะ

.....................................................
"เราไม่สรรเสริญแม้แต่ความตั้งอยู่ได้ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ต้องพูดถึงความเสื่อมถอยจากกุศลธรรมทั้งหลาย
เรายกย่องสรรเสริญอย่างเดียว แต่ความก้าวหน้าต่อไปในกุศลธรรมทั้งหลาย"

(องฺ. ทสก. ๒๔/๕๓/๑๐๑)


แก้ไขล่าสุดโดย รินรส เมื่อ 11 พ.ย. 2009, 21:31, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2009, 22:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ก่อน มีอยู่วันหนึ่งที่มีสติตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะทำอะไรก็รู้ทันหมด



เท่ากับบอกให้รู้ว่า องค์ธรรมทั้งหลายมีสติสัมปชัญญะวิริยะสมาธิ เป็นต้น เกิดติดต่อกันนานๆ ย่อมเป็นไปได้

ไม่ใช่สิ่งเลื่อนลอย ซึ่งก็เกิดจากการที่เราสั่งสมด้วยการปฏิบัติอย่างนั้นมาตั้งแต่ต้นแหละ

เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมจะให้เป็นอย่างนั้น เป็นต้น มันก็เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น

คุณพึงมีวิริยะอุตสาหะกำหนดอารมณ์กรรมฐานตามที่แนะนำต่อไปครับ แล้วการดังกล่าวเป็นต้นนั้น

ก็จะเกิดตามเหตุตามผลของมัน


อ้างคำพูด:
วันนั้นดีใจค่ะ เพราะคิดว่าตัวเองก้าวหน้าจังเลยทั้งที่ก่อนหน้ามีแต่รู้ทันบ้างไม่ทันบ้าง
แต่ถัดจากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ สภาวะนี้ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย คือมีทั้งทันและไม่ทันเหมือนเดิมค่ะ

ถ้าสภาวะนี้เกิดขึ้นหลาย ๆ วันคงหลงไปแล้วแน่ ๆ เลยค่ะ



เพราะจิตยังมีแกว่งอยู่ ยังไม่ถึงขั้นอุเบกขา คือยังมีดีใจไม่ดีใจอยู่ พูดอิงหลักก็ว่า ยังมีความยินดียินร้าย

ต่ออารมณ์ที่กระทบอยู่

และที่ว่า หลงคือหลงแบบตัวอย่างที่นำมาให้ดู คห. ถัดขึ้นไป นั่นหลงยังงั้น :b32:


อ้างคำพูด:
และอีกสภาวะหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นอยู่ประมาณ 2-3 วัน คือรู้สึกว่าตัวเองจะตายภายในพรุ่งนี้มะรืนนี้ (รู้สึกเฉย ๆ ไม่ได้กลัวตายนะคะ) พอผ่านไปหลาย ๆ วันเข้า ก็ไม่เห็นตัวเองจะเป็นอะไร สุขภาพก็ปกติดี
ความรู้สึกแบบนี้เป็นสภาวธรรมใช่หรือเปล่าคะ ไม่ใช่ลางสังหรณ์
แบบนี้คนมี six sense ท่าทางจะลำบากนะคะ



คุณรินพูดสะกิดขึ้นมานึกได้ ก่อนโน้นกรัชกายก็รู้สึกเช่นว่านั้นเหมือนกัน คือรู้สึกว่าพรุ่งนี้เราตายแน่

จึงสั่งคนที่พักห้องใกล้ๆว่า พรุ่งนี้เช้าไม่ตื่นขึ้นมาช่วยไปดูที่ห้องที

เข้านอนเราก็ไม่ใส่สลัก ตายขึ้นมาเขาไม่ต้องพังประตูเข้ามาเก็บศพเรา

อยู่มาจนป่านนี้ยังไม่เห็นตาย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 13 พ.ย. 2009, 07:31, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2009, 16:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รินรส เขียน:
เวลาทำกิจกรรมที่ต้องสัมผัสกับส่วนของร่างกาย เช่น เวลาสระผม เอามือขยี้ผมหรือนวดหนังศีรษะก็กำหนด

ว่า ขยี้หนอๆๆ รู้สึกว่ากะโหลกศีรษะแข็งมาก และไม่แน่ใจว่าแค่เหมือนเห็นหรือเห็นจริง ๆ ว่าในกะโหลกมี

อะไร ก็กำหนดว่า รู้หนอๆๆ และรู้สึกว่าผมเรานี่น่าขยะแขยง เหมือนเป็นขยะ เวลาแปรงฟัน ล้างหน้า ฯลฯ

ก็เป็นค่ะ

อีกอย่างหนึ่งคือ รู้สึกว่ามือที่ขยี้มีแต่กระดูก ซักผ้า หรือทำอย่างอื่นก็เป็นค่ะ ความจริงเป็นมานานประมาณ

เดือนกว่าถึง 2 เดือนแล้วกระมังคะ แต่ไม่เคยถามเรื่องนี้เลย อาการแบบนี้ยังจะเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ หรือ

ยังไงคะ



ถามคุณรินหน่อย อาการดังกล่าวนั่นๆ ปกติหรือยังครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2009, 21:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:22
โพสต์: 264

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
รินรส เขียน:
เวลาทำกิจกรรมที่ต้องสัมผัสกับส่วนของร่างกาย เช่น เวลาสระผม เอามือขยี้ผมหรือนวดหนังศีรษะก็กำหนด

ว่า ขยี้หนอๆๆ รู้สึกว่ากะโหลกศีรษะแข็งมาก และไม่แน่ใจว่าแค่เหมือนเห็นหรือเห็นจริง ๆ ว่าในกะโหลกมี

อะไร ก็กำหนดว่า รู้หนอๆๆ และรู้สึกว่าผมเรานี่น่าขยะแขยง เหมือนเป็นขยะ เวลาแปรงฟัน ล้างหน้า ฯลฯ

ก็เป็นค่ะ

อีกอย่างหนึ่งคือ รู้สึกว่ามือที่ขยี้มีแต่กระดูก ซักผ้า หรือทำอย่างอื่นก็เป็นค่ะ ความจริงเป็นมานานประมาณ

เดือนกว่าถึง 2 เดือนแล้วกระมังคะ แต่ไม่เคยถามเรื่องนี้เลย อาการแบบนี้ยังจะเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ หรือ

ยังไงคะ



ถามคุณรินหน่อย อาการดังกล่าวนั่นๆ ปกติหรือยังครับ



หายเป็นปกติแล้วค่ะ ขอบพระคุณที่ถามค่ะ :b8:

.....................................................
"เราไม่สรรเสริญแม้แต่ความตั้งอยู่ได้ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ต้องพูดถึงความเสื่อมถอยจากกุศลธรรมทั้งหลาย
เรายกย่องสรรเสริญอย่างเดียว แต่ความก้าวหน้าต่อไปในกุศลธรรมทั้งหลาย"

(องฺ. ทสก. ๒๔/๕๓/๑๐๑)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ย. 2009, 16:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาจารย์ป้อ ลาพักร้อนหรือคะ คุณริน

:b16: :b16: :b16:


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 21 พ.ย. 2009, 16:43, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 201 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ... 14  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร