วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 02:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 201 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 14  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 07 ต.ค. 2009, 16:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




12.gif
12.gif [ 8.54 KiB | เปิดดู 3483 ครั้ง ]
อ้างคำพูด:
วันนี้ยังเดินระยะที่ 1-6 อยู่ไหมคะ



เดินอยู่ครับ จากระยะที่ 1-6 เวลา 1 ชั่วโมง



อ้างคำพูด:
ขออภัยที่อธิบายไม่ชัดเจนค่ะ
แต่ระยะที่ 4 นี่ กว่าจะหายง่วงก็เกือบหมดเวลาแล้ว หมายความว่ากว่าจะหายง่วงก็เกือบหมดเวลาเดินจงกรมระยะที่ 4 คือเกือบ 10 นาทีน่ะค่ะ แล้วระยะที่ 5 และ 6 ก็ไม่ง่วงอีกเลยค่ะ




อ้อ...ครับ

ถึงกระนั้น ก็เดินไต่ระยะ 1-6 ไปก่อนนะครับแล้วค่อยดูอีกที

เดินให้คล่องให้ชำนาญทุกระยะๆ เลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสต์ เมื่อ: 09 ต.ค. 2009, 15:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




y1pzCtueIutJFnkmR2dMwXNbYYn6-HsE76zN9oEu2mMgyaXaywXEPA7_ZQPQLi103Ag-_4-bKJgrRM.jpg
y1pzCtueIutJFnkmR2dMwXNbYYn6-HsE76zN9oEu2mMgyaXaywXEPA7_ZQPQLi103Ag-_4-bKJgrRM.jpg [ 61.31 KiB | เปิดดู 3432 ครั้ง ]
“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีสติ (คือ ปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ )

มีสัมปชัญญะ (คือ สร้าง สัมปชัญญะ ในการยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ เป็นต้น)

ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่อย่างนี้

ถ้าเกิดเวทนาที่เป็นสุขขึ้น เธอก็รู้ชัดอย่างนี้ว่า เวทนาที่เป็นสุขนี้ เกิดขึ้นแล้วแก่เรา

ก็แล เวทนานั้นอาศัยปัจจัยจึงเกิดขึ้น มิใช่ไม่อาศัยอะไรเลย

อาศัยอะไร ก็อาศัยกายนี้เอง

ก็กายนี้ เป็นของไม่เที่ยง เป็นของปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดขึ้น แล้วสุขเวทนาซึ่งเกิดขึ้น

โดยอาศัยกายที่ไม่เที่ยง เป็นของปรุงแต่ง เป็นปฏิจจสมุปบันธรรมอยู่แล้ว

จักเป็นของเที่ยงได้แต่ที่ไหน

เธอมองเห็นความเป็นสิ่งไม่เที่ยง ความเสื่อมสิ้นไป ความจางหาย ความดับ ความสลัดออกไป

ทั้งในกายและในสุขเวทนาอยู่

เมื่อเธอมองเห็น....(อย่างนี้) ราคานุสัยที่มีในกายและในสุขเวทนา ก็จะถูกละได้



“เมื่อภิกษุมีสติ มีสัมปชัญญะ...อยู่อย่างนี้

ถ้าเกิดเวทนาที่เป็นทุกข์ขึ้น เธอก็รู้ชัด ....ปฏิฆานุสัยที่มีในกายและในทุกขเวทนา

ก็จะถูกละได้


“เมื่อภิกษุมีสติ มีสัมปชัญญะ...อยู่อย่างนี้

ถ้าเกิดเวทนาที่ไม่ทุกข์ไม่สุขขึ้น เธอก็รู้ชัด ....อวิชชานุสัยที่มีในกายและในอทุกขมสุขเวทนา

ก็จะถูกละได้”

(สํ.สฬ.18/377/261)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสต์ เมื่อ: 10 ต.ค. 2009, 17:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




q1.jpg
q1.jpg [ 30.13 KiB | เปิดดู 3396 ครั้ง ]
(ภิกษุรูปหนึ่งทูลถามว่า เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่อย่างไร จึงละอวิชชาได้ วิชชาจึงจะเกิด

ตรัสตอบว่า) เมื่อภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่ซึ่งตา (หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส

โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ วิญญาณ ๖ สัมผัส ๖ และเวทนาที่เป็นสุข ทุกข์ อทุกขมสุข)

โดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น

(สํ.สฬ. 18/96/61)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสต์ เมื่อ: 10 ต.ค. 2009, 19:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณรินเดินระยะ 1-6 คล่องหรือหายง่วงสนิทหรือยังครับ

หากหายง่วงแล้ว ก็เดินระยะสูงๆ 4-6 ได้เลย เดินระยะ 6 ให้มากหน่อย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 10 ต.ค. 2009, 19:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:22
โพสต์: 264

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้ยังปฏิบัติอยู่นะคะ เพียงแต่ว่าสภาวะคล้าย ๆ กับที่ผ่านมา เลยไม่มาโพสต์ค่ะ
อันที่จริงเดินจงกรมทีเดียว 6 ระยะ ยิ่งเดินหลายวันเข้า แม้จะเดินระยะต่ำๆ สมาธิก็ยังเกิดมากขึ้น
จากช่วงที่เดินทั้ง 6 ระยะใหม่ ๆ สมาธิมากตอนเดินระยะที่ 5
และแค่เดินระยะที่ 1 เวลาเท้าเหยียบพื้นจะรู้สึกชัดมากว่าเท้าเหยียบค่ะ

ส่วนตอนนั่งไม่มีนิมิตแล้วค่ะ

ความจริงเดี๋ยวนี้ที่ไม่มาโพสต์บ่อย นอกจากสภาวะจะคล้าย ๆ กับที่ผ่านมาแล้ว
ยังรู้สึกไม่อยากรู้ หรือไม่อยากถาม คือบางทีสงสัยอะไรสักอย่าง จะเกิดความคิดว่าช่างมันเถอะ


อ้างคำพูด:
คุณรินเดินระยะ 1-6 คล่องหรือหายง่วงสนิทหรือยังครับ

หากหายง่วงแล้ว ก็เดินระยะสูงๆ 4-6 ได้เลย เดินระยะ 6 ให้มากหน่อย


ตอนนี้หายง่วงแล้วค่ะ
ตอนนี้เดินระยะที่ 4-6 ไปเรื่อย ๆ ใช่ไหมค่ะ ถามเพราะว่าจะไม่อยู่ประมาณ 1 อาทิตย์ค่ะ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------


คุณน้ำมาเยี่ยม สวัสดีค่ะ :b8: tongue

.....................................................
"เราไม่สรรเสริญแม้แต่ความตั้งอยู่ได้ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ต้องพูดถึงความเสื่อมถอยจากกุศลธรรมทั้งหลาย
เรายกย่องสรรเสริญอย่างเดียว แต่ความก้าวหน้าต่อไปในกุศลธรรมทั้งหลาย"

(องฺ. ทสก. ๒๔/๕๓/๑๐๑)


แก้ไขล่าสุดโดย รินรส เมื่อ 10 ต.ค. 2009, 19:27, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 10 ต.ค. 2009, 19:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


รินรส เขียน:
ตอนนี้ยังปฏิบัติอยู่นะคะ เพียงแต่ว่าสภาวะคล้าย ๆ กับที่ผ่านมา เลยไม่มาโพสต์ค่ะ
อันที่จริงเดินจงกรมทีเดียว 6 ระยะ ยิ่งเดินหลายวันเข้า แม้จะเดินระยะต่ำๆ สมาธิก็ยังเกิดมากขึ้น
จากช่วงที่เดินทั้ง 6 ระยะใหม่ ๆ สมาธิมากตอนเดินระยะที่ 5
และแค่เดินระยะที่ 1 เวลาเท้าเหยียบพื้นจะรู้สึกชัดมากว่าเท้าเหยียบค่ะ

ส่วนตอนนั่งไม่มีนิมิตแล้วค่ะ

ความจริงเดี๋ยวนี้ที่ไม่มาโพสต์บ่อย นอกจากสภาวะจะคล้าย ๆ กับที่ผ่านมาแล้ว
ยังรู้สึกไม่อยากรู้ หรือไม่อยากถาม คือบางทีสงสัยอะไรสักอย่าง จะเกิดความคิดว่าช่างมันเถอะ


color]


คุณน้ำมาเยี่ยม สวัสดีค่ะ cool



คุณริน cool

ตามดูอยู่ค่ะ :b12:

และมาร่วมอนุโมทนาผู้มีความเพียรค่ะ :b8:



ยังรู้สึกไม่อยากรู้ หรือไม่อยากถาม คือบางทีสงสัยอะไรสักอย่าง จะเกิดความคิดว่าช่างมันเถอะ

ถูกต้องเลยค่ะ สภาวะเขาจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆค่ะ
แล้วสิ่งที่เราคิดหรือสงสัยจะได้คำตอบจากสภาวะเองค่ะ :b4:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 10 ต.ค. 2009, 20:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ตอนนี้ยังปฏิบัติอยู่นะคะ เพียงแต่ว่าสภาวะคล้าย ๆ กับที่ผ่านมา เลยไม่มาโพสต์ค่ะ
อันที่จริงเดินจงกรมทีเดียว 6 ระยะ ยิ่งเดินหลายวันเข้า แม้จะเดินระยะต่ำๆ สมาธิก็ยังเกิดมากขึ้น
จากช่วงที่เดินทั้ง 6 ระยะใหม่ ๆ สมาธิมากตอนเดินระยะที่ 5
และแค่เดินระยะที่ 1 เวลาเท้าเหยียบพื้นจะรู้สึกชัดมากว่าเท้าเหยียบค่ะ

ส่วนตอนนั่งไม่มีนิมิตแล้วค่ะ

ความจริงเดี๋ยวนี้ที่ไม่มาโพสต์บ่อย นอกจากสภาวะจะคล้าย ๆ กับที่ผ่านมาแล้ว

ยังรู้สึกไม่อยากรู้ หรือไม่อยากถาม คือบางทีสงสัยอะไรสักอย่าง จะเกิดความคิดว่าช่างมันเถอะ

ตอนนี้หายง่วงแล้วค่ะ

ตอนนี้เดินระยะที่ 4-6 ไปเรื่อย ๆ ใช่ไหมค่ะ ถามเพราะว่าจะไม่อยู่ประมาณ 1 อาทิตย์ค่ะ



:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

ตอนนี้หายง่วงแล้วค่ะ

ตอนนี้เดินระยะที่ 4-6 ไปเรื่อย ๆ ใช่ไหมค่ะ ถามเพราะว่าจะไม่อยู่ประมาณ 1 อาทิตย์ค่ะ




ที่ให้เดินระยะ 4-6 เพื่อต้องการดูว่า ยังจะง่วงอยู่อีกไหม

เมื่อหายง่วงแล้ว นิมิตต่างๆหมดแล้ว

มีแต่อารมณ์กรรมฐานคือพอง-ยุบ +ความรู้ที่รู้ว่าพองว่ายุบอยู่เท่านั้น ก็พึงปฏิบัติเช่นนี้เรื่อยไป

ตามดูรู้ทันพอง ยุบ รู้ทันความคิดที่แวบออกจากกรรมฐาน


เมื่อเป็นดังนั้นคงเป็นที่วางใจได้แล้ว คุณพอมีแนวคุ้มตนเองได้แล้ว กรัชกายก็หมดห่วง :b1:


ต่อไปภายหน้า สมมุคิว่าเดินระยะสูงๆ ยังมีง่วงอยู่ก็เดินระยะต่ำๆ แก้ หรือหากสมาธิเกินไป

รู้สึกอืดอาด กายใจไม่กระฉับกระเฉงคล่องแคล่ว ก็ใช้จงกรมระยะต่ำๆ อย่างที่เคยปฏิบัติผ่านๆมาครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 12 ต.ค. 2009, 20:52, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 12 ต.ค. 2009, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




Jane_peace_position.jpg
Jane_peace_position.jpg [ 134.64 KiB | เปิดดู 3292 ครั้ง ]
ในการปฏิบัติธรรมชั้นสูงขึ้นไป ที่ถึงขั้นที่จะให้เกิดญาณรู้แจ้งเห็นจริง จนกำจัดอาสวะกิเลสได้

ก็ยิ่งต้องการจิตที่สงบนิ่ง ผ่องใส มีสมาธิแน่วแน่ยิ่งขึ้น

ถึงขนาดระงับการรับรู้ทางอายตนะต่างๆได้หมด เหลืออารมณ์ที่กำหนดไว้ทำการแต่เพียงอย่างเดียว

เพื่อกำจัดกวาดล้างตะกอนที่นอนก้นทั้งหลาย ไม่ให้มีโอกาสขุ่นอีกต่อไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสต์ เมื่อ: 19 ต.ค. 2009, 13:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:22
โพสต์: 264

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ คุณกรัชกาย :b8:

คุณกรัชกายสบายดีไหมคะ ที่นี่เริ่มหนาวแล้วค่ะ

มีข้อสงสัยค่ะ ว่าต่อไป (ดูแลตัวเองได้แล้ว) จะต้องเพิ่มเวลาเดิน+นั่งเองไหมคะ และยังจะต้องเดินระยะใดระยะหนึ่งเพียงระยะเดียวไหมคะ หมายถึงระยะที่ 4-6 น่ะค่ะ

แต่ตอนนี้ไม่เคยเดิน+นั่ง รวม 2 ชม. เสร็จแล้วเดิน+นั่ง อีกรอบนะคะ เพราะไม่มีเวลาว่างติดต่อกันถึง 4 ชั่วโมงเลยค่ะ แต่พยายามหาเวลาอยู่ค่ะ เพราะอยากทำแบบนี้เหมือนกัน

ตอนนี้สภาวะทั้งตอนเดินและนั่งยังเหมือนเดิมค่ะ คือไม่ง่วงแล้ว แต่ตอนเดินบางครั้ง และตอนนอนทุกครั้ง พอหลับตาจะเกิดภาพต่าง ๆ ขึ้นมา อย่างนี้เป็นนิมิตไหมคะ

ส่วนนอกเวลาปฏิบัติ เวลาทำอะไรอยู่กับที่ต่อเนื่องสักพักหนึ่ง เช่น อ่านหนังสือ นอกจากจะมีสมาธิแล้ว ยังรู้สึกสบาย มีความสุข ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็จะแค่มีสมาธิเฉย ๆ จนนึกอยากจะทำแต่อ่านหนังสือ หรือปฏิบัติกรรมฐาน ไม่อยากทำอย่างอื่น แต่ความจริง ๆ ไม่ได้ทำอย่างที่นึกหรอกค่ะ เพราะวิถีชีวิตไม่ได้เอื้อให้ทำแบบนี้ได้ตลอดเวลา

และไม่แน่ใจว่ากำลังเผชิญกับพยาบาทนิวรณ์หรือเปล่านะคะ อาการยิ่งกว่าตอนโกรธเขาใหม่ ๆ อีกค่ะ ทั้งที่ผ่านมาตั้งหลายเดือนแล้ว และก่อนหน้านี้ความโกรธก็ลดลงเรื่อย ๆ

คำถามมากไปหรือเปล่าคะ

.....................................................
"เราไม่สรรเสริญแม้แต่ความตั้งอยู่ได้ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ต้องพูดถึงความเสื่อมถอยจากกุศลธรรมทั้งหลาย
เรายกย่องสรรเสริญอย่างเดียว แต่ความก้าวหน้าต่อไปในกุศลธรรมทั้งหลาย"

(องฺ. ทสก. ๒๔/๕๓/๑๐๑)


แก้ไขล่าสุดโดย รินรส เมื่อ 19 ต.ค. 2009, 19:03, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 19 ต.ค. 2009, 22:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




flower1_div_md_wht.gif
flower1_div_md_wht.gif [ 9 KiB | เปิดดู 3240 ครั้ง ]
อ้างคำพูด:
สวัสดีค่ะ คุณกรัชกาย

คุณกรัชกายสบายดีไหมคะ ที่นี่เริ่มหนาวแล้วค่ะ




ตอบให้หลังไมค์แล้วครับ

พอดีเครื่องติดไวรัส แล้วก็พอดีเข้าหน้าหลักธรรมจักรเข้าไม่ได้ แต่ก็ดั้นด้นเข้ามาตอบกระทู้ห้องนี้จนได้



อ้างคำพูด:
มีข้อสงสัยค่ะ ว่าต่อไป (ดูแลตัวเองได้แล้ว) จะต้องเพิ่มเวลาเดิน+นั่งเองไหมคะ และยังจะต้องเดินระยะใดระยะหนึ่งเพียงระยะเดียวไหมคะ หมายถึงระยะที่ 4-6 น่ะค่ะ



ที่ผ่านๆมา กรัชกายได้แนะนำวิธีปรับอินทรีย์ให้โดยเฉพาะ สมาธินทรีย์กับวิริยินทรีย์

ด้วยการใช้จงกรมช่วย

บอกไปบ้างแล้วว่าจงกรม ระยะ 1-3 ใช้เพิ่มความเพียร (วิริยะ)

ระยะ 4-6 เพิ่มสมาธิ

คุณพึงสงเกตตนเองในปฏิบัติธรรมอยู่ด้วย ขณะที่ดำรงชีวิตประจำวันด้วย

หากรู้สึกเนื้อตัวอืดอาดหนักๆ ไม่คล่องแคล่ว ไม่กระปรี้กระเปร่า แบบนี้ควรเดินจงกรมระยะต่ำๆ 1-3

เลือกใช้ได้ตามอัธยาศัย หรือจะเดินควบกัน ทั้ง 1-3 ก็ได้

สังเกตตนเองเมื่อกำลังปฏิบัติอยู่ รู้สึกว่าจิตจะว่องไวลื่นไหลควบคุมยากหน่อย

ก็เดินจงกรมระยะ 4-6 ช่วย หรือจะเดินระยะใดระยะหนึ่งระยะเดียวก็ได้ ใน 1 ชั่วโมงนั้น

จงกรมระยะยิ่งสูงสมาธิก็เกิดได้มากเกิดเร็ว

หรือจะนั่งกำหนดอารมณ์ให้มากกว่าเดินสักหน่อยก็ได้

นี่พูดเป็นแนวทางกว้างๆไว้ แต่คุณก็พึงสังเกตตนเองด้วย แล้วหมั่นปรับหมั่นทดลง

เหมือนกำลังฝึกซ้อมกีฬาอะไรสักอย่างหนึ่ง เพื่อให้เกิดความชำนาญอย่างเป็นไปเอง


อ้างคำพูด:
แต่ตอนนี้ไม่เคยเดิน+นั่ง รวม 2 ชม. เสร็จแล้วเดิน+นั่ง อีกรอบนะคะ เพราะไม่มีเวลาว่างติดต่อกันถึง 4 ชั่วโมงเลยค่ะ แต่พยายามหาเวลาอยู่ค่ะ เพราะอยากทำแบบนี้เหมือนกัน




ประเด็นนี้ไม่ต้องกังวลครับ ได้เท่าใดก็เท่านั้น

เพราะตามปกติขณะเราทำงานอะไรอยู่ก็ใช้สิ่งนั้นๆหรืออิริยาบถนั้นเป็นที่ทำงานของจิต

ผูกจิตให้อยู่กับสิ่งนั้นๆอยู่แล้ว เช่น อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ฯลฯ ก็ควบคุมให้จิตอยู่กับสิ่งที่ทำ

นั้นเท่านี้ก็โอเคแล้วครับ


อ้างคำพูด:
ตอนนี้สภาวะทั้งตอนเดินและนั่งยังเหมือนเดิมค่ะ คือไม่ง่วงแล้ว แต่ตอนเดินบางครั้ง และตอนนอนทุกครั้ง พอหลับตาจะเกิดภาพต่าง ๆ ขึ้นมา อย่างนี้เป็นนิมิตไหมคะ



ยังเป็นอยู่ครับ แต่ไม่ต้องกังวล ต่อไปจะหมดเอง เมื่อเรากำหนดอารมณ์ได้ทันปัจจุบันมากขึ้นถี่ขึ้น

จนสติเข็มแข็งขึ้น

เวลานอนรู้แล้วก็แล้วกันไม่ต้องสนใจ ตั้งใจนอนหลับ


อ้างคำพูด:
ส่วนนอกเวลาปฏิบัติ เวลาทำอะไรอยู่กับที่ต่อเนื่องสักพักหนึ่ง เช่น อ่านหนังสือ นอกจากจะมีสมาธิแล้ว ยังรู้สึกสบาย มีความสุข
ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็จะแค่มีสมาธิเฉย ๆ จนนึกอยากจะทำแต่อ่านหนังสือ หรือปฏิบัติกรรมฐาน
ไม่อยากทำอย่างอื่น
แต่ความจริง ๆ ไม่ได้ทำอย่างที่นึกหรอกค่ะ เพราะวิถีชีวิตไม่ได้เอื้อให้ทำแบบนี้ได้ตลอดเวลา



เข้าใจครับ เพราะชีวิตคนเราไม่ได้อยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดตลอดทั้งวันทั้งสัปดาห์ ฯลฯ

คุณรินศึกษาการใช้อิทธิบาทในการทำงานลิงค์นี้

viewtopic.php?f=2&t=20241

เราจะทำอะไรยังไง ที่ไหนเมื่อไหร่ เช่น กินข้าวกินปลาอาบน้ำ ซักผ้า ฯลฯ ใช้งานนั้นสิ่งที่กำลังทำนั้น

ฝึกจิตได้ทุกอย่าง สมาธิเกิดได้ทุกที่ แล้วความสุขก็จะมาควบคู่กัน ทำงานนั้นๆอย่างมีความสุข


อ้างคำพูด:
และไม่แน่ใจว่ากำลังเผชิญกับพยาบาทนิวรณ์หรือเปล่านะคะ อาการยิ่งกว่าตอนโกรธเขาใหม่ ๆ อีกค่ะ ทั้งที่ผ่านมาตั้งหลายเดือนแล้ว และก่อนหน้านี้ความโกรธก็ลดลงเรื่อย ๆ

คำถามมากไปหรือเปล่าคะ



ประเด็นนี้ก็ไม่พึงวิตกเช่นกัน กุศลเกิดหรืออกุศลเกิดก็ไม่ต้องกังวลใจ เป็นธรรมชาติของมัน

ชอบใจไม่ไม่ชอบก็เป็นธรรมชาติ แต่ผู้ฉลาดจับเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นประโยชน์คือเป็นฐานเจริญสติ

เป็นกรรมฐานได้หมดครับ คือ คิดอย่างไร รู้สึกอย่างไรกำหนดอย่างนั้น ไม่หลบ ไม่เลี่ยงหนี

ความรู้สึกนั้น ต่อไปจะรู้เข้าใจธรรมชาติ อยู่กับธรรมชาติอย่างมีความสุข


ไม่มากหรอกครับ มีอะไรก็ถามเสียเถอะครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสต์ เมื่อ: 20 ต.ค. 2009, 18:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:22
โพสต์: 264

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออภัยนะคะที่ทำให้ต้องอธิบายเรื่องการเดินจงกรมหลายครั้ง
เป็นเพราะงงเรื่องการเดินระยะเดียวกับการเดินหลายระยะน่ะค่ะ

ตอนนี้ในชีวิตประจำวันก็กำหนดตามอารมณ์ การกระทำ ฯลฯ เท่าที่ตามทันค่ะ
ที่บอกว่าหลังปฏิบัติเสร็จอยากปฏิบัติต่ออีกรอบ หรืออยากทำอะไรอยู่กับที่ต่อเนื่องนาน ๆ เพราะมีความสุข เพราะยิ่งนับวันยิ่งรู้สึกว่าชีวิตวุ่นวาย ไร้สาระ น่าเบื่อหน่าย ทำนองนี้ค่ะ (แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างที่อยากทำ)

.....................................................
"เราไม่สรรเสริญแม้แต่ความตั้งอยู่ได้ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ต้องพูดถึงความเสื่อมถอยจากกุศลธรรมทั้งหลาย
เรายกย่องสรรเสริญอย่างเดียว แต่ความก้าวหน้าต่อไปในกุศลธรรมทั้งหลาย"

(องฺ. ทสก. ๒๔/๕๓/๑๐๑)


แก้ไขล่าสุดโดย รินรส เมื่อ 20 ต.ค. 2009, 18:23, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 20 ต.ค. 2009, 18:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:22
โพสต์: 264

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




th_02.gif
th_02.gif [ 3.29 KiB | เปิดดู 3226 ครั้ง ]
กราบขอบพระคุณคุณกรัชกาย
อาจารย์สอนกรรมฐานท่านแรกเป็นอย่างยิ่ง
ที่ให้คำแนะสั่งสอนตลอดมาค่ะ

.....................................................
"เราไม่สรรเสริญแม้แต่ความตั้งอยู่ได้ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ต้องพูดถึงความเสื่อมถอยจากกุศลธรรมทั้งหลาย
เรายกย่องสรรเสริญอย่างเดียว แต่ความก้าวหน้าต่อไปในกุศลธรรมทั้งหลาย"

(องฺ. ทสก. ๒๔/๕๓/๑๐๑)
โพสต์ เมื่อ: 20 ต.ค. 2009, 19:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




girl_med2.jpg
girl_med2.jpg [ 23.9 KiB | เปิดดู 3211 ครั้ง ]
อ้างคำพูด:
ขออภัยนะคะที่ทำให้ต้องอธิบายเรื่องการเดินจงกรมหลายครั้ง
เป็นเพราะงงเรื่องการเดินระยะเดียวกับการเดินหลายระยะน่ะค่ะ



ไม่เป็นไรนี่ครับ กรัชกายไม่ขี้เกียจอธิบายหรอก พยายามจะพูดอธิบายให้เข้าใจ

แล้วคุณรินนำไปปฏิบัติเองได้ แก้ปัญหาด้วยตนเองในวันข้างหน้าอีกยาวนานได้

หากไม่ถามไม่ตอบให้กระจ่างเสียในวันนี้ เมื่อเราไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว แล้วจะไปถามใคร


อ้างคำพูด:
ตอนนี้ในชีวิตประจำวันก็กำหนดตามอารมณ์ การกระทำ ฯลฯ เท่าที่ตามทันค่ะ
ที่บอกว่าหลังปฏิบัติเสร็จอยากปฏิบัติต่ออีกรอบ หรืออยากทำอะไรอยู่กับที่ต่อเนื่องนาน ๆ เพราะมีความสุข เพราะยิ่งนับวันยิ่งรู้สึกว่าชีวิตวุ่นวาย ไร้สาระ น่าเบื่อหน่าย ทำนองนี้ค่ะ (แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างที่อยากทำ)



ที่บอกว่าหลังปฏิบัติเสร็จอยากปฏิบัติต่ออีกรอบ หรืออยากทำอะไรอยู่กับที่ต่อเนื่องนาน ๆ เพราะมีความสุข


เข้าใจครับ :b1:

ชีวิตก็ไร้แก่นสารดังว่าจริง แต่เมื่อเกิดมาแล้วทำไงได้ ก็ต้องดำเนินชีวิตไปตามครรลองของมัน

แต่เรามีธรรมปฏิบัติเป็นที่พึ่งไป ไม่ประมาทในชีวิต

ยามว่างก็ทำก็ปฏิบัติอย่างนี้แหละไป ดีกว่าหายใจทิ้งไปเปล่าๆปลี้ๆ

เหน็ดเหนื่อยจากภารกิจประจำวันนักแล้ว เราก็มีข้อวัตรปฏิบัติที่มีความสุข ซึ่งไม่ขึ้นต่ออามิส

เป็นเครื่องเลี้ยงชีวิตจิตใจอยู่ ซึ่งดีกว่าเบื่อเซ็งชีวิตแล้วหันเข้าหาสิ่งไร้สาระข้างนอกซ้ำเติมชีวิตเข้าให้อีก

ขอให้เจริญในธรรมะปฏิปทานี้ยิ่งๆขึ้นไปครับ :b20:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 20 ต.ค. 2009, 19:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสต์ เมื่อ: 23 ต.ค. 2009, 18:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:22
โพสต์: 264

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การเพิ่มเวลาเดินและนั่ง เราก็ค่อย ๆ เพิ่มเองได้ใช่ไหมคะ (แต่ต้องไม่ให้กระทบกับหน้าที่, ความรับผิดชอบของเรา) ถามเผื่อไว้น่ะค่ะ แต่ตอนนี้ชอบเดินกับนั่งอย่างละ 1 ชั่วโมง เพราะเป็นระยะเวลาที่พอดี ๆ ค่ะ และคงเป็นเพราะชินด้วย

เวลาทำกิจกรรมที่ต้องสัมผัสกับส่วนของร่างกาย เช่น เวลาสระผม เอามือขยี้ผมหรือนวดหนังศีรษะก็กำหนดว่า ขยี้หนอๆๆ รู้สึกว่ากะโหลกศีรษะแข็งมาก และไม่แน่ใจว่าแค่เหมือนเห็นหรือเห็นจริง ๆ ว่าในกะโหลกมีอะไร ก็กำหนดว่า รู้หนอๆๆ และรู้สึกว่าผมเรานี่น่าขยะแขยง เหมือนเป็นขยะ เวลาแปรงฟัน ล้างหน้า ฯลฯ ก็เป็นค่ะ อีกอย่างหนึ่งคือ รู้สึกว่ามือที่ขยี้มีแต่กระดูก ซักผ้า หรือทำอย่างอื่นก็เป็นค่ะ ความจริงเป็นมานานประมาณเดือนกว่าถึง 2 เดือนแล้วกระมังคะ แต่ไม่เคยถามเรื่องนี้เลย อาการแบบนี้ยังจะเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ หรือยังไงคะ

เดี๋ยวนี้ยังตามอ่านกระทู้ของคุณกรัชกายอยู่นะคะ แต่บางครั้งอนุโมทนาแล้วกระทู้หลุดไปก็มีค่ะ



กรัชกาย เขียน:
ขอให้เจริญในธรรมะปฏิปทานี้ยิ่งๆขึ้นไปครับ :b20:


ขอบพระคุณค่ะ


คนที่อายุน้อยใช้คำว่า "เจริญในธรรม" กับคนที่มีอาวุโสมากกว่าได้ไหมคะ :b9:

.....................................................
"เราไม่สรรเสริญแม้แต่ความตั้งอยู่ได้ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ต้องพูดถึงความเสื่อมถอยจากกุศลธรรมทั้งหลาย
เรายกย่องสรรเสริญอย่างเดียว แต่ความก้าวหน้าต่อไปในกุศลธรรมทั้งหลาย"

(องฺ. ทสก. ๒๔/๕๓/๑๐๑)


โพสต์ เมื่อ: 23 ต.ค. 2009, 19:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
การเพิ่มเวลาเดินและนั่ง เราก็ค่อย ๆ เพิ่มเองได้ใช่ไหมคะ (แต่ต้องไม่ให้กระทบกับหน้าที่, ความรับผิดชอบของเรา) ถามเผื่อไว้น่ะค่ะ แต่ตอนนี้ชอบเดินกับนั่งอย่างละ 1 ชั่วโมง เพราะเป็นระยะเวลาที่พอดี ๆ ค่ะ และคงเป็นเพราะชินด้วย


จงกรมกับนั่ง อย่างละ 1 ชั่วโมงพอแล้วครับ พอดีๆแล้ว :b1:



อ้างคำพูด:
เวลาทำกิจกรรมที่ต้องสัมผัสกับส่วนของร่างกาย เช่น เวลาสระผม เอามือขยี้ผมหรือนวดหนังศีรษะก็กำหนดว่า ขยี้หนอๆๆ รู้สึกว่ากะโหลกศีรษะแข็งมาก และไม่แน่ใจว่าแค่เหมือนเห็นหรือเห็นจริง ๆ ว่าในกะโหลกมีอะไร ก็กำหนดว่า รู้หนอๆๆ และรู้สึกว่าผมเรานี่น่าขยะแขยง เหมือนเป็นขยะ เวลาแปรงฟัน ล้างหน้า ฯลฯ ก็เป็นค่ะ อีกอย่างหนึ่งคือ รู้สึกว่า มือที่ขยี้มีแต่กระดูก ซักผ้า หรือทำอย่างอื่นก็เป็นค่ะ ความจริงเป็นมานานประมาณเดือนกว่าถึง 2 เดือนแล้วกระมังคะ
แต่ไม่เคยถามเรื่องนี้เลย อาการแบบนี้ยังจะเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ หรือยังไงคะ



ภาษาทางธรรมก็ว่า อารมณ์ความรู้สึกช่วงนี้ยังเป็นอารมณ์ของสมถะอยู่ คือจิตใจยังไม่เป็นกลางต่ออารมณ์ที่

กระทบ ไม่ต้องตกใจครับ

กำหนดตามที่รู้สึก ตามที่เห็นตามที่เป็นต่อไป แล้วอารมณ์ความรู้สึกดังว่าจะหมดไปเอง



อ้างคำพูด:
เดี๋ยวนี้ยังตามอ่านกระทู้ของคุณกรัชกายอยู่นะคะ แต่บางครั้งอนุโมทนาแล้วกระทู้หลุดไปก็มีค่ะ


ขอบคุณครับ กรัชกายคิดว่าคุณรินจบการศึกษากลับบ้านไปแล้วน่ะเนี่ย :b31:


อ้างคำพูด:
คนที่อายุน้อยใช้คำว่า "เจริญในธรรม" กับคนที่มีอาวุโสมากกว่าได้ไหมคะ



ตราบเท่าที่เรายังเดินไม่สุดทางก็ต้องเจริญในธรรมกันต่อไป ไม่ผิดอะไรนี่ครับที่พูดแบบนั้น :b1: :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 201 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 14  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron