วันเวลาปัจจุบัน 06 พ.ค. 2025, 06:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 169 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2009, 07:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


taktay เขียน:
walaiporn เขียน:

เป็นมนุษย์ล่องหนค่ะ :b32:

เชื่อมั๊ยคะ ตอนแรกที่เห็นรูปนี้ สะดุ้งเลยค่ะ แบบว่าตกใจจริงๆ

พอตั้งสติได้ มองที่ใบหน้าเขาตรงๆ พอเห็นแล้วก็นั่งอมยิ้ม

เจ้าของภาพเป็นคนอารมณ์ดีนะคะ ดูจากรอยยิ้มที่เขายิ้มออกมา

ตอนนี้พอดูแล้ว รู้สึกดีๆกับภาพๆนี้ค่ะ มองว่าเขาจริงใจดี :b12:


คนที่ปฏิบัตินี่ มักจะมองเห็นอะไรๆ ในความไม่มีอะไร
ได้เสมอเลยนะค่ะ ใช่ค่ะ นอกจากอารมณ์ดีแล้ว มีความมั่นใจในตัวเองสูงมากด้วย
"ฉันสวยย่ะ" 555

คืนนี้ต้องฟุ้งอีก แหง๋ม เลย :b13:

:b41: :b41: :b41: :b43:




อ่านแล้วกร๊ากเลยค่ะกับคำว่า " ฉันสวยย่ะ " แบบประมาณว่า คุณเธอมั่นใจมั่กๆ :b32:

น้ำมันพวกอารมณ์แปรปรวนค่ะ มักจะมองอะไรๆไม่ค่อยจะเหมือนชาวบ้านเขา

บางทีก็แหกคอกไปเลย อย่างใครมาถามเรื่องความสวยความหล่อนี่

รับรองผิดหวังในความตอบไปตามๆกัน ไม่มีหรอกค่ะสวย หล่อน่ะ ขี้เหร่ก็ไม่มี

ทุกอย่างมันอยู่ที่ความชอบของแต่ละคน เมื่อเกิดความชอบ เราก็ว่าสวยหล่อกัน

ทั้งๆที่ก็แค่หนังหุ้มเนื้อหุ้มกระดูก นำมาตบแต่งให้มันดูดี ด้วยเสื้อผ้า เครื่องประดับที่สรวมใส่

นอกนั้นไม่ได้มีอะไรเล๊ย แม้แต่สักนิดเดียว ..

ชอบมองคนข้างในค่ะ มองความคิด มองสิ่งที่เขาแสดงออกมา ชอบตรงนี้ :b12:

มีเรื่องเล่าให้ฟังค่ะ มีนะคะคนเขาหาข้อมูลทางกูเกิ้ล แล้วมาเจอบล็อกของน้ำเข้า

เขาเข้ามาอ่าน เขาบอกว่า เขาว่าเขาบ้าแล้วนะ ยังมีคนบ้ากว่าเขาอีก

คนๆนั้นก็คือน้ำ เขาบอกว่า คนดีๆที่ไหนจะเข้าใจคนบ้า คนดีที่ไหนมานั่งชื่นชมคนบ้า

ทุกวันนี้เขาเลยมานั่งอ่านบล็อกของน้ำทุกวัน วันดีคืนดีทักทายมาว่า หวัดดีคนบ้า จากคนบ้าเหมือนกัน

ก็ไม่รู้ว่าเขาหรือเราบ้านะคะ แต่ไม่ถือค่ะ ถือว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมกับเราคนหนึ่ง

ถ้าเห็นรูปเขาแล้วจะขำ ไม่รู้เขาทำไปได้ไง ยิ่งกว่ารูปที่คุณนำมาโพสอีกนะคะ

เสื้อสีแดงแปร๊ด เอาอะไรยัดหน้าอกไม่รู้ให้มันใหญ่ไม่เท่ากัน ทาปากแดงแปร๊ด

โอย!!!! ... พอเห็นรูปนี้นะคะ ขำกลิ้งเลย ไม่รู้เขาคิดได้ยังไง ..

จู่มาวันหนึ่ง เขาส่งภาพปกติมาให้ดู เห็นแล้วอึ้งค่ะ เขาเป็นสาวผมยาว หน้าตา ..

ฮ่าๆๆๆ จะพูดว่าสวยก็พูดไม่ได้ เพราะไม่เคยเห็นใครสวย หน้าตาเขาไม่ใช่แบบที่แต่งเลย

งงมากๆว่าเขาทำไปทำไม เขาบอกว่าเขาดูความคิด เขาเลยชอบน้ำ ฮ่าๆๆๆ

ปฏิบัติ .. เมื่อมาถึงจุดๆหนึ่ง เราจะไม่มามองสิ่งที่อยู่ภายนอก แต่จะมองสิ่งที่อยู่ภายใน

ฟุ้งแบบนี้ไม่เป็นไรค่ะ ความสุขเล็กๆน้อยๆในการได้สนทนากัน ฟุ้งเรื่องอื่นๆสิคะไม่ไหว

สมาธิกระเจิดกระเจิงหมด :b32:

ขอให้ก้าวหน้าในการปฏิบัติไปเรื่อยๆนะคะ :b8:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2009, 08:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


ปิยโต ชายเต โสโก
ความโศกย่อมเกิดเพราะความรัก

สัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รักที่ชอบใจ ถ้าเราเข้าไปยึดถือ ก็มักจะนำความโศกมาเกิดแก่เราเสมอ
การกำหนดรู้เท่าทันอารมณ์หรือสภาวะที่มากระทบทุกอย่าง เป็นการดับที่ต้นตอของความรักได้
อย่างดี

คุณทักทาย

ก่อนที่จะปฏิบัติ เมื่อมีความรู้สึกว่า เราอยากได้นิำพพาน หรือเพราะอะไรก็ตามแต่ กำหนดรู้ก่อนนะครับ
สร้างความพอใจได้ระดับหนึ่งแล้วก็วางไว้ ไม่เช่นนั้นจะทำให้เราวางอารมณ์ได้ไม่ดีพอในเวลาปฏิบัติ
เพราะความอยาก ความต้องการ ถ้าเราไม่ทำให้เป็นแค่ความพอใจ จะเป็นตัณหาชนิตหนึ่ง เขาเรียก
กันว่า นิกันติตัณหา ความทะเยอทะยานอยากเพราะความต้องการ จัดเป็นส่วนหนึ่งของนิวรณ์ธรรม
ข้อนี้พึงระวังไว้ด้วย

ผมไปธุระ เย็นๆคงกลับมา ถ้ามีอะไรโพสไว้ จะกลับมาตอบให้ วันนี้อาจได้สนทนากันทางเอ็มบ้าง
เพราะอาจมีเพิ่มระยะบางอย่างให้

วายเมเถว ปุริโส ยาว อตฺถสฺส นิปฺปทา.
เป็นคนควรพยายามจนกว่าจะประสบความสำเร็จ.

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2009, 11:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


กรัชกาย เขียน:
ขออนุญาตถามคุณทักทายหน่อยขอรับ :b8:

คุณปฏิบัติกรรมฐานแบบเนี่ย มีเป้าหมายอย่างไร ขอรับ :b8:


ขอตอบจากใจจริงว่า ตอนแรกแค่อยากดับทุกข์ในใจเท่านั้นเอง
ตอนกลางมาแค่อยากหลีกอบายภูมิ แต่ตอนนี่้มีความรู้สึกว่าไม่อยากเกิดแล้วลึกๆค่ะ
ยังไม่ชัดเจน มีคำแนะนำดีๆ กรุณาด้วยนะค่ะ ขอน้อมรับด้วยความขอบคุณ

อนุโมทนา เจริญในธรรมค่ะ tongue

:b41: :b41: :b41: :b43: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2009, 13:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


[quote="กามโภคี"]ปิยโต ชายเต โสโก
ความโศกย่อมเกิดเพราะความรัก

สัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รักที่ชอบใจ ถ้าเราเข้าไปยึดถือ ก็มักจะนำความโศกมาเกิดแก่เราเสมอ
การกำหนดรู้เท่าทันอารมณ์หรือสภาวะที่มากระทบทุกอย่าง เป็นการดับที่ต้นตอของความรักได้
อย่างดี

คุณทักทาย

ก่อนที่จะปฏิบัติ เมื่อมีความรู้สึกว่า เราอยากได้นิำพพาน หรือเพราะอะไรก็ตามแต่ กำหนดรู้ก่อนนะครับ

เรียนอาจารย์ ด้วยความสัตย์จริง ที่ปฏิบัตินี้ ยังไม่ได้หวังอะไรเลยค่ะ
แค่อยากดับทุกข์ เพราะที่ผ่านมาทุกข์มากเหลือเกิน แต่พอปฏิบัติไปแล้วอาจารย์บอกว่า "ปิด
หนทางอบายภูมิแล้ว" ก็ดีใจมีกำลังใจขึ้น เป็นของแถม ส่วนเรื่องนิพพานนั้นถึงจะมีอยู่ในใจลึกๆ
แต่ก็รู้ว่ายังอีกไกล จะว่าหวังก็ยังไม่ใช่เสียเลยที่เดียว เอาเป็นว่ามีความรู้สึกว่าเดินทางไปเรื่อยๆ
ได้แค่ไหนก็แค่นั้น ขอให้ไกลที่สุดสำหรับภพนี้ แค่นี้จริงๆค่ะ ระวังใจตัวเองอยู่ตลอดกลัวเลอะ
หลงและก็เหลิงค่ะ
ถือโอกาสรายงานเลยนะค่ะ เพิ่งเสร็จจากการปฏิบัติพอดี
เดินระยะหนึ่งสิบนาที มีความรู้สึกว่าแป๊ปเดียวเอง ระยะนี้มีแต่ปวดหลัง ซึ่งคิดว่าเป็นเรื่องงาน
เพราะกำหนดไม่หาย เป็นที่เดิมทุกครั้งที่เดินค่ะ พอเริ่มเดินระยะสามสิบนาทีแรกก็ไม่มีอะไร
เพียงแต่ตกใจตอนหนูวิ่งตัดหน้า แต่ไม่กลัว ก็กำหนด"สะดุ้ง" แล้วก็เริ่มเดินต่อ พยายามให้
เร็วขึ้น ยก ย่าง เหยียบ ต่อด้วยนุ่มหนอค่ะ มีคิดบ้าง บางครั้งนุ่มหนอหายไปเลย พอรู้
ก็กลับมาใหม่ จนห้านาทีสุดท้ายเดินไปถึงสุดทางมีผนังกั้นต้องเลี้ยว กำลังกำหนด "หยุดหนอ"
สามครั้ง แล้วต่อด้วย"ยืนหนอ"อีกสามครั้ง ที่ข้างฝามีขีดเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนจางๆ เท่าขนม
เปียกปูน แต่เป็นสี่เดียวกับผนัง ก็กำลังกำหนดหยุดหนอ เห็นรูปนั้นเต้นเหมือนหัวใจเต้นเลยค่ะ
ตอนแรกค่อยๆก่อน แล้วก็แรงขึ้นๆ ก็รีบกลับมากำหนดเห็นหนอ กำหนดไปเรื่อยๆ มันก็แรงขึ้น
เรื่อยๆ นานมาก ก็เลยละ โดยกลับมากำหนดยืนหนอ แล้วก็กลับหนอ เพราะเป็นทางเลี้ยวพอดี
พอกลับมายืนกำลังจะเดินต่อ ก็เห็นพรหมปกติเป็นสีเขียวเกือบดำ กลายเป็นสีไม่ใช่ขาว แต่ขาวกว่า
ปกติ ประมาณสักเท่าเอามือกอบ แล้วก็เต้นเหมือนหัวใจเต้นอีกเริ่มจากค่อย แล้วก็แรงขึ้นยิ่ง
กำหนดมันก็ยิ่งแรง แต่สักพักมันก็อ่อนลงแต่ไม่หาย ก็ละอีกเหมือนกันก็ยกย่างเหยียบผ่านตรง
นั้นไป ใจสงสัยก็กำหนดสงสัย แล้วก็เดินต่อไปก็ไม่มีอะไร ยกย่างเหยียบนุ่ม ซึ่งอันหลัง
หายไปบ่อยเหมือนกัน จนวนกลับมาที่เดิมก็อยากจะรู้ว่าจะเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า? ก็กำหนด
อยากรู้หนอ จนไปถึงที่เดิม ก็ดูที่ข้างฝา ตอนแรกไม่เต้นค่ะ แต่พอเริ่มกำหนดหยุดหนอ
ก็เริ่มเต้นอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่แรง เต้นเบาๆ กำหนดไปได้สักหกเจ็ดครั้ง ก็เบาลงเรื่อยๆ แต่
ไม่หาย พอกลับตัวแล้วหยุดยืนดูตรงพรหม คราวนี้พรหมไม่เต้นแล้ว แต่เป็นรูปบอกตรงๆเลยว่า
รูปเปรตตัวเล็กๆแต่ยาว นอนอยู่แต่สีพรหมนะค่ะ สี่ไม่เปลี่ยน เพียงแต่เห็นเป็นลูกกะตาโปน ตัว
ยาวๆ หันหัวมาทางทักทาย ไม่กลัวค่ะ เพียงแต่สงสัย ก็กำหนดเห็นหนอก่อนตามด้วยสงสัย
ไม่หายนะค่ะ ก็เลยเดินต่อ พอไปใกล้จริงๆก็หายไปค่ะ ก็เดินต่อไป พอวนกลับมาที่เดิมครั้งที่สาม
ฝาผนังไม่เต้นแล้ว ทุกอย่างหายไปหมดค่ะ ก่อนจะหมดเวลามีคิดนิดหน่อย คงเพราะวันนี้พูดมาก
ไปหน่อย
เริ่มต้นการนั่งตามที่อาจารย์แนะนำ ระยะแรก พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ไม่ได้ค่ะ ไม่ทัน
ปนกันยุ่งไปหมด ก็กำหนดใหม่เอาเป็นพองยุบธรรมดาก่อน พอสงบสักพักก็เปลี่ยนเป็นถูกหนอ
ที่ตาตุ่ม ได้ผลค่ะกำหนดทันและชัดเจนดี แต่พองวันนี้ค่อยๆไต่ขึ้นไปจากขั้นหนึ่ง แต่ถึงแค่
ขั้นสาม ไม่ขึ้นถึงบนสุดขั้นสี่ คือพูดง่ายๆว่าแผ่วลงไป เหมือนแรงไม่ถึงค่ะ ยุบก็เหมือนกันค่อยๆ
ไต่ลงมาแบบแผ่วๆ จากขั้นสามมาถึงขั้นหนึ่ง สักพักดีใจที่จับ พองหนอ ยุบหนอ และถูกหนอ
ได้สักประมาณหนึ่งหรือสองนาที ก็รีบกำหนด ดีใจ จนหาย กลับมาที่เดิม ที่นี่ไม่ได้แล้วค่ะ
ได้แต่พอง ยุบ ถูก วนไปวนมา ต้องกลับไปตั้งต้นใหม่อีก พอจับได้สักระยะหนึ่ง ที่นี่มีความ
รู้สึกว่ามือกับตักตรงกลางเบาขึ้นๆๆๆ จนเหมือนมันหายไป ก็กำหนดรู้ไปตามนั้นค่ะ แต่ก็ยังมี
ความรู้สึกอย่างเดิม กำหนดแล้วก็ไม่หาย ที่นี่ก็วูบๆวาบๆ เหมือนอะไรดีค่ะ อธิบายไม่ถูกค่ะ
จะว่าเป็นแสงก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นใครมาปัดมือก็ไม่ใช่ เป็นขาวกับคล้ำสบัดไปสบัดมา ก็กำหนด
ว่าเห็นหนอ นานมากค่ะ ไม่ยอมหาย แต่ครั้งนี้ไม่กลัว ไม่หายก็เลยละไป
ที่นี่ก็เห็นมือคนกำลังติดกระดุมเสื้อ เห็นแต่มือนะค่ะ ก็กำหนดเห็นหนอ พอหายไปก็กลายเป็นหน้า
คนอีกแล้ว ใครเป็นใครไม่รู้ คือมีสักสองสามคน พอคนนี้หายไป คนนั้นมาแทน ก็กำหนดเห็น
หนอ ไปเรือยๆ ถ้าไม่ทัน ก็รู้หนอ จนหายไปหมด กลับมาพองหนอ ได้แป๊ปเดียว รู้สึกว่า
หัวใจเต้นค่ะ เต้นเหมือนจะออกมาข้างนอกไปเลย ก็กำหนดรู้หนอไป แล้วก็มีโงกตามมา หลังจาก
หัวใจหายไป พอโงกก็คิดว่าง่วง ก็กำหนดงว่ง สองสามครั้งก็หาย กลับไปพอง ยุบได้อีก
แป๊ป ก็โงกอีก พอดีหมดเวลาค่ะ
พอปฏิบัติเสร็จก็รีบมารายงานเลยเพราะกลัวลืมรายละเอียดค่ะ จึงเรียนมาเพื่อพิจารณาค่ะ
อนุโมทนา สาธุ เจริญในธรรมนะค่ะ

:b41: :b41: :b41: :b43: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2009, 15:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


กามโภคี เขียน:
ปิยโต ชายเต โสโก
ความโศกย่อมเกิดเพราะความรัก

สัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รักที่ชอบใจ ถ้าเราเข้าไปยึดถือ ก็มักจะนำความโศกมาเกิดแก่เราเสมอ
การกำหนดรู้เท่าทันอารมณ์หรือสภาวะที่มากระทบทุกอย่าง เป็นการดับที่ต้นตอของความรักได้
อย่างดี



โรคที่รักษายากที่สุดคือ โรคใจ .. tongue

แต่ไม่มีอะไรที่ไม่สามารถทำได้ในโลกใบนี้ หากเรามีความมุ่งมั่น

ตั้งใจแน่วแน่ที่จะรักษา การรักษาที่ดีที่สุดคือ ใช้ธรรมะโอสถ




๑.นิพฺพทํ วิรชฺชติ.

เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมสิ้นกำหนัด

๒.วิราโค เสฏโฐ ธมฺมานํ

วิราคะ เป็นสิ่งประเสริฐ แห่งธรรมทั้ง

สุขา วิราคตา ฌลเก กามานํ สมติกฺกโม.

วิราคะ คือ ความก้าวล่วงเสียด้วยดี ซึ่งกามทั้งหลาย เป็นสุขในโลก



ขอบคุณอีกครั้งที่หาธรรมะมากระแทกกิเลสได้ดีแท้ tongue

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2009, 15:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


taktay เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ขออนุญาตถามคุณทักทายหน่อยขอรับ

คุณปฏิบัติกรรมฐานแบบเนี่ย มีเป้าหมายอย่างไร ขอรับ


ขอตอบจากใจจริงว่า ตอนแรกแค่อยากดับทุกข์ในใจเท่านั้นเอง
ตอนกลางมาแค่อยากหลีกอบายภูมิ แต่ตอนนี่้มีความรู้สึกว่าไม่อยากเกิดแล้วลึกๆค่ะ
ยังไม่ชัดเจน มีคำแนะนำดีๆ กรุณาด้วยนะค่ะ ขอน้อมรับด้วยความขอบคุณ

อนุโมทนา เจริญในธรรมค่ะ



ที่แรกคุณทักทายคิดถูกแล้วว่างั้นนะ ที่ว่า (ตอนแรกแค่อยากดับทุกข์ในใจเท่านั้นเอง)
แล้วที่เหลือๆ เป็นเรื่องของอนาคต ซึ่งเป็นผลไปจากปัจจุบันชาตินี้ จากปัจจุบันขณะนี้ๆ

หากปัจจุบันชาติ ปัจจุบันขณะ จิตใจยังประกอบไปด้วยทุกข์ ก็ยากที่อนาคตตั้งแต่พรุ่งนี้ เป็นต้นไป
จนถึงภพภูมิหน้า จะมีสุขได้ หรือ ไม่เกิดอีกได้

ที่สำคัญจะทำให้การปฏิบัติ ณ ขณะนั้นๆพลาด เพราะไปคิดอย่างนั้นเสียล้ว เลยไม่เห็นไม่ดูความคิดอาการที่
เกิดขึ้นแก่ตนขณะที่กำลังปฏิบัติกรรมฐานอยู่


พิจารณาพุทธพจน์นี้ดูขอรับ

“ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นมรรคาเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อข้ามพ้น
ความโศก และ ปริเทวะ เพื่อความอัสดงแห่งทุกข์ และ โทมนัส
เพื่อบรรลุโลกุตรธรรม เพื่อกระทำ
ให้แจ้งซึ่งนิพพาน นี้ คือ สติปัฏฐานสี่”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2009, 21:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


กรัชกาย เขียน:


ที่แรกคุณทักทายคิดถูกแล้วว่างั้นนะ ที่ว่า (ตอนแรกแค่อยากดับทุกข์ในใจเท่านั้นเอง)
พิจารณาพุทธพจน์นี้ดูขอรับ

“ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นมรรคาเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อข้ามพ้น
ความโศก และ ปริเทวะ เพื่อความอัสดงแห่งทุกข์ และ โทมนัส
เพื่อบรรลุโลกุตรธรรม เพื่อกระทำ
ให้แจ้งซึ่งนิพพาน นี้ คือ สติปัฏฐานสี่”[/quote]

สาธุค่ะ กำลังค่อยๆศึกษาเรื่องนี้ในกระทู้ที่อาจารย์กรัชกายโพสต์ไว้
อยู่เหมือนกัน อ่านที่เดียวไม่ได้ กลัวจะรู้มากเดี๋ยวจะล้ำปฏิบัติ นิสัยเดิมของทักทายเป็นคนค่อน
ข้างอวดดี ทั้งที่ไม่มีดีจะอวด ต้องเบรคๆตัวเองค่ะ ปฏิบัติให้ดีก่อน ที่สำคัญมากๆคือปวดตา
ค่ะ ทุกกระทู้ที่อาจารย์โพสต์มีประโยชน์มากแต่บางอัน เกินปัญญาของทักทายก็ต้องผ่านๆ
ไปก่อน แล้วก็ค่อยๆศึกษาไปเรื่อยๆค่ะ อนุโมทนา สาธุนะค่ะ เจริญในธรรม



tongue :b41: :b42: :b41: :b42: :b41: :b42: :b41:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2009, 00:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




untitled22.bmp
untitled22.bmp [ 27.05 KiB | เปิดดู 3702 ครั้ง ]

นำรูปคนที่เล่าให้ฟังมาให้ดูค่ะ ...

เสียดายรูปเก่าที่เขาแต่งแบบให้น่าเกลียดน่ะ ไม่ทราบว่าอยู่ตรงบล็อกไหน

บล็อกมันยาวน่ะค่ะ เลยไม่รู้ว่าข้อมูลอยู่ตรงไหนบ้าง


.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2009, 01:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


เท่าที่อ่าน เท่าที่คุยทางเอ็ม พอสรุปได้
แนะนำ.-
เดินระยะที่ ๔ เพิ่ม คือ ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ

ยกส้นเท้าขึ้น โดยที่ปลายเท้ายังแตะพื้นอยู่ พร้อมกับกำหนดว่า ยกส้นหนอ จิตรู้อาการที่ส้นเท้า
ยกขึ้น
ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ เหมือนระยะที่ ๓ ทุกอย่าง

ระยะเวลาเดิน ระยะที่ ๑ เดิน ๑๐ นาที
ระยะที่ ๓ เดิน ๑๐ นาที
ระยะที่ ๔ เดิน ๒๐ นาที

การนั่ง กำหนดตามที่แนะนำล่าสุด เพิ่มนั่ง ๓๐ นาที
เวลาเดินที่กำหนด จำนวนนาทีอาจเหลื่อมล้ำบ้าง ไม่เป็นไร

เท่าที่ดูและคุยกันทางเอ็ม พอมั่นใจว่า ถ้าปฏิบัติแบบนี้อยู่ สภาวะจะยังไม่ลงกว่านี้แล้ว และไม่
วิ่งสูงไป ลงต่ำมาอีก คิดว่าคงที่ในระดับนี้แล้ว ก็เลยคิดว่า เพิ่มข้อปฏิบัติให้อีกนะครับ
เวลานั้น ผมเพิ่มอีก ๑๐ นาที คิดว่าคงไม่ลำบากเท่าไร จะเพิ่มขึ้นตามสภาวะครับ และจะไม่ให้รู้
สึกว่ามากไปจนท้อใจ คิดว่าสภาวะทางกายและใจคงตามทันไม่ยาก

อาการนิมิตมากปีติมาก ต้องทันนะ การเดินจงกรม ให้ทันปัจจุบันด้วย กำหนด จิตที่รู้เท้าเคลื่อน
ต้องทันปัจจุบันกัน

กำหนดอิริยาบถ ให้สติแนบอาการตลอด การบริกรรม เช่น ย่างหนอ ต้องใส่ใจอาการย่างด้วย
อย่าบริกรรมเฉยๆ

เวทนาที่ปรากฏ บางอย่างมาจากกายเรา เวลาเรานั่งนานเดินนานก็ปวด จัดว่าเห็นทุกข์ แต่ ทุกข์เทียมๆ
ทุกข์ของจริงยังรอให้เราไปดูอยู่ ใส่ใจกำหนดเวทนาที่ปรากฏจนหาย เว้นปวดหลังที่เป็นอยู่

การกำหนดที่ความคิด ส่วนมากรู้ตัวเมื่อเข้ามาหน่อยหนึ่ง ยังดี ถ้าช่วงไหนสติไวก็จะเร็วเอง อย่าลืม
กำหนดจนกว่าจะหายไป ตามติดเลยนะครับ

การกำหนดที่อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย(สัมผัส) ถ้าปรากฏชัดเจนจนทำให้เราต้องแว๊บออกจาก
สภาวะที่เรากำหนดอยู่ ก็กำหนด รูปที่เห็น เสียง กลิ่น รส สัมผัสนั้นได้เลย

กำหนดให้ได้ปัจจุบัน ด้วยจิตที่วางเฉย ไม่อยากรู้อยากเห็น ไม่ชอบหรือชอบ แต่รู้เท่านั้นจนกว่าสภาวะ
จะหายไป

ขอให้เจริญในธรรมครับ สาธุ

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2009, 03:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


รับทราบ คืนนี้จะปฏิบัติตามคำแนะนำที่ให้มาใหม่นี้ค่ะ
อนุโมทนา เจริญในธรรมค่ะ

:b41: :b41: :b41: :b42: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2009, 13:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b41: :b41: รายงานค่ะอาจารย์ เดินระยะหนึ่งสิบนาทีไม่มีอะไรเลย
มีความรู้สึกว่าแป๊ปเดียว ได้เกือบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ มีคิดนิดหน่อยกำหนด
ครั้งสองครั้งก็หาย
เดินระยะสามสิบนาที ยืนงงอยู่แป๊ปหนึ่ง ต้องกำหนดสับสนหนอ สักสองสามครั้งก่อน
ถึงเริ่มเดินได้ ยกย่างเหยียบและก็นุ่มหนอ เพราะรู้สึกถึงความนุ่มของพรหมชัดเจน
มีปวดหัวนิดหน่อย กำหนดสองสามครั้งก็หาย แล้วก็ย้ายไปปวดขา กำหนด
แล้วก็หาย คันจมูก กำหนดหาย เปลี่ยนไปคันหน้า นิดหน่อยๆ แล้วก็หายไป
พอครบกำหนด เริ่มเดินระยะสี่ยี่สิบนาที ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ
ก็รับรู้ความนุ่มของพรหมก็นุ่มหนอ มีคิดบ้าง ปวดขาบ้าง เอียงบ้าง ก็กำหนดไป
มีย่างหายไปบางครั้ง ยกหายไปบางครั้ง แต่อย่างอื่นไม่มีอะไรเลยค่ะ จนครบเวลา

นั่งสามสิบนาที พองหนอ ยุบหนอ ถูกหนอ สักห้านาที เริ่มด้วยวูบๆวาบก่อน
กำหนดนานมาก ไม่ยอมหาย ตอนแรกวูบวาบไกลๆ พอกำหนดไป ก็เข้ามาอยู่
ตรงหน้า แต่จางหน่อย วันนี้สีขาวกับขาวคล้ำ ไม่ดำค่ะ โบกเข้ามาใกล้ แล้วก็
ห่างออกไป ไม่ยอมหาย จนต้องกำหนดรำคาญหนอ ก็ยังคงอยู่ พอเสร็จจากรำคาญ
ทีนี่ก็คิดแล้ว กำหนดเรื่องนี้หาย เรื่องนั้นมา แบบค่อยๆแทรก บางครั้งกลับไปหา
พองยุบได้สักสองสามครั้ง ก็คิดอีก ครั้งสุดท้ายกลายเป็นคน เริ่มจากใครก็ไม่รู้ก่อน
เป็นผู้ชาย แล้วก็เด็ก แล้วก็ผู้หญิง แล้วก็เป็นดารา ก็ชักสับสน ก็กำหนดสับสนหนอ
ก็คิดว่าน่าจะเป็นเพราะดูหนังมากไป ก็กำหนดคิดหนอ พอคนพวกนี้หายไป กลายเป็น
โครงกระดูกแช่อยู่ในอ่างเหมือนบ่อดองศพค่ะ ตอนแรกนอนคว่ำ แล้วก็หงายหน้าขึ้นมา
เหมือนจะยิ้มด้วย ก็กำหนดเห็นหนอ นานค่ะกว่าจะหาย พอกระดูกหาย ก็เป็นหน้าคนแต่ตา
ถลนออกมาข้างหนึ่ง พอกำหนดไปก็เปลี่ยนเป็นหุ่น กำหนดต่อก็หายกลายเป็นมือ
ใหญ่มากแต่รู้ว่าเป็นผู้หญิงเพราะทาเล็บแบบแฟนซี คือนิ้วชี้สีแดง แต่สี่นิ้วที่เหลือทาสีดำ
ไม่ได้กลัว ก็กำหนดเห็นหนอ จากนิ้วมือผู้หญิงที่สวย ก็ค่อยๆเหี่ยว จนเหี่ยวสุด ก็กำหนด
ต่อไปเรื่อยๆ พอหายไปก็เพิ่งจะพองหนอ ได้ครั้งเดียว ก็เป็นหนอนตัวใหญ่เท่าหมอนข้างเด็ก
มันเร็วและมั่วมากๆเลยค่ะ กำหนดได้สักพัก ก็คิดว่าเราถ้าจะดูหนังมากไปถึงได้มั่วแบบนี้
ก็กำหนดว่าสงสัยหนอ แล้วก็ไม่เชื่อหนอ ก็เกิดอาการอึดอัดเหมือนจะหายใจไม่ออก
แต่เป็นเร็วหายเร็ว กำหนดครั้งเดียวก็หายค่ะ พอหาย วูบๆวาบๆก็กลับมาอีกแล้ว
ก็กำหนดไปตามนั้นจนหมดเวลา ค่ะ อาจจะขาดหายไปบ้าง เพราะทุกอย่างมันเร็วมาก
พอกำหนดนี้ยังไม่ทันหายดี อันใหม่ก็เริ่มมาอีก แต่วันนี้ไม่สะดุ้ง ไม่กลัวค่ะ เฉยๆ มีก็แต่
สงสัย เพราะคนเหล่านั้น บางคนก็เห็นในหนัง แต่บางคนก็ไม่รู้จักค่ะ มีความรู้สึกเหมือน
หัวใจเต้นแรง จนทำให้ตัวโยกไปข้างหน้า แทรกมาด้วยค่ะ ก็กำหนดทุกอย่างที่เห็น ที่เป็น
พยายามเก็บทุกอย่าง แต่บอกตามตรงว่าบางครั้งก็ไม่ทันค่ะ เพราะทุกอย่างมันเร็วจริงๆค่ะ
อันไหนไม่ทันก็รุู้หนอค่ะ มีปวดหลังแทรกบ้าง กำหนดนิดหน่อยก็หาย แต่พอออก ปวดมาก
เดินแทบไม่ไหวค่ะ เรียนมาเพื่อพิจารณาค่ะ อนุโมทนา เจริญในธรรมค่ะ

:b41: :b41: :b41: :b42: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2009, 13:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


walaiporn เขียน:

นำรูปคนที่เล่าให้ฟังมาให้ดูค่ะ ...

เสียดายรูปเก่าที่เขาแต่งแบบให้น่าเกลียดน่ะ ไม่ทราบว่าอยู่ตรงบล็อกไหน

บล็อกมันยาวน่ะค่ะ เลยไม่รู้ว่าข้อมูลอยู่ตรงไหนบ้าง



เขาเป็นคนสวยจริงๆด้วยนะค่ะ สูสีกับคนของทักทายเลย
ที่จริงคุณน้ำไม่ได้เล่าให้ฟังนะค่ะ โพสต์ให้อ่านต่างหากค่ะ แฮ่ แฮ่ แฮ่

:b13: :b13: :b13:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2009, 14:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณทักทาย ต้องทำใจ เพราะวันนี้เพิ่มระยะ สติสมาธิต้องมีเปลี่ยนไปบ้าง
การเดินอาจเอียงไป อาจไม่ดีพอ ก็ต้องกำหนดรู้ไปตามนั้น

กำลังเริ่มจะดีขึ้นนะ แต่ว่า นิมิตมากไปหน่อย นิมิตที่มากเพราะอินทรีย์เรามากตัวหนึ่ง อีกหลายๆตัว
ตามไม่ทัน คงต้องลองระยะและเวลาเดิมก่อน เพิ่งเปลี่ยนระยะไป รออินทรีย์ให้ปรับดีๆซัก ๑-๒ วันก่อน
ค่อว่ากันใหม่ว่าจะลดเพิ่มอย่างไร ถ้าจะอุปมาก็ง่ายๆว่า ต้องออกมาทำงานพร้อมๆกันเข้าจังหวะระยะที่
พอดีกัน


อ้างคำพูด:
มันเร็วและมั่วมากๆเลยค่ะ ฯลฯ วันนี้สีขาวกับขาวคล้ำ ไม่ดำค่ะ
เพราะทุกอย่างมันเร็วมากพอกำหนดนี้ยังไม่ทันหายดี อันใหม่ก็เริ่มมาอีก
แต่บอกตามตรงว่าบางครั้งก็ไม่ทันค่ะ เพราะทุกอย่างมันเร็วจริงๆค่ะ


ที่ว่ามันเร็ว เปลี่ยนไปตลอดจนเราว่ามั่วมาก ทุกอย่างเร็วจริงๆ ลองคิดดูที่เร็วคืออะไร เปลี่ยนไปเร็ว
ใช่หรือไม่ ปรวนแปรไป เปลี่ยนแปรไป ไม่ตั้งอยู่ในสภาวะเดิม วันนี้สีขาว เมื่อวานดำ
วันนี้กับเมื่อวานนี้ไม่เหมือนกันเพราะเปลี่ยนไป ภาษาพระเรียกว่าอะไรนะ ........???

อาการที่มันต้องเปลี่ยนไปต่างๆนานาๆ เพราะมันตั้งอยู่ไม่ได้แบบเดิม ถูกการปรวนแปรบังคับ
ให้ต้องผิดไปจากเดิม เพราะถูกบีบคั้นอยู่อย่างนี้ตลอด ภาษาพระเรียกว่าอะไรนะ.......???


อ้างคำพูด:
โบกเข้ามาใกล้ แล้วก็
ห่างออกไป ไม่ยอมหาย จนต้องกำหนดรำคาญหนอ ก็ยังคงอยู่


ที่รำคาญเพราะอะไร ใช่เพราะมันมาไวไม่หายไปซักที เปลี่ยนไปอยู่เรื่อยๆ กำหนดก็ไม่ค่อยหาย
อาการแบบนี้เหมือนมันไม่เชื่อฟัง ไม่เป็นไปในอำนาจเราเลย บังคับไม่ได้ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นของเรา
ภาษาพระว่าอย่างไรนะ......???




อ้างคำพูด:
เริ่มจากใครก็ไม่รู้ก่อน เป็นผู้ชาย แล้วก็เด็ก แล้วก็ผู้หญิง แล้วก็เป็นดารา
พอคนพวกนี้หายไป กลายเป็นโครงกระดูกแช่อยู่ในอ่างเหมือนบ่อดองศพค่ะ ตอนแรกนอนคว่ำ
แล้วก็หงายหน้าขึ้นมาเหมือนจะยิ้มด้วย พอกระดูกหาย ก็เป็นหน้าคนแต่ตาถลนออกมาข้างหนึ่ง
พอกำหนดไปก็เปลี่ยนเป็นหุ่น กำหนดต่อก็หายกลายเป็นมือใหญ่มากแต่รู้ว่าเป็นผู้หญิง
เพราะทาเล็บแบบแฟนซี คือนิ้วชี้สีแดง แต่สี่นิ้วที่เหลือทาสีดำ จากนิ้วมือผู้หญิงที่สวย
ก็ค่อยๆเหี่ยว จนเหี่ยวสุด


ลองอ่านตรงนี้ดู เผื่อจะเข้าใจอะไรบ้างนะครับ

รูปนามที่เป็นอตีด อนาคต ปัจจุบัน หยาบ ละเอียด เลว ประณีต ที่ไกลที่ไกล้ ล้วนแต่เป็น........
รูปนามตั้งแต่เด็กจากอตีดถึงปัจจุบัน รูปนามในอตีดไม่ถึงปัจจุบัน หายไปก่อนแล้ว จากปัจจุบันก็
จะไม่ถึงอนาคต เพราะหายไปก่อนแล้ว ดับไปก่อนแล้ว รูปนามอดีตก็ดับไปในอดีต รูปนามปัจจุบัน
ก็ดับไปในปัจจุบัน จากเด็ก เป็นคนโต รูปนามเด็กก็เป็นอดีต ดับไป คนโตปรากฏปัจจุบัน จากนั้น
ก็เป็นอดีต ดับไป กลายเป็นโครงกระดูก

คิดดูนะครับ ว่าภาษาพระเขาเรียกแบบนี้ว่า....???
คิดได้ ก็ได้ปัญญาระดับจินตามยปัญญาทันทีครับ


อ้างคำพูด:
ก็เกิดอาการอึดอัดเหมือนจะหายใจไม่ออก


ที่ว่าอึดอัด ใช่ที่กายนี้ที่เรายึดมั่นถือมั่นว่า ตัวของเรา กายของเราหรือเปล่าครับ ถ้าใช่ ลองคิดต่อว่า
ทำไมมันไม่สบายๆให้เรา เพราะความจริงเราอยากสบาย และที่อึดอัดแบบนี้มันคือสุขหรือที่ภาษาพระ
เขาเรียกว่า.......????

อีกประมาณวันหนึ่งถึง ๒ วันครับ น่าจะเบาเรื่องนิมิตที่มามากจนฟุ้งเลย เพิ่มระยะไปสติจะมากขึ้น
สติที่มากขึ้นจะไว ก็เลยทำให้ฟุ้งได้ เพราะปัญญายังไม่เข้ามาตัด ฟุ้งก็เลยเหมือนมากไป
กำหนดไปตามอาการที่เรารู้เห็นถูกแล้วนะครับ แต่ว่า ถ้าไม่ทัน เรายังมีสติเห็นอยู่ ให้กำหนด รู้หนอๆ
แล้วใส่ใจดูที่เราเห็นไป ไม่ต้องอยากรู้หรือสงสัยในสิ่งที่เห็น แค่ดูรู้เห็นก็พอ เมื่อเบาลงมากจนไม่ชัด
หรือหายไป กลับมาที่ท้องพองยุบต่อไป
บางสภาวะเขามาเป็นนิมิตหมายบางอย่าง เราต้องไม่ติด ต้องละไป การที่เรานำไปคิดเวลาปฏิบัติ
จะทำให้สติสมาธิเสียไป กำหนดไม่ตรงปัจจุบันทันการ ก็ไม่ได้ศีลสมาธิปัญญา ฉนั้น ที่ผมให้คิด
คือคิดนอกกรรมฐาน ได้ปัญญาแค่ระดับความคิด ไม่ใช่ปัญญาจากภาวนา ปัญญาจากภาวนานั้น
ถ้าปรากฏ มาทำงานวั๊บเดียวเท่านั้นเอง

วางใจให้เป็นกลางที่สุดนะครับ กำหนดตามให้ได้ปัจจุบัน การเดิน นั่ง เวลาเหมือนเดิม เน้นเวลาเดิน
มากหน่อยก็ได้ครับ ลองปรับดู อย่างที่บอก ถ้าไม่ทัน ดูเฉยๆ อย่าละอย่าหนี กำหนด เห็นหนอๆ
จนกว่าจะหายไป

อนุโมทนาครับ

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2009, 04:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


อาจารย์ค่ะ ทุกอย่างที่อาจารย์ถามมานั้นคือ
"ไตรลักษณ์"
ปรวนแปร เปลี่ยนแปลง ไม่ตั้งอยู่ที่เดิม เพราะเป็นอนิจจัง
อดีต อนาคต ปัจจุบัน จากเด็กเป็นอดีต และดับไป เพราะเป็นอนัตตา
ทุกอย่างไม่มีอะไรแน่นอน ตามกฎของไตรลักษณ์ แต่ทักทายไม่เห็นตัว
ทุกขังค่ะ แล้วที่เห็นตามอธิบายมาข้างต้น ก็มาพิจารณาหลังจากอ่าน
ที่อาจารย์ถามมา ไม่ได้เกิดจากปัญญาขณะปฏิบัติเลย เพราะคิดอยู่ในขณะ
นั้นว่า "เราฟุ้ง เราคิดไปเอง ไม่ได้เห็นจริง เป็นเพราะจิตนำ" เคลือบแคลง
สงสัย อยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ไม่เห็น
มีอีกนิดหนึ่งค่ะ ลืมรายงาน คือขณะที่มีความรู้สึกว่าทำไมมันมั่วไปหมดนั้น
ก็ นึกว่าเราคิดไปเอง หรือว่าเห็น แล้วก็สงสัยอีกว่า แล้วคิดกับเห็นมันอันเดียว
กันหรือเปล่า? ก็ตอบในใจเองว่า "ไม่ใช่" คนละอัน ก็มีคำถามอีกว่า แล้วอะไร
เกิดก่อน "คิด"แล้วจึง "เห็น" หรือ "เห็น" แล้วจึง "คิด" ต้องกำหนดสงสัยหนอ
ตลอดค่ะ เมื่อคืนนี้มีแต่สงสัย ไม่เชื่อ มากมายค่ะ ตัวทิฐิตัวนี้กั้นไม่ให้เกิดปัญญา
ใช่ไหมค่ะ? ขอรับคำชึ้แจงและวิธีแก้ด้วยค่ะ อนุโมทนา เจริญในธรรม

:b41: :b41: :b41: :b42: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2009, 08:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


cool

ปัญญาที่เห็นสภาวะพวกนี้แล้วนำมาคิดได้ใช้เป็น คือใช้ให้เกิดประโยชน์หลังการปฏิบัติ
ตอนที่ผมแนะนำให้เดินนั่ง และบอกใบ้วิธีคิดในนิมิตเมื่อวาน เป็นปัญญาที่เกิดจากการ
ฟังและคิด ระดับหนึ่งของปัญญาเท่านั้น ที่เราต้องการคือ ปัญญาจาการปฏิบัติ


มีคนเข้าใจผิดมากว่า ปัญญาจากการปฏิบ้ตินั้น ต้องรู้เห็นสิ่งที่ลึกมากของกายใจ รูปนาม
แท้จริงปัญญาจากการปฏิบัติจะมาแป๊บเดียว ทำงานชั่วฟ้าแลบเท่านั้น ปัญญาภาวนานั้นมี
ลักษณะตัด คือมาตัดกิเลสแล้วก็หายไป ไม่ใช่มาอยู่ที่สติสมาธิเรานานเลย


taktay เขียน:
อาจารย์ค่ะ ทุกอย่างที่อาจารย์ถามมานั้นคือ.....
แต่ทักทายไม่เห็นตัวทุกขังค่ะ


อนิจจัง ไม่คงที่ แปรเปลี่ยนไป ไม่ยั่งยืน ไม่คงทนอยู่ได้ในสภาพเดิม
ทุกขัง เพราะถูกเบียดเบียนโดยการแปรเปลี่ยน ไม่ยั่งยืน ฯลฯ จึงทนยาก ยากที่จะทน

๒ อย่างนี้เป็นเหตุให้เข้าใจอนัตตา รู้จัก อนิจจังอย่างเดียวก็รู้จักทุกขังและอนัตตา รู้จักทุกขัง ก็รู้จัก
อนิจจังและอนัตตา
แต่เพราะไม่ได้เรียนปริยัติจึงแยกไม่ออก แต่บอกได้พูดได้ตามเข้าใจที่ไม่ผิด
ที่เรารู้อยู่นี้ยังจัดเป็นรู้จัก อนิจจังเทียมและทุกขังเทียม หมายถึงยังเข้าใจเห็นในส่วนหยาบ แต่ยังดีกว่า
คนทั่วไป ที่รู้จักหยาบกว่านี้หรือเทียมที่สุดก็ว่าได้ ที่บอกว่า เกิดแล้วก็ต้องตาย หรือว่า เกิดแก่เจ็บตาย
นั่นยังหยาบ บางครั้งได้รับเวทนาเช่น เจ็บหูเจ็บตา บ่นว่าปวดจังทุกข์จริง นี่ก็หยาบที่สุด เห็นทุกข์อย่าง
หยาบ ตอนนี้ทักทายเข้ามารู้จักขนาดกลางๆแล้ว


taktay เขียน:
แล้วที่เห็นตามอธิบายมาข้างต้น ก็มาพิจารณาหลังจากอ่าน
ที่อาจารย์ถามมา ไม่ได้เกิดจากปัญญาขณะปฏิบัติเลย เพราะคิดอยู่ในขณะ
นั้นว่า "เราฟุ้ง เราคิดไปเอง ไม่ได้เห็นจริง เป็นเพราะจิตนำ" เคลือบแคลง
สงสัย อยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ไม่เห็น


ปัญญาจากการคิด ต้องเกิดหลังการปฏิบัติ ถ้าในระหว่างปฏิบัติอยู่ เรียกว่า สงสัย หรือหนักหน่อย
ก็ฟุ้งซ่านไปเลย แต่ถ้าจะหมายถึงปัญญาจากการปฏิบัติละก็ จะมีแว็บเดียว มาตัดกิเลส มาลดกิเลส
ไม่ได้มาแบบให้นั่งนึกอะไรปานนี้ หรือทำให้เราฉลาดขึ้นในเรื่องทำนองปริยัติก็ไม่ใช่นะ ปัญญาภาวนา
จะมาให้รู้เห็นแป๊บเดียว แล้วถอยไปตามอำนาจสติสมาธิ ถ้าสติ สมาธิ พอดีเมื่อไร กำหนดได้ปัจจุบัน
ปัญญาภาวนาก็จะมาอีก มาค่อยๆลดกิเลส มาตัดกิเลสหยาบๆออกไปก่อน


ที่ผมแนะไป ก็หวังว่า ในเมื่อนิมิตมีให้เห็น เราออกกรรมฐานไป เราก็เก็บเอาไปพิจารณาให้เป็นประโยชน์
ข้อที่เห็นแบบนี้ ทางพระเขาว่า กลาปนัย อัทธานนัย ขณนัย คือ เห็นสังขารเป็นกลุ่ม เห็นโดยกาลที่เป็น
อดีต อนาคต ปัจจุบัน และเห็นเป็นขณะๆ แต่อีก ๒ นัยยังไม่เห็น (ทั้งหมด ๕ นัย)

ที่ทักทายเข้าใจอย่างนี้ว่าไม่ใช่ปัญญาจากการปฏิบัตินั่น ถูกแล้วครับ

taktay เขียน:
มีอีกนิดหนึ่งค่ะ ลืมรายงาน คือขณะที่มีความรู้สึกว่าทำไมมันมั่วไปหมดนั้น
ก็ นึกว่าเราคิดไปเอง หรือว่าเห็น แล้วก็สงสัยอีกว่า แล้วคิดกับเห็นมันอันเดียว
กันหรือเปล่า? ก็ตอบในใจเองว่า "ไม่ใช่" คนละอัน ก็มีคำถามอีกว่า แล้วอะไร
เกิดก่อน "คิด"แล้วจึง "เห็น" หรือ "เห็น" แล้วจึง "คิด"


ที่ขีดไว้นั่น ปัญญาขนานแท้ ไม่รู้ตัวใช่ไหม นั่นไง มาแป๊บเดียวแล้วไป แยกรูปนามเป็น
คนละอันเองและเริ่มหาเหตุของรูปนามแล้ว คือ สงสัยว่า อะไรเกิดก่อน ก็คือว่ากำลังหาเหตุของรูปนาม
ระหว่างคิดกับเห็น อะไรเป็นเหตุให้เห็น อะไรเป็นเหตุให้คิด เพราะคิดถึงเห็นหรือเพราะเห็นถึงคิดเป็นต้น
รู้โดยภาษาปฏิบัติเลย แค่นี้ก็ถือว่าก้าวหน้าแล้ว
ทักทายคล้ายคนที่เีรียนมากอยู่อย่างหนึ่ง คนเรียนมามากบางครั้งมาปฏิบัติ เห็นแต่พวกนี้ เจอแต่พวกนี้
คิดว่าไม่เห็นมีอะไรเลย ไม่เห็นเกิดปัญญาอะไรเลย เพราะหวังว่าปัญญาต้องรู้มากหรือเห็นมากมาย
หลายประเด็น บางคนถอยเลย ไม่เอาแล้ว ไม่เห็นได้ปัญญาอะไรเลย จริงๆแค่ที่ขีดเส้นไต้ไว้
จะเป็นฐานของการละกิเลสได้


ตรงที่ขีดไว้นั่นดีนะ เริ่มจะเข้าใจตัวรู้กับผู้รู้แล้ว มันมีถึงสามสี่รู้เลยนะ เดี๋ยวไม่นานจะชัดขึ้นเอง
อย่างไรเสีย 'จานวะ (วลัยพร) อาจมาอธิบายสภาวะตรงนี้ก็ได้
คนนี้ถนัดเรื่องสภาวะรู้ ตัวรู้ ถูกรู้
ทิ้งรู้


taktay เขียน:
ต้องกำหนดสงสัยหนอตลอดค่ะ เมื่อคืนนี้มีแต่สงสัย ไม่เชื่อ
มากมายค่ะ ตัวทิฐิตัวนี้กั้นไม่ให้เกิดปัญญาใช่ไหมค่ะ? ขอรับคำชึ้แจงและวิธีแก้ด้วยค่ะ
อนุโมทนา เจริญในธรรม


ถูกแล้วที่กำหนดสงสัย ต้องแบบนี้ จะอะไรอย่าไงมา เรารู้ก็กำหนดตามที่รู้ที่เห็น เรื่องคิดเอาไว้นอก
กรรมฐาน
เรื่องที่ไม่เชื่อว่าเป็นภาวนาปัญญานั้น ถูกแล้ว ขั้นนี้เรียกว่า จินตามยปัญญา ปัญญามาจากการคิด
ไม่ใช่ทิฏฐิที่มาปิดกั้นหรอก อย่ากังวล เพราะแท้จริงยังไม่เข้าปัญญาภาวนาเต็มที่ ยังลังเลอยู่ เขาเรียก
ช่วงนี้ว่า เลือกทาง เมื่อแก่กล้าอีกหน่อยหนึ่ง จะเข้า รู้จักทาง คือตัดสินใจเองเลยว่า ทางนี้หลุดพ้นได้
พ้นจากทุกข์ได้ ตอนนี้กำลังสงสัยอยู่ ถ้าแก่กล้าแล้ว เห็นประจักษ์แล้วจะเชื่อเองเลือกทางเองเลย

คำชี้แจงก็มีเท่าที่อธิบายไป อย่ากังวล เชื่อยากนั่นละดีแล้ว ปลอดภัยมากกว่าเชื่อง่าย ไม่ใช่ทิฏฐิเลย
เพียงแต่ที่รู้เห็นช่วงนี้ ต้องแนะกัน ยังเป็นช่วงที่บอกได้แนะได้ถึงวิธีพิจารณา
วิธีแก้ไขไม่มี เพราะตอนนี้ทำถูกแล้ว กำหนดและรู้ไปตามสภาวะที่ปรากฏ ให้ทันปัจจุบันทันที
ถ้าสติ สมาธิ กำหนด รู้ ทันกับปัจจุบัน ปัญญาจะออกมาโชว์เองแว๊บๆ แล้วจะรู้จัก อนิจจังแท้ ทุกขังแท้
ด้วยตาเลย

แนะนำ....ปฏิบัติตามเดิม พยายามใส่ใจ(หมายถึงสติจิตตามรู้อาการ)การเดินทุกขณะ อาการของท้อง
ที่พองยุบพยายามใส่ใจตั้งแต่เริ่มไปจนสุด อย่าทิ้ง เวทนาที่เกิดก็เช่นกัน กำหนดจนหายแล้วค่อยละ
การคิดหรือฟุ้งซ่าน ให้ตามติดเช่นเดียวกัน การกำหนดสิ่งกระทบทางตาหูจมูกลิ้นกายใจก็เช่นกัน อย่าละ
เลย เกาะให้ติดทุกขณะเลย ข้อสำคัญให้ได้ปัจจุบัน แล้วภาวนาปัญญาจะแว๊บมาเอง ต้นจิต คือจิตที่
อยาก เกิดก่อนเราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถ้าเห็น กำหนดเลย ถ้าไม่เห็น ไม่ต้องกำหนด เดี๋ยวจะเป็นการ
ติดบริกรรมไปซะ

อนุโมทนาครับ เริ่มกระจ่างบางอย่างเรื่องคิดกับเห็นแล้ว คือเริ่มรู้จัก รู้ ถูกรู้
ขอให้เจริญก้าวหน้าอย่างเร็วพลันครับ

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 169 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร