วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 03:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 201 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 14  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2009, 17:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รินรส เขียน:
ผลการปฏิบัติของ 2 วันที่ผ่านมาคล้าย ๆ กับวันก่อนนะคะ
แต่ไม่ค่อยมีความสุขแบบเย็น ๆ ค่ะ :b5: :b6:


ดังกล่าวก่อนหน้าครับ สุขเวทนาเกิดดับเหมือนธรรมอื่น

อาการง่วงเป็นไงครับ ยังหนักอยู่ไหม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2009, 17:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:22
โพสต์: 264

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อาการง่วงเป็นไงครับ ยังหนักอยู่ไหม



ไม่ง่วงแล้วค่ะ :b8:

.....................................................
"เราไม่สรรเสริญแม้แต่ความตั้งอยู่ได้ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ต้องพูดถึงความเสื่อมถอยจากกุศลธรรมทั้งหลาย
เรายกย่องสรรเสริญอย่างเดียว แต่ความก้าวหน้าต่อไปในกุศลธรรมทั้งหลาย"

(องฺ. ทสก. ๒๔/๕๓/๑๐๑)


แก้ไขล่าสุดโดย รินรส เมื่อ 30 ก.ย. 2009, 18:14, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2009, 20:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รินรส เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อาการง่วงเป็นไงครับ ยังหนักอยู่ไหม



ไม่ง่วงแล้วค่ะ



ถามช้าไปหน่อยบอกให้เดินจงกรม ระยะ 1-3 สะแล้ว แต่ไม่เป็นไร

พรุ่งนี้คุณรินเดินระยะ 4-6 นะครับ เพิ่มสมาธิขึ้นไปอีกสิ ในเวลา 60 นาที ทั้งนั่งและจงกรม



คุณรินพึงสังเกตตัวเองด้วยนะครับ

จำที่กรัชกายแนะนำไว้ว่า จงกรมระยะ 1-3 เพิ่มอินทรีย์คือวิริยะ ทำให้จิตตื่นหายง่วง

จงกรมระยะ 4-6 เพิ่มอินทรีย์คือสมาธิ อาจทำให้ง่วงง่ายหน่อย แต่จิตจะไม่ฟุ้งซ่าน
ควบคุมจิตให้อยู่กับกรรมฐานได้ง่าย

ดังนั้นพึงสังเกตเอาเองว่า ขณะไหนเวลาใด อินทรีย์ตัวใดหย่อนไป ตึงไป ก็ใช้เดินจงกรมนี่แหละช่วย

แล้วก็ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติต่อไปในภายภาคหน้า :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 17:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กำลังใจยามท้อ หมดกำลังใจ :b11: :b20:

http://larnbuddhism.com/webboard/forum7/thread1545.html

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2009, 12:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:22
โพสต์: 264

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(เมื่อวานซืนไม่ได้ปฏิบัติค่ะ)

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ส่วนเมื่อคืนนี้ ตอนเดินจงกรมไม่ค่อยมีอะไรนะคะ
ได้ยินเสียงแต่ไม่รำคาญบ้าง แต่ตอนที่ไม่ได้ยินเสียง นอกจากจะรู้ว่าเสียงเงียบไปหรือไม่ได้ยินเสียงตั้งแต่เมื่อไหร่เหมือนวันก่อน ๆ แล้ว บางครั้งจะรู้ตั้งแต่ต้นว่าเสียงค่อย ๆ เริ่มเงียบ (ไม่ใช่เสียงข้างนอกเริ่มเงียบนะคะ แต่เป็นแบบประมาณว่าตัวเราหรือใจเราเงียบค่ะ) ความจริงก่อนหน้านี้ก็เคยเป็น หลายครั้งเหมือนกันค่ะ กำหนดรู้หนอ

ตอนนั่งมีนิมิตตั้งแต่เริ่มนั่งจนกระทั่งหมดเวลาเลยค่ะ แต่ก็มีช่วงสั้น ๆ หลายช่วงที่ไม่มีนิมิต
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่รู้สึกชัดเจนว่าตัวหายไปเหลือแต่หัวกับคอ แต่มีอยู่หลายครั้งที่ไม่แน่ใจว่าตัวหายไปทั้งตัวไหมเพราะรู้สึกแป๊บเดียว และช่วงที่ไม่ได้ยินเสียงอะไรจะมีมากกว่าช่วงที่ได้ยินเสียงแต่ไม่รำคาญ (นอกจากเสียงรถกับเสียงซึ่งมีอยู่เป็นปกติแล้ว ก็มีเสียงเพลงค่อนข้างดัง อยู่ตลอดด้วย ไม่รู้ว่ามีการจัดงานอะไร แต่แปลกอยู่ครั้งหนึ่งนะคะ คือมีเสียงนกร้องดังมาก แล้วได้ยินเฉพาะเสียงนกร้อง ไม่ได้ยินเสียงอย่างร่วมอื่นด้วย) ก็กำหนดไปตามนั้น

ช่วงที่ได้ยินเสียงแต่ไม่รำคาญจะเป็นตอนที่นิมิตหายไปหรือยังมีนิมิต แต่ลมหายใจไม่มี กำหนดนั่งหนอ+ถูกหนอ+นิ่งหนอ ก็ไม่ได้ เลยปล่อยให้นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น แต่เป็นแบบนี้แค่แป๊บเดียวก็กลับมากำหนดเห็นหนอหรือพองหนอ+ยุบหนอ+นั่งหนอ+ถูกหนอ ได้

นิมิตที่เกิดขึ้น (เฉพาะของหนู) คือสิ่งที่ไม่ได้นึกถึง แต่เกิดขึ้นมาเอง ส่วนภาพที่เกิดขึ้นเพราะนึกถึงหรือฟุ้งซ่านก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง คือมีที่มาต่างกันใช่หรือเปล่าคะ เพราะรู้สึกว่านิมิตมาจากใจ แต่สิ่งที่นึกถึงเพราะฟุ้งซ่านเหมือนมาจากในหัวหรือสมอง

.....................................................
"เราไม่สรรเสริญแม้แต่ความตั้งอยู่ได้ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ต้องพูดถึงความเสื่อมถอยจากกุศลธรรมทั้งหลาย
เรายกย่องสรรเสริญอย่างเดียว แต่ความก้าวหน้าต่อไปในกุศลธรรมทั้งหลาย"

(องฺ. ทสก. ๒๔/๕๓/๑๐๑)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2009, 12:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โดยรวมไม่เสียหายครับ กำหนดนามรูปตามที่เป็น ตามทีรู้สึกต่อไป

รับคำสั่งไปก่อนนะครับ :b16:

วันนี้เดินจงกรมระยะ 5-6 นะครับ

เวลา 60 นาทีทั้งนั่งและเดิน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 30 ก.ย. 2009, 14:32, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2009, 18:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:22
โพสต์: 264

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


( :b15: อันที่จริงหนูหายไป 2 วัน ไม่ได้หายไปไหนนะคะ :b15: )

เหตุที่หายไป 2 วัน ก็คือ เผชิญกับอาการง่วงอีกแล้วค่ะ และคิดว่ามันเหมือนเดิมเลยไม่ได้มารายงานค่ะ

คืนวันที่ 30 ก.ย. ไม่ได้ปฏิบัติ พอตอนเช้าของเมื่อวานนี้ เดินจงกรมระยะที่ 5 ได้ประมาณ 5 นาที ก็เกิดง่วงขึ้นมา กำหนดง่วงหนอๆ แล้วเปลี่ยนมาเดินจงกรมระยะที่ 1 แต่เดินเร็วหน่อย เดินได้อีกประมาณ 20 นาที ระหว่างนี้มีหายง่วงไปบ้างแต่กลับมาง่วงอีก จนทนง่วงไม่ไหวค่ะ เลยหลับไป น่าจะประมาณ 1 ชั่วโมงนะคะ พอตื่นขึ้นมาก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อค่ะ

ตอนเย็นเดินจงกรมได้ประมาณ 5 นาทีก็ง่วงอีก กำหนดง่วงหนอแล้วเดินเร็ว ๆ แบบที่เดินในชีวิตประจำวัน กำหนดแค่ซ้าย+ขวา อีก 25 นาที (= ครบ 30 นาที) ต่อมาเดินจงกรมระยะที่ 6 ได้อีกประมาณ 5 นาที ก็ง่วงอีก :b12: เลยเดินเร็ว ๆ อีก 25 นาที (= ครบเวลาเดิน 60 นาที) ตอนนั่ง หนูนั่งหันหน้าเข้าหาผนังเหมือนที่คุณกรัชกายเคยเล่า นั่งได้ประมาณ 5 นาที (กำหนดพอง+ยุบ+นั่ง+ถูก) เกิดง่วงอีก ระหว่างนี้สัปหงก 2-3 ครั้ง แต่ไม่แรง หน้าผากเลยไม่โดนผนังค่ะ หลังจากนี้ก็จะหลับให้ได้ เลยกำหนดจะหลับแล้วหนอๆๆ รู้สึกว่าง่วงมากแต่ไม่ยอมหลับอยู่น่าจะสักครู่หนึ่งนะคะ เหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น และเรายังภาวนาอยู่ แต่ในที่สุดก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว หลับไปประมาณ 2 ชั่วโมง ตื่นขึ้นมาก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อค่ะ

ส่วนวันนี้ตอนสาย ทั้งเดินและนั่งครบ 60 นาทีทั้ง 2 ช่วงค่ะ ตอนเดินจงกรม เดินได้ 3 นาทีก็ง่วงอีกแล้ว กำหนดง่วงหนอ 22 นาที (ระหว่างนี้ง่วงนิดหน่อย จึงเดินไหวอยู่ค่ะ) เมื่อหายง่วงแล้วจึงกลับมาเดินจงกรมระยะที่ 5 อีก 5 นาที (= ครบ 30 นาที) ต่อมาเดินจงกรมระยะที่ 6 ก็เกิดอาการอย่างเดียวกัน ช่วงระยะเวลาก็ใกล้เคียงกันค่ะ ตอนนั่ง วันนี้นั่งตามปกติ คือลองดูก่อนว่าจะง่วงมากไหม ถ้าง่วงมากๆ ค่อยหันหน้าเข้าหาผนัง (แต่ไม่ได้ทำค่ะ) นั่งได้ประมาณ 1-2 นาที ก็ง่วงอีก และง่วงอยู่ตลอดจนหมดเวลานั่ง สัปหงกตลอดเลยค่ะ แต่ไม่ว่าจะสัปหงกหรือไม่สัปหงกก็สามารถกำหนดพอง+ยุบ+นั่ง+ถูก ได้ค่ะ จึงกำหนดโงกหนอไม่ทันค่ะ แล้วดึงตัวกลับมานั่งให้ตรงเหมือนเดิม และมีช่วงที่ลมหายใจหายไป 2-3 ครั้ง แต่ละครั้งนานประมาณ 5-10 นาที ครั้งแรกกำหนดนั่ง+ถูก+นิ่ง 1-2 ครั้ง พองยุบและลมหายใจก็กลับมา แต่ครั้งต่อมาพองยุบกับลมหายใจไม่คืนกลับมาค่ะ และทั้งตอนเดินและนั่งมีช่วงที่ไม่ได้ยินเสียงอะไรน่าจะบ่อยกว่าวันอื่นค่ะ (แต่ของเมื่อวานจำไม่ได้ค่ะ ) ความจริงวันนี้คงไม่มีนิมิตนะคะ แต่พอนึกได้ว่าวันนี้ไม่มีนิมิตแฮะ นิมิตก็มาเลย :b12: นึกได้ 2 ครั้ง ก็มา 2 ครั้ง กำหนดเห็นหนอ 1-2 ครั้งก็หายไปค่ะ แต่ว่าหลังจากนี้หนูนอนอีกประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งค่ะ :b9:

(ง่วงเหมือนหมดเรี่ยวหมดแรงทั้งๆ ที่ไม่ได้ออกแรงทำอะไรเลยนะคะ)

.....................................................
"เราไม่สรรเสริญแม้แต่ความตั้งอยู่ได้ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ต้องพูดถึงความเสื่อมถอยจากกุศลธรรมทั้งหลาย
เรายกย่องสรรเสริญอย่างเดียว แต่ความก้าวหน้าต่อไปในกุศลธรรมทั้งหลาย"

(องฺ. ทสก. ๒๔/๕๓/๑๐๑)


แก้ไขล่าสุดโดย รินรส เมื่อ 02 ต.ค. 2009, 19:33, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2009, 20:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




upkajuy20.gif
upkajuy20.gif [ 59.2 KiB | เปิดดู 3690 ครั้ง ]
การจะฆ่ากิเลสได้สักตัวไม่ใช่เรื่องง่ายๆเหมือนพูดด้วยปากครับ ยากเอาการอยู่


คุณรินอย่าเลียนแบบกรัชกายเลยครับ เดี๋ยวหัวร้างข้างแตกไปผนังเป็นปูนด้วย :b1:

เล่าให้ฟังเฉยๆว่ากรัชกายลองมาหมดแล้ว หัวโขกฝาก็กำจัดนิวรณ์ไม่ได้ นั่งขัดสลักเพชรก็กำจัดนิวรณ์

ตัวนี้ไม่ได้

แต่ผลสุดท้ายก็แพ้กุศลธรรมคือสติสัมปชัญญะสมาธิเป็นต้นครับ

สติจะต้องไวจริงๆ เกิดปุ๊บรู้ปั๊บๆๆ งี้ได้

แต่ขณะนี้คุณรินกำลังฝึกเจริญสติสัมปชัญญะเป็นต้นอยู่ ก็ต้องฝึกไปเรื่อยๆ ด้วยการตามดูรู้ทันกายใจ

ไปงี้แหละ คุณจะต้องเรียนรู้ไป

กรัชกายบอกแต่แรกแล้วว่าไม่ใช่ของง่าย

แต่ก็ไม่เกินเรี่ยวแรงของมนุษย์ครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 02 ต.ค. 2009, 20:56, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2009, 07:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




m208749.gif
m208749.gif [ 23.74 KiB | เปิดดู 3662 ครั้ง ]
วันนี้คุณรินเดินจงกรม 1 ชม. เดินจากระยะ 1-6 ไต่ๆขึ้นไปตามลำดับ 1-6

รู้สึกง่วงระยะใดตรงไหนหยุดเดินก่อน ยืนกำหนดความง่วงตรงนั้น “ง่วงหนอๆๆๆๆๆๆๆ”

ปักจิตตรงบริเวณอกด้านซ้ายตรงหัวใจเต้นตุ้บๆ ตรงนั้นแหละ “ง่วงหนอๆๆๆๆๆๆๆๆ”

จนกว่าจะหายง่วง แล้วค่อยเดินจงกรมต่อไปๆ จนหมดเวลา 1 ชม.

ยังไม่หมดเวลาที่ตั้งใจไว้ 1 ชม. เกิดง่วงขึ้นอีกหยุดยืนกำหนดตามวิธีดังกล่าวจนกว่าจะหายง่วง

แล้วค่อยเดินต่อไป จนหมดเวลา ฯลฯ

แล้วค่อยมานั่งพอง+ยุบ+นั่ง (แค่นี้) รู้สึกง่วงนอน รู้ตัววางอารมณ์พองยุบก่อน

กำหนด “ง่วงหนอๆๆๆๆๆๆๆๆ” โดยปักจิตลงบริเวณหัวใจเต้นตุ้บๆ “ง่วงหนอๆๆๆๆๆๆ”

จนกว่าจะหายง่วง

เมื่อง่วงหายแล้ว ค่อยเกาะจับพองหนอ ยุบหนอ ต่อไป

เกิดง่วงขึ้นมาอีก วางอารมณ์พองยุบก่อน ปฏิบัติตามวิธีดังกล่าว “ง่วงหนอๆๆๆๆๆๆๆ”

จนกว่าจะหายง่วง หายง่วงแล้วค่อยมาเกาะพองยุบ ปฏิบัติซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนี้แหละ

จนกว่าจะหมดเวลานั่ง 1 ชม.

หากมีเวลาไม่ติดภารกิจอื่น :b31: ก็เดินจงกรมต่อจากระยะ 1-6 ตามวิธีดังกล่าวข้างต้น

ตอนนี้คุณริน เดินจงกรม 1 ชม. นั่ง 1 ชม.นะครับ :b31:


http://www.bloggang.com/viewblog.php?id ... =3&gblog=1

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 03 ต.ค. 2009, 15:34, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2009, 16:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:22
โพสต์: 264

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พอดีวันนี้ปฏิบัติตั้งแต่ตอนเที่ยงกว่า ๆ แล้วค่ะ
วันนี้ง่วงเล็กน้อยแค่พอรู้สึกว่าง่วง 3-4 ครั้งตอนเดิน ตอนนั่งง่วงครั้งเดียวแค่ตอนเริ่มนั่งใหม่ ๆ ค่ะ
แต่ความง่วงมาก ๆ อาจจะกลับมาอีกใช่ไหมคะ ชักจะไม่ไว้ใจซะแล้วสิคะ :b9:
ส่วนสภาวะอื่น ๆ ก็เหมือนเดิมค่ะ


อ้างคำพูด:
หากมีเวลาไม่ติดภารกิจอื่น ก็เดินจงกรมต่อจากระยะ 1-6 ตามวิธีดังกล่าวข้างต้น


ตรงนี้หมายความว่าเดินต่ออีก 1 ชั่วโมงหรือคะ


อ้างคำพูด:
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id ... =3&gblog=1


เปิดดูแล้วผ่อนคลาย สบายตาดีนะคะ :b8:

.....................................................
"เราไม่สรรเสริญแม้แต่ความตั้งอยู่ได้ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ต้องพูดถึงความเสื่อมถอยจากกุศลธรรมทั้งหลาย
เรายกย่องสรรเสริญอย่างเดียว แต่ความก้าวหน้าต่อไปในกุศลธรรมทั้งหลาย"

(องฺ. ทสก. ๒๔/๕๓/๑๐๑)


แก้ไขล่าสุดโดย รินรส เมื่อ 04 ต.ค. 2009, 06:13, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2009, 17:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




71.jpg
71.jpg [ 72.64 KiB | เปิดดู 3617 ครั้ง ]
รินรส เขียน:
พอดีวันนี้ปฏิบัติตั้งแต่ตอนเที่ยงกว่า ๆ แล้วค่ะ
วันนี้ง่วงเล็กน้อยแค่พอรู้สึกว่าง่วง 3-4 ครั้งตอนเดิน ตอนนั่งง่วงครั้งเดียวแค่ตอนเริ่มนั่งใหม่ ๆ ค่ะ
แต่ความง่วงมาก ๆ อาจจะกลับมาอีกใช่ไหมคะ ชักจะไม่ไว้ใจซะแล้วสิคะ :b9:
ส่วนสภาวะอื่น ๆ ก็เหมือนเดิมค่ะ


หากมีเวลาไม่ติดภารกิจอื่น ก็เดินจงกรมต่อจากระยะ 1-6 ตามวิธีดังกล่าวข้างต้น

ตรงนี้หมายความว่าเดินต่ออีก 1 ชั่วโมงหรือคะ




พอดีวันนี้ปฏิบัติตั้งแต่ตอนเที่ยงกว่า ๆ แล้วค่ะ
วันนี้ง่วงเล็กน้อยแค่พอรู้สึกว่าง่วง 3-4 ครั้งตอนเดิน ตอนนั่งง่วงครั้งเดียวแค่ตอนเริ่มนั่งใหม่ ๆ ค่ะ

แต่ความง่วงมาก ๆ อาจจะกลับมาอีกใช่ไหมคะ ชักจะไม่ไว้ใจซะแล้วสิคะ
ส่วนสภาวะอื่น ๆ ก็เหมือนเดิมค่ะ


หากสติยังว่องไวไม่ทันกิเลส ปัญญาก็ยังไม่เห็นอาการที่จิตถูกนิวรณ์ครอบงำ ยังวางใจไม่ได้ครับ

ต้องพิสูจน์ด้วยการเดินจงกรมระยะที่สูงๆ ขึ้นไป

พูดง่ายๆว่า จงกรมให้ได้ทุกระยะ 1-6 เดินได้หมด

หากยังเดินระยะสูงๆไม่ได้ ก็ยังไม่ปลอดภัย เพราะสติยังไม่ไว สมาธิยังมีน้ำหนักไม่พอ

ปัญญาก็ยังไม่คม วิริยะก็ยังไม่เป็นพละ


ดังนั้นกรัชกายจึงให้คุณรินเดินจงกรมไต่จากระยะ 1-6 ดูสิว่าจะไปง่วงขนาดหนักที่ระยะไหน

อย่ากลัวครับ กิเลสต่างหากที่ต้องกลัวเรา ยิ่งง่วงยิ่งปฏิบัติยิ่งทำ แล้วก็พึงสะสมสติเล็กๆน้อยๆ

จากการระลึกรู้สึกตัว แม้ในการดำรงชีวิตประจำวันทำนั่นทำนี่ก็รู้ตัว

มีสติเกาะอยู่กับกายใจตามดูรู้ทันเท่าที่จะทำได้


อ้างอิงคำพูด:
หากมีเวลาไม่ติดภารกิจอื่น ก็เดินจงกรมต่อจากระยะ 1-6 ตามวิธีดังกล่าวข้างต้น

ตรงนี้หมายความว่าเดินต่ออีก 1 ชั่วโมงหรือคะ



สมมุติเราจงกรม 1 ชม. นั่ง 1 ชม.แล้วใช่ไหมครับ

คุณไม่ติดภารกิจอื่นที่รับผิดชอบอยู่ ก็เดินจงกรมต่ออีก 1 ชม. ได้

หมดเวลาเดินแล้วมีงานอื่นจะต้องจัดต้องทำก็ไปทำงานนั้นได้ กรรมฐานพักไว้แค่นี้

หากไม่มีงานอื่นก็พึงนั่งกำหนดกรรมฐานต่อเลย หมายความว่าอย่างนี้ครับ

ไม่พึงให้เสียงานที่รับผิดชอบอื่นๆด้วยครับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 03 ต.ค. 2009, 21:35, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2009, 21:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:22
โพสต์: 264

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




Jane_peace_position.jpg
Jane_peace_position.jpg [ 134.64 KiB | เปิดดู 3546 ครั้ง ]
สวัสดีค่ะ :b8:

ผลการเดินจงกรมตั้งแต่ระยะที่ 1-6 นะคะ
คือมักง่วงตอนท้ายระยะที่ 3 และพอเริ่มระยะที่ 4 แป๊บหนึ่งก็ง่วงอีก
ก็กำหนดง่วงหนอจนหายง่วงตามคำแนะนำค่ะ แต่ระยะที่ 4 นี่ กว่าจะหายง่วงก็เกือบหมดเวลาแล้ว :b12:
รู้สึกว่ามีสมาธิตั้งแต่เดินระยะที่ 1 แต่เริ่มมีมากๆ ตอนเดินระยะที่ 5 ค่ะ

ตอนนั่งกำหนดได้แค่พอง+ยุบ+นั่ง+ถูก ค่ะ เพราะลมหายใจไม่หายเลย มีแค่เกือบหายเท่านั้นค่ะ
และมีนิมิตตลอดช่วงการนั่ง มักจะภาพทิวทัศน์ต่อเนื่องกันมา ส่วนมากจะเป็นภาพที่ไม่เคยเห็นแต่คุ้น ๆ
และรู้สึกอบอุ่นมีความสุข เหมือนตัวเองไปอยู่ในนั้นจริงๆ หรือไม่ก็เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องว่าใครทำอะไร
ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นกับหนู แต่รู้สึกเหมือนมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
บางครั้งที่มีการเปลี่ยนจากภาพหนึ่งไปเป็นอีกภาพหรืออีกเหตุการณ์หนึ่ง จะมีภาพนี้ปรากฏขึ้น
พร้อมกับแสงสีขาวค่อนข้างจ้า 4-5 ครั้ง ช่วงนี้ยาวประมาณ 50 นาทีนะคะ

หลังจากนั้นอีกประมาณ 10 นาที มีภาพคนในสมัยก่อนรบกัน (ดูจากเครื่องแต่งกายค่ะ) ตอนนี้ยังรู้สึกว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง และเกิดคำถามขึ้นมาว่าคนกลุ่มนี้เป็นใคร เขารบกันทำไม (กำหนดสงสัยหนอ) แล้วน้ำตาก็ไหลพรากลงมาเลย รู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นมีภาพครูบาศรีวิชัย ภาพสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน และหลวงพ่อที่วัดป่าใกล้บ้าน (กำหนดเห็นหนอ) สีหน้าท่านดูเมตตานะคะ หนูก็ถามท่านในใจว่าเขารบกันทำไม แต่ไม่มีคำตอบค่ะ แต่ก่อนที่ภาพของแต่ละท่านจะเลือนหายไป ท่านยกมือซ้ายขึ้นเหมือนจะลูบหัวหนู และมีเสียงบอกว่าชีวิตนี้ให้ปฏิบัติต่อไปเรื่อย ๆ นะ
ช่วงนี้น้ำตายังไหลอยู่ตลอดเวลา หมดเวลานั่งแล้วยังไม่หยุดเลยค่ะ :b6:
ตั้งแต่ฝึกกรรมฐานมายังไม่เคยร้องไห้ระหว่างปฏิบัติเลยนะคะ

โดยรวมเวลากำหนดพอง+ยุบ+นั่ง+ถูก กำหนดเห็นหนอ สุขหนอ จะไม่ค่อยได้ยินเสียงภายนอก
เป็นเพราะติดใจนิมิตหรือเปล่าก็ไม่รู้นะคะ คือสงสัยว่าทำไมเกิดนิมิตแบบที่ไม่เคยเกิดมาก่อน

วันต่อ ๆ มาสภาวะก็เป็นประมาณนี้ค่ะ
และแม้นิมิตจะไม่เหมือนกันหมด แต่ก็คล้าย ๆ กันค่ะ
วันแรกที่เดินจงกรม 6 ระยะ ตอนนั่งไม่ง่วงเลย แต่อีก 2 วัน มีง่วงเล็กน้อยค่ะ

.....................................................
"เราไม่สรรเสริญแม้แต่ความตั้งอยู่ได้ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ต้องพูดถึงความเสื่อมถอยจากกุศลธรรมทั้งหลาย
เรายกย่องสรรเสริญอย่างเดียว แต่ความก้าวหน้าต่อไปในกุศลธรรมทั้งหลาย"

(องฺ. ทสก. ๒๔/๕๓/๑๐๑)


แก้ไขล่าสุดโดย รินรส เมื่อ 06 ต.ค. 2009, 21:19, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2009, 12:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ผลการเดินจงกรมตั้งแต่ระยะที่ 1-6 นะคะ
คือมักง่วงตอนท้ายระยะที่ 3 และพอเริ่มระยะที่ 4 แป๊บหนึ่งก็ง่วงอีก
ก็กำหนดง่วงหนอจนหายง่วงตามคำแนะนำค่ะ แต่ระยะที่ 4 นี่ กว่าจะหายง่วงก็เกือบหมดเวลาแล้ว
รู้สึกว่ามีสมาธิตั้งแต่เดินระยะที่ 1 แต่เริ่มมีมากๆ ตอนเดินระยะที่ 5 ค่ะ



ก็กำหนดง่วงหนอจนหายง่วงตามคำแนะนำค่ะ แต่ระยะที่ 4 นี่ กว่าจะหายง่วงก็เกือบหมดเวลาแล้ว


พอรู้สึกตัวว่า ง่วง แล้วก็หยุดเดินยืนกำหนดจิต “ง่วงหนอๆๆๆๆๆๆๆๆ” ตามวิธีที่บอกจนหายง่วง

แต่ก็เกือบหมดเวลา 1 ชั่วโมง แบบนี้นะครับ ไม่เป็นไร

ครบ 1 ชม. แล้วก็นั่งกำหนดนามรูปต่อได้เลย (หากไม่ติดภารกิจอื่น)

หมดเวลานั่งแล้ว ก็เดินจงกรมไต่ๆจากระยะ 1-6 อย่างนั้นแหละ

พยามต่อไปครับ



อ้างคำพูด:
ตอนนั่งกำหนดได้แค่พอง+ยุบ+นั่ง+ถูก ค่ะ เพราะลมหายใจไม่หายเลย มีแค่เกือบหายเท่านั้นค่ะ
และมีนิมิตตลอดช่วงการนั่ง มักจะภาพทิวทัศน์ต่อเนื่องกันมา ส่วนมากจะเป็นภาพที่ไม่เคยเห็นแต่คุ้น ๆ




เมื่อกำลังกำหนดกรรมฐาน พองหนอ ยุบหนออยู่แล้วๆเล่าๆ

แต่ระหว่างนั้นมีอารมณ์อื่นเกิดแทรก เช่น เห็นวิวทิวทัศน์หรืออื่นๆจากนี้

“เห็นหนอๆๆ” กำหนดแล้วๆกัน ไม่สนใจ ดึงสติมาจับเกาะพอง-ยุบ- พองหนอ ยุบหนอ ต่อไปอีก



อ้างคำพูด:
และรู้สึกอบอุ่นมีความสุข เหมือนตัวเองไปอยู่ในนั้นจริงๆ หรือไม่ก็เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องว่าใครทำอะไร
ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นกับหนู แต่รู้สึกเหมือนมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
บางครั้งที่มีการเปลี่ยนจากภาพหนึ่งไปเป็นอีกภาพหรืออีกเหตุการณ์หนึ่ง จะมีภาพนี้ปรากฏขึ้น
พร้อมกับแสงสีขาวค่อนข้างจ้า 4-5 ครั้ง ช่วงนี้ยาวประมาณ 50 นาทีนะคะ



ขณะกำหนดกรรมฐานพองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ อยู่ แล้วมีความคิดอื่นเกิดแทรก

เช่น รู้สึกมีความสุข หรือ ความคิดอื่น ฯลฯ

กำหนดจิตลงไปบริเวณอกด้านซ้ายตรงหัวใจเต้น “สุขหนอๆๆๆ”

“เห็นหนอๆๆๆ” ฯลฯ แล้วดึงสติมาเกาะจังท้องพองท้องยุบ พองหนอ ยุบหนอ ต่อไปใหม่

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


อ้างคำพูด:
หลังจากนั้นอีกประมาณ 10 นาที มีภาพคนในสมัยก่อนรบกัน (ดูจากเครื่องแต่งกายค่ะ) ตอนนี้ยังรู้สึกว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง และเกิดคำถามขึ้นมาว่าคนกลุ่มนี้เป็นใคร เขารบกันทำไม (กำหนดสงสัยหนอ) แล้วน้ำตาก็ไหลพรากลงมาเลย รู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นมีภาพครูบาศรีวิชัย ภาพสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน และหลวงพ่อที่วัดป่าใกล้บ้าน (กำหนดเห็นหนอ) สีหน้าท่านดูเมตตานะคะ หนูก็ถามท่านในใจว่าเขารบกันทำไม แต่ไม่มีคำตอบค่ะ แต่ก่อนที่ภาพของแต่ละท่านจะเลือนหายไป ท่านยกมือซ้ายขึ้นเหมือนจะลูบหัวหนู และมีเสียงบอกว่าชีวิตนี้ให้ปฏิบัติต่อไปเรื่อย ๆ นะ
ช่วงนี้น้ำตายังไหลอยู่ตลอดเวลา หมดเวลานั่งแล้วยังไม่หยุดเลยค่ะ
ตั้งแต่ฝึกกรรมฐานมายังไม่เคยร้องไห้ระหว่างปฏิบัติเลยนะคะ




มีบางคนเห็น (ภาพ) พระพุทธเจ้า (ภาพ) ครูบาอาจารย์รูปนั้นรูปนี้ที่ตนนับถือ

มาแสดงธรรมบอกธรรมสอนกรรมฐาน ฯลฯ

ภาพที่ปรากฏทางมโนทวารนั่นๆ นี่ๆ เป็นมายาจิต คือภาพซึ่งเกิดจากความคิดขณะหนึ่งๆ

เป็นอารมณ์หนึ่งๆนั่นเอง

วิธีปฏิบัติก็คือ ขณะที่เรากำลังมนสิการกรรมฐานท้องพองกับท้องยุบ พองหนอ ยุบหนอ อยู่

เห็นภาพสิ่งนั้นสิ่งนี้ปรากฏทางใจซ้อนขึ้น คิดอย่างนั่นอย่างนี้แทรกมา

ให้กำหนดเสียตามที่เห็น ตามที่รู้สึก ตามที่คิด

ครั้นกำหนดตามที่มันเป็นแล้วๆ มาเกาะจับอารมณ์ท้องพอง กับยุบ ต่อไป (นี่เป็นหลักปฏิบัติเลย)


หลังจากนั้นอีกประมาณ 10 นาที มีภาพคนในสมัยก่อนรบกัน (ดูจากเครื่องแต่งกายค่ะ)


กำหนด “เห็นหนอๆๆ” เสียด้วย :b1:


อ้างคำพูด:
ตอนนี้ยังรู้สึกว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง และเกิดคำถามขึ้นมาว่าคนกลุ่มนี้เป็นใคร เขารบกันทำไม (กำหนดสงสัยหนอ) แล้วน้ำตาก็ไหลพรากลงมาเลย รู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก
จากนั้นมีภาพครูบาศรีวิชัย ภาพสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน



เกิดน้ำตาไหล “น้ำตาไหลหนอ”


เศร้าหนอ

เห็นหนอ

ตามนั้นตามที่รู้สึกในใจ แต่ละขณะๆเสียด้วย

เมื่อกำหนดสภาวะที่เกิดเสียแล้ว องค์ธรรมมีสัญญา ซึ่งเป็นเหตุให้สติเกิด ก็จำสภาวะนั้นๆได้

ไว้เป็นข้อมูลให้ปัญญาและสติได้ใช้ต่อๆไป นี่พูดเข้าหาตัวธรรม

แต่สำหรับผู้ปฏิบัติ ก็กำหนดอารมณ์นั้นๆอย่างเดียว

:b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2009, 12:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




181.jpg
181.jpg [ 58.56 KiB | เปิดดู 3525 ครั้ง ]
อ้างคำพูด:
และหลวงพ่อที่วัดป่าใกล้บ้าน (กำหนดเห็นหนอ) สีหน้าท่านดูเมตตานะคะ
หนูก็ถามท่านในใจว่าเขารบกันทำไม
แต่ไม่มีคำตอบค่ะ แต่ก่อนที่ภาพของแต่ละท่านจะเลือนหายไป
ท่านยกมือซ้ายขึ้นเหมือนจะลูบหัวหนู และมีเสียงบอกว่าชีวิตนี้ให้ปฏิบัติต่อไปเรื่อย ๆ นะ
ช่วงนี้น้ำตายังไหลอยู่ตลอดเวลา หมดเวลานั่งแล้วยังไม่หยุดเลยค่ะ
ตั้งแต่ฝึกกรรมฐานมายังไม่เคยร้องไห้ระหว่างปฏิบัติเลยนะคะ



ก่อนที่ภาพของแต่ละท่านจะเลือนหายไป
ท่านยกมือซ้ายขึ้นเหมือนจะลูบหัวหนู และมีเสียงบอกว่าชีวิตนี้ให้ปฏิบัติต่อไปเรื่อย ๆ นะ
ช่วงนี้น้ำตายังไหลอยู่ตลอดเวลา หมดเวลานั่งแล้วยังไม่หยุดเลยค่ะ
ตั้งแต่ฝึกกรรมฐานมายังไม่เคยร้องไห้ระหว่างปฏิบัติเลยนะคะ




ธรรมดาครับที่น้ำตาไหล คือมันไหลออกมาเอง เมื่อเกิดมีความรู้สึกนี้

บางรายนึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วน้ำตาไหลเป็นทาง ร้องไห้ไม่มีปี่มีขลุ่ย

ให้คุณรินกำหนดไปตามอารมณ์ความรู้สึกครับ


:b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39:


คุณรินทบทวนภาวะที่ผ่านๆมาก่อนหน้าสิครับ

เมื่อก่อนเห็นภาพพระอุ้มบาตร ฯลฯ . นึกขำ

เห็นภาพชายยื่นมือจะบีบคอ ฯลฯ นึกหวาดหวั่น ฯลฯ

ครั้นเห็นแล้วสังขารก็ปรุงแต่งความคิดไปต่างๆ เช่น กลัวบ้าง นึกขำบ้าง เศร้าบ้าง ร้องไห้บ้าง ฯลฯ

ดังนั้น เมื่อเรากำหนดรู้วาระจิตแต่ขณะๆอย่างนั้นแล้ว วิชชาก็จะเกิด อุปาทานก็คลาย ฯลฯ


หนูก็ถามท่านในใจว่าเขารบกันทำไม แต่ไม่มีคำตอบค่ะ


เห็นภาพหลวงพ่อ เป็นความคิดขณะหนึ่ง (กำหนด “เห็นหนอ”)

“คิดถาม...” ก็เป็นความคิดอีกขณะหนึ่ง (กำหนด “คิดหนอ”) (ความคิดเกิดแล้วดับ)

กำหนดแล้วก็รู้แล้วสัญญาจำสภาวะได้แล้ว สติเป็นต้น จะได้ทำหน้าที่ของมัน

แล้วดึงความรู้สึกจับเกาะจับพองยุบ พองหนอ ยุบหนอ ต่อไปอีก



อ้างคำพูด:
โดยรวมเวลากำหนดพอง+ยุบ+นั่ง+ถูก กำหนดเห็นหนอ สุขหนอ จะไม่ค่อยได้ยินเสียงภายนอก
เป็นเพราะติดใจนิมิตหรือเปล่าก็ไม่รู้นะคะ คือสงสัยว่าทำไมเกิดนิมิตแบบที่ไม่เคยเกิดมาก่อน



เป็นธรรมดา เมื่อเรามุ่งสนใจต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว จะไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง ยิ่งมีสมาธิอยู่กับ

กรรมฐาน จะไม่สนใจหรือไม่ได้ยินเสียงภายนอกเลย ไม่เป็นไรหรอกครับ

เมื่อสติสัมปชัญญะเป็นต้นแข็งแรงขึ้นๆ (ซึ่งก็จากการกำหนดปัจจุบันอารมณ์แต่ละขณะนี่แหละ

ไม่ใช่เกิดโดยไร้เหตุผล) แล้วนิมิตจะหมดไปเอง เหลือแต่กรรมฐานคือท้องพอง-ท้องยุบ

กับความคิดซึ่งเป็นตัวรู้คอยกำหนดอารมณ์กรรมฐานอยู่

ดังนั้น ช่วงนี้นิมิตใดที่ปรากฏทางมโนทวารจึงเป็นธรรมดา เป็นประสบการณ์ให้เราได้เรียนรู้


อ้างคำพูด:
วันต่อ ๆ มาสภาวะก็เป็นประมาณนี้ค่ะ
และแม้นิมิตจะไม่เหมือนกันหมด แต่ก็คล้าย ๆ กันค่ะ
วันแรกที่เดินจงกรม 6 ระยะ ตอนนั่งไม่ง่วงเลย แต่อีก 2 วัน มีง่วงเล็กน้อยค่ะ


ภาพรวม ไม่มีเสียครับ

เพียรพยายามกำหนดอารมณ์กรรมฐานต่อไป

สาธุในวิริยะอุตสาหะ :b8:

:b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 07 ต.ค. 2009, 13:46, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2009, 14:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:22
โพสต์: 264

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณค่ะ :b8:

วันนี้ยังเดินระยะที่ 1-6 อยู่ไหมคะ


รินรส เขียน:
ผลการเดินจงกรมตั้งแต่ระยะที่ 1-6 นะคะ
คือมักง่วงตอนท้ายระยะที่ 3 และพอเริ่มระยะที่ 4 แป๊บหนึ่งก็ง่วงอีก
ก็กำหนดง่วงหนอจนหายง่วงตามคำแนะนำค่ะ แต่ระยะที่ 4 นี่ กว่าจะหายง่วงก็เกือบหมดเวลาแล้ว



ขออภัยที่อธิบายไม่ชัดเจนค่ะ :b8:
แต่ระยะที่ 4 นี่ กว่าจะหายง่วงก็เกือบหมดเวลาแล้ว หมายความว่ากว่าจะหายง่วงก็เกือบหมดเวลาเดินจงกรมระยะที่ 4 คือเกือบ 10 นาทีน่ะค่ะ แล้วระยะที่ 5 และ 6 ก็ไม่ง่วงอีกเลยค่ะ

.....................................................
"เราไม่สรรเสริญแม้แต่ความตั้งอยู่ได้ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ต้องพูดถึงความเสื่อมถอยจากกุศลธรรมทั้งหลาย
เรายกย่องสรรเสริญอย่างเดียว แต่ความก้าวหน้าต่อไปในกุศลธรรมทั้งหลาย"

(องฺ. ทสก. ๒๔/๕๓/๑๐๑)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 201 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 14  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร