วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 18:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 68 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2009, 17:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ย. 2009, 00:37
โพสต์: 86

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความหมายของมหาสติที่มักถูกอ้างบ่อยๆ ดังนี้ครับ

................ อันนี้ความหมายเต็มรูปของสัมมาสติ
คือ พิจารณากายในกาย จิตในจิต เวทนาในเวทนา ธรรมในธรรม
ความหมายโดยย่อที่สุดก็คือว่า
ให้เห็นกายสักแต่ว่ากาย เวทนาสักแต่ว่าเวทนา
จิตสักแต่ว่าจิต ธรรมสักแต่ว่าธรรม
ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเขา ...................................

(ที่มา : สัมมาสติ ใน “โอวาทปาติโมกข์” โดย อาจารย์วศิน อินทสระ
พิมพ์ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๔๕, จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, หน้า ๒๘๘-๒๙๑)


ขอเชิญท่านทั้งหลายวิสัชชา เพื่อความหลุดพ้นถึงที่สุดแห่งทุกข์ ครับ
ด้วยความเป็นมิตรแท้แห่งลานนี้ครับ

.....................................................
....ถ้าไม่ทำสัญญาให้เป็นปัญญา ทำอย่างไรก็เป็นกามสัญญา......


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2009, 22:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ให้เห็นกายสักแต่ว่ากาย เวทนาสักแต่ว่าเวทนา
จิตสักแต่ว่าจิต ธรรมสักแต่ว่าธรรม

ตรงนี้เป็นผล ในระดับอรหันตผล

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2009, 22:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
หัวใจของมหาสติ 4 ทุกท่านคิดว่าเป็นเช่นไร




รู้ชัด ตั้งมั่น เห็นแจ้ง



รู้ชัด คือ สัมมาสติ(ระลึกชอบ)

ตั้งมั่น คือ สัมมาสมาธิ(ตั้งมั่นชอบ)

เห็นแจ้ง คือ สัมมาญาณะ(ปัญญาตรัสรู้ชอบ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 11:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ย. 2009, 00:37
โพสต์: 86

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
ให้เห็นกายสักแต่ว่ากาย เวทนาสักแต่ว่าเวทนา
จิตสักแต่ว่าจิต ธรรมสักแต่ว่าธรรม


ตรงนี้เป็นผล ในระดับอรหันตผล


ปุถุชน อุบาสก อุบาสิกา มีสิทธิ ที่จะทำให้เกิดได้ไหม แล้วในระดับโสดา สกิทาคา อนาคา
มีผลเช่นนี้เกิดขึ้นบ้างหรือเปล่า ขอความคิดเห็นด้วยครับ

.....................................................
....ถ้าไม่ทำสัญญาให้เป็นปัญญา ทำอย่างไรก็เป็นกามสัญญา......


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 12:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


สักแต่ว่ารู้ คือสิ้นกิเลสแล้ว ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา แต่เห็นภาพ ได้ยินเสียง รับรส ได้กลิ่นเป็นปกติ
ในระดับปุถุชน ทำไม่ได้เลย
ในขณะโสดาปัตติมรรค ยังรับรู้ปกติ ทำได้แค่ไม่หลงไปกับเวทนาอารมรณ์นั้น เฉพาะตอนที่วิปัสสนา
ในขณะโสดาปัตติผล ยังรับรู้ปกติ จิตปกติจะไม่หลงไปกับเวทนาอารมณ์นั้น นอกจากจะโดนกระทบแรงๆ
ในขั้นที่สูงขึ้น แต่ยังไม่ได้อรหันตผล การรับรู้แบบปกติละค่อยๆ ลดลง เพราะเวทนาจะดับไปทีละตัว

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 14:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
สักแต่ว่ารู้ คือสิ้นกิเลสแล้ว ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา แต่เห็นภาพ ได้ยินเสียง รับรส ได้กลิ่นเป็นปกติ
ในระดับปุถุชน ทำไม่ได้เลย
ในขณะโสดาปัตติมรรค ยังรับรู้ปกติ ทำได้แค่ไม่หลงไปกับเวทนาอารมรณ์นั้น เฉพาะตอนที่วิปัสสนา
ในขณะโสดาปัตติผล ยังรับรู้ปกติ จิตปกติจะไม่หลงไปกับเวทนาอารมณ์นั้น นอกจากจะโดนกระทบแรงๆ
ในขั้นที่สูงขึ้น แต่ยังไม่ได้อรหันตผล การรับรู้แบบปกติละค่อยๆ ลดลง เพราะเวทนาจะดับไปทีละตัว



ผมเนียะ ถึงแล้ว คำว่าสักว่ารู้
ทำไมกิเลสยังเต็มเลยล่ะ ทำไมยังมีเวทนา สัญญา สังขาร
กายก็ไ่ม่ได้หายไปจากความรับรู้ ใจก็ไม่ได้หายไปจากความรับรู้
ทั้งหายทั้งใจรู้ชัดยิ่งกว่าเคยรู้ เห้นมากกว่าเคยเห็น


ท่านจะอธิบายว่าอย่างไรครับ


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 29 ก.ย. 2009, 14:22, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 14:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ผมเนียะ ถึงแล้ว ...

Hmm... :b7: อย่างไรครับที่ว่าถึงแล้ว

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 15:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.พ. 2008, 10:17
โพสต์: 97

ที่อยู่: นครปฐม

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าอยากรู้มัน แล้วมันจะรู้เอง
ฮ้าวววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว

.....................................................
อยู่อย่างเข้าใจในทุกสิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 16:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ย. 2009, 00:37
โพสต์: 86

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


smiley ขอบคุณท่าน Supareak Mulpong ที่เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นนะครับ

ผมมีข้อสังเกตุดังนี้ครับ
1. เวลาท่าน หรือ ผม เดินไปไหน ไม่ว่าสถานที่ไหนๆ เราก็เดินไปแหละไปตามทางที่ต้องการ เคยสังเกตุไหมครับว่าเราจำได้หมดหรือเปล่าว่าที่ผ่านมามีอะไรบ้างทั้งซ้ายหรือขวา
2. ต่อจากข้อ 1 ถ้าเราเดินแบบสบายๆ มองดูซ้ายบ้าง ขวาบ้าง ดูทางเดินบ้าง คิดว่าเมื่อถึงปลายทางเราจำได้ไหมว่าเราผ่านอะไรไปบ้าง
3. แต่พอท่านหรือผม เกิดกำหนดก็ดี เพ่งก็ดี ดูลมหายใจก็ดี บริกรรมก็ดี มีปีติเกิดอยู่ เดินไปตามสบายเมื่อถึงปลายทางคิดว่าเราจะจำได้ไหมว่าเดินผ่านอะไรบ้าง

ท่าน Supareak Mulpong ว่าเหตุการณ์เช่นนี้เรียกเห็นสักว่าแต่เห็นหรือไม่ รู้สักแต่ว่ารู้หรือไม่ ได้ยินสักว่าแต่ได้ยินหรือไม่ ฯลฯ แล้วคิดว่าศักยภาพของจิตในแต่ละข้อเป็นเช่นไร สามารถฝึกได้ไหม

ชาติสยาม เขียน:
ผมเนียะ ถึงแล้ว คำว่าสักว่ารู้
ทำไมกิเลสยังเต็มเลยล่ะ ทำไมยังมีเวทนา สัญญา สังขาร
กายก็ไ่ม่ได้หายไปจากความรับรู้ ใจก็ไม่ได้หายไปจากความรับรู้
ทั้งหายทั้งใจรู้ชัดยิ่งกว่าเคยรู้ เห้นมากกว่าเคยเห็น


ขอบคุณท่านชาติสยามที่เข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดครับ

น่ายินดีกับท่านชาติสยามครับ ที่กล้าพูดได้เต็มปาก สมตามชื่อท่านครับ
แต่ผมว่าถ้าท่านยังไม่ทำการละขันธ์ 5 ของท่าน ผมว่ากิเลสท่านยังคงอยู่อย่างนั้นแหละครับจะพอกพูน หรือบางเบาตามอายุขัย ขึ้นกับท่านแหละครับ สาธุครับท่านบอกว่าเห็นมากกว่าเคยเห็น แล้วท่านทำ
กับสภาวะนั้นอย่างไรหรือครับ



ตรงประเด็น เขียน:
เห็นแจ้ง คือ สัมมาญาณะ(ปัญญาตรัสรู้ชอบ)


ท่านตรงประเด็นไม่ขยายหน่อยหรือครับ

.....................................................
....ถ้าไม่ทำสัญญาให้เป็นปัญญา ทำอย่างไรก็เป็นกามสัญญา......


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 16:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ย. 2009, 00:37
โพสต์: 86

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นนท์ เขียน:
อย่าอยากรู้มัน แล้วมันจะรู้เอง
ฮ้าวววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว


ท่านนนท์ครับ คิดว่าเหตุกับผล ในคำพูดของท่านมันมันทะแม่งๆ นะครับ

.....................................................
....ถ้าไม่ทำสัญญาให้เป็นปัญญา ทำอย่างไรก็เป็นกามสัญญา......


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 16:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอตอบตามความเห็นส่วนตัว ว่า....

"กำหนดรู้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 17:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ย. 2009, 00:37
โพสต์: 86

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศิรัสพล เขียน:
ขอตอบตามความเห็นส่วนตัว ว่า....

"กำหนดรู้"


ยินดีที่รู้จักครับท่าน ศิรัสพล ศาสนานี้เป็นเรื่องของการเจริญปัญญาใช่หรือเปล่าครับ แล้วการ "กำหนดรู้" ต้องกำหนดอย่างไรครับจึงจะเกิดปัญญาครับ

.....................................................
....ถ้าไม่ทำสัญญาให้เป็นปัญญา ทำอย่างไรก็เป็นกามสัญญา......


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 17:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
ผมเนียะ ถึงแล้ว ...

Hmm... :b7: อย่างไรครับที่ว่าถึงแล้ว


ก็ผมเข้าถึงคำว่า"สักว่ารู้"
เคยไปลิ้มรสมาแล้ว

แล้วจะเลิกเบี่ยงเบนประเด็นได้หรือยัง
ตอบไม่ได้ก็บอกว่าไม่ได้ จะได้จบข่าว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 18:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ก็ผมเข้าถึงคำว่า"สักว่ารู้"
เคยไปลิ้มรสมาแล้ว

อยากให้ท่านช่วยเป็นกรณีศึกษา พอจะแจ้งรายละเอียดได้ใหมครับ เช่นลักษณะอาการ เป็นตอนใหน ?


อ้างคำพูด:
เหตุการณ์เช่นนี้เรียกเห็นสักว่าแต่เห็นหรือไม่ รู้สักแต่ว่ารู้หรือไม่ ได้ยินสักว่าแต่ได้ยินหรือไม่

ยังไม่ใช่ เป็นการปฏิเสธการรับรู้ ตอนบริกรรมระวังเดินชนเสานะครับ :b4:

กายเรามีช่องทางรับรู้อยู่ ๕ ช่องทาง ทำงานพร้อมกันไม่ได้ ในขณะที่เรานึกคิด เราก็จะไม่ได้รับข้อมูลจากระบบประสาททั้ง ๕ ถ้าเราควบคุมการรับรู้ไปที่จุดใดจุดหนึ่งได้อย่างมั่นคง การรับรู้ข้อมูลจากจุดอื่นๆ ก็จะลดลงหรือไม่ได้รับเลย แบบนี้ เป็นกำลังของสมาธิ ทำได้เพียงชั่วคราว

อย่างมีดบาดนิ้ว ไปจับเอาลมหายใจไว้ การรับรู้ความเจ็บก็ลดลงได้ แต่ในขณะปกติ ลมเสียดสีกับจมูกตลอดเวลา กลับไม่รู้สึก หรือตอนกำลังทำอะไรเพลินๆ มีคนเรียกแต่เราไม่ได้ยิน เป็นต้น

หากเวทนาหายไปหมด พระพุทธองค์เปรียนเหมือนบุรุษแขนด้วน แขนขาดเราก็รู้ว่าแขนขาด เวทนาก็เป็นอวัยวะอย่างหนึ่งของเรา แต่เป็นนามธรรม หากมันขาดหายไป เราก็ต้องรู้

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 20:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


โอ้โฮ....ต้องขออภัยต่อเจ้าของกระทู้ไว้ก่อนขอรับ เพราะ

ผู้(โอ้อวด)รู้ เก่งจริงๆขอรับ รู้แม้กระทั่ง พระอรหันต์ คงจะสำเร็จอรหันต์ละซินะ หรือว่า "อวดอุตริ นำมาเขียนไว้เฉยๆ

พวกคุณไม่รู้ดอกขอรับว่า ทำไม จึงมี สติปัฏฐาน ๔ ที่สอนแปลกๆ เพราะหากพวกคุณอยากรู้ ต้องอ่านและทำความเข้าใจ พระอภิธรรมปิฎกทั้งหมดทุกตอน ไม่ใช่ยกเอาบท สติปัฎฐาน๔ มากล่าวมาสอนกัน
บรรดาผู้(โอ้อวด)รู้ทั้งหลาย ก็มักจะนำเอาบท สติปัฏฐาน ๔ ขึ้นมาสอน โดยความรู้เท่าไม่ถึงกาล คือไม่รู้แจ้ง แต่อยากจะโอ้อวดว่ารู้ อยากจะเผยแพร่ศาสนาว่างั้นเถอะ แต่ฉลาดน้อย ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย
อย่าถามนะว่าข้าพเจ้ารู้เรื่องสติปัฏฐานหรือเปล่า ข้าพเจ้าเคยสอนไปแล้วว่า สติปัฏฐาน อยู่ในส่วนของวิปัสสนา และยังมีความลึ้ลับซ่อนอยู่อีก ไม่บอกขอรับ เพราะเป็นเรือ่งสำคัญ ใครคิดออกก็ดีนะ คิดไม่ออกก็แล้วไปขอรับ

หมายเหตุ ต้องขออภัยต่อท่านทั้งหลายที่ตั้งตัวเป็นอาจารย์บ้าง ตั้งสำนักปฏิบัติธรรมบ้าง แล้วสอนเรื่องสติปัฏฐาน แบบรู้เท่าไม่ถึงกาล อ่านข้อแสดงความคิดเห็นนี้ แล้วพิจารณาให้ดีขอรับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 68 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร