วันเวลาปัจจุบัน 27 ก.ค. 2025, 16:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2008, 09:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ช่วงนี้มีโอกาสได้ยินได้ฟังถึงการ "บำเพ็ญเพียร" ใน รูปแบบต่างๆ
แต่มีอยู่รูปแบบหนึ่ง ผมคิดว่ามันเป็นความเห็นผิด
ผมคิดอย่างนั้นะครับ ถ้ายังไงลองพิจารณาแลกเปลี่ยนกันดู

ได้ยินมาว่ามีเศรษฐีคนหนึ่ง มีทุกอย่าง สุขสบาย
แตต้องการปฏิบัติธรรม เลยละทิ้งทุกอย่าง แล้วหันมาอยู่อย่างเรียบง่าย
อยู่ในบ้านดิน กินเจ นอนพัดลม ปลูกผักกินเอง ทำอาหารกินเอง
ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย เรียกว่า ไม่พึ่งพาความสะดวกสบายเลย
(ออกจะลำบากนะ เท่าที่ฟัง)


.... ดูเผินๆ น่าอนุโมทนามาก น่าศรัทธา

แต่หากพิจารณาดีๆ จะพบว่า
การที่ทนอยู่ในความสุขอย่างเศรษฐีไม่ได้
แล้ววิ่งหนีมาอยู่อย่างทุกข์ยากลำบาก เพื่อแสงหาธรรมะ
ก็ไม่ต่างอะไรกับพระพุทธเจ้าในตอนแรก

ที่แต่เดิมพระพุทธเจ้าท่านมีความสุขที่สุด แต่ออกบวช ค้นหาความรู้
แล้วท่านก้เลยลองไปทำความทุกข์ให้มันสุดๆดู ไปอยู่กับความทุกข์
หวังจะเอาชนะความทุกข์ดู
ท่านหลงผิดไปทำอย่างเดียวกันนี้อยู่นาน คือไปทำทุกริยาอยู่นาน
แต่ไม่ได้อะไร เอาชนะความทุกข์ไม่ได้

...จนได้ยินเสียงพิณ 3 สาย

พระพุทธเจ้าท่านจึงเลิกอดอาหาร เลิกทำทุกริยา
แล้วหันมากินอาหารตามปกติที่ควรจะเป็น ตามสมควร

และเมื่อคิดทบทวนถึงคำสอนต่างๆนาๆของพระองค์ จะทราบว่า
ท่านจะสอนให้เราอยู่ไปตามธรรมชาติ ไม่ฝืนธรรมชาติ ไม่บงการธรรมชาติ
หลักอันนี้ใช้ตั้งแต่ขั้นหยาบที่สุดอย่างการกินอยู่ ไปจนถึงการเจริญอริยมรรคจนถึงนิพพาน
ท่านก้ให้เราดูความจริง ดูให้มันเห็นธรรม แล้วเกิดความรู้สึกหน่าย คลายความยึดถือ
ไม่ได้ให้ไปบงการความจริง แทรกแทรงความจริง ซึ่งเป้นการฝืนธรรมชาติ

ทุกข์ หมายถึง ทนอยู่อย่างนั้นไม่ได้
ไม่ว่าจะรูป หรือ นาม ไม่มีอะไรคงทนอยู่ในสภาพอย่างหนึ่งๆไปตลอดกาล
มันต้องเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าใครจะพอใจหรือไม่
ใครจะรับได้หรือไม่ สุดท้ายแล้วก้ต้องเปลี่ยนแปลงดับสลาย


การทนอยู่ในความเป็นเศรษฐีไม่ได้
นี่ก็เป็นความรู้สึกเกลียดความสุขอย่างเศรษฐี
แล้วหันมาพิสวาทความทุกข์อย่างยาจก
เป้นความเห็นที่สุดโต่ง เป็นส่วนสุด
แม่พิมพ์เดียวกับพระพุทธเจ้าตอนที่เป็นโยคีทำทุกกริยาอยู่


ไม่ว่าเราจะอยู่ฐานะอะไร อาชีพอะไร ยากดีมีจน ป่วยหรือแข็งแรง
สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ทุกขณะจิตหนึ่งๆก็มีแค่สุข กับทุกข์ สลับกันอยู่
ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง

ไม่เว้นแม้แต่ความสงบ ถ้าเราเกิดพึงใจชอบใจในความสงบ นั่นก้คือความสุข
ทนอยู่ในความสงบไม่ได้ เบื่อแล้ว นั่นก้คือความทุกข์


คนรวยเบื่อความสุข
คนจนเบื่อความทุกข์

คนหนึ่งอยู่ทางสุดโต่งทางซ้ายมานาน เบื่อทนไม่ได้ ก้วิ่งไปทางขวา
คนหนึ่งอยู่ทางสุดโต่งทางขวามานาน เบื่อทนไม่ได้ ก้วิ่งไปทางซ้าย
หาตรงกลางกันไม่เจอ

ตรงกลางจริงๆ คือการที่เราพิจารณาให้เห็นว่า
ความสุขมาจากไหน ความทุกข์มาจากไหน
มันเกิได้ยังไง มันดับได้ยังไง
ให้เห็นโดยไม่เกี่ยงว่าตัวเราหรือใจเรา มันจะอยู่ในฐานะอะไร


ต่อให้เป้นสตรีที่ชอบเพชร ขาดจากแสงประกายของเพชรไม่ได้ หลงไหลมาก
แต่ถ้ารู้จักวิธี ย่อมเอาแสงเพชรแสงพลอย
หรือตันหาความหลงไหลในพลอยในเพชรนั้นมาเจริญสติได้

มีราคะกับเพชรหรือเกิน ก็สังเหตุเห็นราคะ ยิ่งชอบมาก ยิ่งเห็นง่าย
ดูให้เห็นว่าเจตสิกเวลาอยู่กับเพชร ดูให้เห็นไตรลักษณ์ของเจตสิก ก็ใช้ได้
ฝึกให้เห้นไปนานๆ เข้าก็สามารถเกิดความหน่ายคลายกำหนัดลงได้

แต่เพราะมันเป็นเพชร เครื่องเพชร
ไปบอกใครต่อใครว่าเอาเครื่องเพชรมาทำกรรมฐานกองที่ 41 คนคงจะตกใจ


แต่หากว่าการหันมานอนบ้านดิน กินลำบาก อยู่อย่างยาก
มันทำให้ท่านเจริญสติได้ ก้จัดว่าใช้ได้ทัง้นั้น สำคัญคือสติ
เพราะจะได้ความรู้ที่ตรงในภายหลัง

แต่ถ้าไม่อยากเสียเวลา เสียแรง ทรมานขันธ์ ทรมานคนในครอบครัว
ท่านก็สามารถปฏิบัติธรรมได้ที่นี่ เดี๋ยวนี้
ไม่ว่าท่านจะรวยหรือจน มีหรือยาก ท่านทำได้เดี๋ยวนี้ ตรงนี้
ไม่ว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวท่าน
ณ เวลานี้ มันจะเป็นอย่างไรก็ตาม ท่านก็ทำได้เดี๋ยวนี้ ตรงนี้
ไม่ว่าคนในครอบครัวท่านจะเป็นอย่างไร คนรอบตัวท่านดีชั่วอย่างไร
ถ้ามันไม่หนักหนาเกินไป ท่านก็ไม่จำเป็นต้องหนีออกไป ไม่ต้องละออกไป
อยู่ไปอย่างนั้น ไม่ต้องขวาง ไม่ต้องบงการ


เพราะปัจจัยเหล่าัน้นมันสร้างเจตสิกให้ท่านดูอยู่แล้ว
จิตของท่านมันกำลัสร้างอารมณ์ให้ท่านดู
จิตที่กำลังสร้างอารมณืนี้แหละ คือมันกำลังแสดงธรรมะอยู่
เจตสิกที่มีเกิดมีดับนี้ คือกำลังแสดงไตรลักษณ์ให้ท่านดูอยู่
หากแต่ท่านไม่รู้ว่าจะต้องดู
หากท่านสังเหตุเห็นได้ทันความเกิดและความดับของเจตสิก ย่อมชื่อว่าเกิดสติ


หากปราศจากสติ ปฏิบัติอย่างไร ลำบากแค่ไหน น่าเลื่อมใสแค่ไหน
สร้างอะไรไปเท่าไหร่ ละอะไรไปเท่าไหร่ ก็ไม่จัดว่าได้อะไร
เพราะไปได้ผิดทาง จึงไม่ได้อะไร


กัลยาณมิตรทั้งหลายว่าอย่างไรครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2008, 09:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ช่วงนี้มีโอกาสได้ยินได้ฟังถึงการ "บำเพ็ญเพียร" ในรูปแบบต่างๆ
แต่มีอยู่รูปแบบหนึ่ง ผมคิดว่ามันเป็นความเห็นผิด
ผมคิดอย่างนั้นะครับ ถ้ายังไงลองพิจารณาแลกเปลี่ยนกันดู


มีลิงค์ให้ศึกษาไหมครับคุณคามิน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2008, 09:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


แม่เล่าให้ฟังครับ
:b13:

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2008, 10:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ได้ยินมาว่ามีเศรษฐีคนหนึ่ง มีทุกอย่าง สุขสบาย
แตต้องการปฏิบัติธรรม เลยละทิ้งทุกอย่าง แล้วหันมาอยู่อย่างเรียบง่าย
อยู่ในบ้านดิน กินเจ นอนพัดลม ปลูกผักกินเอง ทำอาหารกินเอง
ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย เรียกว่า ไม่พึ่งพาความสะดวกสบายเลย
(ออกจะลำบากนะ เท่าที่ฟัง)


อย่างนี้น่าจะเรียกว่าดำรงค์ชีวิตแบบสมถะเหมือนนักบวชมากกว่าครับ

ไม่ใช่เป็นการทรมานตนเอง ที่เรียกว่าทุกกริยา

การใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย อยู่กับธรรมชาติ ผมว่าถูกต้องแล้วครับ

แต่อย่าให้ถึงกับเคร่งครัดเหมือนนักบวชพวกนิครณ อย่างนั้นออกจะตึงเกินไป

ใครที่เคยใช้ชีวิตแบบพระธุดงถ์จะรู้ครับว่า สบายจริงๆ

ชีวิตไม่ลำบากเลย

ผมใช้ชีวิตเช่นนั้นอยู่สามปีกว่า เมื่อหลายปีก่อน

ช่วงนั้นของชีวิตผมไม่เคยถูบ้านและขัดห้องน้ำ

เพราะไม่มีบ้านให้ถู ไม่มีห้องน้ำให้ขัด

สบายจริงๆ

ไม่เชื่อลองประพฤติดูได้ครับ

จะเสียอยู่อย่างเดียวคือกลัวงูเท่านั้น

สมบัตินั้นมีน้อยเกินไปก็ขัดสน มีมากเกินไปก็รุงรัง

จริงไหมครับท่านคามินธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2008, 07:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


จริงครับคุณพี่ มีน้อยก็ลำบาก มีมากก้ลำบากอีกแบบหนึ่ง
ของอย่างเดียวกัน สภาพแวดล้อมอบ่างดียวกัน
คนคนหนึ่งอาจว่ามากไป อีกคนหนึ่งอาจว่าน้อยไป
เพราะสมมุติบัญญัติในใจคนเรามันไม่เท่ากัน

หากเรามีความสัปปายะกับที่ใดๆ นั่นย่อมเป้นผลดีต่อการปฏิบัติธรรม
สัปปายะ ก็หมายถึงมีความพอดี สบายพอควรแก่กิจที่ทำ ไม่ทรมาน

แต่ก้อย่าลืมว่า เราเกิดความรู้สึกสัปปายะต่อที่แห่งใหม่
ก็เพราะว่าเรารู้สึกได้ ว่าที่แห่งเก่ามันไม่สัปปายะเท่าของใหม่
พูดง่ายๆว่า เพิ่งหนีมาจากที่ที่ทรมานประมาณหนึ่ง... มายังที่ที่ทรมานน้อยกว่า
เพิ่งหนีจากที่ที่มีความสบายน้อยไป มายังที่ที่สบายมากขึ้น
จริงไหมครับ

นี่ก้คือเราพยามจะหนีจากทุกข์ ไปหาสุข
แต่เพราะมีธรรมในใจ เราจึงไม่ถึงกับหนีไปหาความสุขซะทีเดียว
แต่หนีไปหาความพอดีๆ ไม่ทุกข์มากไป ไม่สุขมากไป ควรแก่กิจที่ทำ
ไม่ปรนเปรอมากไป ไม่ทรมานตนมากไป
ผมจึงคิดว่า คุณพี่ไม่จัดอยู่ในกลุ่มทุกรกริยานะครับ
อยู่ในกลุ่มทางสายกลาง

แต่กลุ่มที่ทำทุกริยานี้ กล่าวคือ เน้นลำบากมากไป เกินความจำเป็น
เช่น อาหารการกินก็ต้องทำเอง ปลูกเอง แล้วก็ต้องกินเจ
ซึ่งถ้าการทำดังนั้นมันดีจริง ผมคิดพระพุทธเจ้าต้องเป็นคนแรกที่จะปลูกผักทำกินเอง
และต้ิองสั่งให้ถือการกินมังสวิรัติเป็นศีล
แต่พระองค์กลับปฏิเสธ และยังให้ภิกษุออกบิณฑบาตรเป้นวัตร

ผมคิดเอาเองว่า พระพุทธเจ้าคงจะมองว่ากิจกรรมดังนั้นมันเป้นความเกินพอดี
เหมือนที่คุณพี่ว่า มีน้อยเกินไปก็ขัดสน มีมากเกินไปก็รุงรัง

แต่ถ้าการถือศีลพรตดังนั้นของเขา เป้นความพอดีของเขา เป็นสัปปายะของเขา ไม่เดือดร้อน
ก็ไม่มีอะไร
บางทีเขาอาจจะพอดี แต่ผมไปคิดเอาเองว่าไม่พอดีก็ได้

คุณพี่คิดว่ายังไงครับ

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2008, 08:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกข้อคิดหนึ่ง

มันคล้ายๆว่าเรานั่งสมาธิ
แต่พอคันนิด คันหน่อย เมื่อนิด เมื่อยหน่อย เราก็คิดว่ามันไม่พอดี ทนไม่ได้
อันนี้เรียกว่าหย่อน ไม่มีความอดทน ไม่มีความเพียร
แต่ตัวเขาอาจจะบอกว่า เขาทนได้แค่นี้ นี่คือมากที่สุดที่เขารับได้

หรือกรณีเดียวกัน คือนั่งสมาธิ และมีอดทนมาก มีวคามเพียรมาก แต่ไปนั่งสมาธิกลางแดด อันนี้ตึงแน่นอน
ทนมารขันธ์โดยไม่จำเป็น ทั้งๆที่เขาอาจจะคิดว่า เขาพอดีในแบบนี้


อดคิดไม่ได้ว่า มันมีความเกินๆ ขาดๆ อยู่นะครับ
พระพุทธเจ้าก็หลงเชื่อว่าความทรมาน คือความพอดีของท่านอยู่ ถึง 9 ปี
สัปปายะกับทุกรกริยาอยู่นานขนาดนั้น

:b8: :b13:

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2008, 12:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ซึ่งถ้าการทำดังนั้นมันดีจริง ผมคิดพระพุทธเจ้าต้องเป็นคนแรกที่จะปลูกผักทำกินเอง
และต้ิองสั่งให้ถือการกินมังสวิรัติเป็นศีล
แต่พระองค์กลับปฏิเสธ และยังให้ภิกษุออกบิณฑบาตรเป้นวัตร


ท่านคามินธรรม

ตรงนี้กระมั้งที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างคฤหัสกับพระภิกษุ

การออกบวชคือการละเว้นการประกอบอาชีพด้วย

ดังนั้นความสัปปายะของคฤหัสกับพระภิกษุจึงจัดเป็นคนละมาตรฐานกัน

เพราะพระมีศีล227ข้อจึงพรากสีเขียวไม่ได้ และมีข้อจำกัดคือศีลมากกว่าชาวบ้านมาก

ถ้าไม่มีใครใส่บาตรท่านต้องอดประการเดียว

แต่จะมีข้อยกเว้นประการใดเป็นต้นว่าหากไม่มีใครถวายอาหาร และมีผักผลไม้ติดคาต้นท่านจะสามารถ

เถ็บมาฉันได้หรือไม่ ไม่ทราบ

การปฏิบัติที่ท่านคามินธรรมกล่าวมาผมเห็นพร้องต้องกันครับ

วัชรยานเสพเมถุน สนองกิเลสให้กับตนเองอย่างสุดโต่ง ประการหนึ่ง ที่เพื่อให้เกิดความเบื่อหน่ายจะ

ได้หลุดพ้น แต่คงยาก เพราะกิลสก็เหมือนกับยาเสพติด มีแต่จะต้องการมากขึ้น และเสื่อมเสีย

คุณธรรมมากยิ่งๆขึ้นไปอีก ไม่ใช่หนทางก่อให้เกิดปัญญา

โยคีนิครณก็เช่นกัน เอาแตทรมานตน ไหนเลยปัญญาจะเกิด

การหลุดพ้นพระพุทธเจ้าตรัสว่าต้องใช้ปัญญา

จึงต้องเริ่มต้นที่ปัญญา

ต้องมีสมาธิ

ถ้ามั่วแต่ห่วงทรัพย์สมบัติหรือทุกข์ทรมานคงไม่เกิดสมาธิ

จึงมิมีปัญญาที่จะเอาตัวรอดให้หลุดพ้นได้

การกินอยู่จึงเป็นแค่ส่วนประกอบ

หากปัญญามี บารมีถึง อยู่ที่ไหน กินอะไรก็นิพพานได้

ท่านคามินธรรมเห็นด้วยกับผมไหมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2008, 10:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
แน่นอนครับคุณพี่

ความเข้าใจที่ว่า การปฏิบัติธรรมก้คือวัตรปฏิบัติต่างๆ นั้นยังมีกันอยู่มาก

ถ้าเขาไม่เข้าใจแก่นสารของการปฏิบัติแล้ว
ไม่ว่าจะเพียรทำวัตรปฏิบัติไปไหร่ต่อเท่าไหร่ นานเท่านานเพียงใด
ก็ไม่สามารถจะได้มรรคได้ผลสำคัญอะไรเลยจากการปฏิบัติ

ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่เข้าใจแก่นของการปฏิบัติแล้ว
ก็สามารถจะเจริญธรรมปฏิบัติได้ในทุกๆอิริยาบท ในทุกๆที่ และในทุกๆพฤติของจิต
สามารถได้มรรคได้ผลอย่างแน่นอนโดยไม่จำเป็นต้องตั้งใจหาอะไรมาเพิ่ม หรือตั้งใจลดอะไรลงไป

และสำหรับผู้ที่เข้าใจแก่นของการปฏิบัติแล้ว จะสามารถใช้วัตรปฏิบัติเป็นเครื่องส่งเสริมให้การปฏิบัติธรรมนั้นเจริญรุดหน้ามากขึ้น
และสามารถสกัดกั้นวัตรปฏิบัติในส่วนที่เป็นเครื่องหน่วงได้ด้วย

เหมือนคนตกน้ำที่มองเห็นฝั่ง จึงว่ายไปได้ตรงจุด ว่องไว
ในขณะที่อีกคนที่มองไม่เห็นฝั่ง จึงเพียรอยู่อย่างนั้น

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2008, 16:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

:b8: :b8: :b8:

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2008, 01:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
:b52: :b52: :b52:

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2008, 02:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4147

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


คามินธรรม เขียน:
:b8: :b8: :b8:
แน่นอนครับคุณพี่

ความเข้าใจที่ว่า การปฏิบัติธรรมก็คือวัตรปฏิบัติต่างๆ นั้นยังมีกันอยู่มาก

ถ้าเขาไม่เข้าใจแก่นสารของการปฏิบัติแล้ว
ไม่ว่าจะเพียรทำวัตรปฏิบัติไปไหร่ต่อเท่าไหร่ นานเท่านานเพียงใด
ก็ไม่สามารถจะได้มรรคได้ผลสำคัญอะไรเลยจากการปฏิบัติ

ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่เข้าใจแก่นของการปฏิบัติแล้ว
ก็สามารถจะเจริญธรรมปฏิบัติได้ในทุกๆอิริยาบท
ในทุกๆที่ และในทุกๆพฤติของจิต
สามารถได้มรรคได้ผลอย่างแน่นอน
โดยไม่จำเป็นต้องตั้งใจหาอะไรมาเพิ่ม หรือตั้งใจลดอะไรลงไป

และสำหรับผู้ที่เข้าใจแก่นของการปฏิบัติแล้ว
จะสามารถใช้วัตรปฏิบัติเป็นเครื่องส่งเสริมให้การปฏิบัติธรรมนั้นเจริญรุดหน้ามากขึ้น
และสามารถสกัดกั้นวัตรปฏิบัติในส่วนที่เป็นเครื่องหน่วงได้ด้วย

เหมือนคนตกน้ำที่มองเห็นฝั่ง จึงว่ายไปได้ตรงจุด ว่องไว
ในขณะที่อีกคนที่มองไม่เห็นฝั่ง จึงเพียรอยู่อย่างนั้น

:b8: :b8: :b8:


สาธุด้วยค่ะคุณน้องคามิน :b8: :b35:

แต่พี่ขอรบกวนสอบถามเพื่อความกระจ่างเพิ่มเติมอีกนิดนะคะ

ที่อุปมาว่า

อ้างคำพูด:
เหมือนคนตกน้ำที่มองเห็นฝั่ง จึงว่ายไปได้ตรงจุด ว่องไว
ในขณะที่อีกคนที่มองไม่เห็นฝั่ง จึงเพียรอยู่อย่างนั้น


คนที่ตกน้ำแต่มองเห็นฝั่ง แล้วสามารถว่ายไปได้ตรงจุด ว่องไว
เพราะ เขา ว่ายน้ำเป็น หรือ เพราะมีชูชีพเป็นเครื่องช่วยพยุง
หรือเพราะด้วยเหตุผลทั้งสองประกอบกันคะ!?!


แล้วที่ว่า...

อ้างคำพูด:
ในขณะที่อีกคนที่มองไม่เห็นฝั่ง จึงเพียรอยู่อย่างนั้น


กรณีนี้จะเปรียบเป็นเช่น พระมหาชนก..ได้หรือไม่ อย่างไรคะ?

ข้อสุดท้าย...

อะไรคือ แก่นสารของปฏิบัติ...ดังที่คุณน้องว่ามาคะ?

:b4: :b12: :b8:

ป.ล อย่าซีเรียสนะคะ แค่บันเทิงในธรรมก่อนสิ้นปีกันหน่อยเท่านั้นเองค่ะ... :b12: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2008, 04:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


กุหลาบสีชา เขียน:

แต่พี่ขอรบกวนสอบถามเพื่อความกระจ่างเพิ่มเติมอีกนิดนะคะ

ที่อุปมาว่า

อ้างคำพูด:
เหมือนคนตกน้ำที่มองเห็นฝั่ง จึงว่ายไปได้ตรงจุด ว่องไว
ในขณะที่อีกคนที่มองไม่เห็นฝั่ง จึงเพียรอยู่อย่างนั้น


คนที่ตกน้ำแต่มองเห็นฝั่ง แล้วสามารถว่ายไปได้ตรงจุด ว่องไว
เพราะ เขา ว่ายน้ำเป็น หรือ เพราะมีชูชีพเป็นเครื่องช่วยพยุง
หรือเพราะด้วยเหตุผลทั้งสองประกอบกันคะ!?!



:b12:
อุปมาว่าว่ายน้ำเป็นทั้งคู่ครับ ไม่มีเครื่องพยุงแต่อย่างใด


กุหลาบสีชา เขียน:
แล้วที่ว่า...

อ้างคำพูด:
ในขณะที่อีกคนที่มองไม่เห็นฝั่ง จึงเพียรอยู่อย่างนั้น


กรณีนี้จะเปรียบเป็นเช่น พระมหาชนก..ได้หรือไม่ อย่างไรคะ?

- ขอไม่เปรียบกับเรื่องนั้นนะครับ เพราะเป็นพระราชนิพนธ์ ผมคิดว่าผมไม่วิจารณ์ดีกว่าครับ
- เอาแค่ว่าตัวอย่างคนว่ายน้ำสองคน ว่ายเป็นทั้งคู่
คนหนึ่งรู้จักทิศทาง ว่าควรจะไปทางไหน
อีกคนหนึ่งไม่รู้จักทิศทาง รู้แต่ว่าต้องเพียรว่ายไปก่อน ดีกว่าอยู่เฉยๆ

กุหลาบสีชา เขียน:
ข้อสุดท้าย...

อะไรคือ แก่นสารของปฏิบัติ...ดังที่คุณน้องว่ามาคะ?

:b4: :b12: :b8:


- ก็คือการเจริญสติปัฏฐาน 4 ที่ทรงยกย่องว่าเป้นทางเอก เอกายนมรรค
ซึ่งสามารถทำได้ในทุกๆอิริยาบท ทุกสถานที่ ทุกเวลา
เป็นหลักปฏิบัติที่ทำได้ทุกเงื่อนไขครับ

แต่หากไม่รู้เข้าใจเรื่องสติปัฏฐาน 4 นี้ ก้ย่อมจะเข้าใจว่าวัตรปฏิบัติต่างๆเป็นทางเอก
เป็นกิจที่ต้องทำ ให้ทำอะไรก้ทำ คิดว่าอะไรดีควรทำก็ทำ เช่นแต่งขาว นั่งสมาธิ ทำบุญ
กล่าวคือเป้นสีลพรตปรามาส (ไม่แน่ใจว่าเขาใช้คำนี้หรือเปล่านะครับ)
แก่นสารของการปฏิบัติ คือผลของการใช้สติปัฏฐาน

ถ้าคนที่มีหลักสติปัฏฐานด้วย แล้วแต่งขาว นั่งสมาธิ ทำบุญ ฯลฯ
มันก้จะยิ่งทำให้การว่ายนั้น ว่องไวมากขึ้น เป้นส่วนเสริมครับ
เหมือนได้กระแสน้ำพัดไปทางฝั่งพอดี หรือได้อาหารติดตัวมาด้วย
หรือเรียกว่าโชคดีไม่เจอฉลาม ฯลฯ ...

วัตรปฏิบัติเป้นส่วนเสริมครับ ถ้าเข้าใจหลักสติปัฏฐานด้วย ก็เหมือนคนว่ายน้ำนั้นได้ตัวช่วย
แต่ไม่ถ้าเข้าใจหลักอันนี้ วัตรปฏิบัติอย่างไร ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก

มีกรณีหนึ่ง
คือมีความเพียร แล้วได้ครูดี อาจารย์ดี
ย่อมชี้ทางให้ตรงได้ บวกกับความเพียร ไม่ลังเลสงสัย
ย่อมไปไวเหมือนมีนางฟ้ามาอุ้มไปแบบมหาชนกครับ

กุหลาบสีชา เขียน:
ป.ล อย่าซีเรียสนะคะ แค่บันเทิงในธรรมก่อนสิ้นปีกันหน่อยเท่านั้นเองค่ะ... :b12: :b17:

- ไม่ซีคับ :b13:
ทำให้คุณพี่ออกมา chat ได้นี่ก็ถือว่าแจ่มส่งท้ายปีคับ
:b4: :b4: :b4:

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2008, 05:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เวอร์ชั่นปู่เย็นแห่งลุ่มน้ำเพชรบุรี เป็นไงครับ หาปลาไปขายตลาด ขายในราคาพอประมาณ เขาอยู่ได้เราอยู่ได้ มีชีวิตพอเพียง :b1: :b12: :b11:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2008, 14:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทราบมาว่า ปู่เย็น เป็นอิสลามิกค่ะ ชื่นชมในความพอเพียง เรียบง่าย เผื่อแผ่ของปู่ค่ะ แมวฯเคยมีบ้านที่เขาบันไดอิฐ ตรงตัวเมืองเพชร เลยได้เห็นปู่ ได้ยินข่าวปู่โดนเด็กขโมยตังค์บ่อยค่ะ แม่ของเพื่อนๆ ก็เป็นเพื่อนบ้านกับปู่ด้วย เอ..มาเล่าไมเนี้ยะ หุ หุ :b16: :b16:

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2008, 14:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ค. 2008, 14:11
โพสต์: 839

ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุครับทุกท่านกล่าวดีแล้ว ผมเองก็ ติดใจ รส ชาต แบบที่ ว่ามาครับอยู่แบบ สบายๆ ไม่มีมากเกิน ไม่ ขัดสน เดินตามทางสายกลาง ตอนบวชก็คิด ไม่สิกขา ลาเพศแล้ว บังเอิญ อ่านพระสูตรบางตอน ว่า....กุลบุตรใดออกบวชไม่ดูแล บุพการี.....ก็ถือว่า ไม่ได้บุญเลยสึก มาทำงานส่ง บิดา มารดา
แต่ตอนนี้ มีห่วงเพิ่มอีก5 เลย หา เวลาไป ใช้ ชีวิต สมถะไม่ค่อยได้ ทุกวันนี้ใช้ วิธี ทำสมาธิ กะ ทาน ช่วยเหลือ....แค่นี้ละครับ ชีวิตที่ท่านว่ามา คงต้องรอแก่ๆ ได้ ใช้ แน่ๆ

.....................................................
ทำดีทุกทุกวัน เมื่อโอกาสมา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร