วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 16:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2008, 19:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b2: :b7: มีใครแนะนำเราได้บ้างไม๊ว่าเราจะทำอย่างไรดี คือตอนนี้เราทุกข์เรื่องพ่อเรามากเลย
แกจะไม่ปล่อยวางเรื่องของลูกๆเลย คอยห่วงคนโน้นคนนี้ เราเข้าใจว่าเป็นธรรมดาของคนเป็นพ่อแม่
เพราะเราก็มีลูก แต่..เมื่อเราเข้าไปหาท่านเกือบทุกวัน เพื่อดูแลเหมือนที่เราเคยโพสต์มา กลับยิ่งทำให้เราบาปหนัก เพราะพ่อก็จะแบกทุกข์ของลูกๆ ไว้บนใบหน้า เราเห็นเราก็ทุกข์+หงุดหงิด แกก็จะพูดจาไม่ดี ประชดประชัน ดุด่าเด็กรับใช้ หงุดหงิด เราหาข้าวกลางวันให้แก ก็กินเหมือนคนป่วยหนัก :b2:
บางครั้งก็ไม่กิน และจะสรุปด้วยต้องทะเลาะกันเสียงดัง เราพยายามอดทน แต่มันก็ไม่ไหว
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเราป่วย แต่เราก็จะต้องหาคนส่งอาหารแทน เพราะเราจะห่วงแกทั้งๆที่
เราก็จ้างเด็กไว้ดูแลแกพิเศษ แต่เราก็จะต้องคอยโทรถามเด็กตลอด คือเป็นห่วงแก
แต่แกไม่เข้าใจเลย เราเคยว่าแกเวลาทะเลาะกันว่า :b26: เรามาหาเพราะเรารัก เพราะห่วงแก
แต่พ่อทำให้เราบาปหนัก เพราะเถียงกัน (แค่เถียง)นะเราไม่เคยพูดคำหยาบ แกก็จะจบด้วยว่า
รอให้กูตายก่อน เราทุกข์ใจมากเลย เมื่อวันพ่อที่ผ่านมา เราก็เป็นแม่งานนัดพี่น้อง มาหาพ่อ
เราซื้อพวงมาลัยมากราบท่านร้องไห้ ขอขมาที่เราพูดไม่ดี ท่านก็บอกอโหสิกรรมเรานะ
แต่2-3วันนี้ก็เป็นอีกเพราะแกทุกข์เรื่องน้องชาย แล้วก็จบลงเหมือนเดิม
น้องเราก็รัก พ่อเราก็รักนะ :b26:
หรือเราควรคอยดูอยู่ห่างๆ ไม่รับรู้อะไรปล่อยให้แกคิดคนเดียว เรามีแม่เลี้ยงแต่แกปล่อยวาง
มานานแล้วแกก็ไม่มีปัญหาอะไร แกเก่งนะทนอยู่กับพ่อเราได้
:b10: ท่านผู้รู้คิดว่าเราควรปฎิบัติอย่างไรดี หรือเพราะเราเจอแกบ่อยเกินไป พี่น้องคนอื่นนานๆ
จะถือโอกาสเจอแก แต่เราเจอทุกวันทำการค่ะ เราหยุดตามราชการ เพราะน้องคนเล็กจะอยู่แทน
แต่น้องสาวก็จะอยู่ได้ดี เพราะพ่อเราจะคิดว่าเค้าเด็ก ยังไม่มีครอบครัว ก็จะไม่เล่า หรือระบาย
อะไรให้ฟังมากนัก เราคิดว่าหรือเรากับพ่อเคยสร้างเวรกรรมกันมา จึงต้องมาเป็นแบบนี้
เราทำตัวไม่ถูกนะ เราสวดมนต์ทุกครั้งก็ขออโหสิกรรม มันบาปมากกับการเถียงเค้า
เราเลยสับสนมาก รบกวนช่วยแนะนำด้วยนะคะ ก่อนที่เราจะบาปไปมากกว่านี้ :b8: :b8:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2008, 01:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


หัวอกเดียวกันครับ

ได้แต่บอกว่าให้เงียบ และเฝ้าดูจิตใตตัวเองที่มันกำลังเสวยอารมณ์ในสถานการณืต่างๆ


ผมลองมาหมดทุกวิธีแล้วครับ
ไม่มีวิธีไหนแก้ไขได้จริงเลย มันแค่ชั่วครั้งชั่วคราว
และทุกครั้งต้องมีคนบาดเจ็บทางใจ ไม่ทางใดก้ทางหนึ่ง
ุเพราะเกิดมาเป้นพ่อแม่ลูกกัน พันธนาการกันมาอย่างนี้ตั้งแต่เกิดจนตาย

มาคิดดูให้ดีแล้ว ทุกวิธีที่ลองไป ล้วนแล้วแต่เป็นวิธีประเภทแก้ไขเขา
คือ คนหนึ่งต้องแก้ไขตัวเอง เพื่อเอาใจอีกคนหนึ่ง

ทางหนึ่งคือ เราพยามจะแก้ไขพ่อแม่ ให้เป้นอย่างที่เราต้องการ
ซึ่งคุณคงทราบดีว่ามันยากลำบาก และมีแต่ความเจ้บปวด

อีกทางหนึ่งคือ พยามแก้ไขตัวเอง เพียงเพื่อเอาใจพ่อแม่
วิธีนี้คือคุณจะไม่มีความสุขเลย


ทั้งสองทาง ไม่มีอะไรดีเลย
มันเป้นการที่เราต้องดำเนินชีวิตไป เพื่อตอบสนองความคาดหวังของคนคนหนึ่ง
ความคาดหวังคือตันหา คือความอยาก
ความอยากไม่เที่ยง มันปรวนแปรตลอดเวลา
คุณจะไล่ตาม"ความไม่เที่ยง ปรวนแปร บงการไม่ได้" ได้กี่มากน้อย


ถ้าครอบครัวไหนมีสมดุลย์เรื่องความคาดหวัง คงจะไม่มีปัญหา
ถ้ามีความโอนอ่อนผ่อนวางกันบ้างตามสมควร คงไม่มีปัญหา
แต่เราสองคนรู้ดีว่าเราไม่ใช่กรณีนั้น
เราเป็นประเภท "ตึงจนจะขาด"
มีแต่"ตึง กับ "ลืมตึง" (วันไหนลืมก้ไม่พูด วันไหนจำได้ก็พูดอีก)
ไม่มีหย่อน


วิธีที่ ดีที่สุด คือแก้ไขเราเอง
แต่ไม่ใช่แก้ไขเราให้เป้นไป อย่างเขาต้องการ

แต่แก้ไขเราให้เป็นอิสระจากความคาดหวังต่างๆจากคนอื่น
ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ความคาดหวังของตัวเอง ก็ต้องคอยระมัดระวังไม่ให้มันมามีอำนาจพันธนาการเราจนมากเกินความพอดี

ต้องอาศัยความใจเด็ดพอสมควร

ผมคิดว่าผมรู้ดี ว่าคุณรู้สึกยังไง
คนอื่นพูดอะไรยังไง ไม่เท่าพ่อแม่พูด
แทบระเบิดเลยใช่ไหมครับ
ผมเข้าใจคุณนะ แต่โปรดรู้ไว้ว่า you are not alone ..
มีคนอย่างเราอีกเยอะมากๆ

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2008, 09:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ O.wan หายไปหลายวัน คิดว่าลืมบอร์ดนี้สะแล้ว ที่แท้ก็ป่วยไม่สบายนี่เอง
หายดีแล้วหรอครับ กรัชกายก็ป่วยนะเป็นไข้หวัดนิดหน่อยก็ดูแลรักษากันไป

ก่อนเข้าประเด็นที่ถาม มีพุทธพจน์ให้พิจารณา

“ภิกษุทั้งหลาย โรคมีอยู่ ๒ ชนิดดังนี้ คือ โรคทางกาย ๑ โรคทางใจ ๑ สัตว์ทั้งหลายที่ยืนยันได้ว่า
ตนไม่มีโรคทางกายเลยตลอดเวลาทั้งปี ก็มีปรากฏอยู่ ผู้ที่ยืนยันได้ว่า ตนไม่มีโรคทางกายเลยตลอดเวลา ๒ ปี...๓ปี...๔ ปี..๕ ปี...๑๐ ปี...๒๐ ปี...๓๐ ปี...๔๐ ปี...๕๐ปี...๑๐๐ ปี ก็มีปรากฏอยู่ แต่สัตว์ที่ยืนยันได้ว่า ตนไม่เป็นโรคทางใจเลยแม้ชั่วเวลาเพียงครู่หนึ่งนั้น หาได้ยากได้ในโลก ยกเว้นแต่
พระขีณาสพ (ผู้สิ้นอาสวะแล้ว) ทั้งหลาย”
(องฺ.จตุกฺก.21/157/191)

โรคทางใจเมื่อมองในระดับชาวโลกอย่างเรา ๆท่านๆ ก็ธรรมดา ๆ เพราะภูมิธรรมภายในจิตเราเพียงขั้น
โลกียธรรม ไม่ถึงถึงขั้นโลกุตรธรรม

ความทุกข์มีร้อยพันประการครับ บททำวัตรสวดมนต์ก็มีว่า... ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
ประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์

กรณีของคุณเป็นทุกข์เพราะประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่พอใจ ไม่สบอารมณ์ถูกไหมครับ วิธีค้นหาความพอดี
หรือสุขกว้างๆ ก็คือ เราต้องกล้าเล่นกับความคิดกล้าเล่นกับอารมณ์ตนเอง คือจับความรู้สึกนึกคิดนั้นๆ
มาเป็นเครื่องมือทดลองสะ ตัวอย่าง เช่น ทำอย่างนี้อยู่แค่นี้คิดแค่นี้แล้วเป็นไง สุขหรือทุกข์ เป็นต้น

คุณไปพบพ่อทุกวัน จึงเห็นท่านเป็นอย่างนั้นตามอารมณ์ปกติของท่าน จึงพลอยหงุดหงิดเครียดตามไปด้วย ภาษาธรรมะเรียกว่า จิตใจหวั่นไหวไปตามสิ่งที่ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ฯลฯ ได้คิด

เราถอยห่างออกมาหน่อยสิ เป็นไงสุขหรือทุกข์ แต่ไม่ใช่ทอดทิ้ง เราจ้างคนดูแลแล้ว แต่ถอยออกมารับรู้ฟังดูข่าวอยู่ห่างๆ ปล่อยให้อีกอารมณ์หนึ่งเกิด (อารมณ์คิดถึง) แล้วค่อยเข้าไป

ชี้แนวทางกว้างๆไว้อย่างนี้ แล้วลองปรับขยับดู โดยมีตนเองเป็นเครื่องมือทดลอง มิใช่เป็นทุกข์ไปกับความคิดนั้น
ที่สำคัญไม่พึงแก้ความคิดหรืออารมณ์ของผู้อื่นให้ได้ให้เป็นตามที่เราต้องการ :b42: :b43:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2008, 12:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: แกอาจจะมีเหตุผลของแกก็ได้นะ ที่ต้องแสดงอาการอย่างนี้ออกมา พ่อแม่เวลาแก่ตัวมาจะมีความรู้สึกหงุดหงิดและขี้บ่นจู้จี้จุกจิก แต่ก้ไม่ใช่จะเป็นแบบนี้ทุกคน บางครั้งคนที่เป็นลูกต้องหัดเดาใจพ่อแม่ตัวเองให้ออก และใช้ความห่วงใยในตัวท่านเป็นพื้นฐานในการดูแลเอาใจใส่ ถึงทำดีไปแล้วพ่ออาจจะว่าเรา ก็ช่างเถอะ เพราะให้พ่อเราว่าเรา มันก็น่าจะดีกว่าคนอื่นมาว่าเราจริงไหมครับ :b47: :b41:

:b40: :b40: อย่าลืมว่าเมื่อเราต้องแก่ตัวมา ก็อาจจะเป็นอย่างท่านหรือมากกว่าท่านก็ได้น่ะ...
ทำความดีและให้ความรักกับพ่อที่ช่างหงุดหงิดและขี้บ่นทุกๆวันเลยย่อมจะดีกว่าแน่นอน เราทำสมาธิสร้างความดีต่างๆนานาก็เพื่อหาทางพ้นทุกข์แก้ทุกข์ของตัวเองได้ ก็ต้องเอาความดี,ความอดทนและการมีสติมาปรับใช้กับท่านให้ได้ด้วยจึงจะได้ชื่อว่าเป็น"นักกรรมฐานที่ดีและพร้อมจะแก้ปัญหาชีวิตต่างๆได้ทุกเมื่อ..." :b44: :b43: :b42:

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2008, 18:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b10: :b21: คนเจ้าอารมณ์ หงุดหงิด โกรธง่าย ไม่ยอมใคร พอได้เข้าวัด ได้เรียนรู้การเพ่งดูใจตัวเอง เลยทำให้มีสติทุกครั้งที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะโกรธ เพราะคนอื่นทำไม่ถูกใจเรา เคยสังเกตความรู้สึกตอนตัวเองโโกรธว่า รู้สึกเหนื่อยง่าย หายใจไม่สะดวก ปวดหัว หน้าหงิก กับตอนที่ไม่โกรธ ช่างต่างกันเลย เพราะหลังจากใจให้อภัยและวางใจจากอารมณ์นั้น จิตใจมั่นคง สงบ มีความสุข ภูมิใจที่ตัวเองทำแบบทดสอบนี้ผ่านได้ ทุกวันนี้ก็คิดได้ว่า ทุกครั้งที่โกรธ นั่นเองหละที่วอดวาย ไม่มีใครเขาจะเป็นอย่างใจเราหวังทุกคน เพราะแต่ละคนมีข้อจำกัดและอุปนิสัยเฉพาะตัวต่างกัน
:b42: ข้อความนี้คือตัวเราที่รู้ที่เข้าใจ แต่ทำไมมันยากนัก ตอนนี้เราท้อมากเลย คำแนะนำ
K.คามินธรรมk.กรัชกราย k.อินทรีย์ 5 ดีมากสำหรับเรา แต่เรากลัวว่ากว่าเราจะปฏิบัติได้
มันจะสายเกินไป เพราะเราเริ่มปฏิบัติช้า เหมือนไม่แก่มันช่างดัดยากเสียจริง
อย่าลืมว่าเมื่อเราต้องแก่ตัวมา ก็อาจจะเป็นอย่างท่านหรือมากกว่าท่านก็ได้น่ะ...
ทำความดีและให้ความรักกับพ่อที่ช่างหงุดหงิดและขี้บ่นทุกๆวันเลยย่อมจะดีกว่าแน่นอน เราทำสมาธิสร้างความดีต่างๆนานาก็เพื่อหาทางพ้นทุกข์แก้ทุกข์ของตัวเองได้ ก็ต้องเอาความดี,ความอดทนและการมีสติมาปรับใช้กับท่านให้ได้ด้วยจึงจะได้ชื่อว่าเป็น"นักกรรมฐานที่ดีและพร้อมจะแก้ปัญหาชีวิตต่างๆได้ทุกเมื่อ..."

:b26: :b26: นี่แหละที่เรากลัว และเราก็กลับมาเล่าให้ลูกฟังถึงความผิดของเรา บางครั้งเราก็ให้
ลูกโทรกลับไปคุยกับแก เราจะถามลูกทุกครั้งว่า ทำไมแม่ทำไม่ได้สักที บางครั้งเราก็คิดนะ ว่าเราก็ลูก
ของแก อย่างน้อยเลือดในตัวเราก็เป็นของแก จึงมีนิสัยโทสะเหมือนแกด้วย แก่ตัวจะเป็นแบบแก :b21: แต่เราก็จะสู้ๆ สักวันเราก็คงได้ถึงหลักชัย โดยมีท่านผู้รู้คอยแนะนำทางสว่างแก่เราอยู่
:b29: ที่ K.กรัชกราย ถามว่าเราหายไป เราอ่านกระทู้ทุกวันค่ะ และเกือบทุกกระทู้ เหมือนเราเริ่ม
เข้าชั้นอนุบาล จึงอยากศึกษามากๆ แต่เข้าใจยากนะคะ :b9: :b9: :b9: :b9: :b9:
:b3: ยิ่งเวลาเราอ่านกระทู้ของท่านผู้รู้ที่ถามเรื่องธรรมะยากๆ ทำให้เราไม่กล้าถามเพราะ :b9:
คำถามเรามันช่างเด็กๆจริงๆ มันทำให้เรารู้สึกอายนะ นี่ดีนะที่ไม่เห็นหน้ากัน ถ้าต้องเจอถามแบบ
ครู-นักเรียน เราคงต้องทุกข์ไปอีกนาน
เราอ่านคำแนะนำแล้ว เหมือนได้เติมน้ำมัน มันมีความสุขนะ มีกำลังแบบบอกไม่ถูก :b4: :b4:
แต่เมื่อเราออกไปจากตรงนี้ เรารู้สึกกลัวว่า พรุ่งนี้มันจะเกิดอะไรขึ้นและ
เราจะทำตามคำแนะนำได้ไม๊ ที่เรานั่งโพสต์อยู่นี้เราก็เศร้าลึกๆ เราหวังว่าท่านผู้ปฎิบัติธรรมยังจะเป็นกำลังใจให้เรานคะ :b2: :b7: :b2: :b7: :b2: :b7: :b2: :b7:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


แก้ไขล่าสุดโดย O.wan เมื่อ 13 ธ.ค. 2008, 14:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2008, 18:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อะไรจะเกิดก็เกิดครับ ไม่ควรคิดดักหน้าดักหลัง ดูที่ปัจจุบันขณะ รู้เท่านั้นนั้นพอ จะให้ดีควรกำหนดสะด้วยจะดีมากๆ เพราะสังขารจะไม่ปรุงไม่ฟุ้งต่อ รู้แล้วจบ ตัวอย่างเช่น รู้สึกเศร้ากำหนดความคิดที่กำลังเศร้านั้นว่า "เศร้าหนอๆๆๆ" ดังนี้ เป็นตัวอย่าง เมื่อกำหนดตามสภาวะนั้นแล้ว แล้วกันปล่อยไป ดูงานเป็นต้นที่เรากำลังทำต่อ อารมณ์ความรู้สึกเมื่อกี้ปล่อย มันผ่านไปแล้วไหลผ่านไปแล้วจบไปแล้ว ไม่พึงตามละห้อยถึงอดีต

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2008, 15:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีคำว่าสายหรอกนะครับคุณ o.wan
หลวงปู่ดูลย์พูดว่า ถ้ายังมีเวลาหายใจ ก็ปฏิบัติได้

หมายถึงว่า ยังเป็นคนอยู่ ก็ปฏิบัติได้
ไม่เหมือนสัตว์ต่างๆ เปรต ซึ่งพวกเขาไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้
อย่างเปรตนั้น ต้องคอยให้เราอุทิศส่วนกุศลให้ จึงจะพัฒนาขึ้นมา
อย่างสัตว์นรกนั้นก็ไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลย ปฏิบัติธรรมก็ไม่ได้ ต้องชดใช้กรรมอยู่จนกว่าจะหมด

หรือแม้แต่อย่างเทวดา ก็ได้แค่ฟังธรรม ไม่มีร่างกายจะไปบำเพ็ญปฏิบัติเหมือนอย่างคน
การเกิดเป็นคนก็ไม่ใช่ง่ายๆ
ต้องมีกุศลอย่างมากเมื่อตอนตายในครั้งก่อน จึงส่งให้เกิดเป็นคน

ดังนั้น การเป็นคนเป้นสมบัติที่มีค่ามากๆในการปฏิบัติธรรม
หากปราศจากกายที่หนาคืบยาวหกศอกนี้ เราก็ไม่สามารถจะบรรลุโลกุตรธรรมได้เลย
การเป็นคนหมายถึงยังหายใจอยู่

การปฏิบัติก็สามารถทำได้ทุกที่ ตลอดเวลา ถ้ารู้จักปฏิบัติ

ลองศักษาแนวหวงพ่อปราโมทย์ดูนะครับ
http://www.wimutti.net/pramote/mp.php
ให้โหลด mp3 มาฟัง เอาตั้งแต่แผ่น 1 นะครับ เพราะจะง่าย
ค่อยๆฟัง ฟังไปสบายๆ อะไรไม่เข้าใจก็ฟังผ่านๆไป
ฟังไปเรื่อยๆ แล้วลองปฏิบัติดู

สงสัยเข้าไปโพสต์ถามในเว็บเดียวกันนั้นได้
หรือไปหาหลวงพ่อที่วัดได้ครับ

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2008, 16:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2008, 23:07
โพสต์: 151

ที่อยู่: BKK.

 ข้อมูลส่วนตัว


สู้ๆ ค่ะคุณO.Wan
You can do it!!!!
:b35:

.....................................................
จงระมัดระวังกาย วาจา ใจ ไม่ให้ไปทำร้ายใคร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2008, 19:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเพิ่มอีกนิดนะ คุณ o.wan

อย่าคิดมาก
วิธีแก้คิดมากไม่ยาก

คือสังเกตุให้ทันว่าตัวเองกำลังคิดมาก
พอเรารู้สึกได้อย่างนั้นปั๊บ มันจะหายไปเอง

ในความเป้นจริง ความคิดเรามันจะถาโถมเข้ามามาก
พอจบเรื่องนี้ ก้จะไปคิดเรื่องโน้น วอกแวกวุ่นวายมาก
ก็เพียรจับให้ทันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จับได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ช้าไปบ้าง เร็วเกินไปบ้าง ช่างมัน
เพียรทำไปตามที่ทำได้

การที่เรารู้ทันนี้ เรียกว่าสติ
พอเราจับได้ทันว่ากำลังมีอารมณ์ (จ๊ะเอ๋ มีอารมณือีกแล้วนะ) อารมณ์จะดับไป
พอเราจับได้ทันว่ากำลังคิด (เอ๊ะ กำลังคิดซี้ซั๊วอีกแล้ว) เราจะรู้ตัว แล้วหยุดคิดไปเอง
บางทีมันก็ขาดสะบั้นลงไปทันที บางทีมันก็ค่อยๆคลายลงไป แล้วแต่ความแรง


หมั่นทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ อย่างที่ผมทำนี้ ฝึกมาสักพักแล้ว
คล้ายๆมันเป็นนิสัยติดตัว

ดีใจขึ้นมาปั๊บจิตผมมันก็ทำหน้าที่ของมันด้วยความเคยตัวทันที
คือมันจะ focus ไปที่อารมณืที่กำลังเกิด

เหมือนเราไม่ตั้งใจ เพราะเราหัดทำมานานจนมันเป้นนิสัย
เวลาเสียงพลุดังปังขึ้นมา เราก้ตกใจ แต่ก้รู้สึกทันทีว่าเรากำลังเฝ้าดูความตกใจ
(แทนที่เราจะคิดว่าเสียงอะไร ปืนหรือพลุ ดังมาจากไหน เทศกาลอะไร ฯลฯ)

สรุปว่า เพียรทำไปเรื่อยๆ ทำจนมันเป้นนิสัยขึ้นมาให้ได้

ครูอาจารย์บอกว่า ให้ทำไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งจิตเรามันจะตื่นขึ้น( ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั่นแหละ)
เวลามันตื่นขึ้น จิตเรามันจะเกิดปรากฏการณ์พิศดารขึ้นเอง
โดยเราจะรู้ได้ด้วยตัวเองว่าตื่นแล้ว อะไรคือรู้ อะไรคือตืน อะไรคือเบิกบาน เราจะทราบเอง
เราก็อาศัยศรัทธา ทำไปตามครูอาจารย์สอนสั่ง แล้วจะดีเอง

ส่วนที่เราทำอยู่ทุกวัน คือคิด ขบคิด ครุ่นคิด เพียรคิด หมั่นคิด
ดูให้ดี จะทราบว่าเรากำลังหลงอยู่ ขาดความมีสติเท่าทันไป
กำลังปล่อยให้จิตมันปรุงอยู่

คิดไปข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้างบางทีก็สร้างเรื่อง จำลองสถานการณ์ขึ้นมาในความคิด
เหล่านี้ เป้นความหลง คือหลงให้จิตมันปรุงแต่งไป

ผมจึงแนะไปว่า อย่าไปหวังเอามรรคผลอะไรจากความคิด
แต่ให้ลงมือเผชิญหน้ากับความคิดและอารมณ์ตัวเอง
ด้วยการเฝ้าดูให้ทันมันไปเรื่อยๆ เนืองๆ
สิ่งเหล่านี้เป้นสัจจะธรรมที่จิตมันแสดงออกมาให้เราดุ
ให้เราอ่านธรรมชาติ(อ่านไต๋ อ่านมุขเดิมๆ) ของมันให้ออก
แล้วค่อยศึกษาต่อไปกับครุบาอาจารยืว่าจะทำอย่างไร

ความคิด การคิด ครุ่นคิด มันแก้ได้แต่ปัญหาทางโลก เช่นการเอาชนะความยากลำบากในการดำเนินชีวิต ธุรกิจการงาน เครื่องอำนายความสะดวก ต่างๆนาๆ

แต่ปัญหาของจิตที่เอาแต่รักสุขเกลียดทุกขื
ที่เราเฝ้าถามตัวเองว่า "ฉันทนไม่ได้แล้ว ต้องการพ้นจากสภาวะนี้สักที" นั้น
คิดยังไงก็แก้ไม่ได้ ยิ่งคิดยิ่งแย่กว่าเดิม


แต่เราต้องอาศัยความคิดที่ทำให้เราเศร้าหมอง วุ่นวายนี่แหละ
พลิกวิฤตให้เป้นโอกาส
ถ้าจิตใจเราสงบสบาย มันก็ไม่มีอะไรให้เราดูมากนัก

แต่ถ้าจิตใจว้าวุ่นครุ่นคิดวิตกกังวลนี่แหละ มันจะทำให้จิตแสดงอารมณ์ได้มากมาย
ทำให้เรามีแบบฝึกหัดให้ดูมาก มีให้่ดุบ่อยๆ
ยิ่งโกรธมากยิ่งเห้นง่าย ยิ่งกลุ้มมากยิ่งเห็นง่าย
ไม่เหมือนอารมณ์เล็กๆน้อยๆที่มองไม่ค่อยเห็น

นี่คุณกลุ้มแล้วยังวิ่งหาธรรมะ นี่ถือว่ามีบุญสั่งสมมา
เอาใจช่วยครับ

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2008, 21:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b26: เศร้าหนอๆๆๆๆ...... :b4: สู้หนอๆๆๆๆๆๆ.......
ตอนนี้เรามีกำลังใจมากเลย ตั้งแต่เข้ามาเป็นน้องใหม่ที่นี่.... :b36: :b36: :b36:
ขอบคุณสำหรับทุกแรงใจที่ช่วงส่งเข้ามาค่ะ :b52: เหมือนเราไม่ได้แก้ปัญหาคนเดียว
ในโลกยังมีเพื่อนๆที่เข้าใจ แต่ก่อนสักปีมาแล้ว เราแก้ปัญหาโดยไปหาหมอจิดเวชนะ
รู้สึกว่าตัวเองหงุดหงิด โกรธ หมอให้ยาคลายเครียดมากินทุกวัน
แต่เราไม่เห็นดีขึ้นเลย มีแต่จะง่วงนอน เราเลยยิ่งกลุ้มหนัก แต่พอวันหนึ่ง
ได้เข้ามาตรงนี้ :b53: :b53: จึงรู้ว่าใช่เลย ทำไมเรามองข้ามสิ่งที่ใกล้ตัว
ไปได้ ขอบคุณจริงๆค่ะ ยังมีเพื่อนๆงง :b10: :b10: เรามากเลย ว่าเราเนี่ยนะ
เข้าวัดปฎิบัติธรรม แค่ 3 เดือนมา เราพูดอะไรก็จะวกเข้าหาเรื่องนี้ เพราะใจเรา
หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องนี้ นั่ง นอน เดิน ขณะขับรถยังฟังธรรมะ เลยค่ะ
:b29: :b29: เดี่ยวนี้ลูกไม่อยากนั่งรถด้วบเลย เบื่อแม่หายใจเข้า...ธรรม
หายใจออก....มะค่ะ :b1: :b1: ทุกคืนจะมาอ่านตรงนี้ก่อนค่ะ แล้วเข้านอน
แล้วก็จะนอนนึกว่า :b45: :b45: พรุ่งนี้ใครจะตอบตำถามเราน้า.... :b36: .
:b1: :b27: แล้วเราจะสงสัยอะไรดีน๊า....... :b36:
ถามนะคะ :b18: อาการแบบนี้ เรียกว่าฟุ้งซ่านไม๊คะ
:b18: แล้วจะมากเกินไปหรือเปล่ารบกวนช่วยเตือนด้วยนะคะ
:b40: :b40: :b40: :b40: :b40: :b40: :b40: :b40: :b40: :b40:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2008, 22:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


โอวาทธรรม ท่าน อ.มิตซูโอะ คเวสโก

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=523


อ้างคำพูด:
ตอนที่ ๗
แม่ขี้บ่น.....ลูกต้องไม่ขี้โกรธ

ให้เราพิจารณาดูว่า นิสัยขี้บ่นของแม่นั้น
เราจะช่วยทำให้ลดลงได้ไหม ปกติก็จะเปลี่ยนได้ยาก
หรือเปลี่ยนไม่ได้ เราคงต้องปล่อยให้เป็นอย่างนั้น
ไม่ต้องคิดจะให้เปลี่ยน มองให้เห็นว่า อารมณ์ของแม่
เหมือนลมฟ้าอากาศ มีทั้งหนาว เย็น ร้อน ฝนตก
แห้งแล้ง มีลม ไม่มีลม ลมแรงและพายุ

อารมณ์ของแม่ที่ไม่ถูกใจเรา เปรียบเหมือนสภาวะอากาศ
ที่เราไม่ชอบ เช่น หนาวไป ร้อนไป สิ่งที่เราต้องทำก็คือ
ป้องกันรักษาตัวไม่ให้ทุกข์ จิตใจก็เหมือนกัน
เราต้องป้องกันด้วยใจดีมีเมตตา
ใช้สติปัญญารักษาใจไม่ให้ทุกข์ คือหน้าที่ของเรา

หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ ให้มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
มีสติมั่นคง ใจเราก็ไม่ยินดียินร้าย
ถึงอย่างไรก็สำรวมกาย วาจา การแสดงออกทางกายให้เป็นปกติ
ทางวาจาให้พูดดีๆ ไพเราะน่าฟัง ใจก็คิดดี มีเมตตา
เห็นอกเห็นใจแม่ พยายามรักษาความรู้สึกที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น
ถึงแม้ว่าไม่ชอบ ก็อดทน อดกลั้นไว้
หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ

พิจารณาดูว่า อารมณ์ขี้บ่นเป็นเหมือนอาการท้องผูก
ของเสียเก็บไว้ในร่างกายนานๆ ทำให้ไม่สบาย
เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เมื่อกินยาระบายเข้าไป
ระบายของเสียออกมาได้ ก็รู้สึกสบายกาย
สำหรับคนขี้บ่น อารมณ์หงุดหงิด เป็นของเสียที่สะสมไว้ในใจ
ถ้าเก็บกดไว้จะเครียด เป็นโรคประสาทได้
เมื่อได้ระบายออกมาทางวาจา เขาก็ค่อยสบายใจขึ้น

ตามรายงานของจิตแพทย์ พบว่าผู้หญิงอเมริกันวัยกลางคน
มีความรู้สึกปฏิเสธ หรือไม่พอใจ มากถึงประมาณ 30,000
ครั้งต่อวัน หรือทุก 3 วินาที ความรู้สึกชอบ ไม่ชอบนี้
เกิดจากการรับรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เราจะจัดการกับความรู้สึกได้ถูกต้อง
โดยไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น เก็บเอามาคิดปรุงแต่ง
ตรงกันข้าม ถ้าไม่ฉลาด ก็จะยึดถือ นำมาคิดปรุงแต่ง
แสดงออกทางวาจา เป็นคนขี้บ่น
ประสบการณ์ภายในใจของมนุษย์เราจริงๆ แล้วมีพอๆ กัน
แต่บางคนเก็บสะสม เหมือนอาการท้องผูก

คำพูดที่ไม่พอใจคือ บ่น ไม่มีใครอยากฟัง
แต่เมื่อแม่ของเราบ่น ให้เข้าใจว่าท่านกำลังทุกข์ไม่สบายใจ
เราควรเสียสละ ใจดีพอที่จะรับเป็นสุขภัณฑ์ที่ดีให้แก่แม่
เป็นสุขภัณฑ์สะอาด ใช้ได้สะดวก มีน้ำไหลแรงๆ หน่อย
แม่บ่นเมื่อไรก็ใจดีรับฟัง แม่จะสบายใจ ไม่ต้องขัดใจ
ยิ่งของเสียออกมากยิ่งดีต่อสุขภาพ อายุยืน
แต่เราก็ต้องระวัง ถ้าคุณภาพสุขภัณฑ์ไม่ดีพอ
เราจะ...สกปรกน่าดู

เราต้องมีสติปัญญา เมตตา กรุณา ขันติ
เป็นคุณธรรมประจำใจ
เป็นโอกาสที่เราจะสร้างคุณงามความดี
และเข้าใจธรรม ทำได้ดี ทำได้มากเท่าไร
ก็เท่ากับเราก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม
แล้วในที่สุดจะรู้สึกขอบคุณแม่
ที่เป็นแบบฝึกหัดให้แก่เราได้พัฒนาจิตใจ

..... ..... เป็นสุขภัณฑ์ที่ดีให้แก่แม่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2008, 22:13 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2008, 17:29
โพสต์: 191

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:


แก้ไขล่าสุดโดย ทางเดินที่พ้นทุกข์ เมื่อ 12 เม.ย. 2009, 23:49, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2008, 23:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2008, 23:07
โพสต์: 151

ที่อยู่: BKK.

 ข้อมูลส่วนตัว


แวะมาก็รู้สึกดีใจที่ได้รู้จักคนที่มีธรรมะในหัวใจอย่างคุณO.Wan เช่นกัน :b16:

.....................................................
จงระมัดระวังกาย วาจา ใจ ไม่ให้ไปทำร้ายใคร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2008, 10:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าไปคิดมากครับ คุณพ่อของท่านต้องเอาความทุกข์ของลูกมาแบกไว้ก็เป็นกรรมของเขา ส่วนท่านเองต้องรองรับอารมณ์ของคุณพ่ออันนี้ก็เป็นผลกรรมของท่าน เหตุเกิดแล้วแต่อดีตที่กลับไปแก้ไขไม่ได้ การยอมรับผลก็เป็นเรื่องธรรมดาๆครับ ปัจจุบันเราย่อมทำเหตุในทางกุศลย่อมส่งผลในอนาคตแน่นอนครับ :b4: :b4:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2008, 08:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: ทุกท่านนะคะที่แนะนำ เหมือนเทศนาธรรมของหลวงพ่อชา เรื่องการปล่อยวาง
เลยค่ะ เราจะมาแบกก้อนหินให้มันหนักทำไมนะคะ
:b39: :b40: :b39: :b40: ธรรมมะขอบคุณทุกท่านคะ:b8: :b8: :b8: :b8: :b8:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร