วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 23:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 118 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 20:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
การแสดงสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมว่าเป็นธรรม การแสดงสิ่งที่เป็นธรรมว่าไม่ใช่ธรรม ผลบาปก็จะเกิดกับผู้นั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ต้องรอให้มีใครมาลงโทษ ไม่ต้องรอให้มีใครมาตัดสิน สิ่งใดถูก สิ่งใดผิด ผมและท่านก็จะรู้เองเมื่อเวลาลมหายใจสุดท้ายของชีวิตมาถึง



สวัสดีครับคุณศุภฤกษ์

ด้วยความเป็นกัลยาณมิตรนะครับ

สำนึกผิดตอนนี้ยังไม่สายครับ
เพราะถ้าท่านตายแล้วไม่มีโอกาสแก้ตัวนะครับ




Supareak Mulpong เขียน:
มิจฉาทิฐินั้นเกิดจากโมหะ ซึ่งมีปัญญาเป็นศัตรู ดังนั้น ขั้นแรกต้องยังปัญญาอินทรีย์ให้แก่กล้าจนปัญญาเกิดทันโมหะให้ได้ โมหะจะเกิดขึ้นแทบทุกครั้งเมื่อจิตเกิดขึ้นมาเพื่อรับรู้อารมณ์ เราต้องอาศัยการวิปัสสนาภาวนาให้เห็นความเป็นไตรลักษณ์เท่านั้น ปัญญาจึงจะเกิดและมีความแข็งแรง เมื่อเราเจริญวิปัสสนาบ่อยๆ ปัญญาจะเกิดพร้อมกับจิตที่รับรู้อารมณ์ทุกครั้งเหมือนรอยเท้าที่เดินตามจิต ถึงจะถือได้ว่า เรามีสัมมาทิฐิที่สิ้นสาสวะแล้ว



ตรงนี้ครับที่ผมพยายามเตือนคุณศุภฤกษ์ว่าคุณศุภฤกษ์แสดงธรรมผิดครับ

ที่ถูกเป็นอย่างนี้ครับ


มหาราชันย์ เขียน:
ก็สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน
ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในทุกขสมุทัย ความรู้ใน ทุกขนิโรธ ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา อันนี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ฯ



แต่คุณกลับมาว่าผมแสดงธรรมลากออกนอกพระไตรเสียอีก

Supareak Mulpong เขียน:
ที่คุยกับท่านมา เห็นท่านพยายามจะลากออกจากธรรมวินัยไปหาความเห็นของท่าน มากกว่าจะหันเข้าหาธรรมวินัย พระธรรมของพระพุทธองค์นั้นไม่ได้มีอะไรลับลมคมนัย พระสูตร ๒๕ เล่ม ก็แสดงพระธรรมได้ให้เห็นแจ้ง บอกเรื่องราวต่างๆ โดยละเอียด หากได้ศึกษาจริงๆ จังๆ อ่านจบสัก ๒-๓ รอบ ประกอบกับปัญญารู้คิดรู้พิจราณา เห็นได้ชัดๆ ว่า อะไรคือธรรมสมควรแก่ธรรม อะไรคือพุทธ อะไรไม่ใช่พุทธ ผู้ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ ส่วนมาก ก็อ่านพระสูตรไม่จบ


โพสต์ เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 20:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เหล่านี้นี่ก็เป็นสิ่งที่คุณศุภฤกษ์แสดงธรรมผิด

Supareak Mulpong เขียน:
ความรู้ที่จะนำมาดับทุกข์ได้ คือ การรู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวติให้เท่าทันปัจจุบัน ได้แก่กฎธรรมชาติ ๒ กฎ คือ ไตรลักษณ์ และกฎของเหตุปัจจัย



Supareak Mulpong เขียน:
ก็อันเดียวกันแหละ ความรู้ในไตรลักษณ์ก็คือส่วนหนึ่งของอริยสัจ ๔ รู้ก็คือต้องรู้จริงๆ นะครับ ไม่ใช่คิดว่ารู้ ถ้าเอาแบบจิตวิทยาปัจจุบัน ก็คือ รู้ในระดับจิตใต้สำนึก ไม่ใช่ระดับจิตปกติ ที่แสดงในพระไตรปิฎกว่าสัมมาทิฏฐิมี ๒ แบบ คือ รู้จากการได้ฟังคือความเข้าใจของคนทั่วไป กับเป็นที่อนาสวะถึงจะนับเป็นองค์มรรค เราต้องสร้างที่เป็นอนาสวะ



Supareak Mulpong เขียน:
การวิปัสสนาภาวนาที่ไม่ใช้ฌาน ปกติ เมื่อเกิดเวทนา เช่นโกรธ ก็ใช้ความคิดพิจารณาว่า โกรธไม่เที่ยงเกิดดับ เป็นทุกข์ ไม่น่ายึดถือ ความโกรธไม่ใช่เรา เท่านี้ก็ดับความโกรธได้ แต่ปกติตอนนี้พิจารณาอารมณ์เป็นหลัก เวทนาไม่ค่อยเกิด เพียงได้ยินเสียง หรือตาเห็นรูป ก็เริ่มพิจารณา ความโกรธก็เลยไม่ค่อยมีโอกาสเกิด



Supareak Mulpong เขียน:
เหมือนกัน เพราะคือสิ่งเดียวกัน วิปัสสนาไปแล้วมันไม่มีทุกข์ไม่มีสุขมีแต่วางและว่าง โดยมากผมพิจารณาความเป็นอนัตตา กับ อนิจจัง มากกว่า ทุกข์ เพราะผมเริ่มจากธัมมานุสารี (เป็นคนที่ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ผลก็คือใช้เวลาไป ๗-๘ เดือนเพื่ออ่านพระไตรปิฎก) ที่นี่ก็มีกายสักขีบุคคล 3-4 ท่าน แต่ส่วนมากสำเร็จเป็นสัทธาธิมุตบุคคล



คุณศุภฤกษ์ครับคุณจะยอมรับความผิดพลาดว่าคุณแสดงธรรมผิดไหมครับ ?


โพสต์ เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 20:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านไปจับเอาวิธีการของพระอริยมาปฏิบัติ ผมไม่มีอะไรจะบอกท่านมากกว่านี้

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสต์ เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 21:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


:b32:


โพสต์ เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 21:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
ท่านไปจับเอาวิธีการของพระอริยมาปฏิบัติ ผมไม่มีอะไรจะบอกท่านมากกว่านี้


สวัสดีครับคุณศุภฤกษ์

แม้ข้อความนี้ของคุณ คุณก็แสดงธรรมผิดครับ คุณรู้ผิด เข้าใจมาผิดครับ


โพสต์ เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 22:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12: :b12: :b12: :b12: :b12:


โพสต์ เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 22:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2009, 02:28
โพสต์: 30

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


( Supareak Mulpong เขียน: หากเราไม่พิจารณาดีๆ พอได้อ่านพระไตรปิฎกแล้วเห็นว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้ก็นำไปปฏิบัติทันที ผลที่ได้ก็ตรงกับเหตุ ก็คือ ไม่มีปัญญาที่จะนำมาดับทุกข์ได้ ได้แต่ความสงบ ได้แต่หลบทุกข์ชั่วคราว บางท่านเข้าใจว่าตนเองได้มรรคผลแล้ว อันที่จริง ได้เพียงฌาน อภิญญา หรือความรู้ยิ่งในความสงบเท่านั้น ไม่ใช่ปัญญาที่จะนำมาดับทุกข์ได้ เพราะทำเหตุผิด ผลจึงออกมาผิด เช่น เอามรรค ๘ ไปปฏิบัติโดยตรง เป็นต้น)

( Supareak Mulpong เขียน:ท่านไปจับเอาวิธีการของพระอริยมาปฏิบัติ ผมไม่มีอะไรจะบอกท่านมากกว่านี้ )
ขออภัยเจ้าค่ะเป็นสมาชิคใหม่กด อ้างอิงไม่เป็นเจ้าค่ะ

Onion_L อ้าว....ท่านศุภฤกษ์เจ้าขา
ท่านกล่าวแบบนี้ไม่ถูกต้องนี่เจ้าคะ
คำว่าพระอริยะท่านปฏิบัติกิจจนจบสิ้นแล้วท่านไม่มีอะไรต้องปฏิบัติแล้วจึงเรียกว่า พระอริยะ
แล้วการที่ปฏิบัติตามรอยพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม
พระไตรปิฎกซึ่งสังคายนามาจากพระอรหันต์สาวก เป็นทางเดินแห่งหนทางดับทุกข์
เพื่อให้พ้นจากวัฏฏะ ก็ถ้าไม่มุ่งหวังปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นแล้วจะปฏิบัติไปเพื่ออะไรเจ้าคะ?
เมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต
เมื่อมรรคองค์ 8 คือหนทางแห่งความดับทุกข์ ก็ต้องก้าวเดินตามนั้น ปฏิบัติตามนั้น
ถ้าไม่ปฏิบัติตามมรรคองค์ 8 ของพระพุทธองค์โดยตรงแล้วไซร้
ท่านจะให้ปฏิบัติเช่นไรเล่าเจ้าคะ? :b32:
ท่านแสดงธรรมแบบนี้ทำให้ผู้ปฏิบัติใหม่ๆสับสนน๊ะเจ้าคะ :b20:



:b8: :b8: :b8:


โพสต์ เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 23:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ chefin ยินดีที่ได้เข้ามาร่วมสนทนา เชื่อว่าคุณมาใหม่จริง :b12:

พระอริยะ แบ่งง่ายๆ เป็น ๒ ประเภท คือพระเสขะ อับพระอเสขะ ถ้าจะแบ่งละเอียด ก็ตั้งแต่ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์

เว้นจากพระอรหันต์แล้ว นอกนั้นเป็นพระเสขะ คือ พระที่ยังต้องปฏิบัติให้ได้เป็นพระอรหันต์ ยกตัวอย่างพระอานนท์ ใช้เวลาตั้ง ๔๐ ปีถึงบรรลุอรหันต์ได้

มรรค กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเครื่องมือ หรืออุปมาได้เหมือนพาหนะที่จะพาไปถึงนิพพาน สิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้และปฏิบัติ คือ การสร้างเครื่องมือ หรือสร้างยานลำนี้มาให้ได้ มันไม่ได้จู่ๆ ก็เกิดขึ้นมาแบบไม่มีเหตุไม่มีผล

หากเริ่มเอาตั้งแต่ไม่มีอะไรเลย ก็ต้องสร้างปัญญาที่เรียกกันว่าสัมมาทิฏฐิก่อน บางท่านไปศึกษาเอาวิธีการปฏิบัิติของพระเสขะ ผู้มีมรรคเกิดแล้ว ปฏิบัติไป ได้อะไรมาก็ไม่รู้ มีกันเยอะไป

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสต์ เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 23:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อ่ะจึ๊ย !!!... โดนใบเหลืองนี่เอง มิน่า ...

ไม่งั้นปกติจะต้องได้เห็นคารมคมหอกของคุณชาติสยาม


ท่าจะ..อ่อน..อก..อ่อน..ใจ

มากกว่ามั้ง..
:b12: :b12: :b12: :b12: :b12: :b12:

และ สวัสดี..คุณ chefin

ขออนุญาติ..ปรับจูนนิดหน่อยนะครับ

พระอริยะบุคคล..เริ่มนับตั้งแต่..โสดาบัน..สกิทาคามี..อนาคามี..ถึง..อรหันตมรรค์..ยังมีกิจต้องทำอยู่
ส่วน..อรหันตผล..ไม่มีกิจต้องทำแล้วเป็น..กิจฆ่ากิเลสนะครับ..ส่วนกิจวัตร์ของธาตุของขันธ์..ของหน้าที่..ก็ทำอยู่เป็นปกตินะครับ

อ้างคำพูด:
ท่านแสดงธรรมแบบนี้ทำให้ผู้ปฏิบัติใหม่ๆสับสนน๊ะเจ้าคะ


สาธุ

ขอให้เจริญในธรรมครับ


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 23 ก.ย. 2009, 23:21, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 23:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2009, 02:28
โพสต์: 30

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระอริยะบุคคล..เริ่มนับตั้งแต่..โสดาบัน..สกิทาคามี..อนาคามี..ถึง..อรหันตมรรค์..ยังมีกิจต้องทำอยู่
ส่วน..อรหันตผล..ไม่มีกิจต้องทำแล้วเป็น..กิจฆ่ากิเลสนะครับ..ส่วนกิจวัตร์ของธาตุของขันธ์..ของหน้าที่..ก็ทำอยู่เป็นปกตินะครับ


:b8: ขอบพระคุณในความเป็นกัลยาณมิตรที่มอบให้เจ้าค่ะ
แต่ พระอริยะบุคคล..เริ่มนับตั้งแต่..โสดาบัน..สกิทาคามี..อนาคามี..ถึง..อรหันตมรรค์..ยังมีกิจต้องทำอยู่

ตรงนี้ก็เป็นความเข้าใจผิดของท่านเจ้าค่ะ :b12:


โพสต์ เมื่อ: 23 ก.ย. 2009, 23:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32: :b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 24 ก.ย. 2009, 00:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2009, 02:28
โพสต์: 30

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
สวัสดีและขอบพระคุณในเมตตาจิตที่มอบความเป็นกัลยาณมิตรให้เจ้าค่ะท่านศุภฤกษ์

Quote Tipitaka:
คุณ chefin ยินดีที่ได้เข้ามาร่วมสนทนา เชื่อว่าคุณมาใหม่จริง

พระอริยะ แบ่งง่ายๆ เป็น ๒ ประเภท คือพระเสขะ อับพระอเสขะ ถ้าจะแบ่งละเอียด ก็ตั้งแต่ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์

เว้นจากพระอรหันต์แล้ว นอกนั้นเป็นพระเสขะ คือ พระที่ยังต้องปฏิบัติให้ได้เป็นพระอรหันต์ ยกตัวอย่างพระอานนท์ ใช้เวลาตั้ง ๔๐ ปีถึงบรรลุอรหันต์ได้

มรรค กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเครื่องมือ หรืออุปมาได้เหมือนพาหนะที่จะพาไปถึงนิพพาน สิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้และปฏิบัติ คือ การสร้างเครื่องมือ หรือสร้างยานลำนี้มาให้ได้ มันไม่ได้จู่ๆ ก็เกิดขึ้นมาแบบไม่มีเหตุไม่มีผล

หากเริ่มเอาตั้งแต่ไม่มีอะไรเลย ก็ต้องสร้างปัญญาที่เรียกกันว่าสัมมาทิฏฐิก่อน บางท่านไปศึกษาเอาวิธีการปฏิบัิติของพระเสขะ ผู้มีมรรคเกิดแล้ว ปฏิบัติไป ได้อะไรมาก็ไม่รู้ มีกันเยอะไป


ธรรมเบื้องบนที่ท่านแสดงมาด้วยเมตตาจิตนั้น ท่านมั่นใจว่าถูกต้องแล้วหรือเจ้าคะเพราะว่าท่านได้กล่าวสนทนากับท่านมหาราชันย์ว่า

Quote Tipitaka:
Supareak Mulpong เขียน:
ปัญญาของอรหันต์คงรู้เข้าใจเรื่องของจิตได้อย่างละเอียด ปัญญาของผมตอนนี้มีเพียงแค่รู้แค่เรื่องทุกข์กับการดับทุกข์ จัดการกับทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้ ยังไม่อาจทราบเรื่องราวของอรหันต์ได้หรอกแสดงไปหากกลายเป็นอธรรมวาที ก็คงไม่พ้นนรก ...


แล้วมันยังไงกันเล่าเจ้าคะ?? ดิฉันสับสนในการแสดงธรรมของท่านเจ้าค่ะ ท่านรู้หรือไม่รู้กันแน่เจ้าคะ? :b10: :b34:


โพสต์ เมื่อ: 24 ก.ย. 2009, 00:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับคุณศุภฤกษ์


จะยอมรับความจริงได้แล้วหรือยังครับ ว่าท่านแสดงธรรมผิดต้นกับปลายไม่ตรงกัน


โพสต์ เมื่อ: 24 ก.ย. 2009, 00:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระอรหันต์สำเร็จกิจที่อรหัตตมัคคจิตครับ



[๒๗๓] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?
โยคาวจรบุคคล เจริญฌานเป็นโลกุตตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก นำไปสู่นิพพานเพื่อบรรลุภูมิที่ ๔ เพื่อละรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา ไม่ให้มีเหลือสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ มีอยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อัญญินทรีย์ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ
สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล ฯลฯ


โพสต์ เมื่อ: 25 ก.ย. 2009, 01:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออภัยคุณ chefin ด้วย ที่อธิบายไม่ละเอียด

ปัญญาของอริยะบุคคลนั้น ก็แบ่งเป็นขั้นๆ ตามลำดับของอริยะบุคคลเช่นกัน

ปัญญาของโสดาบันนั้น รู้แต่เรื่องทุกข์ กับการดับทุกข์ ที่เรียกว่าแทงตลอดในอริยสัจจสี่ ส่วนปัญญาของอริยบุคคลขั้นสูงขึ้นไป ก็จะมองความจริงของโลกและชีวิตที่ละเอียดขึ้นได้ เช่น เห็นการเกิดดับของจิตและเวทนา เป็นต้น

เรื่องคุณวิเศษเหนือคุณสมบัติปุถุชน อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่โสดาบันเป็นต้นไป แก็ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดได้กับทุกคน เพียงแค่ปัญญาที่นำมาดับทุกข์ได้ ก็มีค่ามากเกินสมบัติใดๆ ที่จะหาในโลกและจักรวาลได้แล้ว ทรัพย์แบบนี้เรียกอริยทรัพย์ คือ อริยศีล อริยสมาธิ อริยปัญญา หากบรรลุถึงอรหันต์ได้ จึงจะได้ อริยวิมุตติ

ดังนั้น หากไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รู้สึก ก็เป็นการเรียนตามตำรา หรือเรียนแบบตาบอดคลำช้าง ผมแสดงธรรมก็เฉพาะเท่าที่รู้ เท่าที่เห็น เท่าที่ได้ยิน เท่าที่รู้สึกได้ เท่าที่ปฏิบัติ เท่านั้น

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 118 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร