วันเวลาปัจจุบัน 07 มิ.ย. 2025, 14:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 14:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 13:33
โพสต์: 3


 ข้อมูลส่วนตัว


คือผมฝึกนั่งสมาธิ ไม่ค่อยพบปรากฎการณ์อะไรประหลาดมากมาย จะมีบางที่มีอาการซาบซ่านบ้างเล็กน้อย แล้วเกิดการอาการที่จิตเหมือนถูกมัดเอาไว้กับลมหายใจที่จุดหนึ่ง แล้วมีลักษณะเหมือนเหมือนมันถูกลากให้วนเสียดสีอยู่รอบๆ จุดนั้น เป็นระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นอาการดังกล่าวก็หายไป เป็นจิตที่รับรู้
เฉพาะลมหายใจอย่างเดียว ไม่ปรากฎปรากฏการณ์อะไรแปลกประหลาดเหมือนคนอื่นๆ เลยครับ
จากจุดนี้ไปกระผมควรทำอย่างไรต่อไปครับ สิ่งที่ผมปฎิบัติมาถูกทางหรือไม่ หรือต้องปฏิบัติอะไรเพิ่มเติมอีก วานท่านผู้รู้ช่วยตอบด้วยจักขอบพระคุณอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 14:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 22:30
โพสต์: 222

ที่อยู่: เวียนว่ายในวัฏสงสาร (-_-!)

 ข้อมูลส่วนตัว


smiley เข้ามาให้กำลังใจ ขอรับ

แล้วมาปูเสือรอผู้รู้ตอบเช่นกันขอรับ :b12:

.....................................................
ขอประสบความสุขทั้งทางโลกและทางธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 16:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ค. 2008, 08:42
โพสต์: 67

ที่อยู่: สังขตธาตุ

 ข้อมูลส่วนตัว


ดีแล้วครับ ไม่ต้องไปรู้เห็นอะไรแปลกๆ
อย่างนี้ถูกต้องแล้ว มีสติต่อเนื่อง รู้ตลอดเวลา

ผมว่าแค่สมาธิระดับต้นเช่น ฌาน 1 เพียงพอแล้วสำหรับเจริญปัญญา Onion_L

.....................................................
เราคือใจที่บริสุทธิ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 16:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


สมาธิที่ใช้ในการเจริญธัมมวิจัย(อนาสวะสัมมาทิฏฐิ และ อนาสวะสัมมาสังกัปปะ ในต้นทางของอริยมรรค) สามารถใช้สมาธิระดับที่มีอยู่ตามธรรมชาติได้....ในลักษณะเจริญวิปัสสนาโดยตรง. ไม่จำเป็นต้องได้สมาธิระดับฌานมาก่อน.

แต่ ท่านผู้รู้กล่าวไว้ว่านิวรณ์ในจิตต้องไม่มากนัก คือ สมาธิมีคุณภาพพอสมควร.

แต่ ถ้าสามารถเจริญสมาธิจนเป็นฌานได้ ก็มีประโยชน์ เพราะ จิตย่อมมีกำลัง และ สงัดจากกามและอกุศล.จิตที่สงบ ย่อมเอื้อต่อการเข้าใจธรรม





ส่วน สมาธิที่เรียกว่า สัมมาสมาธิที่เป็นโลกุตระ-เป็นองค์มรรค(ใน มหาจัตตารีสกสูตร)ซึ่งเป็นองค์แห่งอริยมรรคอันดับสุดท้าย ที่เป็นเหตุให้สัมมาญาณะพอเหมาะ(บริบูรณ์)ตรัสรู้ชอบได้ นั้น..... เป็นสมาธิขั้นแน่วแน่ ในระดับ รูปฌาน๑-๔.

ในพระสูตร กล่าวไว้ว่า เป็นเอกัคคตาจิตที่มีองค์แห่งอริยมรรคอีกเจ็ดอย่างห้อมล้อม
ซึ่ง ถึงแม้น ผู้ที่ไม่ได้ฝึกฌานแบบโลกียะมาก่อน ก็จะปรากฏสมาธินี้ขึ้นเองได้ ถ้าเจริญวิปัสสนาได้ถูกต้อง(เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า)

ดังนั้น ไม่ต้องไปกังวล ว่าจะเจริญสมาธิได้น้อย




ที่สำคัญ ซึ่ง ท่านผู้รู้เน้น คือ สติที่สืบเนื่องในระหว่างเวลาที่ไม่ได้ภาวนาตามรูปแบบ
สิ่งนี้สำคัญมาก...
และ จะส่งเสริมให้เวลาเจริญสมาธิภาวนาในรูปแบบก้าวหน้าด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 22:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ดูลมต่อไปซิครับ ทำถูกแล้ว อาการต่าง ๆ เกิดมาให้เห็นแล้วก็จากเราไป

แสดงพระไตรลักษณ์ ให้เราเห็น ถ้าสติมากพอ ก็จะเห็นเกิดดับ

ถ้าสติไม่มากพอ ก็เป็นเพียงสมถะไป ก็เท่านั้นเองครับ

ลองหาหนังสือ หรือฟัง การปฏิบัติอานาปานสติ ของ หลวงพ่อพุทธทาสซิครับ ได้ประโยชน์มากเลยครับ

ผมก็ฝึกตามนั้น ตอนนี้ก็พยายามจับลมให้ได้ทั้งวันทั้งคืนเว้นตอนนอนเท่านั้น

ก็กำลังฝึกอยู่เหมือนกันครับ

cool

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 22:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ ครับ คุณ moddam



ท่าน จขกท ลองศึกษา

http://smartdhamma.googlepages.com/home ... uddhadhasa


สิ่งหนึ่ง ที่คนทั่วไปมักจะเข้าใจผิดว่า อานาปานสติ คือ การใช้สติตามดูลมหายใจอย่างเดียวไปเรื่อยๆ...

ซึ่ง จะว่าไป ในตอนต้นก็ไม่ผิดเสียทีเดียว แต่ เป็นเพียง2ถึง3ขั้น ใน16ขั้นแห่งอานาปานสติ เท่านั้น...

ที่เหลือ อีก13-14ขั้น ถ้าไม่สุตตะจากพระพุทธพจน์ก็จะไม่เข้าใจว่า

จะน้อมจิต(มนสิการด้วยสติสัมปชัญญะ) ต่อไปยังขั้น ระงับกายสังขาร ในขั้นกายานุปัสสนา(ซึ่งอาจจะเป็นเองไปในตอนแรก แต่ พอชำนาญจะสามารถน้อมไปได้ด้วย) ...อย่างไร

จะน้อมจิต(มนสิการด้วยสติสัมปชัญญะ) ต่อไปยังขั้น ระงับจิตตสังขาร ในขั้นเวทนานุปัสสนา....อย่างไร

จะน้อมจิต(มนสิการด้วยสติสัมปชัญญะ) ต่อไปยังขั้น เปลื้องจิต ปล่อยจิต ในขั้นจิตตานุปัสสนา....อย่างไร

จะน้อมจิต(มนสิการด้วยสติสัมปชัญญะ) พิจารณาต่อไปยังขั้น สลัดคืนอุปาทานขันธ์๕ทุกลมหายใจเข้าออก....ในขั้น จิตตานุปัสสนาอย่างไร




มีพระพุทธพจน์ที่ทรงตรัสแสดง ถึงความจำเป็นของสุตตะในอานาปานสติไว้ดังนี้

๖. สุตสูตร

[๙๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ เสพ-
*อานาปานสติกัมมัฏฐานอยู่ ย่อมแทงตลอดธรรมที่ไม่กำเริบต่อกาลไม่นานนัก
ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้มีธุระน้อย มีกิจน้อย เลี้ยงง่าย ยินดียิ่งในบริขารแห่งชีวิต ๑

ย่อมเป็นผู้มีอาหารน้อย ประกอบความเป็นผู้ไม่เห็นแก่ปากแก่ท้อง ๑

ย่อมเป็นผู้มีความง่วงนอนน้อย ประกอบความเพียรเป็นเครื่องตื่นอยู่ ๑

ย่อมเป็นพหูสูต ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้สดับมาก ทรงจำไว้ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ ซึ่งธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์
พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ๑


ย่อมพิจารณาจิตตามที่หลุดพ้นแล้ว ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล เสพอานาปานสติกัมมัฏฐานอยู่ย่อมแทงตลอดธรรมที่ไม่กำเริบ ต่อกาลไม่นานนัก ฯ

จบสูตรที่ ๖



อานาปานสติเป็นกรรมฐานที่ละเอียด ปราณีต ต้องศึกษาจากท่านผู้รู้ประกอบด้วย จึงจะไปได้ด้วยดี

อนุโมทนากับ ท่าน จขกท ด้วยครับ :b8:

ขอให้เพียรเจริญวิหารธรรมนี้ต่อไปให้ดีเถิดครับ
ผู้รู้ท่านจะกล่าวบ่อยๆว่า อานาปานสตินี้ จะสนับสนุนการเจริญสติในชีวิตประจำวันอย่างดีเยี่ยมด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 22:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ผลสูตรที่ ๑

ผลานิสงส์เจริญอานาปานสติ ๒ ประการ

[๑๓๑๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก.

[๑๓๑๒] ก็อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วอย่างไร ย่อมมีผล
มาก มีอานิสงส์มาก? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ที่เรือนว่างก็ดี
นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า (พึง
ขยายเนื้อความให้พิสดารตลอดถึง ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความสละคืนหาย
ใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความสละคืนหายใจเข้า) ดูกรภิกษุทั้ง-
*หลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วอย่างนี้แล ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์
มาก.
[๑๓๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
อย่างนี้ พึงหวังได้ผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คืออรหัตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีความ
ถือมั่นอยู่ เป็นพระอนาคามี.

จบ สูตรที่ ๔



http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... agebreak=0


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 23:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


พระสุปฏิปันโน ที่ท่าน ใช้อานาปานสติเป็นวิหารธรรม ที่ ท่านสอนเรื่องนี้ไว้มาก คือ

ท่านพุทธทาสภิกขุ
หลวงปู่ ชา สุภัทโท
หลวงปู่ หล้า เขมปัตโต
พระ อ.มิตซูโอะ คเวสโก
ๆลๆ


ผมเสนอแนะนำให้ ศึกษาจาก หนังสือ(ถอดจากพระสูตร) และ ธรรมบรรยาย ของท่านพุทธทาสเป็นหลัก เพราะ ท่านจัดระเบียบหมวดหมู่เอาไว้อย่างดีเลิศ...
มีทั้งบรรยายสืบเนื่องจากพระสูตร และ อธิบายด้วยภาษาที่คนรุ่นปัจจุบัน ศึกษาตามได้ไม่ยากนัก

พระสุปฏิปันโนองค์อื่นๆ ท่านจะกล่าวในภาษาภาคปฏิบัติเป็นหลัก ซึ่ง ก็น่าศึกษาเช่นกัน ครับ



เรื่อง อานาปานสตินี้ เป็นกรรมฐานที่สัมพันธ์กับองค์ฌาน อย่างแยกออกจากกันไม่ได้เลย

ท่านใดที่กังวลกลัวฌาน ก็ควรจะไปศึกษากรรมฐานอื่นได้เลยครับ.
คือ เร็วๆนี้ มีบางท่านที่กลัวจิตจะเป็นฌาน(เข้าใจว่า ฌานในการเจริญอานาปานสติหรือสติปัฏฐาน เป็นแบบเดียวกับของฤาษีนอกพระศาสนา) แต่ ก็อยากจะเจริญอานาปานสติด้วย.... ซึ่ง มันเป็นไปไม่ได้ ที่จะไปบังคับให้จิตไม่เป็นฌาน ถ้าเจริญถูกหลัก.
ลอง อ่าน ที่ท่านพุทธทาสกล่าวว่า"ถ้ากฎธรรมชาติแห่งจิตได้ทำให้เกิดผลตามที่ควร" ด้านล่างดู
คือ ถ้าจิตมีเครื่องระลึกรู้(กายในกาย)อย่างมีสติ เป็น วิตก วิจาร... ผลคือ ปิติ สุข เอกัคคตา ย่อมเป็นของที่ตามมาเอง ตามกฏธรรมชาติของจิต.

ดังนั้น อานาปานสติหาใช่ว่า จะต้องไปแทกแซงบังคับจิตให้สงบอะไรกันมากมายนัก... เพียง แต่ มีสติสืบเนื่องใน กายในกาย(ลมหายใจ) จิตก็จะสงบลงเองตามกฏธรรมชาติของจิตเช่นนั้น

และ เพราะ อานาปานสติสัมพันธ์กับองค์แห่งฌานนั้นเอง จึงมีพระพุทธดำรัสตรัสเอาไว้ว่า อานาปานสติทำให้กายลหุตา จิตลหุตา ซึ่งมันก็คือ คุณสมบัติของจิตที่เป็นสมถะนั้นเอง

เสนออ่าน


องค์แห่งฌาน ใน อานาปานสติ

โอวาท ท่านพุทธทาสภิกขุ


สำหรับการฝึกที่ใช้ลมหายใจเป็นหลัก หรือ อารมณ์ ในที่นี้มีแนวย่อๆ คือ

ขั้นแรกที่สุด การที่สติกำหนดลงตรงลมหายใจ ดุจว่าบุคคลจดสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้าที่สิ่งอื่นอีกสิ่งหนึ่ง เราเรียกว่า”วิตก” ภาวะที่เรียกว่า วิตก ในที่นี้ มิได้หมายถึงความตริตรึก หรือ คิดแส่อย่างหนึ่งอย่างใด แต่ หมายถึง อาการที่สติกำหนดแน่วแน่เฉยๆ อยู่ในอารมณ์ที่ไม่มีความหมาย (หรือ ไม่ทำความหมายในการพิจารณาหาเหตุผล) อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเท่านั้น

ส่วน การที่ จิตต้องเคล้าเคลียอยู่กับอารมณ์กล่าวคือ ลมหายใจ ด้วยอำนาจสัมปชัญญะอยู่ไปมานั้น เรียกว่า “วิจาร” ภาวะที่เรียกว่า วิจารณ์ ในที่นี้ มิได้หมายถึงการพิจารณาหาเหตุผล หรือ หมายถึงการใช้ปัญญาพิจารณาแต่อย่างใด หมายเพียง ลักษณะที่จิตเคล้าอยู่กับอารมณ์อย่างทั่วถึงไม่ออกห่าง . เมื่อเปรียบกับการผูกลิงแล้ว วิตกได้แก่การที่มันถูกผูกติดอยู่กับหลักโดยเฉพาะ .ส่วน วิจาร หมายถึง การที่มันเต้นอยู่รอบๆหลัก จะ ไปๆ มาๆ ขึ้นๆ ลงๆ อย่างไร ก็เคล้ากันอยู่กับหลักนั่นเอง. ในขณะที่ยังเป็นเพียงวิตก วิจาร ล้วนๆนี้ เราเรียกว่าขณะแห่งบริกรรม หรือ การบริกรรม. .

เมื่อการบริกรรมเป็นไปด้วยดี และ ถ้ากฎธรรมชาติแห่งจิตได้ทำให้เกิดผลตามที่ควรอย่างไรสืบไปแล้ว ก็จะเกิดความรู้สึกว่าจิตยอมอยู่ในอำนาจ และ เกิด ความซาบซ่านหรืออิ่มใจชนิดหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า “ปิติ” เป็นความอิ่มใจที่เกิดซาบซ่าน .ในขณะที่เริ่มรู้สึกว่า ร่างกายได้เบาสบายไปทั่วตัว ไม่รู้สึกติดขัด หรือ อึดอัด ความร้อนในร่างกายได้สงบลง จนรู้สึกราวกับว่า มันไม่มีอยู่เลย ลมหายใจค่อยๆละเอียดยิ่งขึ้น จนคล้ายกับไม่มีการหายใจ ความตื่นเต้นของประสาทไม่มีแม้แต่น้อย คงอยู่แต่ความเบาสบาย อันเรียกว่า ปิติ ซึ่งในภาษาแห่งธรรมย่อมหมายถึง ความเย็นใจ อันซาบซ่านอยู่ภายในเท่านั้น ไม่หมายถึงความฟุ้งซ่าน หรือเต้นแร้งเต้นกา.

และ พร้อมๆกันกับปิตินี้ ก็มีความรู้สึกที่เป็นสุข หรือ ความปลอดโปร่งใจ รวมอยู่อย่างแนบแน่นด้วย โดยไม่ต้องมีเจตนา และ เรียกความรู้สึกอันนี้ว่า “สุข”.

ต่อจากนี้ ก็มีหน้าที่ ที่จะควบคุมความรู้สึกอันนี้ให้เป็นไปอย่างสม่ำเสมอด้วยดี เพราะเหตุว่า ลิงได้หยุดเต้นแล้ว เชือกหรือสติไม่ถูกกระชากอีกต่อไปแล้ว.เพียงแต่รักษาภาวะอันนี้ให้คงที่อยู่ในลักษณะเดียวกันนี้ ซึ่งแท้ที่จริงก็ได้เริ่มมีความกลมเกลียวกันมาตั้งแต่แรกแล้ว ให้เป็นลักษณะที่เด่นชัดยิ่งขึ้น จนปรากฏว่าจิตได้อยู่ในอารมณ์เดียว เสมอต้นเสมอปลายแล้วจริงๆ ยิ่งขึ้นกว่าตอนต้นๆ .ก็เป็นอันว่า สมาธินั้นได้ลุถึงผลสำเร็จของมันแล้วอย่างเต็มเปี่ยมชั้นหนึ่ง และ เรียกความมั่นคงเป็นอันเดียวนี้ว่า “เอกัคคตา” และ พึงทราบว่า ในขณะนี้ วิตก วิจาร ปิติ สุข และ เอกัคคตา ได้กลมกลืนเป็นอันเดียวกัน พร้อมกันอยู่ตลอดเวลาที่มั่นในสมาธิ ไม่มีสิ่งอื่นแทรกแซง จนกระทั่งถึงเวลาที่ผู้นั้นออกจากสมาธิ .

การฝึกขั้นต่อไป ก็มีการฝึกให้เข้าสมาธิได้เร็ว อยู่ได้นานตลอดเวลาที่ต้องการ ตื่นหรืออกจากสมาธิได้ตรงตามเวลาที่ต้องการ คือ มีความชำนาญคล่องแคล่ว จนกลายเป็นของชินหรือเคยตัว จนกระทั่งเวลาธรรมดาทั่วไป ก็รู้สึกว่าจิตยังได้อาบรดอยู่ ด้วยปิติและสุขในภายในอยู่เสมอ ทุกๆอิริยาบถ ไม่ว่าจะไป หรือ อยู่ในสถานที่ไหน เหมือนกับคนที่มีลาภใหญ่หลวง มีความดีอกดีใจซาบซ่านอยู่ในที่ทุกแห่ง ไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ฉันใดก็ฉันนั้น. เมื่อลุถึงขั้นนี้ สิ่งที่เรียกว่า การฝึกจิต ก็กล่าวได้ว่า ลุถึงผลอันสมบูรณ์ขั้นหนึ่งแล้ว และเรียกว่า ขั้นปฐมฌาน ความเพ่งจิตอันเป็นบทเรียนขั้นต้นได้ลุถึงแล้ว .




ขั้นปฐมฌานนี้ จะตรงกับ เมื่อจบขั้นที่3ใน4ขั้น ของกายานุปัสสนา

ส่วนขั้นระงับกายสังขาร หรือ ละ วิตก ละวิจาร ซึ่งจะนำไปสู่ทุติยฌาน และ เริ่มเข้าสู่ ขั้นเวทนานุปัสสนา ต่อไป ...ซึ่งนี่บังเกิดจากจิตที่ละเอียด จึงละวางอาการที่หยาบกว่า(วิตก วิจาร) อย่างมีสติสัมปชัญญะ. ตรงนี้ ถ้าสติอ่อนจิตอาจจะตกภวังค์ และ ไม่ดำเนินไปตามที่ควร ได้เช่นกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2009, 07:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ตรงประเด็น เขียน:

องค์แห่งฌาน ใน อานาปานสติ

โอวาท ท่านพุทธทาสภิกขุ


ๆลๆ

เมื่อการบริกรรมเป็นไปด้วยดี และ ถ้ากฎธรรมชาติแห่งจิตได้ทำให้เกิดผลตามที่ควรอย่างไรสืบไปแล้ว ก็จะเกิดความรู้สึกว่าจิตยอมอยู่ในอำนาจ





หลวงพ่อ พุธ ฐานิโย :b8:
ท่านจะกล่าวถึงลักษณะนี้ไว้ว่า "เมื่อจิตมีเครื่องรู้ สติมีเครื่องระลึก".....จิตก็จะดำเนินไปในลักษณะนี้ เช่นกัน



ลักษณะนี้ คล้ายๆ สมการตามธรรมชาติของจิต

คือ เมื่อมีจิตมีสติ(เจริญอานาปานสติ หรือ สติปัฏฐาน)สืบเนื่อง(วิจาร) ใน อารมณ์กรรมฐาน(กายในกาย หรือ วิตก) ภายใต้เหตุแห่ง เนกขัมมะดำริ อวิหิงสาดำริ อพยาบาทดำริ ....ผลคือ ความเบิกบานในธรรม(ปิติ) ความสงบสุข(สุข) ความมีอารมณ์เดียว(เอกัคคตา) ไม่ยินดียินร้าย(อุเบกขา) ย่อมปรากฏตามมา

ถ้าวางใจ และ สร้างเหตุปัจจัยได้ถูก ผลย่อมตามมาเอง
แต่ ถ้าวางใจ หรือ สร้างเหตุปัจจัยไม่ถูก ผลย่อมไม่ปรากฏ

มันเป็นเรื่องของ เหตุ-ปัจจัย และ ผล



บางท่านอาจจะมองว่า นี่ยังคงมีการให้จิตไปจดจ้องอยู่กับลมหายใจเข้าออก และ นี่คือ การยึดมั่นถือมั่นในลมหายใจเข้าออก!!!

ตรงนี้ ขอเรียนว่า
การที่มีสติสืบเนื่องใน กายในกาย และเป็นเหตุแห่งสมาธิขึ้น นั้น....ไม่ใช่ลักษณะการยึดมั่นถือมั่นแบบอุปาทานในปฏิจจสมุปบาท แต่ อย่างใดเลย...เป็นคนล่ะความหมายกัน

จริงอยู่... การให้จิตไปจดจ้องอยู่กับลมหายใจเข้าออก ยังคงเป็น"ธรรมที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง"อยู่.คือ มีเหตุ วิตก วิจาร ในลมหายใจเข้าออก....และ มีผล คือ ปิติ สุข เอกัคคตารมณ์ ตามมา

แต่ คำว่า "ธรรมที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง" กับ "การปรุงแต่ง(สังขาร)ที่นำไปสู่ทุกข์ในปฏิจจสมุปบาท" เป็นคนละกรณี ความหมายในธรรมไม่เท่ากัน.
เพราะแม้นแต่ อริยมรรคทั้งหมด(รวมทั้งสัมมาสติ) ก็ยังคงเป็น "ธรรมที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง"เช่นกัน





อานาปานสติเป็นการยึดมั่นถือมั่น ในลมหายใจเข้าออกไหม?

ในขั้น กายานุปัสสนา
นั้นละวางการปรุงแต่งแห่งกาย (วิตก วิจาร) คือ ระงับกายสังขาร (ตรงกับ ในทันตภูมิสูตรที่๕ ที่ว่า "พิจารณาเห็นกายในกาย แต่ไม่ตรึกในวิตกแห่งกาย") จิตจึงจะลุเข้าสู่ทุติยฌาน และ เข้าสู่ขั้นของเวทนานุปัสสนา

ในขั้น เวทนานุปัสสนา
นั้นละวาง ปิติ (ตรงกับ ในทันตภูมิสูตรที่๕ ที่ว่า "เพราะหน่ายปิติ มีสติสัมปชัญญะอยู่") จิตจึงจะลุเข้าสู่ตติยฌาน.
ต่อเมื่อ ละวางสุข(ตรงกับ ในทันตภูมิสูตรที่๕ ที่ว่า "เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาอยู่ ฯ") จิตจึงจะลุเข้สู่ จตุตฌาน

ในขั้น จิตตานุปัสสนา
ก็มีการเปลื้องจิต คือ วางแม้นแต่ในจิตอันปราโมทย์ประณีตนั้นๆ..ไม่ยึดมั่นถือมั่นในจิตอันปราโมทย์ประณีตนั้นๆ...นี่ก็ คือ การละวางอีก

ในขั้น ธัมมานุปัสสนา
พิจารณาเห็นอนิจจาแห่งรูปนามขั้นธ์๕ทั้งหลายที่ผ่านมาในอานาปานสติเป็นสิ่งไม่เที่ยง(อนิจจานุปัสสี)
พิจารณาเห็นรูปนามขั้นธ์๕ทั้งหลายที่ผ่านมาในอานาปานสติเป็นสิ่งไม่น่ายินดีกำหนัด(วิราคานุปัสสี)
จิตน้อมไปสู่ความดับไม่เหลือ(นิโรธานุปัสสี)
จิตจึงมุ่งสลัดคืนอุปาทานขันธ์๕.... ทุกลมหายใจเข้าออก(ปฏินิสสัคคานุปัสสี)



อานาปานสตินั้น ถึงแม้นในขั้นกายานุปัสสนาจะมีสมถะเด่น ก็จริง

แต่ ในขั้นต่อมา คือ เวทนานุปัสสนาและจิตตานุปัสสนา จะมีทั้งส่วนผสมของสมถะและวิปัสสนา

ต่อเมื่อถึงขั้นธัมมานุปัสสนา วิปัสสนาจะเด่น




และ สุดท้าย ย่อมสลัดคืนอุปาทานขันธ์๕ อันเป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง!!!



อานาปานสติ จึงเป็น "มงกุฏแห่งกรรมฐาน"...ด้วยเหตุนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2009, 09:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 20:54
โพสต์: 282


 ข้อมูลส่วนตัว


tongue สวัสดีครับคุณ Siwakorn
หลังจากที่จิตตั้งมั่นอยู่กับลมหายใจได้ดีแล้ว จิตนิ่งควรแก่งาน จะลองเริ่มเจริญปัญญาเลยก็ได้ โดยลองใส่ปัญญาสัมมาสังกัปปะ คือสังเกต พิจารณา ดูลมหายใจ ที่กำลัง เข้า - ออก ๆ อยู่ตลอดเวลานั้นว่า ลมหายใจกำลังแสดงความจริงอะไรให้คุณดูและเห็นอยู่ (สัมมาทิฐิ เห็นธรรมตามความเป็นจริง) ถ้าคุณมีความสังเกต พิจารณาที่ดี ละเอียดพอ คุณจะได้เห็นว่า ลมหายใจกำลังแสดง ทุกขัง ความทนไม่ได้ อนิจจัง ต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ นี่คือความจริงที่คุณจะสามารถพบเห็นและพิสูจน์ได้ทันทีทันควัน ถ้าคุณเพียงแต่เพิ่มปัญญาสัมมาสังกัปปะ ความสังเกต พิจารณา ลงไปในการเฝ้าดูลมหายใจของคุณ

cool เทคนิค ถ้าจะให้เห็นความจริงชัดเจนเร็วขึ้น ให้ลองเพิ่มการกลั้นหายใจแทรกเข้าไป หลังจากกลั้นหายใจแล้ว ให้เอาสติ ปัญญา สังเกต พิจารณาให้ดี คุณจะได้เห็นและเข้าใจสามัญลักษณะทัั้้งสาม คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ได้เร็วขึ้น

จากนั้นคุณก็จะสนุกได้กำลังใจและเพลิดเพลินขึ้นจากการเอาสติ เอาปัญญา เฝ้าดู เฝ้าสังเกต พิจารณา กายและจิต เพราะจากตัวอย่างในการเฝ้าดู เฝ้าสังเกต พิจารณา ลมหายใจจนได้ปัญญารู้ไตรลักษณ์ขึ้นมาดังกล่าวข้างต้น ถ้าคุณไปดูและสังเกตพิจารณากาย จิต คุณจะได้พบว่า ทุกการกระทบสัมผัส ของทวารทั้ง 6 คุณจะได้เห็นได้รู้สามัญลักษณะหรือไตรลักษณะ อยู่เสมอไป ไม่มีเป็นอื่น

แต่ในจิตของปุถุชนคนธรรมดาเช่นเราท่านทั้งหลายนี้ สิ่งที่เราจะได้พบเห็นอยู่เสมอเช่นกันในทุกการกระทบสัมผัส คุณจะได้พบเห็นว่ามีสิ่งแปลกปลอมเกิดขึ้นมาแทรกแซงในระหว่างการรับรู้ของสติ ปัญญา นั่นคือเวทนา ความยินดี ความยินร้ายและเฉยๆ ถ้ายินดีหรือยินร้ายมีกำลัง คุณจะได้พบเห็นตัณหา ความทะยานอยากเกิดขึ้นมาตอบโต้ความยินดี ยินร้าย นั้นๆ เกิดเป็น มโนกรรม วจีกรรม กายกรรม ตอบโต้กลับไป ด้วยอำนาจความยินดี ยินร้าย

สังเกต พิจารณาให้ดีว่าความยินดี ยินร้ายนี้เกิดขึ้นมาจากไหน ถ้าความสังเกตมีกำลังดีถึงที่คุณจะได้เห็นว่า จิตยินดี ยินร้ายนั้นมันเกิดขึ้นมาจากอุปาทานความเห็นผิดสำคัญที่ซ่อนลึกอยู่เบื้องหลังความยินดียินร้ายและตัณหา ความอยากนั้นๆ ซึ่งเราสามารถจะค้นพบได้ทางทฤษฎี โดยตั้งคำถามกับตัวเองว่า
"ใครยินดี ใครยินร้าย ใครเป็นผู้อยาก" เรา หรือ กู หรือ อัตตา คือผู้อยากและยินดียินร้าย ใช่หรือไม่
ใคร เป็นผู้พบเห็น อัตตา ความเห็นผิดว่าเป็น กู เป็น เรา นี้ สติและปัญญา ใช่หรือไม่ ถ้าใช่ ก็จงทำตามคำสรุปที่ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งได้สรุปไว้ว่า


:b35: ถ้าสามารถทำให้ สติ ปัญญา ได้เผชิญหน้ากับอุปาทาน ความเห็นผิดว่าเป็น กู เป็น เรา เช่นนี้แล้วจงทำดังนี้
"ใจปัญญา อย่ายอม ใจเป็นกู นิ่งดู นิ่งสังเกต พิจารณา ด้วยวิริยะ อุตสาหะ ตบะ ขันติ มิยอมถอย ถ้าสู้ได้ ทนได้ ไม่ตะบอย กู จะถอย หรือ ตายดับ ไปจากใจ" ดังนี้


ว่ามาเสียยาวยืด แต่คุณSiwakorn ลองไต่ตรองพิจารณา คิดหาเหตหาผลตามข้อความเหล่านี้ จะให้ดีก็ต้องลองทำจริง พิสูจน์ความจริงดูว่ามันจะเป็นเช่นคำที่กล่าวมาทั้งหมดนี้หรือไม่ แล้วจึงค่อยเชื่อนะครับ แล้วไม่ต้องเสียเวลาไปค้นหาคำตอบจากตำราหรอกนะครับ เพราะเรื่องทั้งหมดนี้เขียนจากประสบการณ์จริงที่ได้รับรู้มาจากครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังท่านบอกว่าที่อิงตำรา ก็มีเรื่องของไตรลักษณ์ เรื่องของมรรค 8 และวัตถุประสงค์ของมรรคที่ 1 คือโสดาปัตติมรรค ประหาณกิเลสตัวไหนเป็นสำคัญ อันเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้ผู้ปฏิบัติ ต้องเอาสติ ปัญญา ค้นหาให้พบ อัตตา กู และสู้ที่ กู จนกว่าจะชนะ เป็นสำคัญ ดังนี้ครับ

:b19: มีแง่มุมอื่นอีกที่คุณจะทำต่อหลังจากจิตนิ่งอยู่กับลมหายใจได้ดีแล้ว ถ้าสนใจและเห็นว่ามีประโยชน์ก็จะนำมาเล่าให้ฟังต่อไปครับ สาธุ สวัสดี Onion_L

.....................................................
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2009, 11:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาต ท่าน จขกท



เสวนาเรื่องอานาปานสติต่อไปเลยแล้วกันน่ะครับ



การเจริญ อานาปานสติ-กายานุปัสสนาใน3ข้อแรก เป็นการกดข่มจิต หรือไม่?


ท่านผู้รู้ ท่านเคยกล่าวไว้ว่า ในตอนแรกของอานาปานสตินั้น สมถะเด่น

คือ ใช้วิตก-วิจาร ของกายในกาย(ลมหายใจเข้าออก) ข่ม กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ไว้...ยังให้ เนกขัมมะวิตก อพยาบาทวิตก อวิหิงสาวิตก เจริญขึ้น

ซึ่ง นี่อาจจะถูกมองว่า นี่เป็นการกดข่มจิตกิเลสได้....



แต่ ต้องไม่ลืมอย่างหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามข่มจิตในทุกกรณี...

ถ้าเป็น พระพุทธพจน์ดั้งเดิม ท่านสอนให้"ข่มจิตในสมัยที่ควรข่ม"(สีติสูตร)



อานาปานสติ-กายานุปัสสนาใน3ข้อแรก เมื่อเจริญสมบูรณ์ จิตจะลุถึงปฐมฌาน คือ สงัดจากกาม(มีเนกขัมมะวิตก) สงัดจากอกุศล(มี อพยาบาทวิตก อวิหิงสาวิตก ) บังเกิดแต่วิเวก

แต่ ในปฐมฌานนี้ ยังไม่จัดว่าเป็น"สมาธิมีคุณอันไม่มีประมาณ"... คือ ยังคงมีการใช้ สสังขารธรรม(วิตก วิจาร)มากดข่มอกุศลธรรมอยู่



ในขั้นที่4แห่งกายานุปัสสนา คือ ระงับกายสังขาร (ละวิตก วิจาร) ซึ่งยังให้จิตลุถึงทุติยฌาน จึงปรากฏเอโกธิภาวะ (ธรรมเอก)ขึ้น....
สมาธิ ณ จุดนี้ เป็นสมาธิที่ปราศจากวิตก-วิจาร แล้ว จึงเป็นสมาธิที่ปราณีตขึ้น ไม่ต้องอาศัยการกดข่มด้วยสสังขารธรรม (บรรยาย ทุติยฌานด้วยคำว่า "เป็นธรรมเอก ผุดขึ้น ตั้งมั่น)


ดังปรากฏใน


ภิกษุ ท! พวกเธอจงเจริญสมาธิมีคุณอันไม่มีประมาณ เป็นผู้มีปัญญารักษาตัว มีสติเฉพาะหน้า อยู่เถิด เมื่อเธอเจริญสมาธิมีคุณอันไม่มีประมาณ เป็นผู้มีปัญญารักษาตัว มีสติเฉพาะหน้าอยู่ ญาณ ๕ ประการย่อมเกิดขึ้นเฉพาะตนนั้นเทียว ห้าประการอย่างไรเล่า ? ห้าประการ คือ :-

ญาณ ย่อมเกิดขึ้นเฉพาะตนนั้นเทียว ดังนี้ ว่า "สมาธินี้ ให้เกิดสุขในปัจจุบันด้วย มีสุขเป็นวิบากต่อไปด้วย ";

ญาณ ย่อมเกิดขึ้นเฉพาะตนนั้นเทียว ดังนี้ ว่า "สมาธินี้ เป็นธรรมอันประเสริฐ ปราศจากอามิส";

ญาณ ย่อมเกิดขึ้นเฉพาะตนนั่นเทียว ดังนี้ ว่า "สมาธินี้ คนชั่วคนถ่อยเสพไม่ได้";

ญาณ ย่อมเกิดขึ้นเฉพาะตนนั้นเทียว ดังนี้ ว่า "สมาธินี้ รำงับประณีต ได้แล้วด้วยปฎิปัสสัทธิ ถึงทับแล้วด้วยเอโกทิภาวะ (ความที่จิตมีธรรมอันเอก) ไม่ใช่บรรลุได้เพราะการข่มขี่และการห้ามด้วยสังขารธรรม (เครื่องปรุงแต่ง);

ญาณ ย่อมเกิดขึ้นเฉพาะตนนั้นเทียว ดังนี้ ว่า "เรามีสติเข้าถึงสมาธินี้มีสติ ออกจากสมาธินี้"

ภิกษุ ท! พวกเธอจงเจริญสมาธิมีคุณอันไม่มีประมาณ เป็นผู้มีปัญญารักษาตัว มีสติเฉพาะหน้า เมื่อเธอเจริญสมาะมีคุณอันไม่มีประมาณเป็นผู้มีปัญญารักษาตัว มีสติเฉพาะหน้าอยู่ ญาณ ๕ ประการเหล่านี้ ย่อมเกิดขึ้นเฉพาะตนนั่นเทียว อย่างนี้แล

- ปฌจก อ ๒๒/๒๕/๒๗




สรุป

ในตอนแรกเริ่มแห่งกายานุปัสสนา ยังคงมีการใช้ สสังขารธรรม(วิตก วิจาร) ข่ม กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ไว้. ยังให้จิตสงัดจากกาม จากอกุศลธรรม.

แต่ ในลำดับต่อมา ก็ ละวาง วิตก วิจาร แห่งกายในกาย เสีย



กายานุปัสสนาแห่งอานาปานสติ นี้ จึง เป็นลักษณะการกดข่มจิตกิเลสในช่วงต้นเท่านั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2009, 14:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


คำว่า ฌาน นี้ เป็นภาษาดั้งเดิม ที่พระพุทธองค์ทรงใช้ในระดับพระสูตร

สื่อถึง สมาธิธรรมที่ประกอบด้วยเหตุ2(วิตก วิจาร) และ ผล3(ปิติ สุข เอกัคคตารมณ์) เป็นเบื้องต้น



พึงสังเกตุว่า
แม้น สมาธิที่บังเกิดขึ้นจากการเจริญสติปัฏฐาน เช่น ที่ทรงแสดงในทันตภูมิสูตรที่๕ ก็ ทรงแสดงด้วยองค์แห่งฌานเช่นกัน

ใน พระสูตรที่ทรงแสดงอานาปานสติสมาธิภาวนา ก็ทรงแสดง สมาธิที่ปรากฏขึ้นด้วยองค์แห่งฌาน เหมือนกัน



ฌานนี้ เป็นคำกลางๆ

ถ้ามีเหตุปัจจัยที่เป็นไปในทางแห่งอริยมรรค ก็ จัดว่าเป็น สัมมาสมาธิในองค์อริยมรรค
ถ้าปราศจากเหตุปัจจัยที่เป็นไปในทางแห่งอริยมรรค ก็ จัดไม่จัดว่าเป็น สัมมาสมาธิในองค์อริยมรรค


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2009, 14:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ประเด็น เรื่อง การติดสุขที่บังเกิดขึ้นจากฌาน

เรื่องนี้ เป็นไปได้จริง



แม้นแต่ ครูบาอาจารย์พระกรรมฐานท่านก็เตือนไว้
(ท่านเตือนไม่ให้ติดสุขจากสมาธิ แต่ ท่านไม่ได้ห้ามเจริญสมาธิภาวนาน่ะครับ อย่าเข้าใจผิด)


ในรูปฌานนั้น
เมื่อ จิตลุถึงทุติยฌาน จะมีองค์คือ ปิติ สุข เอกัคคตารมณ์
เมื่อ จิตลุถึงตติยฌาน จะมีองค์แห่งฌาน คือ สุข เอกัคคตารมณ์
เมื่อ จิตลุถึงจตุตฌาน จะมีองค์แห่งฌาน คือ อุเบกขา(ละสุข และ ทุกข์) เอกัคคตารมณ์

คือ ยิ่งภาวนาจิตละเอียดเท่าใด ก็จะมีองค์แห่งฌานน้อยลงไป



พึงสังเกตุว่า

ถ้าหากจิตไม่ละวาง ปิติ (หน่ายปิติ เพราะมีสติสัมปชัญญะ) ก็จะไม่ก้าวเข้าสู่ตติยฌาน

ถ้าหากจิตไม่ละวางสุข(ทุกข์ดับไปตั้งแต่บรรลุรูปฌานที่๑แล้ว) ก็จะไม่ก้าวเข้าสู่อุเบกขาจิต แห่งจตุตฌาน ซึ่งบรรยายรูปฌานที่๔นี้ ด้วย อุเบกขา และ การมีสติบริสุทธิ์

ใน รูปฌานที่๔ ที่เป็นสัมมาสมาธิ นั้น บังเกิดได้เพราะ ละวาง ปิติ และ สุข



การติดสุขในสมาธิ จึงเป็นเหตุให้จิตไม่พัฒนาไปสู่ฌานขั้นต่อๆไปนั่นเอง



แต่ ใน เวทนานุปัสสนาแห่งอานาปานสติ นั้น
ท่านทรงแสดงถึง การระงับจิตตสังขาร ซึ่งจิตตสังขารในขณะจิตนั้นๆ คือ ปิติ และ สุข... แล้วจึง ก้าวไปสู่ขั้นจิตตานุปัสสนา

ดังนั้น ถ้าเจริญอานาปานสติให้ถูกต้องตามพระพุทธพจน์จริงๆ ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องการติดสุขจากสมาธิเข้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2009, 14:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธพจน์

ที่ ทรงแสดงถึง สมาธิที่ไม่มีวิตก-วิจาร ในการเจริญสติปัฏฐาน


http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 136&Z=4212

[๗๑๗] ดูกรอานนท์

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย

เมื่อเธอพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ความเร่าร้อนมีกายเป็นอารมณ์เกิดขึ้นในกายก็ดี ความหดหู่แห่งจิตเกิดขึ้นก็ดี จิตฟุ้งซ่านไปในภายนอกก็ดี ภิกษุนั้นพึงตั้งจิตไว้ให้มั่นในนิมิต อันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อเธอตั้งจิตไว้มั่นในนิมิต อันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ปราโมทย์ย่อมเกิด

เมื่อเธอปราโมทย์ ปีติย่อมเกิด

เมื่อเธอมีใจประกอบด้วยปีติ กายย่อมระงับ

เธอมีกายระงับแล้ว ย่อมเสวยสุข

เมื่อเธอมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น

เธอย่อมพิจารณาเห็นอย่างนี้ว่าเราตั้งจิตไว้เพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นสำเร็จแก่เราแล้ว

บัดนี้เราจะคุมจิตไว้ เธอคุมจิตไว้และไม่ตรึก ไม่ตรอง ย่อมรู้ชัดว่า เราไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีสติ ในภายใน เป็นผู้มีความสุข ดังนี้.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 13:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 13:33
โพสต์: 3


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณคำแนะนำจากทุกท่านครับ tongue


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร