วันเวลาปัจจุบัน 02 ส.ค. 2025, 21:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 26 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 08:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวอย่างการโอ้อวด จากเวบฯ ธรรมะเวบฯ หนึ่ง เป็นหนังสือคู่มืออันแสดงให้เห็นถึงการตีความหมายจากพระไตรปิฎกผิดๆ อวดอุตริฯ ทำหนังสือสอนแบบผิด ทำลายพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิง เพราะความไม่รู้ แต่อวดรู้ โอ้อวด อวดอุตริ ไม่รู้แจ้งสักอย่าง จึงได้นำมาให้ท่านทั้งหลายได้อ่านไว้เป็นอุทาหรณ์ที่ข้าพเจ้ากล่าวไปนี้ ไม่ใช่เป็นการประจาน แต่เป็นการยกตัวอย่าง ให้ท่านทั้งหลายรวมถึงผู้เกี่ยวข้องทางพุทธศาสนา ควรได้สอดส่องดูแล ใช้ความคิดพิจารณา

หากท่านทั้งหลายที่เคยได้ติดตามอ่านบทเรียนธรรมะ ที่ข้าพเจ้าได้สอนไป คงจะพอมองเห็น และรู้ว่า ผู้ที่เขียนข้อความด้านล่างที่ข้าพเจ้านำมาเป็นตัวอย่างนั้น ไม่ได้รู้เรื่องการวิปัสสนา ไม่ได้รู้หลักวิชชาสรีระร่างกายของมนุษย์ อีกทั้งยังได้นำเอา ความในพระไตรปิฎก มาตีความหมาย หรือเข้าใจความหมายไปในทางที่ผิดๆ เป็นการอวดอุตริฯ โอ้อวด ทำลายพุทธศาสนาอย่างเห็นได้ชัด และที่ข้าพเจ้าได้กล่าวติเตือนไป ก็ขอให้ท่านทั้งหลายได้คิดพิจารณาให้เกิดความเข้าใจเถิด

ข้อความยกมาเป็นตัวอย่าง ให้เห็นถึงการโอ้อวด อวดอุตริฯ นำเอาความในพระไตรปิฎก มาตีความหมายในทางที่ผิด หรือมีความเข้าใจในทางที่ผิดๆ แต่ดันทุรังสอนเผยแพร่ ดังต่อไปนี้ “ขอชี้แจงว่า การเจริญวิปัสสนานั้นต่างจากสมถะ เพราะวิปัสสนานี้ ที่จริงไม่ต้องการสมาธิดิ่งนิ่งเฉย แต่ต้องการ สัมปชาโน คือ ความรู้สึกตัว และสติตั้งอยู่ตามฐาน วิปัสสนาเป็นการเจริญปัญญา หรือในอริยมรรคมีองค์ ๘ เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ปัญญาเห็นชอบ เป็นองค์ที่หนึ่ง วิปัสสนาจึงต้องการปัญญาเป็นตัวนำ ในมหาสติปัฏฐาน ๔ เรียกว่า สัมปชาโน หรือ สัมปชัญญะ คือ ความรู้สึก

อีกประการหนึ่ง กายกรรม คือ การทำบาปกรรมทางกาย ส่วนใหญ่นั้น ทำด้วยมือ ไม่ว่าจะเป็นฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ฯลฯ ก็ต้องใช้มือแทบทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น การสร้างบุญสร้างกุศล ก็ควรใช้มือ การเจริญวิปัสสนาจึงจำเป็นต้องใช้มือเพื่อละกิเลส หรือเพื่อล้างบาปกรรมด้วยมือของเราเอง...”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 19:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนเจ้าของกระทู้ :b8:

ได้อ่านข้อความที่ท่านเจ้าของกระทู้นำมาลงแล้ว จึงอยากจะบอกท่านเจ้าของกระทู้ว่า การที่นำข้อความของท่านใดมาลงแล้วต่อว่าผู้นั้นว่า "โอ้อวด อวดอุตริฯ" ท่านควรจะวิจารย์ด้วยว่าผิดตรงไหน หรือผิดอย่างไร แล้วที่ถูกมีอยู่ตรงไหนหรือไม่ หรือที่ถูกท่านเห็นเป็นอย่างไร รวมทั้งบอกลิ้งค์ที่มาของข้อความด้วย เพราะเพียงข้อความเท่านี้ถือว่าไม่ยุติธรรมต่อผู้ถูกต่อว่าเลย

ไม่ควรนำมาลงโดดๆ โดยบอกแต่เพียงว่าผิด แล้วต่อว่าเท่านั้น ไม่ได้ชี้แจงอะไรให้กระจ่างในความเห็นของท่าน จะไม่เหมาะสมนะครับ มิเช่นนั้นอาจมองไปได้ว่าถ้อยคำดังกล่าวอาจจะไม่ถูกใจท่านเท่านั้น ท่านจึงคิดว่าไม่ถูกต้องครับ

โปรดพิจารณาและเพิ่มเติมส่วนที่ท่านคิดว่าผิด-ถูกลงไปด้วยครับ

ขอให้เจริญในธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 21:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คนเราจะบอกว่าคนอื่น"โอ้อวด อวดอุตริฯ" แสดงว่าตนเองต้องเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ แตตนเองไม่มี
สัมมาทิฏฐิ เพียงแต่มีความเห็นต่างจากเขา ตัวเองอาจจะโดนมิจฉาทิฏฐิครอบงำก็ได้ หรือทั้ง
2 คนต่างก็โดนมิจฉาทิฏฐิครอบงำ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2008, 08:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ศิรัสพล เขียน:
เรียนเจ้าของกระทู้ :b8:

ได้อ่านข้อความที่ท่านเจ้าของกระทู้นำมาลงแล้ว จึงอยากจะบอกท่านเจ้าของกระทู้ว่า การที่นำข้อความของท่านใดมาลงแล้วต่อว่าผู้นั้นว่า "โอ้อวด อวดอุตริฯ" ท่านควรจะวิจารย์ด้วยว่าผิดตรงไหน หรือผิดอย่างไร แล้วที่ถูกมีอยู่ตรงไหนหรือไม่ หรือที่ถูกท่านเห็นเป็นอย่างไร รวมทั้งบอกลิ้งค์ที่มาของข้อความด้วย เพราะเพียงข้อความเท่านี้ถือว่าไม่ยุติธรรมต่อผู้ถูกต่อว่าเลย

ไม่ควรนำมาลงโดดๆ โดยบอกแต่เพียงว่าผิด แล้วต่อว่าเท่านั้น ไม่ได้ชี้แจงอะไรให้กระจ่างในความเห็นของท่าน จะไม่เหมาะสมนะครับ มิเช่นนั้นอาจมองไปได้ว่าถ้อยคำดังกล่าวอาจจะไม่ถูกใจท่านเท่านั้น ท่านจึงคิดว่าไม่ถูกต้องครับ

โปรดพิจารณาและเพิ่มเติมส่วนที่ท่านคิดว่าผิด-ถูกลงไปด้วยครับ

ขอให้เจริญในธรรม


ตอบ....
ข้อความนำมาจากเวบฯธรรมะเวบฯหนึ่ง เป็น ศูนย์วิปัสสนากัมมัฏฐาน, ศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติ, ในจังหวัดภาคกลาง (ไม่เอ่ยนาม เพราะเป็นเรื่องไม่สมควร)
อนึ่ง ข้าพเจ้าได้นำบทความของข้าพเจ้าไปลงไหนเวบฯของเขาด้วย ถึงแม้เขาจะลบ ข้าพเจ้าคิดว่า เวบมาสเตอร์ของเวบฯนั้น ก็คงได้อ่าน แต่เขาจะแก้ไขหรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนข้อความนั้นข้าพเจ้าได้ ตัดตอนบางส่วนมา ดังนี้.-
“ขอชี้แจงว่า การเจริญวิปัสสนานั้นต่างจากสมถะ เพราะวิปัสสนานี้ ที่จริงไม่ต้องการสมาธิดิ่งนิ่งเฉย แต่ต้องการ สัมปชาโน คือ ความรู้สึกตัว และสติตั้งอยู่ตามฐาน วิปัสสนาเป็นการเจริญปัญญา หรือในอริยมรรคมีองค์ ๘ เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ปัญญาเห็นชอบ เป็นองค์ที่หนึ่ง วิปัสสนาจึงต้องการปัญญาเป็นตัวนำ ในมหาสติปัฏฐาน ๔ เรียกว่า สัมปชาโน หรือ สัมปชัญญะ คือ ความรู้สึก
อีกประการหนึ่ง กายกรรม คือ การทำบาปกรรมทางกาย ส่วนใหญ่นั้น ทำด้วยมือ ไม่ว่าจะเป็นฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ฯลฯ ก็ต้องใช้มือแทบทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น การสร้างบุญสร้างกุศล ก็ควรใช้มือ การเจริญวิปัสสนาจึงจำเป็นต้องใช้มือเพื่อละกิเลส หรือเพื่อล้างบาปกรรมด้วยมือของเราเอง...”

ข้อวิจารณ์ ของข้าพเจ้า
ที่ว่าเขาอวดอุตริ เพราะพวกเขาหรือผู้ที่เขียนหนังสือที่ได้นำมาลงด้านบนนั้น ไม่รู้ว่า การฝึกหรือการปฏิบัติ สมาธิ แล้วมีผลอย่างไร คือไม่มีความรู้อย่างถ่องแท้ว่า ผลแห่งการปฏิบัติ สมาธินั้น มีอย่างไร เป็นอย่างไร
พวกเขาไม่รู้ว่า วิธีการที่ทางพุทธศาสนาเรียกว่า "วิปัสสนา"นั้น มีหลักการหรือวิธีการปฏิบัติอย่างไร แต่พวกเขาได้เอา ข้อความในพระไตรปิฎก คือ มหาสติปัฏฐาน 4 มาเป็นข้ออ้าง โดยความไม่รู้จริงในเรื่องของการวิปัสสนา
ข้าพเจ้าเคยได้สอน ไว้เป็นบรรทัดฐาน เกี่ยวกับการปฏิบัติ สมาธิ มีหลักสำคัญ 4 ข้อ ให้หาอ่านดู ท่านทั้งหลายต้องคิดได้ด้วยตัวเองว่า วิปัสสนาที่แท้จริงนั้น ควรมีวิธีการเป็นอย่างไร (ข้าพเจ้าสอนหัวข้อหรือหลักการ หรือวิธีการให้ไปแล้ว)
เพียงแต่ข้าพเจ้ายังไม่อธิบายในรายละเอียดแห่งวิธีการเหล่านั้น ด้วยสาเหตุหลายประการ ในที่นี้จะไม่กล่าวถึง
อนึ่ง หากท่านใด มีความสงสัยว่า ข้าพเจ้ารู้จริงรู้แจ้ง เกี่ยวกับ การวิปัสสนา (ตามหลักพุทธศาสนา) จริงหรือไม่ ก็ให้มาพิสูจน์ได้ที่ตัวข้าพเจ้า เพราะการวิปัสสนาที่ถูกต้อง จะทำให้เกิดการรู้จักขจัดอาสวะแห่งกิเลส หรือขจัดคลื่นความคิด ความรู้สึก อารมณ์ อันเกิดจากการได้รู้ ได้เห็น ได้ทราบ ได้สัมผัส และเนื่องจากความคิด อารมณ์ ความรู้สึก อารมณ์ การได้รู้ ได้เห็น ได้ทราบ ได้สัมผัส เป็นคลื่นไฟฟ้า เวลา ขจัดอาสวะ ก็จะปรากฏเป็นแสงสี แตกต่างกันไป
ที่กล่าวไปนี้ มิใช่เป็นการอวดอ้าง หรือโอ้อวด แต่เป็นการบอกถึงสาเหตุ แห่งการที่ข้าพเจ้าไม่สอนในรายละเอียดอย่างชัดแจ้งเพราะมีเหตุผลส่วนตัว และสามารถให้ท่านทั้งหลายพิสูจน์ผลแห่งการวิปัสสนา อย่างแท้จริงได้ อนึ่งข้าพเจ้าจะไม่เรียกเป็นภาษาพูดว่า วิปัสสนา แต่ข้าพเจ้าจะเรียกการปฏิบัติ ของข้าพเจ้าว่า "เข้าญาณ"(อ่านว่า เข้า“ยาน”)


ส่วนเหตุผลอีกข้อหนึ่ง ที่พวกเขากล่าวว่า "อีกประการหนึ่ง กายกรรม คือ การทำบาปกรรมทางกาย ส่วนใหญ่นั้น ทำด้วยมือ ไม่ว่าจะเป็นฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ฯลฯ ก็ต้องใช้มือแทบทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น การสร้างบุญสร้างกุศล ก็ควรใช้มือ การเจริญวิปัสสนาจึงจำเป็นต้องใช้มือเพื่อละกิเลส หรือเพื่อล้างบาปกรรมด้วยมือของเราเอง...”

ข้อวิจารณ์
แสดงให้เห็นถึงความไม่รู้แจ้ง ไม่รู้จักระบบการทำงานของสรีระร่างกายมนุษย์ ไม่รู้ว่า การกระทำ หรือพฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์นั้น อยู่ตรงไหน มือจะทำงานหรือกระทำการใดใดได้ อยู่ตรงไหนฯลฯ

พวกเขาไม่รู้ แต่เขียนแบบดันทุรัง แถมยังโอ้อวด อวดอุตริว่า "วิปัสสนาเป็นการเจริญปัญญา หรือในอริยมรรคมีองค์ ๘ เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ปัญญาเห็นชอบ เป็นองค์ที่หนึ่ง วิปัสสนาจึงต้องการปัญญาเป็นตัวนำ ในมหาสติปัฏฐาน ๔ เรียกว่า สัมปชาโน หรือ สัมปชัญญะ คือ ความรู้สึก "
การสร้างบุญสร้างกุศล ก็ควรใช้มือ การเจริญวิปัสสนาจึงจำเป็นต้องใช้มือเพื่อละกิเลส หรือเพื่อล้างบาปกรรมด้วยมือของเราเอง...”


ที่ว่าโอ้อวด อวดอุตริฯ เพราะในเมื่อเขาไม่รู้จักระบบการทำงานของสรีระร่างกายอย่างแท้จริงแล้ว แต่ดันทุรังเขียนออกมาดังข้อความข้างต้นนี้ ก็แสดงให้เห็นว่า โอ้อวด อวดอุตริฯ
เพราะในพระไตรปิฎก มิได้กล่าวไว้เลยว่า เวลาเจริญวิปัสสนา ต้องใช้มือเพื่อละกิเลส
ท่านทั้งหลายให้คิดพิจารณาดูเถิดว่า การจะละกิเลส มันควรจะเกิดจากจุดไหนก่อน
มือ ,เท้า,ปาก มันเป็นเรื่องปลายเหตุแล้วนะขอรับ


แก้ไขล่าสุดโดย จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ เมื่อ 01 ธ.ค. 2008, 09:27, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2008, 21:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


พอจะบอกเว็บได้ไหมครับ
ผมอยากรู้ และจะได้ตามไปดูครับ

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2008, 09:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ข้าพเจ้าคิดว่า ไม่สมควรเอ่ยชื่อเวบฯหรือวัดนั้น แต่จะบอกให้รู้ว่า เป็นวัดที่เปิดเป็นศูนย์กรรมฐาน แถมยังประชาสัมพันธ์ว่า เป็นการเฉลิมพระเกียรติ อะไรทำนองนี้ อยู่ในภาคกลาง (ไปด้วยกันมาด้วยกัน..... นั่นแหละ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2008, 13:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ส่งช้อความก็ได้คับ หลังไมค์ คลิกเลย
ucp.php?i=pm&mode=compose&action=quotepost&p=87885

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2008, 00:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


พบแล้วมาจากท่ีนี่ครับ

http://www.watsai.net/

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 13:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: วิธีปฏิบัติของวัดนี้จากในเวป ดูแปลกดีเหมือนกัน ดูแล้วคล้ายๆกับวิธีปฏิบัติเจริญสติของหลวงพ่อเทียนซึ่งใช้วิธีสร้างจังหวะด้วยมือ15ท่า แต่แบบของหลวงพ่อเทียนจะทำได้ง่ายและดูละเอียดกว่าทั้งยังไม่ยุ่งยากซับซ้อนเหมือนแบบนี้ :b40: :b40: :b41:

:b44: คงเป็นวิธีสร้างจังหวะอีกแบบหนึ่ง แต่ก็ตอบไม่ได้ว่าดีหรือไม่ดีนะ เพราะการใช้สติใช้จิตเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของร่างกาย ก็ถือเป็นกายานุปัสสนาสติป้ฏฐานอย่างหนึ่งเหมือนกัน :b39: :b39: :b42:

:b50: แล้วแต่คนชอบๆ น่ะ :b48:

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 21:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
“ขอชี้แจงว่า การเจริญวิปัสสนานั้นต่างจากสมถะ เพราะวิปัสสนานี้ ที่จริงไม่ต้องการสมาธิดิ่งนิ่งเฉย แต่ต้องการ สัมปชาโน คือ ความรู้สึกตัว และสติตั้งอยู่ตามฐาน วิปัสสนาเป็นการเจริญปัญญา หรือในอริยมรรคมีองค์ ๘ เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ปัญญาเห็นชอบ เป็นองค์ที่หนึ่ง วิปัสสนาจึงต้องการปัญญาเป็นตัวนำ ในมหาสติปัฏฐาน ๔ เรียกว่า สัมปชาโน หรือ สัมปชัญญะ คือ ความรู้สึก "


ผมเห็นว่า เราควรแยกแยะ ในรายละเอียด
ว่า เราเห็นด้วย หรือ ไม่เห็นด้วยกับเขา ตรงจุดไหน? อย่างไร?

พุทธบุตรไม่ควร ใช้คำกล่าวหาที่รุนแรงจนเกินไป ต่อกัน




ดูเป็นจุด ไปดีกว่า

อ้างคำพูด:
ขอชี้แจงว่า การเจริญวิปัสสนานั้นต่างจากสมถะ เพราะวิปัสสนานี้ ที่จริงไม่ต้องการสมาธิดิ่งนิ่งเฉย


ก็มีส่วนถูกของเขาอยู่เหมือนกัน เพราะ สมาธินิ่งดิ่งเฉยนั้น ไม่ทำให้เกิดปัญญา จริง
สมาธินิ่งดิ่งเฉย นั้น ท่านเรียกว่า มิจฉาสมาธิ ครับ

แต่ ดูเหมือนทางบทความ จะให้ความหมานของคำว่า สมถะ เท่ากันทุกประการกับ มิจฉาสมาธิเลย

ซึ่ง ผมไม่เห็นด้วยตรงนี้ เพราะ เอกัตาจิตที่เป็นโลกุตระ หรือ โลกุตระฌาน(สัมมาสมาธิ) ก็มีอยู่

ดังนั้น สมถะ จึงควรแยกกล่าวให้ชัดเจนว่า กล่าวในความหมายใด


อนึ่ง สมาธิภาวนาที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้ มีอยู่4ประเภท คือ
1.สมาธิภาวนาที่เป็นไปเพื่อสุขในปัจจุบัน
2.สมาธิภาวนาที่เป็นไปเพื่อญาณทัศนะ
3.สมาธิภาวนาที่เป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ
4.สมาธิภาวนาที่เป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะ

สมาธินิ่งดิ่งเฉย นั้น หมายถึง สมาธิที่ไม่เอื้อต่อการเกิดปัญญา คือ สมาธิที่ไปติดตันอยู่เพียง ข้อ1 และ ข้อ2
ไม่พัฒนาไปสู่ ข้อ3 และ ข้อ4
ซึ่ง ถ้าไปติดตันอยู่เพียง ข้อ1 และ ข้อ2 ก็เป็นมิจฉาสมาธิครับ

(ข้อ3คือ สมาธิภาวนาที่เป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ ก๋เช่น การเจริญอานาปานสติภาวนาภายใต้ทิศทางแห่ง อนาสวะสัมมาทิฏฐิ หรือ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์
ข้อ4คือ สมาธิภาวนาที่เป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะ ซึ่งก็คือ สัมมาสมาธิในองค์อริยมรรคโดยตรง)

คำว่า สมถะ ที่สำนักนั้นกล่าว ก็ยังไม่ครบตามนัยยะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้

เพราะ เขาเหมือนจะกล่าวถึง สมถะ ในความหมายเฉพาะที่ไปติดตันเพียง2ข้อแรก



อ้างคำพูด:
เพราะวิปัสสนานี้ ที่จริงไม่ต้องการสมาธิดิ่งนิ่งเฉย แต่ต้องการ สัมปชาโน คือ ความรู้สึกตัว และสติตั้งอยู่ตามฐาน


จาก หนังสือ พุทธธรรม

ในอริยมรรคที่มีองค์แปดนั้น

2ข้อแรก คือ อนาสวะสัมมาทิฏฐิ และ อนาสวะสัมมาสังกัปปะ เท่านั้น ที่จัดเป็นวิปัสสนา(อธิปัญญาในขั้นอริยมรรค)

ที่เหลืออีก6ข้อ คือ "อนาสวะสัมมาวาจา อนาสวะสัมมากัมมันตะ อนาสวะสัมมาอาชีโว " (อธิศีล) + "สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ"(อธิจิตต) ล้วนจัดอยู่ในหมวดสมถะทั้งหมดครับ

โปรดสังเกตุครับ ว่า สัมมาสติ หรือ การเจริญภาวนาตามหลักสติปัฏฐาน นั้น จัดอยู่ในหมวดอธิจิตตสิกขา หรือ หมวดสมาธิ... ซึ่งอยู่ในสมถะ แน่นอน

ดังนั้น การเจิญวิปัสสนา หรือ การพัฒนาวิปัสสนาภาคปฏิบัติ(อธิปัญญาในขั้นอริยมรรค)ไปสู่ วิปัสสนาญาณ(สัมมาญาณะ) ก็ต้องผ่านกระบวนการในขั้นสมถะ ถึง6ขั้นตอน

จึงมีพระพุทธพจน์ ที่ว่า
การเจริญอริยมรรคที่มีองค์แปด รวมทั้งการเจริญสติปัฏฐานสี่ ย่อมเจริญทั้ง สมถะ และ วิปัสสนา


อีกประการหนึ่ง

มีพุทธพจน์ที่ตรัสว่า การเจริญกายคตาสติ(นับรวมกายานุปัสสนา หมวดสติสัมปชัญญะบรรพด้วย)

สามารถเกิดฌาน และ อภิญญา ได้ด้วย

จาก http://www.larnbuddhism.com/grammathan/ ... ikata.html

Quote Tipitaka:
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันภิกษุเสพแล้วโดยมาก เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นฌานแล้ว ทำให้เป็นพื้นที่ตั้งแล้ว ให้ดำรงอยู่เนือง ๆ แล้ว อบรมแล้ว ปรารภสม่ำเสมอดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ ๑๐ ประการนี้ คือ
(๑) อดกลั้นต่อความไม่ยินดีและความยินดีได้ ไม่ถูกความไม่ยินดีครอบงำ ย่อมครอบงำความไม่ยินดีที่เกิดขึ้นแล้วอยู่ด้วย ฯ
(๒) อดกลั้นต่อภัยและความหวาดกลัวได้ ไม่ถูกภัยและความหวาดกลัวครอบงำ ย่อมครอบงำภัยและความหวาดกลัว ที่เกิดขึ้นแล้วด้วย ฯ
(๓) อดทน คือเป็นผู้มีปรกติอดกลั้นต่อความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย ต่อสัมผัส แห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เสือกคลาก ต่อทำนองคำพูดที่กล่าวร้าย ใส่ร้าย ต่อเวทนาประจำสรีระที่เกิดขึ้นแล้ว อันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ ไม่ใช่ความสำราญ ไม่เป็นที่ชอบใจ พอจะสังหารชีวิตได้ ฯ
(๔) เป็นผู้ได้ฌาน ๔ อันเกิดมีในมหัคคตจิต เครื่องอยู่สบายในปัจจุบัน ตามความปรารถนา ไม่ยาก ไม่ลำบาก ฯ
(๕) ย่อมแสดงฤทธิ์ได้เป็นอเนกประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ปรากฏตัวหรือหายตัวไปนอกฝา นอกกำแพง นอกภูเขาได้ไม่ติดขัด เหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ทำการผุดขึ้นและดำลงในแผ่นดิน เหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำ ไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศ โดยบัลลังก์เหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์และพระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากปานฉะนี้ ด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปจนถึงพรหมโลกก็ได้ ฯ
(๖) ย่อมฟังเสียงทั้งสอง คือ เสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ทั้งที่ไกล และที่ใกล้ได้ด้วยทิพยโสตธาตุ อันบริสุทธิ์ ล่วงโสตของมนุษย์ ฯ
(๗) ย่อมกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น และบุคคลอื่นได้ ด้วยใจ คือ จิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ
จิตมีโทสะ ก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ
จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ
จิตหดหู่ก็รู้ว่าจิตหดหู่ จิตฟุ้งซ่านก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน
จิตเป็นมหัคคตะ ก็รู้ว่าจิตเป็นมหัคคตะหรือจิตไม่เป็นมหัคคตะ ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหัคคตะ
จิตยังมีจิตอื่นยิ่งกว่ารู้วาจิตยังมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า
จิตตั้งมั่นก็รู้ว่าจิตตั้งมั่น หรือจิตไม่ตั้งมั่นก็รู้ว่าจิตไม่ตั้งมั่น
จิตหลุดพ้นแล้วก็รู้ว่าจิตหลุดพ้นแล้ว หรือจิตยังไม่หลุดพ้นก็รู้ว่าจิตยังไม่หลุดพ้น ฯ
(๘) ย่อมระลึกถึงขันธ์ ที่อยู่อาศัยในชาติก่อนได้ เป็นอเนกประการ คือระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง หลายสังวัฏกัปบ้างหลายวิวัฏกัปบ้าง หลายสังวักวิวัฏกัปบ้าง ว่าในชาติโน้น เรามีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ มีผิวพรรณอย่างนี้ มีอาหารอย่างนี้ เสวยสุข และทุกข์อย่างนี้ มีกำหนดอายุเท่านี้ เรานั้นเคลื่อนจากชาตินั้นแล้ว บังเกิดในชาติโน้น
แม้ในชาตินั้น เราก็มีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ มีผิวพรรณอย่างนี้ มีอาหารอย่างนี้ เสวยสุขและทุกข์อย่างนี้ มีกำหนดอายุเท่านี้ เรานั้นเคลื่อนจากชาตินั้นแล้ว จึงเข้าถึงในชาตินี้ ย่อมระลึกขันธ์ที่อยู่อาศัยในชาติก่อนได้เป็นอเนกประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ เช่นนี้ ฯ
(๙) ย่อมมองเห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ........... ย่อมมองเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมทราบชัดหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม เช่นนี้ ฯ
(๑๐) ย่อมเข้าถึงเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ทำให้แจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบันอยู่ ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯ กายคตาสติอันภิกษุเสพแล้วโดยมากเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นฌานแล้ว ทำให้เป็นพื้นที่ตั้งแล้ว ให้ดำรงอยู่เนือง ๆ แล้ว อบรมแล้ว ปรารภสม่ำเสมอดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ ๑๐ ประการได้ ดังนี้แล ฯ"


ดังนั้น สติปัฏฐาน จึงมีทั้ง สมถะ และ วิปัสสนา อยู่พร้อมเสร็จในตัว

หาใช่เป็น วิปัสสนาล้วน ตามที่บางท่านเข้าใจครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 21:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


อนึ่ง มหาสติปัฏฐานสี่ นั้นก็มีทั้งส่วนของ สมถะ และ วิปัสสนา อยู่ในตัว

ดังเช่น ที่ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ ท่านสรุปประมวลไว้ดังนี้


อ้างคำพูด:
สติปัฏฐานในฐานะสัมมาสติ


”......สติปัฏฐาน แปลกันว่า ที่ตั้งของสติบ้าง การปรากฏของสติบ้าง ฯลฯ

ถือเอาแต่ใจความง่ายๆ ก็คือ การใช้สติ หรือ วิธีปฏิบัติเพื่อใช้สติให้บังเกิด
ผลดีถึงที่สุด

อย่างที่กล่าวถึงในพุทธพจน์ในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า
ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นมรรคาเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้ง
หลาย เพื่อข้ามพ้นโสกะและปริเทวะ เพื่อความอัสดงแห่งทุกข์และโทมนัส
เพื่อบรรลุโลกุตตรมรรค เพื่อกระทำ ให้แจ้งซึ่งนิพพาน นี้คือสติปัฏฐาน

การเจริญสติปัฏฐานนี้ เป็นวิธีปฏิบัติธรรมที่นิยมกันมา และยกย่อง
นับถือกันอย่างสูง ถือว่ามีพร้อมทั้งสมถะ และวิปัสสนาในตัว.....”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 22:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธพจน์ดั้งเดิน สอน “สมถะ คู่ วิปัสสนา”



พระสูตรนี้ พระพุทธองค์ ตรัสถึง " สมถะ และ วิปัสสนนา คู่เคียงกันไป"


Quote Tipitaka:
[๘๓๑] เมื่อบุคคลนั้นเจริญอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐอยู่อย่างนี้ ชื่อว่า
มีสติปัฏฐาน ๔
สัมมัปปธาน ๔
อิทธิบาท ๔
อินทรีย์ ๕
พละ ๕
โพชฌงค์ ๗
ถึงความเจริญบริบูรณ์

บุคคลนั้นย่อมมีธรรมทั้งสองดังนี้ คือ สมถะและ วิปัสสนา คู่เคียงกันเป็นไป

เขาชื่อว่า กำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้ ด้วยปัญญาอันยิ่ง
ละธรรมที่ควรละ ด้วยปัญญาอันยิ่ง
เจริญธรรมที่ควรเจริญ ด้วยปัญญาอันยิ่ง
ทำให้แจ้งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง ด้วยปัญญาอันยิ่ง ฯ

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๔ สุตตันตปิฎกที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์



คือ ความหมายของ สมถะ ในพระสูตรต่างๆ กล่าวถึง สองส่วน คือ

1.สมถะที่เป็นส่วนสนับสนุนการเจริญวิปัสสนา
2.สมถะในองค์อริยมรรคโดยตรง เช่น สัมมาสมาธิ(โลกุตระฌาน)

ในพระสูตรต่างๆ คำว่า" สมถะ" ที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้พุทธบริษัทเจริญนั้น ย่อมหมายเอา2ประการนี้

แต่ สมถะ ที่บทความนี้ เขากล่าว ไม่ได้หมายเอา2ประการนี้ ครับ..เขาหมายเอา มิจฉาสมาธิ แต่อย่างเดียว

สำนักนี้ จะได้แนวคิด วิปัสสนาล้วน มาครับ..แนวคิดนี้ อิงกับ คัมภีร์รุ่นหลังพุทธกาล เขา เชื่อว่า สมถะเป็นสิ่งไม่จำเป็นสำหรับการเจริญวิปัสสนา(บางครั้งมองว่า สมถะเป็นสิ่งขัดขวางวิปัสสนาไปเลยก็มี).. ซึ่ง กระแสนี้ กำลังเชี่ยวกรากมาก ในสังคมชาวพุทธไทย

ซึ่งต่างจากทางไทย ที่อิงกับพระสูตร และ ถือว่า สมถะ เป็นองค์ประกอบของอริยมรรคคู่กับวิปัสสนา

เรื่องนี้ ถ้าจะคุยกัน ยาวแน่ๆ ค่อยๆคุย กันไปครับ

ดังนั้น เรื่องนี้ ต้อง อิงกับ พระสูตรดั้งเดิม เป็นหลัก... จึงจะยุติปัญหาได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2008, 01:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


มีเหมือนกันนะครับ การบรรลุธรรมสำคัญ โดยไม่ต้องนั่งสมาธิ
และไม่ต้องวุ่นวายเลยว่าสิ่งใดคือสมถะ หรือวิปัสนา

กล่าวคือ ถ้ามีสติที่ถูกต้องแล้ว
ต่อให้ไม่ต้องนั่งสมาธิ หรือนั่งสมาธิ ก้จะบรรลุธรรมสำคัญแบบเดียวกันในที่สุด

ลองดูลิงก์นี้นะครับ

http://www.wimutti.net/niranam/



--------------------------------------------------------

หลังจากผมอ่านลิงก์ท่านอุบาสกนิรนามแล้ว ผมก็นึกถึงหลวงพ่อเทียนทันทีเลยว่า
ที่ท่านพาคนยกมือยกไม้ แล้ว"ท้าเอาไว้"ว่าจะเกิดอะไรบางอย่าง "ภายใน 3 -10 ปี"
อะไรคือสิ่งที่ท่านพยามจะบอกว่า เราจะบรรลุสิ่งนั้น ถ้าทำอย่างที่ท่านสอน

อ้างคำพูด:
เมื่อมาทำความรู้สึกตัว...ตื่นตัว รู้สึกใจ...นึกคิด...รู้ เป็นปกติ
มันสามารถพาให้เราเดินมาถึงจุดนี้ได้ นี้เรียกว่า ทางเดินไป คนเดียว เป็นทางเอก
ทางๆ นี้ไม่ซ้ำรอยใคร

เรื่องรูป-นามนี่ หลวงพ่อ(ว่า)บ่เกิน ๕ มื้อ(วัน)หรอก
ภายใน ๑๐ มื้ออย่างนาน-รู้ ถ้าตั้งใจทำแล้ว รู้จริงๆ...
จะทำให้จิตใจเปลี่ยนไปนี่ อยู่ในเกณฑ์เดือนหนึ่ง

ผู้ทำจริงทำจังนี่ เดือนหนึ่งหรือสามเดือนนี่แหละ-รู้
ในเกณฑ์ทำให้จิตใจเปลี่ยนแปลงสภาพหนึ่ง เรียกว่า ขั้นต้น อันนี้

จะทำให้มันถึงที่สุดของทุกข์นั้น
หลวงพ่อคิดว่าบ่เกิน ๓ ปี ถ้าเป็นคนจริงนะ
ครั้นเป็นคนบ่จริง ๑๐ ปีก็บ่รู้ เป็นอย่างนั้น

หลวงพ่อเคยท้าทายคนมา บ่มากก็น้อย ต้องรู้

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6013


.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2008, 02:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงพ่อชา ก็พูดไว้เหมือนกันว่า ฌาน ไม่จำเป็นสำหรับการเจริญจิตภาวนา


อ้างคำพูด:
ในการปฏิบัติของเรา จำเป็นที่จะต้องเข้าถึงฌานหรือไม่

หลวงพ่อชา - ไม่ ฌานไม่ใช่เรื่องจำเป็น
ท่านต้องฝึกจิตให้มีความสงบ และมีอารมณ์เป็นหนึ่ง (เอกัคคตา) แล้วอาศัยอันนี้สำรวจตนเอง ไม่ต้องทำอะไรพิเศษไปกว่านี้

ถ้าท่านได้ฌานในขณะฝึกปฏิบัตินี้ก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่อย่าไปหลงติดอยู่ในฌาน

หลายคนชะงักติดอยู่ในฌาน มันทำให้เพลิดเพลินได้มากเมื่อไปเล่นกับมัน
ท่านต้องรู้ขอบเขตที่สมควร ถ้าท่านฉลาดท่านก็จะเห็นประโยชน์และขอบเขตของฌาน
เช่นเดียวกับที่ท่านรู้ขั้นความสามารถของเด็ก และขั้นความสามารถของผู้ใหญ่

http://mahamakuta.inet.co.th/practice/m ... l#mk722_21

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2008, 02:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงปู่ดุลย์ก็ พูดไว้ชัดเจน เกี่ยวกับอิริยาบทว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ
และท่านก้ใช้คำปริศนาเกี่ยวกับการสำเร้จธรรมสำคัญเหมือนกัน

อ้างคำพูด:

วิธีเจริญสมาธิภาวนา
โดย หลวงปู่ดูลย์ อตุโล


วิธีเจริญสมาธิภาวนาตามแนวการสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล มีดังต่อไปนี้

๑. เริ่มต้นด้วยอิริยาบถที่สบาย ยืน เดิน นั่ง นอน ได้ตามสะดวก
ทำความรู้ตัวเต็มที่ และ รู้อยู่กับที่ โดยไม่ต้องรู้อะไร คือ รู้ตัว หรือรู้ “ตัว” อย่างเดียว
รักษาจิตเช่นนี้ไว้เรื่อยๆ ให้ “รู้อยู่เฉยๆ” ไม่ต้องไปจำแนกแยกแยะ อย่าบังคับ อย่าพยายาม อย่าปล่อยล่องลอยตามยถากรรม

เมื่อรักษาได้สักครู่ จิตจะคิดแส่ไปในอารมณ์ต่างๆ โดยไม่มีทางรู้ทันก่อน
เป็นธรรมดาสำหรับผู้ฝึกใหม่ ต่อเมื่อจิตแล่นไป คิดไปในอารมณ์นั้นๆ จนอิ่มแล้ว ก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาเอง เมื่อรู้สึกตัวแล้วให้พิจารณาเปรียบเทียบสภาวะของตนเอง ระหว่างที่มีความรู้อยู่กับที่ และระหว่างที่จิตคิดไปในอารมณ์ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเป็นอุบายสอนจิตให้จดจำ

จากนั้นค่อยๆ รักษาจิตให้อยู่ในสภาวะรู้อยู่กับที่ต่อไป ครั้นพลั้งเผลอรักษาไม่ดีพอ จิตก็จะแล่นไปเสวยอารมณ์ข้างนอกอีกจนอิ่มแล้ว ก็จะกลับรู้ตัว รู้ตัวแล้วก็พิจารณาและรักษาจิตต่อไป

ด้วยอุบายอย่างนี้
ไม่นานนัก
ก็จะสามารถควบคุมจิตได้และบรรลุสมาธิในที่สุด
และจะเป็นผู้ฉลาดใน “พฤติแห่งจิต” โดยไม่ต้องไปปรึกษาหารือใคร

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6690


โปรดสังเกตุว่า หลวงปู่ท่านเน้นให้เจริญสติไปเรื่อยๆ
ไม่พูดถึงการพยามเข้าฌาน หรือทำอะไรวิจิตรพิศดารเลย
ถ้าไม่พัก ไม่เพียร ... แล้วจะ"ฉลาดในพฤติแห่งจิต" ในที่สุด


ประโยคที่ว่า
..."ด้วยอุบายอย่างนี้ ไม่นานนัก ก็จะสามารถควบคุมจิตได้และบรรลุสมาธิในที่สุด
และจะเป็นผู้ฉลาดใน “พฤติแห่งจิต” โดยไม่ต้องไปปรึกษาหารือใคร" ... นั้น

ผมก็ตีความว่า นี่คืออริยสัจ
"ฉลาดในพฤติแห่งจิต" ก้คือ รู้แจ้งในพฤติแห่งจิต รู้แจ้งในอริยะสัจ(ตัวสมุทัย)
จิตส่งออกนอกก็เป้นพฤติแห่งจิต

ตรงกับประโยคทองของท่านที่ว่า
"จิตส่งออกนอก เป้นสุมทัย มีผลเป้นทุกข์"


โดยสรุปที่ผมอยากจะสื่อคือ
ถ้าสตินั้น ถูกต้อง พอดี มีอยู่สเมอ ย่อมนำไปสู่การรู้แจ้งในอริยะสัจในที่สุด
ผลลัพธ์ต้องเหมือนกัน
ส่วนวิธีการนั้น ย่อมมีแตกต่างกันไปได้

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 26 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร