วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 14:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 47 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2009, 07:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


มีโอวาท หลวงตา มหาบัว เรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา มาเสนอเพิ่มครับ




เรื่อง ความสงบของจิต เรานี้ สงบขั้นใดเราก็พิจารณาปัญญาตามขั้นตามกำลังของเราได้

อย่างสงบเบาะๆ ธรรมดาจิตไม่ยุ่ง นี้ก็เรียกว่าจิตค่อยอิ่มอารมณ์เข้าไปแล้ว
เมื่อจิตอิ่มอารมณ์เราพาพิจารณาทางด้านปัญญาก็เป็นไปได้ตามกำลังของเรา

ถ้าจิตกำลังหิวโหยกับอารมณ์ดังที่ไม่มีสมาธิไม่มีความสงบเลย แต่จะพิจารณาปัญญาอย่างเดียวนั้น เรียกว่าเหลวไหลเลย ใช้ไม่ได้

พระพุทธเจ้าท่านถึงแสดงไว้ในบาทแห่งความหลุดพ้น ตั้งแต่ สีลปริภาวิโต แล้ว สมาธิปริภาวิตา และ ปญฺญาปริภาวิตํ ๓ ประเภท

ศีลหนุนสมาธิให้จิตสงบเย็น

สมาธิหนุนปัญญาให้เดินได้คล่องตัว

ปัญญาซักฟอกจิตให้หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ


เป็นขั้นๆ อย่างนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2009, 07:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ย. 2009, 17:07
โพสต์: 29

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

ขอบคุณทุกท่านครับ...ผมติดตามกระทู้นี้แล้ว ผมได้ประโยชน์มากครับ...

:b8:

ผมไม่ใช่ผู้รู้...ที่จะหยิบยกวาทะใด ๆ มากล่าวเพ่งโทษใครได้ ว่าการเสวนาเช่นไหนควร หรือไม่
เพราะผมยังเป็นเพียงผู้เพียรเดินไปตามเส้นทางธรรม
แต่ทุกการแสดงความเห็นของทุกท่าน ทำให้ผมได้ใช้ย้อนกลับมาพิจารณาเพ่งโทษตัวเองได้หมดเลยครับ...
ผมจะน้อมมาใส่ใจ และ จะพยายามไม่ประมาทในการสำรวม กาย วาจา ใจ ของตน..ครับ...

:b8:

ขอบคุณ อาจารย์ ทุกท่านครับ...

อ้างคำพูด:
ความโศกทั้งหลาย
ย่อมไม่มีแก่ผู้มีจิตมั่นคง ไม่ประมาท
เป็นมุนีผู้ศึกษาในทางแห่งมโนปฏิบัติ ผู้คงที่
สงบระงับแล้วมีสติในกาลทุกเมื่อ


ของคุณ มหาราชันย์ สั้น แต่ได้ใจความดีจังเลยครับ... :b16:


แก้ไขล่าสุดโดย ม่านหมอก เมื่อ 18 ก.ย. 2009, 07:44, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2009, 10:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2009, 19:02
โพสต์: 5

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุคุณ ม่านหมอก การหยิบยกถ่อยคำขึ้นมากล่าวเพ่งโทษบุคคลอื่นนั้นหาใช ่บัณฑิต ดอกหนาท่านกระผมเอง ได้ ฟังท่านพดูแล้วผมชื่นชมในปฎิปทาของท่านจิงๆๆปฎิปทาของผมยังอ่อนด้อยกว่าท่านนักไม่น่าก้าวล้ำเข้ามาตอบในกระทู้ที่ยัดแย้งเช่นนี้ :b8: การกระทำเช่นท่านนั่นที่เรียกว่า บัณฑิตโดยแท้ ท่านเอ๊ย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2009, 12:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เดวิด อินกรทง เขียน:
สาธุคุณ ม่านหมอก การหยิบยกถ่อยคำขึ้นมากล่าวเพ่งโทษบุคคลอื่นนั้นหาใช ่บัณฑิต ดอกหนาท่านกระผมเอง ได้ ฟังท่านพดูแล้วผมชื่นชมในปฎิปทาของท่านจิงๆๆปฎิปทาของผมยังอ่อนด้อยกว่าท่านนักไม่น่าก้าวล้ำเข้ามาตอบในกระทู้ที่ยัดแย้งเช่นนี้ :b8: การกระทำเช่นท่านนั่นที่เรียกว่า บัณฑิตโดยแท้ ท่านเอ๊ย


เอิ๊กๆ โดนกิเลสลากไปรับประทานเรียบร้อยแล้ว
ยินดีต้อนรับสู่สมาคมวจีทุจริต

เพราะอะไรรู้มั๊ย

เหมือนคุณมีลูกสองคน คนหนึ่งดี คนหนึ่งเลว
คุณก็ไปยกย่องคนดีว่า เห็นมั๊ย พูดดี คิดดี ทำดี น่าชื่อนชม
แต่ว่าก็พูดใส่หน้าลูกที่คุณว่า คิดเลว พูดเลว ทำเลว

มันคือการพูดเพื่อยกคนหนึ่งขึ้น เพื่อกดอีกคนหนึ่งลง
มันก้คือด่าผมว่าเลวนั่นแหละ แต่ไปยกข้างคนดีขึ้นมาเพื่อให้มันเปรียบต่าง


หรืออย่างการชื่นชมปฏิปทาคุณม่านหมอก ซึ่งใครก็ไม่รู้
แต่มาบอกว่าไม่ชื่นชมปฏิปทาพระเถระ
ก็คิดดูแล้วกันว่ากดพระเถระลงไปได้ขนาดนั้น
ไปเอาทิฐิโลกมาตัดสินภุมิจิตภูมิใจพระอริยเจ้า

สรุปว่า วจีทุจริตพอๆกันหมด โจรเหมือนกันหมดนะ
อย่าทรนงตัวว่าเป้นบัณทิต

บัณทิตเขาทำยังไงรู้ไหม

เขาเฉย วางเฉย เฉยด้วยปัญญาอุเบกขา
ใครจะพูดถูก พูดผิด สอนถูก สอนผิด เขาจะเฉย
กุศล หรืออกุศลทั้งปวงที่ผ่านไปมา สักแต่ว่าเป้นสิ่งมาปรากฏเท่านั้น
ไม่กระโดดลงไปคลุกคลีด้วย

คุณม่ายหมอกน่ะ บัณฑิต เหมือนดอกไม้
แต่คุณเดวิดน่ะ แค่ไปชื่นชมความงามของบัณฑิต แค่เห้นว่าดอกไม้สวย
แต่ตัวเองยังไม่ใช่ดอกไม้ ได้แค่ลูบๆคลำความเป้นบัณฑิต


ตราบใดผมชวนเละเทะแล้วยังเละเทะกับผมอยู่
ก็นับว่ายังไม่ใกล้คำว่าบัณฑิต


ไปวัดป่าบ้านตาด ขอขมาท่านซะ แล้วถึงจะเจริญกรรมฐานได้
ไม่งั้นต่อให้อีกกี่ชาติ ก็ไม่เจริญในธรรมนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2009, 12:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
นี่ admin เขามาเตือนผมเรื่องคำพูดคำจาแล้ว
เพราะฉะนั้นผมก็จะลดระดับความกักขฬะลง


:b10: :b10: :b32: :b9:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2009, 13:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
บัณทิตเขาทำยังไงรู้ไหม
เขาเฉย วางเฉย เฉยด้วยปัญญาอุเบกขา
ใครจะพูดถูก พูดผิด สอนถูก สอนผิด เขาจะเฉย
กุศล หรืออกุศลทั้งปวงที่ผ่านไปมา สักแต่ว่าเป้นสิ่งมาปรากฏเท่านั้น
ไม่กระโดดลงไปคลุกคลีด้วย


Quote Tipitaka:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
ว่าด้วยสาติภิกษุมีทิฏฐิลามก

[๔๔๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้น ภิกษุชื่อสาติ ผู้เกวัฏฏบุตร (บุตรชาวประมง) มีทิฏฐิอันลามก
เห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ
ย่อมท่องเที่ยว แล่นไปไม่ใช่อื่น.
.......

ภิกษุเหล่านั้นปรารถนาจะปลดเปลื้องภิกษุสาติ ผู้เกวัฏฏบุตรจากทิฏฐินั้นจึงซักไซ้ ไล่เลียง
สอบสวนว่า ดูกรท่านสาติ ท่านอย่ากล่าวอย่างนี้ ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่
พระผู้มีพระภาค ไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้เลย ดูกรท่านสาติ วิญญาณอาศัย
ปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยปริยายเป็นอเนก ความเกิดแห่งวิญญาณ
เว้นจากปัจจัยมิได้มี.
ภิกษุสาติ ผู้เกวัฏฏบุตร อันภิกษุเหล่านั้น ซักไซ้ ไล่เลียง สอบสวนอยู่อย่างนี้
ก็ยังยึดมั่น ถือมั่นทิฏฐิอันลามกนั้นรุนแรง
กล่าวอยู่ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ข้าพเจ้าย่อมรู้
ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่
อื่น ดังนี้..................

..ในลำดับนั้น พวกข้าพระองค์
ปรารถนาจะปลดเปลื้องสาติภิกษุจากทิฏฐิอันลามกนั้น จึงซักไซ้ ไล่เลียง สอบสวนว่า ดูกรท่าน
สาติ ท่านอย่าได้กล่าวอย่างนี้ ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ไม่ดี
เลย เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้เลย ......

[๔๔๒] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งมาแล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอจง
มา เธอจงเรียกสาติภิกษุ ผู้เกวัฏฏบุตร ตามคำของเราว่า ดูกรท่านสาติ พระศาสดารับสั่งให้หา
ท่าน
ภิกษุนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว จึงเข้าไปหาสาติภิกษุ แล้วบอกว่า ดูกรท่านสาติ
พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน...............


:b29: :b29: :b35: :b35:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 19 ก.ย. 2009, 01:38, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2009, 15:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




003.jpg
003.jpg [ 28.88 KiB | เปิดดู 4322 ครั้ง ]
สวัสดีครับคุณม่านหมอก


สาธุครับที่ชื่นชอบบทธรรมบทนี้
บทธรรมบทนี้เป็นการแสดงอริยสัจ 4 โดยย่อครับ




ความโศกทั้งหลาย......................คือทุกข์อริยะสัจ
ประมาท.................................คือเหตุให้เกิดทุกข์ครับ
ย่อมไม่มีแก่ผู้มีจิตมั่นคง ไม่ประมาท...คือความดับทุกข์ครับ
เป็นมุนีผู้ศึกษาในทางแห่งมโนปฏิบัติ ผู้คงที่....คือทางเข้าถึงซึ่งความดับทุกข์ครับ
สงบระงับแล้วมีสติในกาลทุกเมื่อ........คือการบ่งบอกความหลุดพ้นครับ

คำว่า..สติ..ในข้อความที่ว่า....สงบระงับแล้วมีสติในกาลทุกเมื่อ...เป็นสัมมาสติอันเป็นองค์แห่งมรรค นับเนื่องในมรรคครับ เป็นสติที่เป็นไปเพื่อโลกุตตระธรรมครับ ไม่ใช่โลกียะสติครับ



เจริญในธรรมครับ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2009, 16:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ดีแล้ว คุณเช่นนั้นเฉยน่ะดีแล้ว
โมนาน๊ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2009, 18:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ย. 2009, 17:07
โพสต์: 29

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มหาราชันย์ เขียน:
คำว่า..สติ..ในข้อความที่ว่า....สงบระงับแล้วมีสติในกาลทุกเมื่อ...เป็นสัมมาสติอันเป็นองค์แห่งมรรค นับเนื่องในมรรคครับ เป็นสติที่เป็นไปเพื่อโลกุตตระธรรมครับ ไม่ใช่โลกียะสติครับ



ขอบคุณครับที่ขยายความ :b8:
และจะเป็นการรบกวนรึเปล่าครับ ถ้าผมจะขอให้ท่านช่วยขยายความในส่วนที่ผม...ระบายสี...ต่อหน่ะครับ
คือต้องขอโทษที่ผมจะไม่ถามให้ขยายความถึง โลกุตตระธรรม เพราะผมยังไม่สน ผมยังไม่เห็นความสำคัญที่จะนำมาพิจารณา เพราะมันยังเป็นสิ่งที่ยังไม่มีในผม ซึ่งถ้ามีเมื่อไรผมค่อยมาถามคุณก็ได้มั๊ง... :b12:

แต่สิ่งที่มีในผม คือ โลกียะสติ นี่ล่ะครับ... ผมอยากรู้จักมัน เพื่อรู้เท่าทันมัน และเพื่อรู้วิธีรับมือกับมัน... :b12: หน่ะครับ...

สำหรับคุณ เดวิท ขอบคุณครับที่คุณมีใจ และมีสายตามองผมในแง่ดี :b8:
ผมเป็นแค่คนโซนอ่อนน่ะครับ... :b8: เป็นเรื่องธรรมดาที่ผมจะดูสุภาพ สำรวม และดูเหมือนเป็นบัณฑิตไปได้ง่าย :b1:
แต่จริง ๆ แล้วผมไม่มีภูมิอะไรเลยครับ... คนธรรมด๊า ธรรมดา :b12: :b8:

แม้แต่คุณชาติสยามยังเปรียบผมให้เป็นดอกไม้... :b2: :b12: แล้ว...งั๊นผมก็คงต้องยกให้คุณเป็น ผึ้ง...? :b12:
มีคำกล่าวหนึ่งของนักปราชญ์ท่านหนึ่งซึ่งผมจำไม่ได้ว่าใคร...เขาว่า

ดอกไม้จะงาม ใช่เพราะตัวดอกไม้... คุณมีความเห็นว่าไงครับ...
ถ้าดอกไม้ไม่ได้งามเพราะตัวดอกไม้เอง แต่อะไรบ้างครับ ที่ทำให้ดอกไม้งาม....
ผมว่า....ดอกไม้งาม เพราะหมู่ผึ้ง... :b16:

:b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย ม่านหมอก เมื่อ 18 ก.ย. 2009, 19:00, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2009, 21:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




05.jpg
05.jpg [ 23.36 KiB | เปิดดู 4254 ครั้ง ]
ม่านหมอก เขียน:
แต่สิ่งที่มีในผม คือ โลกียะสติ นี่ล่ะครับ... ผมอยากรู้จักมัน เพื่อรู้เท่าทันมัน และเพื่อรู้วิธีรับมือกับมัน... หน่ะครับ...



สวัสดีครับคุณม่านหมอก


ขอขอบคุณในความเป็นกัลยาณมิตรครับ



โลกียะสติเกิดจากโลกียะกุศลต่าง ๆ ครับ
คุณม่านหมอกทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอย่างที่เป็นอยู่ได้ตลอดวัน ทำเพียงเท่านี้ก็มีโลกียะสติแล้วครับ
นอกจากนี้ก็มาจากการให้ทานบ่อย ๆ อบรมจิตด้วยศีล 5 ศีล 8 ฯลฯ บ่อย ๆ เจริญเมตตากรุณาต่อผู้อื่นบ่อย ๆ ภาวนาบ่อย ๆ ทำสมาธิในรูปฌาน 4 อรูปฌาน 4 บ่อย ๆ ทำอย่างนี้ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้โลกียะสติมีได้ เกิดขึ้นได้


โลกียะสติสำหรับคนทั่วไปที่เกิดเป็นปกติ มีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน นั่นคือการทำจิตใจให้ร่าเริ่งแจ่มใส มีเมตตากรุณาต่อผู้อื่น ขวนขวายช่วยเหลือผู้อื่นนี่แหละครับ ไม่ต้องลงทุน ได้บุญกุศลมากมายทันตาเห็นครับ


ยังไง ๆ ก็อย่าประมาทปล่อยใจให้ขุ่นมัวนะครับ แต่ถ้าบังเอิญจิตใจขุ่นมัวบ้างก็รีบทำให้ร่าเริงโดยเร็ว ไม่งั้นสติหายไม่เกิดขึ้นครับ


เจริญในธรรมครับ





.............................................................................
มารดาก็ทำให้ ไม่ได้
บิดาก็ทำให้ ไม่ได้
ญาติพี่น้องก็ทำให้ ไม่ได้
แต่จิตที่ฝึกฝนไว้ชอบ ย่อมทำสิ่งนั้นให้ได้
และทำให้ได้ อย่างประเสริฐด้วย ..
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2009, 21:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


สติ ที่เป็นไปในทางโลกุตระ ก็น่าตรงกับ สตินทรีย์ จากพระสูตร



พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
สูตรที่ ๘ วิภังคสูตรที่ ๑

ความหมายของอินทรีย์ ๕


ภิกษุทั้งหลาย
อิทรีย์ ๕ อย่างเหล่านี้ มีอยู่ ฯลฯ คือ
สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ และปัญญินทรีย์

ภิกษุทั้งหลาย สัทธินทรีย์ จะเห็นได้ในที่ใดเล่า
สัทธินทรีย์ เห็นได้ใน โสดาปัตตยังคะสี่

ภิกษุทั้งหลาย วิริยินทรีย์ จะเห็นได้ในที่ใดเล่า
วิริยินทรีย์ เห็นได้ใน สัมมัปปธานสี่

ภิกษุทั้งหลาย สตินทรีย์ จะเห็นได้ในที่ใดเล่า
สตินทรีย์ เห็นได้ใน สติปัฏฐานสี่

ภิกษุทั้งหลาย สมาธินทรีย์ จะเห็นได้ในที่ใดเล่า
สมาธินทรีย์ เห็นได้ใน ฌานสี่

ภิกษุทั้งหลาย ปัญญินทรีย์ จะเห็นได้ในที่ใดเล่า
ปัญญินทรีย์เห็นได้ใน อริยสัจสี่

ภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้แล อินทรีย์ ๕
มหาวาร สํ ๑๙ ๒๕๙/๘๕๒-๘๕๗





และ จาก สัทธาสูตร

[๑๐๑๓] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็สติของอริยสาวกนั้น เป็น สตินทรีย์
ด้วยว่าอริยสาวก ผู้มีศรัทธา ปรารภความเพียร เข้าไปตั้งสติไว้แล้ว พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักยึดหน่วงนิพพานให้เป็นอารมณ์ ได้สมาธิ ได้เอกัคคตาจิต.

[๑๐๑๔] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็สมาธิของอริยสาวกนั้น เป็นสมาธินทรีย์ ๆลๆ


สัทธินทรีย์ นำไปสู่ วิริยินทรีย์
วิริยินทรีย์ นำไปสู่ สตินทรีย์
สตินทรีย์ นำไปสู่ สมาธินทรีย์
สมาธินทรีย์ นำไปสู่ ปัญญินทรีย์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2009, 01:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ผู้ ต้องการอบรมใจให้เป็นไปเพื่อความฉลาด รู้เท่าทันกลมายาของกิเลส อย่ายึดปริยัติจนเกิดกิเลส แต่ก็อย่าปล่อยวางปริยัติจนเลยศาสดา ผิดพระประสงค์ของพระพุทธเจ้า ทั้งสองนัย


ท่านตรงประเด็น

พึงอธิบาย สิ่งที่ท่านทำ เน้น ว่ามีเจตนา อย่างไร
ท่านเข้าใจ "ปริยัติ" อย่างไร ในบริบท นี้

หากท่าน ไม่อธิบายให้กระจ่าง ก็จะทำให้ความหมายคำว่าปริยัติของท่านมหาบัว ผิดเพี้ยนไป

อย่าทำ เฉย เลยตามเลย

โคตรภู เขียน:
ไม่ทราบว่าที่เน้นตรงนี้ ท่านตรงประเด็น มีวัตถุประสงค์อะไรครับ มันยังมีบริบทอื่น ต้องพิจารณาประกอบด้วย โดยเฉพาะคำว่าปริยัติ ที่ท่านหลวงตาพูด ครับ ถ้าเน้น เพียงเท่านี้ จะทำให้ความหมายคำว่าปริยัติของหลวงตา ผิดเพี้ยนไปนะครับ


ถ้าท่านพลาด ท่านควรจะ "กราบขอขมา หลวงตา มาที่หน้าเว็ป อย่างลูกผู้ชาย"

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 19 ก.ย. 2009, 02:04, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2009, 08:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
อ้างคำพูด:
ผู้ ต้องการอบรมใจให้เป็นไปเพื่อความฉลาด รู้เท่าทันกลมายาของกิเลส อย่ายึดปริยัติจนเกิดกิเลส แต่ก็อย่าปล่อยวางปริยัติจนเลยศาสดา ผิดพระประสงค์ของพระพุทธเจ้า ทั้งสองนัย


ท่านตรงประเด็น

พึงอธิบาย สิ่งที่ท่านทำ เน้น ว่ามีเจตนา อย่างไร
ท่านเข้าใจ "ปริยัติ" อย่างไร ในบริบท นี้

หากท่าน ไม่อธิบายให้กระจ่าง ก็จะทำให้ความหมายคำว่าปริยัติของท่านมหาบัว ผิดเพี้ยนไป

อย่าทำ เฉย เลยตามเลย


ถ้าท่านพลาด ท่านควรจะ "กราบขอขมา หลวงตา มาที่หน้าเว็ป อย่างลูกผู้ชาย"


:b8: ท่านเช่นนั้น ยินดีที่ได้เป็นมีโอกาสได้มาอ่านกระทู้ของท่าน
เราก็เป็นคนที่เพิ่งเริ่มมาศึกษาธรรมะ ตรงนี้ก็ได้ 10 เดือนพอดีค่ะ
ได้มีโอกาสได้รับคำชี้แนะแนวทางในการปฎิบัติบัติธรรม
จากท่านผู้เป็นกัลยาณมิตรหลายท่านจริงๆค่ะ
แต่เราก็ยังคงต้องศึกษาอีกนาน....กว่าจะมีความรู้และปฎิบัติได้ดีเยี่ยม
:b48: แต่ทุกๆกระทู้ เราผู้อ่านก็จะศึกษาว่าควรจะเป็นเช่นไร ถ้าสงสัยก็ถามไปเรื่อยๆเพื่อ
หาคำตอบที่ถูกต้องค่ะ เราคิดว่าท่านก็คงเป็นผู้ที่มีความรู้มากจริงๆ คนหนึ่งค่ะ
:b10: แต่สงสัยว่า ท่านคำถามที่ท่านตั้งถามคุณ ตรงประเด็น ที่ว่า

ถ้าท่านพลาด ท่านควรจะ "กราบขอขมา หลวงตา มาที่หน้าเว็ป อย่างลูกผู้ชาย

เราว่าเป็นคำที่ไม่ค่อยสมควรเท่าไหร่ไม๊คะ
คือเราอ่านดูเหมือนคุณอยู่ในโลกของความเกลียดชัง ต้องแก้แค้น เหมือนดาราตามทีวี ที่ต้องออกมาขอโทษหน้าจอทีวี
หรือนักการเมืองที่ออกมาทะเลาะกันทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าท่านรู้ถูกต้องหรือไม่
ใครเป็นผู้ตัดสิน ว่าถูกหรือผิด
ซึ่งจริงๆ ในลานธรรมแห่งนี้ ผู้ที่เข้ามาศึกษา ก็มาด้วยใจใฝ่รู้ เราคิดว่าอะไรถูกผิดทุกๆคนคงแยกแยะได้เอง
มีท่านผู้เจริญในธรรมจริงๆหลายๆท่านในลานนี้ เราคิดว่าเค้าก็ได้อ่านกระทู้นี้ และรู้คำตอบแต่ก็นิ่งเสีย
อย่างน้อยก็เป็นการให้เกียรติกันน่ะค่ะ
:b48: สำหรับเราไม่มีความรู้ในธรรมะมากมายเหมือนท่าน แต่รามีคุณธรรมในใจ
ให้เกียรติผู้อาวุโสกว่า ไม่ใช่เรื่องอายุ แต่ในทุกๆเรื่องค่ะ
:b48: สังคมธรรมะ หรือ สังคมทั่วไป เราว่าไม่ต่างกันตรงที่ว่า ควรทำ หรือ ไม่ควร เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
:b48: ในลานนี้ จริงอยู่ทุกคนรู้จักกันเพียงแค่ตัวหนังสือ แต่ที่เข้ามาก็เพื่อหาความสุขใจ
จากการอ่าน บางครั้งเราก็รู้สึกไม่สบายใจกับการอ่านคำที่ไม่สมควรน่ะค่ะ
:b48: และสำหรับท่านตรงประเด็นที่เป็นเจ้าของกระทู้นี้ ที่โพสต์มาให้ผู้ใฝ่รู้ อย่างเราอ่าน
โดยถูกผิดผู้อ่านจะเป็นผู้ตัดสินเอง
เราเลยคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรกระทำจริงๆค่ะ
คุณเช่นนั้น น่าจะใชคำพูดแบบนี้กับผู้อื่น หรือ :b8: คำพูดที่เหมาะสมกว่านี้จะดีกว่าไม๊คะ
:b8: เราเพียงอยากอธิบายตามความคิดของเราให้ท่านเข้าใจ
ถูกผิดอย่างไรก็ขออโหสิกรรมมาณ.ที่นี้ค่ะ
:b8:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


แก้ไขล่าสุดโดย O.wan เมื่อ 19 ก.ย. 2009, 08:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2009, 08:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ท่าน adminเราก็แค่เป็นผู้ใฝ่ธรรมะ ที่เข้ามาในลานนี้ มีความรู้แค่ 1/ 10 เท่านั้น
อยากให้ท่านช่วยพิจารณาโพสต์ของเราด้วยน่ะค่ะ ควรที่จะให้สมาชิกปฎิบัติให้เหมาะสมกับ
การที่จะเป็นผู้อยู่ร่วมกันในลานธรรมแห่งนี้น่ะ
:b8:
:b42: เพื่อพัฒนาทั้งความรู้และจิตใจให้อยู่คู่กันไปน่ะค่ะ :b42:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


แก้ไขล่าสุดโดย O.wan เมื่อ 19 ก.ย. 2009, 08:43, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2009, 11:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเช่นนั้นนี่ยังไม่เลิกป่วนอีกเหรอ

อยากรู้ไหม บัณฑิตเขาเป็นยังไง
ก็ดูคุณตรงประเด็นเป็นตัวอย่าง นั่นน่ะ
ดูเอาว่าเขาวางตัว วางใจ วางคำพูดอย่างไร
ถ้าไม่ดื้อด้านเกินไปนะ

กระทู้ก็แสนจะธรรมดาๆ
ไม่ทราบว่าอ่านยังไง
ถึงเต้นอย่างกับโดนน้ำมนต์ข้าวสารเสกไม่เลิกไม่รา

ทำโพลสิ สอบถามความรู้สึกคนว่าเขา + หรือ - กับคุณ
ไม่ยากหรอก ตั้งกระทู้แล้วทำแบบสอบถาม
ทำให้ เอามั๊ย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 47 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร