วันเวลาปัจจุบัน 03 พ.ค. 2025, 06:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2008, 06:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: ท่านผู้รู้ เราเริ่มฝึกธรรมะได้ไม่นาน เลยมีข้อถามบ่อยๆคะ
:b45: คือเรามีป้าคนหนึ่งซึ่งไม่เคยพูดกันมานาน ผิดใจกับพ่อเรา และพวกเรา
ทุกวันนี้ก็ไม่เคยคุยกัน ถ้ามีเหตุต้องเจอ ก็เหมือนคนไม่เคยรู้จัก แค่เพื่อนร่วมโลก
หลายปีก่อนเราโกรธแกมากคิดเลยว่า ตายไม่ต้องมาเผาผีกัน จนเวลาผ่านไป
:b41: :b41: ตอนนี้เราไม่รู้ว่าความโกรธ ในใจเรายังมีหรือเปล่า คือเราลืมเค้า
ไปเลยเหมือนไม่เคยรู้จัก ทุกวันนี้สวดมนต์ก็จะแผ่เมตตาให้เค้า โดยระบุชื่อเลย
แต่เราก็จะไม่คิดจะมีเค้าเป็นป้านะ เพราะเราลืมคำนี้ไปแล้ว
ตอนนี้แกอายุมากแล้ว เราเลยขอถาม
:b10: จากการที่เราไม่คิดว่าเค้าคือป้า เค้าก็คงไม่คิดว่าเราเป็นหลาน
เจอก็ไม่ทัก ตายไปเราก็คงทำบุญ กรวดน้ำไปให้ ก็แค่เพื่อนมนุษย์ที่เคยรู้จักคนหนึ่ง
แต่ใจเราคิดว่า อโหกิกรรมให้เค้าแล้วนะ นานแล้วด้วย คือเราไม่เคยนึกถึงเลย
ในทางปฏิบัติก็ไม่มีปฎิกริยาอะไรคือเฉยๆ เจอก็คือเจอ แต่ในทางใจเราไม่รู้จริงๆ
ว่าเค้าเรียกว่าอโหสิกรรมหรือเปล่า หรือใจเรายังผูกพยาบาทแบบลึกๆหรือเปล่า
:b48: รบกวนช่วยพิจารณาเราด้วยค่ะ
:b48: แนะนำด้านการปฏิบัติตน และปฎิบัติจิตด้วยนะคะ
:b15: :b15: เป็นไปได้ไม๊ถ้า...แกเกินต้องจากโลกนี้ไป..แล้วเราไม่ไปงานแก
เราพูดแบบนี้บาปไม๊คะเพราะแกยังไม่...แต่เราไม่รู้จริงค่ะ ว่าควรปฏิบัติอย่างไร
ให้ได้บุญค่ะ :b8: :b41: :b8: :b41: :b8: :b41:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2008, 08:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1854

แนวปฏิบัติ: อานาปานสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: THAILAND

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: ขอแสดงความคิดเห็นหน่อย นะจ๊ะ

" คิดว่าใจคุณยังเป็นอกุศลอยู่ ไม่ได้อโหสิกรรมจริงอย่างที่คิดหรือปฏิบัติ
เพราะคุณไม่มีความสุข ทุกครั้งที่นึกถึงท่าน มันสวนทางกันกับคำสอน
ของพระพุทธองค์ "


:b8: ยังไงก็ขอให้คุณ เห็นธรรมและเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป ด้วยเทอญ :b8:

.....................................................
[สวดมนต์วันละนิด-นั่งสมาธิวันละหน่อย]
[ปล่อยจิตให้ว่าง-ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ]


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2008, 10:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b26: :b26: k.บัวหิมะ ว่าเราควรปฎิบัติอย่างไรคะ ทุกวันนี้เราไม่เคยเจอแกมานานแล้ว
แต่ความรู้สึกมันค้างอยู่ในใจ เลยโพสต์มาถาม เพราะนึกออกพอดี :b9: :b9:
ลูกๆของแกกับเราก็เป็นมิตรต่อกันดี รู้เรื่องนี้ด้วย ก็ไม่ว่ากัน เราเพียงแต่กลัวว่าเรา
จะทำบาปทางใจเท่านั้น :b48: เวลาเราแผ่เมตตาเราก็จะนึกถึง ผู้ที่เราเคยล่วงเกิน
เคยมีปัญหากัน ไม่ถูกกันจะได้ไม่ต้องมาเป็นบาปต่อกัน เพราะคนพวกนี้เราอาจจะไม่ได้เจอ
เค้าอีกน่ะค่ะ เหมือนกับเราขออโหกิกรรมด้วยวิธีทางธรรมน่ะค่ะ ไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า
รบกวนช่วยอธิบายด้วยนะคะ เราโพสต์มาก็รู้สึกงง :b26: :b26: :b26: ตัวเองเลยค่ะ
:b8: อยากฟังทุกๆท่านนะคะ เราเหมือนบัวใต้น้ำน่ะค่ะ บางครั้งไม่ค่อยเข้าใจค่ะ
อาจจะถามมากเกิน ง่ายเกินไป แต่เพราะใจใฝ่รู้ให้แจ้งน่ะค่ะ :b8: :b8:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2008, 11:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1854

แนวปฏิบัติ: อานาปานสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: THAILAND

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: คุณ O.wan

:b26: เรียนตรงๆ ว่า บัวหิมะ ก็ ไม่มีภูมิพอที่จะชี้แนะใครต่อใครได้หรอก
แต่มีประสพการณ์ของตนเองจะเล่าให้ฟัง ในอดีต บัวหิมะ เป็นคนใจร้อน มุทะลุ เจ้าอารมณ์มาก
เป็นคนเอาแต่ใจตนเองเป็นใหญ่ ใครจะมาติติงไม่ได้ ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่ตนเองไม่ได้ทำ แต่
มีคนมากล่าวหาด้วยแล้ว ยิ่งสู้ชนิดหัวชนฝากันเลย ตายเป็นตาย ไม่ยอมใคร แม้แต่ญาติพี่น้อง
จนไม่มีใครอยากเข้าใกล้ รู้ตัวเองนะ แต่แก้นิสัยไม่ได้สักที นอกจากนี้ ยังเจ้าคิดเจ้าแค้น อาฆาต
พยาบาท ด้วย (ไม่ทราบว่าชาติที่แล้วเป็นยักษ์เป็นมารหรือเปล่า)


:b18: แต่เหมือนว่า ยังพอมีบุญเก่าหนุนนำอยู่บ้าง(คิดเอาเองนะ) ช่วง 3-4 ปี มานี้ อยู่ ๆ ก็นึกอยาก
ที่จะฝึกวิปัสสนากรรมฐาน กับเขาขึ้นมาบ้าง จึงไปเข้ารับการอบรมฝึกนั่งสมาธิ แต่กว่าจะรู้จริต
ของตนเอง ว่าถูกกับวิธีการปฏิบัติแบบไหน ก็ตะลอนๆ ไปมา 4 สถานที่ 4 ภาค กันเลยทีเดียว


:b20: ทีนี้ มาดูผลจากการได้มีโอกาสเข้าหาธรรมะ ปฏิบัติธรรมและฝึกสมาธิ ถ้าไม่ประสพด้วยตัวเอง
ก็ไม่เชื่อ (เช่นพุทธองค์กล่าว ต้องรู้ได้ด้วยตนเอง) เพราะปัจจุบัน บัวหิมะ กลายเป็นคนใจเย็น เป็นคน
มีเหตุมีผล คิดเป็น คิดได้ รู้จักวิธีคิดให้ปลงได้กับทุกสิ่งรอบตัว รู้จักให้อภัยกับทุกสิ่งที่มากระทบจิตใจ
อโหสิกรรมให้กับทุกคนแม้แต่ผู้ประสงค์ร้าย โดยเฉพาะเมื่อนั่งสมาธิ หรือสวดมนต์เสร็จแล้ว ก็แผ่เมตตา
อุทิศส่วนกุศล ให้กับทุกสรรพสิ่งรวมทั้งเจ้ากรรมนายเวร ด้วย มันทำให้รู้สึกว่าตนเองมีความสุขกับปัจจุบันชีวิตมาก


:b13: อยากจะบอกคุณ O.wan ว่า แม้แต่ " องคุลีมาล " ฆ่าคนมาร่วม 1,000 คน ยังสำเร็จอรหันต์ได้เพราะฉะนั้น คนอย่างเรา ๆ
ที่มีบุญที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์สามารถบรรลุ โสดาบัน สำเร็จอรหันต์ จนเข้าถึง นิพพาน ได้ จึงโชคดีกว่า เปรต,
สัตว์เดรฉาน ทั้งหลาย หากตั้งใจพากเพียรปฏิบัติธรรม ด้วยความตั้งใจจริงโดยไม่ท้อถอย แล้ว คงมีสักชาติที่เราจะประสพ
ความสำเร็จดังใจหมาย เพราะแม้แต่พระพุทธองค์ กว่าจะทรงตรัสรู้และทรงนำสิ่งที่พระองค์ทรงรู้มาเผยแผ่โปรดสัตว์, มนุษย์,
หมู่มาร- พรหม และ เทวดาทั้งหลาย ก็ต้องทรงเวียนว่ายอยู่ไม่รู้กี่ภพชาติ จึงขอให้พยายามปฏิบัติธรรม ต่อไป เป็นกำลังใจให้ค่ะ


:b45: ด้วยความปรารถนาดี :b45:

.....................................................
[สวดมนต์วันละนิด-นั่งสมาธิวันละหน่อย]
[ปล่อยจิตให้ว่าง-ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ]


แก้ไขล่าสุดโดย บัวไฉน เมื่อ 04 ธ.ค. 2008, 13:50, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2008, 12:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอตอบคุณ O.wan ดังนี้ครับ

ดีแล้วครับ มีคำถามสงสัยอะไรก็ถามกัน เพื่อจะได้ช่วยกันแนะนำแล้วนำไปปรับแก้ไขให้เจริญก้าวหน้าในทางธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปครับ มีเพื่อนๆ กัลยาณมิตรมีหลายท่านที่คอยช่วยแบ่งกันประสบการณ์ครับ

เรื่องป้าของคุณนั้น ไม่รู้ว่าท่านได้ทำอะไรกับครอบครัวของคุณบ้าง แต่สิ่งที่คุณได้ทำนั้นเป็นอันถูกต้องอยู่บ้างแล้วครับ คือ การแผ่เมตตาให้กับเขา ตรงนี้ถือว่าถูกต้องครับ ที่นี้ต่อไปจะแนะนำสภาวะต่างๆ ที่เป็นเหตุอันทำให้เกิดขึ้นพร้อมไปกับเหตุการณ์ที่คุณให้มาก่อน ต่อจากนั้นจะแนะนำวิธีอันควรปฏิบัติต่อไปข้างท้ายด้วย โปรดตั้งใจพิจารณาตามดังต่อไปครับ

1. เริ่มแรกเลย เมื่อป้าของคุณทำให้ครอบครัวของคุณต้องทุกข์ต้องเดือดร้อน คุณก็โกรธป้าของคุณ ถึงขนาดตั้งใจว่า "ตายก็ไม่ต้องไปเผาผีกัน" กระบวนการตรงนี้ เป็นกระบวนการก่อเกิดทุกข์ขึ้นตลอดสายในขณะจิตเดียว ผมตัดตอนมาให้เห็นโดยเริ่มจาก ตา หู ของคุณได้เห็น ได้ยินการกระทำต่างๆ อันบังเกิดขึ้น แล้วคุณเกิดทุกขเวทนา เพราะจำได้ว่าอย่างนี้เป็นการแสดงออกของป้าที่ทำให้เรา-ครอบครัวของเราต้องทุกข์ต้องเดือดร้อน จากนั้นจิตก็ปรุงแต่งไปเป็นความโกรธ-โทสะ ปรุงไปเป็นความพยาบาท คือ ผูกใจเจ็บ และไม่แน่ว่าลึกๆ ในใจของคุณอาจปรุงแต่งถึงขั้นวิหิงสาวิตก คือ ความคิดตั้งใจเบียดเบียนป้า แช่งป้าให้มีอันเป็นไปในทางอ้อมอยู่หรือเปล่าด้วยหรือเปล่า?

ถ้อยคำที่ว่า "ไม่ต้องเผาผีกัน" ถ้อยคำนี้บ่งชี้ว่าเป็นความตั้งใจที่เกิดขึ้นจริงๆ เพราะโดนอำนาจ "วิภวตัณหา" ครอบงำ อยากให้สิ่งที่ก่อให้เราเกิดทุกขเวทนาพ้นๆ ไปเสีย อยากได้ อยากรักษาสภาวะเดิมๆ เวทนาเดิมๆ ของเราก่อนป้ามาทำให้เดือดร้อนเอาไว้ คือมี "กามตัณหา" อยู่ภายในอีกชั้นหนึ่ง พอตัณหารุนแรงมากเข้า คุณก็เกิด "อุปทาน" ยึดเข้าไปนำเอาหลักทฤษฏีที่รู้มาว่า เมื่อเหตุการณ์อย่างนี้ เราต้องการ-ไม่ต้องการเวทนาอย่างนี้ เราจะต้องใช้วิธีนี้ คือ "ไม่ไปเผาผี" พ่วงด้วยไม่นับถือเขาว่าเป็นป้า เป็นแค่เพื่อนร่วมโลกมายึดเอาไว้ว่านี่แหละถึงถูกต้อง!! ที่จะป้องกันไม่ให้ทุกข์เกิดขึ้น รักษาสุขเวทนาเดิมๆ ของครอบครัวเราให้คงอยู่ต่อไป เรียกว่าเกิดอุปทานและ "ภพ" ขึ้นต่อเนื่องพร้อมกันไปมีเจตนาร่วมภายในว่าจะทำจริงๆ

2. อะไรๆ ที่ภาวะตัวตน เป็น "ชาติ" ที่แตกต่างไปจากเดิมจึงเกิดขึ้น คือ จากภาวะเดิมที่เป็นป้ากับหลาน กลายเป็นเกิดภาวะตัวเรา ของเราในรูปแบบใหม่ เป็นภาวะตัวตนแบบ "คนเคืองกัน", "คนไม่รู้จักกัน" กับ "เพื่อนร่วมโลก" การกระทำ การพูด การคิดต่างๆ อันเป็นของภาวะตัวตนอย่างนั้นๆ จึงได้มาแสดงออกมามีภาวะตัวตนอย่างนั้นคอยรับผลต่อไปเรื่อยๆ มาจนทุกวันนี้ (ภาวะความผูกพันต่างๆ รักใคร่กันก็ไม่ได้มีดังเดิมอีกต่อไปแล้ว)

3. แต่ด้วยสภาวะตัวตนแบบ "คนเคืองกัน", "คนไม่รู้จักกัน", "เพื่อนร่วมโลก", "ไม่ใช่ป้ากับหลาน" นี่เองก็ไม่พ้นไปจากหลักไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไปได้ เมื่อสภาวะนี้ถึงคราวแปรเปลี่ยนไป เรียกว่า เกิดความ "ชรา" สิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยปรากฏก็ปรากฏขึ้น เช่น ใจเป็นกลางมากขึ้น จิตคลายออกจากเดิมเคืองกันน้อยลง เริ่มกลับมาคิดว่ากระทำอย่างคนไม่รู้จักกัน เป็นเพื่อนร่วมโลกถูกหรือเปล่า ฯลฯ

4. ดังนั้นจะเห็นได้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับคุณนี้เป็นกระบวนการของ "ชรา" ปรากฏ ซึ่งชราปรากฏนี้เป็นไปในทางที่ดี หากมีการเสริมด้วยปัญญาเข้าไปด้วยแล้วจะทำให้เกิดสภาวะ "มรณะ" ดับภาวะตัวตนในลักษณะต่างๆ ที่ไม่ดีไม่งามได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งเมื่อดับ หรือเกิดภาวะ "มรณะ" ได้ด้วยปัญญาแล้ว โสกะ ปริเวทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะไม่เกิดขึ้นครอบงำใจของคุณครับ

5. ที่กล่าวไปข้างบนนี้เป็นบางส่วนของอดีตเหตุและปัจจุบันผล ที่เป็นการบ่งชี้ว่าการอโหสิกรรมของคุณนั้นยังไม่ใช่การอโหสิกรรมอย่างแท้จริง เป็นเพียงการสร้างภาวะตัวตนแบบใหม่ขึ้นมา ไม่ใช่การอโหสิกรรมจริงๆ เพราะหากเป็นการอโหสิกรรมจริงๆ ควรจะเป็นอะไรที่หมดจากสภาวะตัวตนอย่างปัจจุบันนี้ไปแล้วเท่านั้น ถึงจะเป็นอโหสิกรรมอย่างสมบูรณ์ครับ

6. ดังนั้นเราจะมาสร้างสภาวะอโหสิกรรมอย่างสมบูรณ์ตรงนี้ให้เกิดขึ้นกัน โดยการเร่งสภาวะ "มรณะ" ในตัวตนแบบผิดๆ ให้เกิดเร็วขึ้น ซึ่งหลักการก็ไม่มีอะไรยาก เพียงทำเสริมจากที่คุณได้ทำอยู่แล้วเท่านั้น คือ

ทางด้านกาย : หากคุณต้องได้เจอป้าของคุณขอให้คุณยิ้มแย้ม ทักทายท่าน ปีใหม่อาจจะมีของขวัญปีใหม่ให้ท่าน ในนั้นอาจจะเขียนการ์ดแนบอะไรที่เป็นการทำให้รู้ว่าเราและป้าหรือป้ากับครอบครัวได้ลืมๆ อะไรที่ไม่ดีๆ ไปแล้ว อาจจะเขียนไปว่าได้ให้อภัย อโหสิกรรมอะไรที่คัดเคืองกันแล้วมาเริ่มต้นกันใหม่ร่วมไปด้วยก็ได้ (คุณอาจจะเขียนไปในนามของครอบครัว พ่อ-แม่อาจร่วมกันช่วยเขียน)

ทางด้านวาจา : หากคุณต้องพบเจอป้าเราอาจจะสนทนาปราศัยกับป้าอย่างดี เหมือนกับเขาเป็นพ่อ-แม่ของเราแต่ในขอบเขตของวาจาสุภาษิต

ทางด้านจิตใจ : ให้คุณเจริญเมตตาเนื่องๆ กับป้าของคุณไปเช่นเดิม พร้อมกับตรวจสอบผลของเมตตาโดยดูจิตของคุณว่า หากคุณเกิดความเมตตาสงสารป้าของคุณได้เมื่อไร อยากให้ป้าของคุณมีความสุข ไม่อยากให้ป้าของคุณทุกข์ เจอหน้าป้าก็ดูที่จิตเราหากจิตเราเกิดเมตตากรุณา หรือไม่ตะติดตะขวงใจจิตไม่หน่วงไปคิดถึงเรื่องความผิดพลาดเมื่อก่อน หรือถึงแม้จะคิดใจก็ไม่รู้สึกว่าป้านั่นแหละผิด เรานั่นแหละถูกอย่างนี้ เมื่อนั้นแสดงว่าใจของคุณได้อโหสิกรรมแล้ว ไม่ใช่การคิดเองว่าอโสหิกรรมแล้วหรือไม่ แต่ทางกาย-วาจา-ใจทั้งหมดนี้เราอโหสิกรรมได้จริงๆ วิบากอะไรจะเกิดต่อมาก็ปล่อยวางไป เราตัดกรรมแล้ว

สุดท้ายให้คุณหมั่นพิจารณาเวทนาเวลาที่คุณรับรู้อะไรๆ ว่าเกิดสุข หรือทุกข์ หรืออุทกขมสุขเวทนาขึ้น แล้วให้มาดูที่ใจของเราว่าเป็นอย่างไรต่อเวทนานั้น แล้วหมั่นพิจารณาทั้งหมด ตลอดสาย ทั้งเวทนาที่เกิดขึ้น สภาวะใจที่มีผลหรือไม่มีต่อเวทนา อายตนะที่ทำให้เกิดการรับรู้ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ทำบ่อยๆ แล้วจะเกิดความปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่นปรุงแต่งปรุงแต่งให้เป็นเรื่องเป็นราวอีกในอนาคตได้ (แม้การทำ-พูด-คิดใดๆ ที่เป็นอโหสิกรรมเราก็ไม่ยึดมั่น) เพราะเกิดปัญญาหรือวิชชา มาแทนอวิชชาความไม่รู้ว่าแท้จริง ใจนี้ต่างหากที่ประกอบไปด้วยอวิชชา-ตัณหา-อุปทานจึงทำให้เกิดเป็นทุกข์ ทรมาน บีบคั้นกาย-วาจา-ใจให้เป็นไปต่างๆ ไม่มีใคร หรืออายตนะใดๆ ที่ทำให้เป็นทุกข์ใด้ อวิชชา-ตัณหา-อุปทานในใจนี้แหละเป็นเหตุ.

ขอให้เจริญในธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2008, 12:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 พ.ค. 2008, 20:48
โพสต์: 27

ที่อยู่: surin

 ข้อมูลส่วนตัว


"บางครั้งเทวบุตรมารก็สิงห์ในตัวผู้อื่นเพื่อทดสอบเรานะ" ( คิดว่า )

ขนฺติปรมํตโปตีติกฺขา แปลว่า ความอดทนคือธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง

;) ฮฮฮ :b42: :b42: :b42:

.....................................................
พุทโธ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2008, 13:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2008, 16:13
โพสต์: 17


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอให้ท่านทั้งหลายโปรดอ่านเรื่องนี้ก่อน
จั น ท ช า ด ก
ในครั้งโบราณ เมืองพารานสี มีชื่อว่า บุปผวดี มีกษัตริย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าเอกราชา พระราชบุตรองค์ใหญ่ พระนามว่า จันทกุมาร ดำรงตำแหน่งเป็นอุปราช และ พราหมณ์ชื่อกัณฑหาล เป็นปุโรหิตในราชสำนัก กัณฑหาล มีหน้าที่ตัดสินคดีความอีกตำแหน่ง แต่กัณฑหาลเป็นคน ไม่ยุติธรรม ไม่ซื่อสัตย์ มักจะรับสินบนจากคู่ความอยู่เสมอ ข้างไหนให้สินบนมาก ก็จะตัดสินความเข้าข้างนั้น จนกระทั่งวันหนึ่ง ผู้ที่ได้รับความอยุติธรรมร้องโพนทนา โทษของกัณฑหาล ได้ยินไปถึงพระจันทกุมาร จึงตรัสถาม ว่าเกิดเรื่องอะไร บุคคลนั้นจึงทูลว่า "กัณฑหาลปุโรหิต มิได้เป็นผู้ทรงความยุติธรรม หากแต่รับสินบน ก่อความ อยุติธรรมให้เกิดขึ้นเนืองๆ" พระจันทกุมารตรัสว่า "อย่า กลัวไปเลย เราจะเป็นผู้ให้ ความยุติธรรมแก่เจ้า" แล้ว พระจันทกุมารก็ทรงพิจารณาความอีกครั้ง ตัดสินไปโดย ยุติธรรม เป็นที่พึงพอใจแก่ประชาชนทั้งหลาย ฝูงชนจึง แซ่ซ้องสดุดีความยุติธรรมของพระจันทกุมาร พระเจ้าเอกราชาทรงได้ยินเสียงแซ่ซ้อง จึงตรัสถาม ครั้นทรงทราบจึงมีโองการว่า "ต่อไปนี้ ให้จันทกุมาร แต่ผู้เดียวทำหน้าที่ตัดสินคดีความทั้งปวงให้ยุติธรรม" กัณฑหาลเมื่อถูกถอดออกจากตำแหน่งหน้าที่ ก็เกิด ความเคียดแค้นพระจันทกุมาร ว่าทำให้ตนขาดผล ประโยชน์ และได้รับความอับอายขายหน้าประชาชน จึงผูกใจพยาบาทแต่นั้นมา
อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าเอกราช ทรงฝันเห็นสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์ เห็นความผาสุกสวยงาม ความรื่นรมย์ ต่างๆ นานา ในสรวงสวรรค์ เมื่อตื่นจากฝัน พระองค์ ยังทรงอาลัยอาวรณ์อยู่ และปรารถนาจะได้ไปสู่ ดินแดนอันเป็นสุขนั้น จึงตรัสถามบรรดาผู้ที่พระองค์ คิดว่าจะสามารถบอกทางไปสู่เทวโลกให้แก่พระองค์ได้ กัณฑหาลได้โอกาส จึงกราบทูลว่า "ข้าแต่พระราชา ผู้ที่ประสงค์จะไปสู่สวรรค์ มีอยู่หนทางเดียวเท่านั้นคือ ทำบุญให้ทาน และฆ่าบุคคลที่ไม่ควรฆ่า" พระราชาตรัส ถามว่า "ฆ่าบุคคลที่ไม่ควรฆ่า หมายความว่าอย่างไร" กัณฑหาลทูลตอบว่า "พระองค์จะต้องการกระทำการ บูชายัญด้วยพระราชบุตร พระมเหสี ประชาชนหญิงชาย เศรษฐี และช้างแก้ว ม้าแก้ว จำนวนอย่างละสี่ จึงจะไป สู่สวรรค์ได้" ด้วยความที่อยากจะไปเสวยสุขในสวรรค์ พระเจ้าเอกราชาก็ทรงเห็นดีที่จะทำบูชายัญตามที่กัณฑหาล ผู้มี จิตริษยาพยาบาททูลแนะ พระองค์ทรงระบุชื่อ พระราช บุตรพระมเหสี เศรษฐี ประชาชน และช้างแก้ว ม้าแก้ว ที่จะ บูชายัญด้วยพระองค์เอง อันที่จริงกัณฑหาลประสงค์ร้าย กับพระจันทกุมารองค์เดียวเท่านั้น แต่ครั้นจะให้บูชายัญ พระจันทกุมารแต่ลำพัง ก็เกรงว่าผู้คนจะสงสัย จึงต้องให้ บูชายัญเป็นจำนวนสี่ พระจันทกุมารผู้เป็นโอรสองค์ใหญ่ ก็ทรงอยู่ในจำนวนชื่อที่พระเจ้าเอกราชาโปรดให้นำมาทำ พิธีด้วย จึงสมเจตนาของกัณฑหาล เมื่อช้าง ม้า และบุคคล ที่ถูกระบุชื่อ ถูกนำมาเตรียมเข้าพิธี ก็เกิดความโกลาหล วุ่นวาย มีแต่เสียงผู้คน ร้องไห้คร่ำครวญไปทั่ว พระจันทกุมารนั้น เมื่อราชบุรุษไปกราบทูลก็ทรงถามว่า ใครเป็นผู้ทูลให้พระราชาประกอบพิธีบูชายัญ ราชบุรุษ ทูลว่ากัณฑหาล ก็ทรงทราบว่าเป็นเพราะความ ริษยาพยาบาทที่ กัณฑหาลมีต่อพระองค์เป็นสาเหตุ ในเวลาที่ราชบุรุษไปจับเศรษฐีทั้งสี่มาเข้าพิธีนั้น บรรดาญาติพี่น้องต่างพยายามทูลวิงวอนขอชีวิตต่อ พระราชา แต่พระราชาก็ไม่ทรงยินยอม เพราะมี พระทัยลุ่มหลงในภาพเทวโลก และเชื่องมงายในสิ่งที่ กัณฑหาลทูล
ต่อมาเมื่อพระบิดาพระมารดาของ พระราชาเอง ทรงทราบก็รีบเสด็จมาทรงห้ามปรามว่า "ลูกเอ๋ยทางไปสวรรค์ที่ต้องฆ่าบุตรภรรยา ต้องเบียด เบียนผู้อื่นนั้น จะเป็นไปได้อย่างไร การให้ทาาน การ งดเว้นการเบียดเบียนต่างหาก เป็นทางสู่สวรรค์" พระราชาก็มิได้ทรงฟังคำห้ามปรามของพระบิดา พระมารดา พระจันทกุมารทรงเห็นว่าเป็นเพราะ พระองค์เองที่ไปขัดขวางหนทางของคนพาลคือ กัณฑหาล ทำให้เกิดเหตุใหญ่ จึงทรงอ้อนวอนพระบิดา ว่า "ขอพระองค์โปรดประทานชีวิต ข้าพเจ้าทั้งปวงเถิด แม้จะจองจำเอาไว้ก็ยังได้ใช้ประโยชน์ จะให้เป็น ทาส เลี้ยงช้าง เลี้ยงม้า หรือขับไล่ไปเสียจากเมืองก็ย่อมได้ ขอประทานชีวิตไว้เถิด" พระราชาได้ฟังพระราชบุตร ก็ทรงสังเวชพระทัยจน น้ำพระเนตรไหล ตรัสให้ปล่อย พระราชบุตร พระมเหสี และทุกสิ่งทุกคนที่จับมาทำพิธี ครั้นกัณฑหาลทราบ เข้าขณะเตรียมพิธีก็รีบมาทูบคัดค้าน และ ล่อลวงให้ พระราชาคล้อยตามด้วยความหลงใหลในสวรรค์อีก พระราชาก็ทรงเห็นดีไปตามที่กัณฑหาล ชักจูง พระจันทกุมารจึงทูลพระบิดาว่า "เมื่อข้าพเจ้ายังเล็กๆ อยู่ พระองค์โปรดให้พี่เลี้ยง นางนม ทะนุ บำรุงรักษา ครั้นโตขึ้นจะกลับมาฆ่าเสียทำไม ข้าพเจ้าย่อมกระทำ ประโยชน์แก่พระองค์ได้ พระองค์จะ ให้ฆ่าลูกเสีย แล้วจะอยู่กับคนอื่นที่มิใช่ลูกจะเป็นไปได้อย่างไร ในที่สุดเขาก็คงจะฆ่าพระองค์เสียด้วย พราหมณ์ที่สังหาร ราชตระกูล จะถือว่าเป็นผู้มีคุณประโยชน์ได้อย่างไร พราหมณ์นั้นคือผู้เนรคุณ" พระราชาได้ฟัง ก็สลดพระทัย สั่งให้ปล่อยทุกชีวิต ไปอีกครั้ง แต่ครั้นพราหมณ์กัณฑหาลเข้ามากราบทูล ก็ทรงเชื่ออีก พระจันทกุมารก็กราบทูลพระบิดาว่า "ข้าแต่พระบิดา หากคนเราจะไปสวรรค์ ได้เพราะ การกระทำบูชายัญ เหตุใดพราหมณ์จึงมิทำบูชายัญ บุตรภรรยาของตนเองเล่า เหตุใดจึงได้ชักชวนให้คน อื่นกระทำ
ในเมื่อพราหมณ์ก็ได้ทูลว่า คนผู้ใดทำ บูชายัญเองก็ดี คนผู้นั้นย่อมไปสู่สวรรค์ เช่นนั้นควรให้ พราหมณ์กระทำบูชายัญด้วยบุตรภรรยาตนเองเถิด" ไม่ว่าพระจันทกุมารจะกราบทูลอย่างไร พระราชา ก็ไม่ทรงฟัง บุคคลอื่นๆอีกเป็นจำนวนมาก รวมทั้ง พระวสุลกุมารผู้เป็นราชบุตรของพระจันทกุมาร มาทูลอ้อนวอน พระเจ้าเอกราชาก็ไม่ทรงยินยอมฟัง ฝ่ายกัณฑหาลเกรงว่าจะมีคนมาทูลชักจูงพระราชาอีก จึงสั่งให้ปิดประตูวัง และทูลเชิญพระราชาให้ไป อยู่ในที่อันคนอื่นเข้าไปเฝ้ามิได้ เมื่อถึงเวลาทำพิธี มีแต่เสียงคร่ำครวญของราชตระกูล และฝูงชนที่ญาติ พี่น้องถูกนำมาเข้าพิธี ในที่สุด นางจันทาเทวีผู้เป็นชายา ของพระจันกุมาร ซึ่งได้พยายามทูลอ้อนวอนพระราชา สักเท่าไรก็ไม่เป็นผล ก็ได้ ติดตามพระจันทกุมารไป สู่หลุมยัญด้วย เมื่อกัณฑหาลนำถาดทองมาวางรอไว้ และเตรียมพระขรรค์จะบั่นคอพระจันทกุมาร พระนางจันทาเทวีก็เสด็จไปสู่หลุมยัญ ประนมหัตถ์บูชา และกล่าวสัจจวาจาขึ้นว่า "กัณฑหาลพราหมณ์เป็น คนชั่วเป็นผู้มีปัญญาทราม มีจิตมุ่งร้ายพยาบาท ด้วยเหตุแห่งวาจาสัตย์นี้ เทวดา ยักษ์ และสัตว์ทั้งปวง จงช่วยเหลือเรา ผู้ไร้ที่พึ่ง ผู้แสวงหาที่พึ่ง ขอให้เราได้อยู่ร่วมกับสามีด้วยความสวัสดีเถิด ขอให้พระเป็นเจ้า ทั้งหลายจงช่วยสามีเรา ให้เป็นผู้ที่ศัตรูทำร้ายมิได้เถิด" เมื่อพระนางกระทำสัจจกริยา พระอินทร์ได้สดับ ถ้อยคำนั้น จึงเสด็จมาจากเทวโลก ทรงถือค้อนเหล็กมี ไฟลุกโชติช่วง ตรงมายังพระราชา กล่าวว่า "อย่าให้เรา ถึงกับต้องใช้ค้อนนี้ประหารเศียรของท่านเลย มีใครที่ ไหนบ้าง ที่ฆ่าบุตร ภรรยา และเศรษฐีคหบดีผู้ไม่มีความ ผิดเพื่อที่ตนเองจะได้ไปสวรรค์ จงปล่อยบุคคลผู้ปราศ จากความผิดทั้งปวงเสียเดี๋ยวนี้" พระราชาตกพระทัยสุดขีด สั่งให้คนปลดปล่อยคน ทั้งหมดจากเครื่องจองจำ
ในทันใดนั้นประชาชนที่รุม ล้อมอยู่ก็ช่วยกันเอาก้อนหิน ก้อนดินและท่อนไม้ เข้าขว้างปาทุบตีกัณฑหาลพราหมณ์จนสิ้นชีวิตอยู่ ณ ที่นั้น แล้วหันมาจะฆ่าพระราชา แต่พระจันทกุมารตรงเข้ากอด พระบิดาไว้ ผู้คนทั้งหลายก็ไม่กล้าทำร้าย ด้วยเกรง พระจันทกุมารจะพลอยบาดเจ็บ ในที่สุดจึงประกาศว่า "เราจะไว้ชีวิตแก่พระราชาผู้โฉดเขลา แต่จะให้ครองแผ่นดิน มิได้" เราถอดพระยศพระราชาเสียให้เป็นคนจัณฑาล แล้วไล่ออกจากพระนครไป จากนั้นมหาชนก็กระทำพิธีอภิเษกพระจันทกุมารขึ้น เป็นพระราชา ทรงปกครองบ้านเมืองด้วยความยุติธรรม เมื่องทรงทราบว่าพระบิดาตกระกำลำบากอยู่นอกเมือง ก็ทรงให้ความช่วยเหลือพอที่พระบิดาจะดำรงชีพอยู่ได้ พระจันทกุมารปกครองบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุข ตลอดมาจนถึงที่สุดแห่งพระชนม์ชีพ ก็ได้เสด็จไปเสวยสุข ในเทวโลก ด้วยเหตุที่ทรงเป็น ผู้ปกครองที่ดี ที่ทรงไว้ซึ่ง ความยุติธรรม ไม่หลงเชื่อ วาจาคนโดยง่าย และ ปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความซื่อตรง
คติธรรม : บำเพ็ญขันติบารมี
"เรื่องอาฆาตจองเวรนั้น ย่อมให้ทุกข์กลับคืนแก่ตนในที่สุด และความเขลาหลงในทรัพย์และสุขของผู้อื่นก็ย่อมให้ผลร้ายแก่ตัวได้ในไม่ช้าเช่นกัน"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2008, 07:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: ธรรมะขอบคุณทุกๆคำแนะนำนะคะ :b4: :b4: :b4: :b4:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron