วันเวลาปัจจุบัน 06 พ.ค. 2025, 03:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 89 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2009, 21:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue tongue

แผ่เมตตา...อุทิศบุญกุศลในการปฏิบัติค่ะ...

อนุโมทนาด้วยค่ะ

สู้ สู้

:b30: :b30: :b30:

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 02:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
แล้วมันเกี่ยวกับปฏิบัติแล้วนอนไม่หลับอย่างไร ช่วยอธิบายทีครับ

คุณว่าอาการที่นอนไม่หลับ แบบนี้น่าจะเป็นอาการทางโลก หรือทางธรรมละครับ


อ้าว ไม่อธิบายกลับมาถามผมกลับอีก
งั้นผมก็ขอขยายความแล้วกันทำไมจึงแก้ด้วยการทำสมถะเนื่องจากว่าการปฏิบัติของผู้ปฏิบัติบางท่าน ที่ใช้สตินำสมาธิ ซึ่งรูปแบบการปฏิบัติแบบยุบหนอ พองหนอก็จัดอยู่ในรูปแบบนี้ด้วยนั้น ทำให้สติมีมากมีความระลึกรู้ตลอดเวลา เมื่อสติดีก็ย่อมไม่ง่วงเป็นธรรมดา ดังที่เขาบอกว่าพระอรหันต์ไม่เคยง่วงไงครับ เพราะว่าสติของพระอรหันต์เป็นแบบมหาสติ แต่อย่างไรก็ตามกายก็ต้องการพักผ่อนพระอรหันต์ท่านก็เลยต้องนอนแต่ท่านก็ไม่ฝันเพราะสติดีนี่เอง ซึ่งเช่นเดียวกันกับผู้ปฏิบัติที่เจริญสติไปจนถึงจุดหนึ่ง(แต่ไม่ถึงกับมหาสติ)แล้วไม่ง่วงนอนบางท่านก็คิดจะไม่นอนเลยซะทีเดียวแต่การปฏิบัติธรรมก็ต้องอาศัยร่างกายด้วย ถ้าปฏิบัติไปไม่นอนเลยก็อาจล้มป่วยลงได้ ซึ่งอาการเหล่านี้จัดอยู่ในจำพวกความเพียรเกิน
มาดูคุณสมบัติของการทำสมาธิ ประเภทสมถะดูบ้าง ซึ่งก็คือการเพ่ิงให้จิตอยู่ในนิมิตใดหรืออารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งอย่างเดียว ซึ่งคุณลักษณะของสมถะจะทำให้เกิดสมาธิมากกว่าสติ ถ้าสมาธิมากกว่าสติเมื่อใดความตื่นตัวก็จะลดลง เช่นทำให้เกิดอาการเคลิ้มได้และจิตเข้าภวังค์ได้ ซึ่งก่อนจะหลับจิตจะต้องเข้าภวังค์ก่อนเสมอ และหลังจากเลิกสมถะแล้วสภาวะนั้นก็ยังคงค้างอยู่ และเมื่อล้มตัวลงนอนก็จะสามารถทำให้หลับได้ง่าย ไม่เชื่อลองดูได้ เช่นลองเปรียบเทียบกันระหว่าง ก่อนนอน เดินจงกรม 1 ชม(สติมาก สมาธิน้อย) กับ ทำสมถะ 1 ชม (สมาธิมาก สติน้อย) แล้วลองทดสอบดูว่าอย่างไหนหลับง่ายกว่ากัน

ที่กล่าวมานี้ผมขอตอบว่าเป็นปัญหาทางธรรมเนื่องด้วยการปฏิบัติ และใช้วิธีการแก้ปัญหาทางธรรมครับ เพราะเป็นการแก้ที่เหตุที่ไม่หลับเพราะว่าสติมาก แต่ร่างกายยังต้องการการพักผ่อน เลยต้องไปเพิ่มสมาิธิ เมื่อสมาธิเพิ่มแล้วก็สามารถหลับได้ หรือเรียกอีกอย่างนึงว่าปรับอินทรีย์
กลับกันถ้าปฏิบัติไปจนถึงเที่ยงคืน พอเลิกจะนอนก็นอนไม่หลับ ต้องรอใส่บาตรพระตอนเช้ารออีกประมาณ 6 ชม สรุปว่าคืนนั้นเลยต้องอดนอนไป และเมื่อใส่บาตรแล้วก็ไม่รู้จะหลับหรือเปล่าด้วย แถมยังไปเบียดเบียนเวลาปฏิบัติธรรมด้วย แทนที่จะถึงจุดหมายเร็วกลับต้องช้าไปอีก เพราะว่าถ้าช่วงไหนมีเวลาปฏิบัติก็ลุยไปเลยกิจอย่างอื่นงดไว้ก่อน เพราะว่าการปฏิบัติได้อานิสงค์ มากกว่าการใส่บาตรพระมากมาย


Supareak Mulpong เขียน:
ตื่นแต่เช้า ทำบุญตักบาตร ข้าวถุง แกงถุง อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร ซัก 7 วันติดๆ กัน ห้ามใส่เงิน เพราะถือว่าลดชั้นสาวกของพระพุทธองค์ลงมาเท่ากับขอทาน ห้ามใส่ดอกไม้ ห้ามใส่น้ำ เพราะ พระท่านมาบิณทบาตรอาหาร ไม่ได้มาขออย่างอื่น บางรูปต้องเอาน้ำทิ้งกลางทาง เพราะมันจะหนักบาตร ไม่เชื่อลองอุ้มถังใส่น้ำเดินไกลๆ ดู


แล้วท่านก็บอกว่าให้ตื่นแต่เช้าผมว่าท่านเจ้าของกระทู้เขามีปัญหาอยู่ว่าเขานอนไม่ค่อยจะหลับเวลานอนก็น้อย กว่าจะหลับเกือบสนิทก็คงใกล้สว่างท่านยังให้เขารีบตื่นมาอีก เวรกรรมแท้

ที่ท่านบอกโซลูชั่นมานี่ ขอถามหน่อยอะไรเป็นเหตุให้เจ้าของกระทู้นอนไม่หลับ และมันเกี่ยวกับโซลูชั่นของท่านอย่างไร????? เอาให้แจ่มเลยนะครับ
ท่านเคยปฏิบัติจนนอนไม่หลับไหม ???? ด้วยประสบการณ์ของตัวเองนะครับ นอนไม่หลับเนื่องจากสาเหตุทางโลกไม่เอานะครับ เช่น แทงหวยไม่ถูก อกหัก รักคุด เอ็นไม่ติด อันนี้ไม่นับนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 02:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนท่าน อวบอั๋นขั้นสุดท้าย
การปฏิบัติธรรมนั้น ไม่ควรพึ่งยานะครับ น่าจะกำหนดตามสภาวะไป รู้จักปรับอินทรีย์ของตน ถ้าท่านพึ่งยาอีกหน่อยปฏิบัติไปเกิดคลื่นใส้ท่านก็ต้องทานยาแก้อาเจียน เกิดคันท่านก็ต้องหายามาทา ฯลฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 10:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
เรียนท่าน อวบอั๋นขั้นสุดท้าย
การปฏิบัติธรรมนั้น ไม่ควรพึ่งยานะครับ น่าจะกำหนดตามสภาวะไป รู้จักปรับอินทรีย์ของตน ถ้าท่านพึ่งยาอีกหน่อยปฏิบัติไปเกิดคลื่นใส้ท่านก็ต้องทานยาแก้อาเจียน เกิดคันท่านก็ต้องหายามาทา ฯลฯ



คิดได้ดีจริง ๆ

:b12:

ใช้ยาก็ดีนะครับ แต่ถ้าจะให้ดี ก็ต้องแยกสภาวะขณะใช้ยา กับ ขณะไม่ใช้ยานั้นต่างกันอย่างไรได้ด้วยถึงจะีดีมากกว่า

cool

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 11:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


Bwitch เขียน:
อาการนอนไม่หลับ หรือ ไม่หลับไม่นอน อันเกิดจากการปฏิบัตินี่
เรียกว่าปิติใช่หรือไม่คะ


พึงสังเหตุอย่างนี้
เวลา ตื้นตัน ซึ้ง เอ่อล้นตอนเราเกิดความรู้สึกตื้นตันใจเหมือนจะร้องไห้
อันนั้นแหละปิติ ไม่ใช่เรื่องที่เราไม่เคยพบเจอมาก่อน
เราปิติกันมาแต่เด็กแล้ว พูดถึงแม่ที พูดถึงไหนหลวงที
ก็ปิติมันเอ่อขึ้นมานั่นแหละ


การไม่หลับไม่นอนของเจ้าของกระทู้มันก็แยะแยะยากนะ
แตู่กว้างๆว่า ถ้าคนไม่หลับไม่นอน ไม่ใช่ปิติเลย คนละเรื่องกันครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 11:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้อังเอิญฟังเทศน์แล้วเจออาการประมาณคุณอวบ

พระท่านว่า "สติมันกล้า" เกินไป
"ไม่ใช่สติมันต่อเนื่องนะ แต่มันกล้าเกินไป"

วิธีแก้คือ "ให้ไปทำสมถะ"

ลองไปพิจารณาดูนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 16:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ที่ท่านบอกโซลูชั่นมานี่ ขอถามหน่อยอะไรเป็นเหตุให้เจ้าของกระทู้นอนไม่หลับ และมันเกี่ยวกับโซลูชั่นของท่านอย่างไร????? เอาให้แจ่มเลยนะครับ ท่านเคยปฏิบัติจนนอนไม่หลับไหม ????

บุญเป็นแก้วสารพัดนึก โดยเฉพาะหากจะเพียรปฏิบัติ ทั้งสมถะและวิปัสสนา ให้ผ่านอุปสรรค์ต่างๆ ไปได้ ตอนนี้ไครก็วินิจฉัยไม่ออกถึงสาเหตุการนอนไม่หลับของ จขกท. ต่างก็วิธีการแนวคิดตามความรู้ประสบการณ์ของตน

ตอนผมฝึกสมถะไม่มีปัญญาอะไรเลยครับ ทั้งอาปานุสติ กับกสิน พอข่มนิวรณ์ได้ ก็มีแต่ความสงบ แต่เลิกไปนานพอสมควร หันมาเจริญปัญญาตามที่ได้ศึกษามาจากพระไตรปิฎก

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 19:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




A035.jpg
A035.jpg [ 23.58 KiB | เปิดดู 4164 ครั้ง ]
ธมฺมปีติ สุขํ เสติ วิปฺปสนฺเนน เจตสา
อริยปฺปเวทิเต ธมฺเม สทา รมติ ปณฺฑิโต

ผู้มีปีติในธรรมมีใจผ่องใสแล้วย่อมอยู่เป็นสุข
บัณฑิตย่อมยินดีในธรรมที่พระอริยะเจ้าประกาศแล้วในกาลทุกเมื่อ




ภิกษุพึงเป็นผู้สำรวมจักษุ
ไม่พึงเป็นผู้โลเลเพราะเท้า
พึงเป็นผู้ขวนขวายในฌาน

พึงเป็นผู้ตื่นอยู่มาก
พึงเป็นผู้ปรารภอุเบกขา มีจิตตั้งมั่น
พึงเข้าไปตัดความตรึก
และตัดธรรมที่อาศัยอยู่แห่งความตรึกและความรำคาญ




มารดาก็ทำให้ ไม่ได้
บิดาก็ทำให้ ไม่ได้
ญาติพี่น้องก็ทำให้ ไม่ได้
แต่จิตที่ฝึกฝนไว้ชอบ ย่อมทำสิ่งนั้นให้ได้
และทำให้ได้ อย่างประเสริฐด้วย ..
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 19:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
บุญเป็นแก้วสารพัดนึก โดยเฉพาะหากจะเพียรปฏิบัติ ทั้งสมถะและวิปัสสนา ให้ผ่านอุปสรรค์ต่างๆ ไปได้ ตอนนี้ไครก็วินิจฉัยไม่ออกถึงสาเหตุการนอนไม่หลับของ จขกท. ต่างก็วิธีการแนวคิดตามความรู้ประสบการณ์ของตน


บุญของท่าน ก็คือทาน อนิงสงฆ์ที่เกิดจากการทำทานก็คือโภคทรัพย์ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าที่ไหนเขาบอกว่ามีอานิสงฆ์ทำให้นอนหลับ
ตอนนี้ไครก็วินิจฉัยไม่ออกถึงสาเหตุการนอนไม่หลับของ จขกท. -> จขกท ท่านก็บอกชัดอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับว่าปฏิบัติแล้วนอนไม่หลับ ถ้าท่าน จขกท ลองเลิกปฏิบัติดูซิ(อันนี้ไม่ถูกวิธี) รับรองหลับได้ ผมใช้คำว่าสติตื่น หรือที่ท่านชาติ บอกว่าสติกล้า ก็แล้วแต่ ก็คือแก้ด้วยการทำสมถะ ก่อนนอน

Supareak Mulpong เขียน:
ตอนผมฝึกสมถะไม่มีปัญญาอะไรเลยครับ ทั้งอาปานุสติ กับกสิน พอข่มนิวรณ์ได้ ก็มีแต่ความสงบ แต่เลิกไปนานพอสมควร หันมาเจริญปัญญาตามที่ได้ศึกษามาจากพระไตรปิฎก


ก็เพราะการฝึกเมื่อก่อนของท่านมีสมถะไง ก็เลยไม่มีปัญหา ตอนนี้ท่านหันมาเจริญปัญญา เอาเถอะเอาไว้ท่านมีโอกาศปฏิบัติเข้ม แล้วนอนไม่หลับก็ลองไปใส่บาตรดู บางทีอาจจะหายก็ได้ แล้วอย่าลืมไปรายงานผลกับพระอาจารย์ท่านด้วยนะว่า ท่านแก้ปัญหานอนไม่หลับโดยการไปใส่บาตรพระ แบบไม่ใส่น้ำ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 20:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่สะอาดอยู่แล้ว ก้ขออย่าเปิ้อนเลย
เป็นห่วง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 20:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนบ้านอนไม่หลับฟุ้งซ่าน อรหันต์นอนมีสติระลึกได้


แก้ไขล่าสุดโดย ศิริพงศ์ เมื่อ 30 ส.ค. 2009, 20:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2009, 19:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ไว้ท่านมีโอกาศปฏิบัติเข้ม ...

คงไม่แล้วละครับ เพราะตอนนี้ผมเจริญสมถะโดยใช้ปัญญา พอเจริญปัญญามากๆ ความหลงก็ตามปัญญาไม่ค่อยจะทันแล้ว เรื่องคิดผิด พูดผิด ทำผิดก็น้อยลง ศีลจึงเกิดโดยอัตโนมัติ พอมีศีลโดยไม่ต้องถือศีล กายก็สงบใจก็สงบ สมาธิก็เกิดได้ง่ายๆ เกิดได้เองโดยไม่ต้องไปเจริญ ปฏิบัติรวดเดียวได้ทั้ง ปัญญา ศีล สมาธิ ... ตอนนี้ปฏิบัติแบบนี้อยู่ ไม่มีปัญหาอะไรเลย

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 31 ส.ค. 2009, 19:08, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2009, 20:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
ไว้ท่านมีโอกาศปฏิบัติเข้ม ...

คงไม่แล้วละครับ เพราะตอนนี้ผมเจริญสมถะโดยใช้ปัญญา พอเจริญปัญญามากๆ ความหลงก็ตามปัญญาไม่ค่อยจะทันแล้ว เรื่องคิดผิด พูดผิด ทำผิดก็น้อยลง ศีลจึงเกิดโดยอัตโนมัติ พอมีศีลโดยไม่ต้องถือศีล กายก็สงบใจก็สงบ สมาธิก็เกิดได้ง่ายๆ เกิดได้เองโดยไม่ต้องไปเจริญ ปฏิบัติรวดเดียวได้ทั้ง ปัญญา ศีล สมาธิ ... ตอนนี้ปฏิบัติแบบนี้อยู่ ไม่มีปัญหาอะไรเลย


ก็ขออนุโมทนาด้วยครับที่การปฏิบัติของท่านเป็นไปด้วยดี ผมก็ขอโทษด้วยที่ไปปรามาศท่านที่ปฏิบัติน้อยไป เจตนาของผมก็เพียงอยากให้แก้การนอนไม่หลับให้ตรงกับสาเหตุเท่านั้น และนี่ก็เป็นเรื่องทั่วไปที่ผู้ปฏิบัติจะพึงเจอครับ
อีกอย่างถ้าท่านจะกรุณาให้เป็นธรรมทาน ผมก็อยากรู้ว่าการที่ เจริญสมถะโดยใช้ปัญญา เขาทำกันยังไงคือเพิ่งเคยเห็นครับ

เจริญธรรมครับ


แก้ไขล่าสุดโดย อายะ เมื่อ 31 ส.ค. 2009, 20:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2009, 20:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


การเจริญสติปัญญา ซึ่งเป็นการปฏิบัติแบบวิปัสสนานำสมถะ
viewtopic.php?f=7&t=25301

ปัญญาทำให้เกิดศีลได้อย่างไร?

เมื่อปัญญาหรือสัมมาทิฐิเกิด ทำอะไรก็ไม่หลง เพราะความหลงตามปัญญาไม่ทันแล้ว สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ (ศีล) ก็จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปหามาจากไหน ต่อมาเมื่อเราเกิดสิติ ก็ถือว่าเป็นสัมมาสติ และเมื่อภาวะธรรมต่างๆ เหล่านี้เกิด นิวรณ์ธรรมทั้งหลายก็จะอ่อนกำลังลง เพราะองค์ธรรมเหล่านี้ล้วนเป็นศัตรูกับกิเลสนิวรณ์ทั้งสิ้น เมื่อเราฝึกสมาธิ สมาธิที่ได้ก็จะเป็นสัมมาสมาธิ (ได้มรรค ๘ ครบ) ต่อจากนี้ เราก็สามารถปฏิบัติธรรมในขั้นที่สูงขึ้นไปได้

ศีลเป็นบาทหรือเป็นเหตุปัจจัยของสมาธิ เมื่อปัญญินทรีย์แข็งกล้าขึ้น ศีลก็บริสุทธิขึ้นตาม การเจริญปัญญานั้นไม่เสื่อมเหมือนการเจริญสมถะ สมาธิที่ได้จะเป็นขณิกะสมาธิที่ค่อนข้างแน่วแน่ ถึงปฐมฌาน หากปรารถณาอัปณาสมาธิขั้นสูงกว่านี้ ก็เจริญสมถะต่อได้ โดยใช้กรรมฐาน ๔๐ กองใดกองหนึ่ง อานิสงค์ของการเจริญปัญญาให้แข็งกล้าก่อน ก็คือ ๑) มีปัญญาเป็นเครื่องป้องกันภัยสามารถแยกแยะสิ่งที่เป็นคุณกับสิ่งที่เป็นโทษได้ ๒) ไม่ต้องไปตั้งหน้าตั้งตารักษาศีล เพราะคนปกติไม่มีทางรักษาศีลให้บริสุทธิได้ อาจต้องหลบไปอยู่ในป่า หาที่สงบไร้ผู้ไร้คน เป้นการฝืนธรรมชาติอย่างมาก ๓) สามารถทำสมาธิได้ด้วยความรวดเร็ว เพราะศีลมั่นคง และปกติ การเจริญปัญญา ต้องบริบูรณ์ด้วยทานบารมี บุญบารมี จึงจะสามารถสร้างปัญญาให้เกิดได้บริบูรณ์ มีบุญเป็นโล่เป็นกำลัง มีปัญญาเป็นอาวุธ ไม่ต้องเกรงกลัวอะไร

จึงสรุปว่า ปัญญาเป็นพ่อ ศีลเป็นลูก สมาธิเป็นหลาน

ในกลุ่มพวกผมไม่มีใครไปนั่งสมาธิต่อเลย เพราะส่วนมากติดว่าต้องเจริญสมาธิเพื่มถึงจะเจริญปัญญาได้ดี ไม่มีระบุในพระไตรปิฎกที่ใหนเลยที่บอกว่าต้องไปนั่งสมาธิก่อนแล้วถึงจะมาวิปัสสนาได้ มีแต่บอกให้เจริญบารมี ๑๐ พอได้ปัญญาขึ้นมาเลยไม่มีใครคิดว่าจะต้องทำสมาธิต่อ เพราะไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 31 ส.ค. 2009, 22:17, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2009, 22:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
การเจริญสติปัญญา ซึ่งเป็นการปฏิบัติแบบวิปัสสนานำสมถะ
viewtopic.php?f=7&t=25301



เมื่อปัญญาหรือสัมมาทิฐิเกิด ทำอะไรก็ไม่หลง เพราะความหลงตามปัญญาไม่ทันแล้ว สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ (ศีล) ก็จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปหามาจากไหน ต่อมาเมื่อเราเกิดสิติ ก็ถือว่าเป็นสัมมาสติ และเมื่อภาวะธรรมต่างๆ เหล่านี้เกิด นิวรณ์ธรรมทั้งหลายก็จะอ่อนกำลังลง เพราะองค์ธรรมเหล่านี้ล้วนเป็นศัตรูกับกิเลสนิวรณ์ทั้งสิ้น เมื่อเราฝึกสมาธิ สมาธิที่ได้ก็จะเป็นสัมมาสมาธิ (ได้มรรค ๘ ครบ) ต่อจากนี้ เราก็สามารถปฏิบัติธรรมในขั้นที่สูงขึ้นไปได้

ศีลเป็นบาทหรือเป็นเหตุปัจจัยของสมาธิ เมื่อปัญญินทรีย์แข็งกล้าขึ้น ศีลก็บริสทุธิขึ้นตาม การเจริญปัญญานั้นไม่เสื่อมเหมือนการเจริญสมถะ สมาธิที่ได้จะเป็นขณิกะสมาธิที่ค่อนข้างแน่วแน่ หากปรารถณาอัปณาสมาธิ ก็เจริญสมถะต่อได้ โดยใช้กรรมฐาน ๔๐ กองใดกองหนึ่ง อานิสงค์ของการเจริญปัญญาให้แข็งกล้าก่อน ก็คือ ๑) มีปัญญาเป็นเครื่องป้องกันภัยสามารถแยกแยะสิ่งที่เป็นคุณกับสิ่งที่เป็นโทษได้ ๒) ไม่ต้องไปตั้งหน้าตั้งตารักษาศีล เพราะคนปกติไม่มีทางรักษาศีลให้บริสุทธิได้ อาจต้องหลบไปอยู่ในป่า หาที่สงบไร้ผู้ไร้คน เป้นการฝืนธรรมชาติอย่างมาก ๓) สามารถทำสมาธิได้ด้วยความรวดเร็ว เพราะศีลมั่นคง และปกติ การเจริญปัญญา ต้องบริบูรณ์ด้วยทานบารมี บุญบารมี จึงจะสามารถสร้างปัญญาให้เกิดได้บริบูรณ์ มีบุญเป็นโล่เป็นกำลัง มีปัญญาเป็นอาวุธ ไม่ต้องเกรงกลัวอะไร

จึงสรุปว่า ปัญญาเป็นพ่อ ศีลเป็นลูก สมาธิเป็นหลาน


Supareak Mulpong เขียน:
เจริญสมถะโดยใช้ปัญญา

คือที่ท่านกล่าวไว้อันนี้ไม่ใช่หรือครับ? แต่ท่านก็อ้างว่า

Supareak Mulpong เขียน:
การเจริญสติปัญญา ซึ่งเป็นการปฏิบัติแบบวิปัสสนานำสมถะ


ความหมายของท่านจริงๆ แล้วคืออันที่สองใช่ไหมคับ?

จากที่ท่านกล่าวมาผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่า
1. ปัญญาจากการปฏิบัติแบบไหนที่ท่านว่าไม่เสื่อม และมีไหมปัญญาจากการปฏิบัติที่เกิดแล้วเสื่่อม ?
2. ศีล สติ สมาธิ ปัญญา ต้องทำอันไหนให้เกิดก่อนหลังอย่างไรเพราะอะไร และใน 4 ตัวนี้อะไรคือเป้าหมายของการปฏิบัติ
3. แล้วการเจริญปัญญานั้นท่านทำอย่างไรคับ มีวิธีการอย่างไร เอาที่ท่านทำอยู่ปัจจุบันนี้นะครับ เจริญปัญญาอย่างไร พิจารณาอย่างไร กำหนด บริกรรมอย่างไร บอกเป็นธรรมทานหน่อยนะครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 89 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร