วันเวลาปัจจุบัน 13 พ.ค. 2025, 16:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 45 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2008, 21:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


เนื่องด้วยความหมายของ อัตตา-อนัตตา ที่ใช้กันอยู่ในภาษาไทยมีหลายความหมาย

เพราะใช้คำต่างกัน เช่น อนัตตา บางท่าน บางแห่ง ใช้คำว่า "ไม่มีตัวตน"
บางแห่ง บางท่าน ใช้คำว่า "ไม่ใช่ตัวตน" เป็นต้น


รูปภาพ

คำว่า "ไม่มี" กับ "ไม่ใช่"

นั้น ในภาษาไทยความหมายต่างกัน ก็ทำให้สงสัยว่า ความหมายต่างๆ ที่ยกมาถามในกระทู้นั้นแท้จริงแล้วมีความหมายอย่างไรกันแน่ครับท่านพี่และอาจารย์ทุกท่าน.... :b10: :b10: :b10:

ขอบคุณครับ :b8:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2008, 05:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เนื่องด้วยความหมายของ อัตตา-อนัตตา ที่ใช้กันอยู่ในภาษาไทยมีหลายความหมาย


อัตตา-อนัตตา ที่ใช้กันอยู่ในภาษาไทยมีหลายความหมาย

นั่นแหละ ปัญหาหลักปัญหาใหญ่ในการศึกษาธรรมหรือตีความธรรมของพุทธศาสนิกชนชาวไทย

อนัตตา - น+อัตตา = อนัตตา , น แปลว่า “ไม่” ปฏิเสธในอัตตา อัตตา แปลว่า ตัว,ตน ตัวตน - อนัตตา จึงแปลว่า ไม่ใช่อัตตา, ไร้ตัว, มิใช่ตน,ไม่ใช่ตัวตน

ขยายความว่า ปุถุชนต่างพากันยึดเอาขันธ์ 5 ว่าเป็นอัตตา หรือยึดขันธ์ใดขันธ์หนึ่งว่าเป็นอัตตา พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ไม่ใช่อัตตา มันเป็นอนัตตา
ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า มนุษย์ยังมองไม่เห็นสภาวะอนัตตาของขันธ์ 5 หรือของนาม-รูป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2008, 07:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปเป็นอัตตา
นามเป็นอนัตตา

คุณฌานที่ปัจจุบันนี้ คือคุณฌานที่เป้นรูป + คุณฌานที่เป้นนาม รวมกันอยู่เป็นคุณฌาน

คุณฌานที่เป้นรูป คือร่างกาย
คุณฌานที่เป้นนาม คือความเป็น"คุณฌาน"
คุณฌานแบบนามนี่ หาตัวไม่เจอ จิ้มไปตรงไหนก็ไม่เจอคุณฌาน
เจอแต่ body แต่หาคุณฌานที่เป็นจิตเป้นใจไม่เจอเลย

แต่จิ้มรูปคุณฌานจิ้มไปจิ้มมา
่เจอคุณฌานสวนกลับมา เลยรู้ว่า"คุณฌานอย่างที่เป้นนนาม"นี้ต้องมีอยู่แน่ๆ
เพราะคุณฌานมีอารมณ์และไม่พอใจที่ผมไปจิ้มนู่นจิ้มนี่
เลยสั่งร่างกายที่เป้นรูปนี้ สวนกลับมา

:b12: :b12: :b12:
ผมคิดว่างั้นนะ เรื่องนี้ไม่ค่อยรู้เหมือนกัน งง

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2008, 07:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นั่นไงคุณฌาน ? :b1: :b48: :b41:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2008, 08:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


สาธุครับท่านพี่ๆและอาจารย์ทุกท่าน อ่านแล้วยัง งงงงงง :b10:
ยิ่งอาจารย์คามินธรรมมาจ้ำจี้ไป จำจี้มา...จั๊กจี้อะครับ เลยคิดอะไรไม่ออกเลยครับ :b22:

เอาประเด็นแรกก่อนนะครับ
ถ้าอนัตตา แปลว่า ไม่มีตัวตน

ผู้ที่เริ่มศึกษาธรรมะใหม่ๆเช่นผม
มักพลอยเชื่อตามผู้ที่สอนว่าอนัตตาแปลว่าไม่มีตัวตน.....


ถ้าใครพูดเรื่องตัวตนขึ้นมา ก็ตั้งข้อหาว่าเป็นมิจฉาทิฐิให้ทันที
จึงท่องจำคำอนัตตา (ไม่มีตัวตน) ไว้จนขึ้นใจ....

พอพูดถึงเรื่องอะไรหรือแลเห็นอะไรสักหน่อย
ก็ชิงบอกด้วยอำนาจสัญญาที่ได้ท่องจำไว้ว่า “ไม่มีตัวตน” ทันที....

เช่น บอกว่า ไม่มีสัตว์-บุคคล-ตัวตน-เรา-เขา
มรรค ๘ นั้นก็สักแต่ว่าเป็นทางเดิน แต่ไม่มีผู้เดิน....

ส่วนนิพพานนั้นก็สักแต่ว่าเป็นนิพพาน แต่ผู้ถึงนิพพานไม่มี
จึงทำให้เข้าใจเลยออกไปได้ว่า....

มีแต่การตีกันหัวแตกเท่านั้น แต่ผู้ตีไม่มี ดังนี้เป็นต้น.....(ทำใจลำบากนะ ผู้ตีไม่มีเนี่ย เห็นหรัดๆ)
จำอย่างนี้ อธิบายอย่างนี้ สอนอย่างนี้ ถูกไหมครับ :b34:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2008, 10:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมขอตอบคุณฌานดังนี้ครับ

ผมคิดว่าเรื่องอนัตตา มันไม่ได้อยู่ที่คำว่า "ไม่มี" หรือ "ไม่ใช่" สองคำนี้เป็นเพียงบัญญัติ ที่สำคัญมันขึ้นอยู่กับว่าผู้นั้นเข้าใจในความหมายที่แท้จริงสภาวะที่แท้จริงของอนัตตาว่าอย่างไรต่างหาก ณ ที่นี้ผมขออธิบายด้วยเหตุการณ์ที่ผมแต่งขึ้นดังนี้ครับ

:b11: นาย ก เป็นผู้ไม่ได้สนใจธรรมะ ไม่ได้ปฏิบัติธรรม
:b1:นาย ข เป็นผู้ที่สนใจธรรมะ ปฏิบัติธรรม



:b11: นาย ก : "คนที่เดินอยู่นี้ท่านว่าไม่มีหรือ?"
:b1: นาย ข : "คนมีอยู่ มิใช่ไม่มี"
นาย ก : "คนที่เดินอยู่นี้ท่านว่าไม่ใช่คนหรือ?"
นาย ข : "ใช่คน"
นาย ก : "แล้วหลักศาสนาสอน เรื่อง "อนัตตา" ในบุคคลอย่างไรเล่า ในเมื่อคนมีอยู่ และก็ใช่คน"
นาย ข : "คนเที่ยงหรือไม่เที่ยง"
นาย ก : "ไม่เที่ยง"
นาย ข : "เมื่อคนไม่เที่ยง คนจึงเป็นทุกข์ หรือเป็นสุขเล่า?"
นาย ก : "เป็นทุกข์"
นาย ข : "เมื่อคนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีอันต้องเปลี่ยนแปรไป แก่ไป ตายไปเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะเห็นว่าเป็นคนนั้น เป็นของคนนั้น เป็นอัตตาตัวตนของคนนั้น"
นาย ก : "ไม่ควร"
นาย ข : "นั่นแหละ โดยสมมุติกันคนมีอยู่ไม่ใช่ไม่มี ใช่คนอยู่ไม่ได้ไม่ใช่คน แต่ว่าโดยแท้จริงแล้วคนประกอบขึ้นมาจากอวัยวะน้อยใหญ่ ประกอบขึ้นมาจากธาตุ รูปธรรม-นามธรรมต่างๆ แต่ปัจจัยต่างๆ ที่รวมกันแล้วสมมุติว่าเป็นคนนี้เองไม่เที่ยง มีอันต้องเปลี่ยนแปลงไป ตายไปเป็นธรรมดา ดังนั้น คนจึงเป็น "อนัตตา" อย่างนี้ เรียกว่า ไม่มีคน และไม่ใช่คนก็ได้"
นาย ก : "เข้าใจแล้ว ที่พูดว่าใช่คน มีคนก็คือพูดไปอย่างสมมุติ ที่เขาพูดกัน แต่ในความเป็นจริงเราไม่ได้ไปเข้าใจอย่างนั้น เพราะแท้จริงจะหาคน มีคน หรือใช่คน แม้ในปัจจุบันก็หาไม่ได้"
:b1: นาย ข : "ดีแล้วๆ นั่นแหละ เมื่อชาวโลกเขาพูดกันอย่างไร เราก็พูดกันไปอย่างนั้น แต่เราก็หมั่นเห็นถึงความเป็นจริงอันซ่อนเร้นอยู่ เมื่อเห็นตามเป็นจริงอยู่อย่างนี้ รู้อยู่อย่างนี้ ย่อมหายติด แล้วจะพ้นทุกข์ได้ในที่สุด"
:b11: นาย ก : "สาธุๆ ผมเข้าใจในธรรมแล้วครับ"
:b8:

ผิดถูกประการใด ลองพิจารณาดูนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2008, 10:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
นั่นแหละ ปัญหาหลักปัญหาใหญ่ในการศึกษาธรรมหรือตีความธรรมของพุทธศาสนิกชนชาวไทย


นึกถึงการตีความของศาลรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับคำว่าลูกจ้างเลย.... :b12: :b12:

คำเดียวกัน แต่อยู่ต่างวาระ ความหมายอาจแตกต่างกัน เป็นเรื่องของพยัณชนะ :b16:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2008, 10:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เวลาหาความหมาย หาความเข้าใจ
ต้องพยามหา "อรรถ" ของมันให้เจอน่ะคับ
ถ้าเราติดภาษา เราจะงงจนสิ้นกัปป์กันเลยทีเดียว

อย่าง
- ดวงอาทิตย์
- สุริยะ
- Sun
- ศุนย์กลางจักรวาล
- solar ฯลฯ

คำที่ใช้อธิบายมายมีมากมาย
แต่อรรถ หรือ ความหมายที่แท้มีเพียงหนึ่งเดียว

หลวงตาบัวอธิบายเรื่องนิพพานถวายพระเจ้าอยู่หัวว่า
นิพพานเหมือนวัดป่าบ้านตาดนั่นแหละ
ถ้ามาถึงวัดป่าบ้านตาด ก้คล้ายๆว่ามาถึงนิพพาน
กล่าวคือ เรารู้ว่าที่นี่คือวัดป่าบ้านตาด
แต่หาตัววัดป่าบ้านตาดไม่พบ กุฏีก็ไม่ใช่ ศาลาก็ไม่ใช่ พระเณรก็ไม่ใช่
ระบุตำแหน่งวัดบ้านตาดไม่ได้เลยว่าตรงไหน แต่รู้ว่านี่คือวัดป่าบ้านตาด

ผมคิดว่า อนัตตาก้คือนาม
เหมือนความรู้สึกต่างๆ เช่น ความรัก ความดี ความเลว ... ที่เราหามันด้วยผัสสะไม่พบ
แต่เราใช้จิต ซึ่งเป็นนาม เป้นธาตุรู้ จึงสามารถรู้ว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น

แต่อย่างว่าแหละ คนไม่เคยไปนิพพาน คิดจนหัวแตกก็ไม่มีทางเข้าใจนิพพานได้
ส่วนคนเข้าใจนิพพาน ก็ไม่สามารถจะอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้เข้าใจได้

อย่างผมอธิบายลักษณะแวดล้อมของบ้านผมให้คุณฌานฟัง
ผมอธิบายจนกระดูกเป็นปุ่ย มันก็ไม่ทำให้คุณฌานเข้าใจเหมือนดั่งกับมาดูด้วยตัวเอง
ในทำนองเดียวกัน แม้ว่าคุณฌานจะอธิบายสภาพแวดล้อมในบ้านคุณฌานให้ผมฟังอย่างไรก้ตาม
ผมก็ไม่มีวันจะเข้าใจในสิ่งที่คุณฌานอธิบายได้ดีเหมือนกับได้พบด้วยตาของตน

คนข้ามไปนิพพานแล้ว เป้นประสบการณืตรง ปัตจัตตัง เขาก็อธิบายให้เราฟังได้ ตามที่เขาเห็น
แต่เราไม่สามารถเข้าใจได้เอง
เหมือนคุณฌานอธิบายสภาพแวดล้อมในบ้านคุณฌานให้ผมฟังนั่นแหละ
ผมได้แต่จินตนาการ ไม่มีทางเกิดประสบการณืตรงได้
จนกว่าจะไปบ้านคุณ หรือในที่นี้คือ พบนิพพานแล้ว


ผมเข้าใจว่าอย่างนั้นนะ

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2008, 11:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


สาธุครับอาจารย์และพี่ๆทั้งหลาย ยกตัวอย่างได้ดีแท้ๆ :b8:

ก็ยังอดสงกะสัยครับว่า
ถ้าไม่มีตัวตนจริงๆแล้ว...

ก็ย่อมจะบัญญัติสมมุติคำว่า “อัตตา (ตัวตน)” ขึ้นมาเพื่อประโยชน์อันใดมิได้.

:b10: :b10:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2008, 11:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่มันยุ่งหรือสับสนนั่นน่า เพราะเราเอาบัญญัติกับสภาวะปนกัน แบบนี้งงตายโห้ง นี่แหละคือการตีความธรรมะ :b41:

จะพูดแบบสมมุติหรือบัญญัติว่า นาย ก. นาง ข. ก็ว่าไป จัดการกันไปตามบัญญัตินั้นๆ

แต่เมื่อจะพูดในรูปของสภาวะหรือปรมัตถ์ก็ว่ากันไป แยกกัน แล้วจะไม่สับสน :b2:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2008, 10:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตเจ้าของกระทู้

ขอลาชั่วคราวออกเดินทางต่อ(เข้าป่าครับ)ครับ

คราวนี้ผมหอบเอาโน๊ตบุ้คไปด้วย

หากมีโอกาสผมจะใช้อินเตอร์เน๊ตผ่านมือถือเข้ามาคุยด้วยครับ

cool tongue smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2008, 13:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไปป่าไหนคับคุณ mes ประเทศไทยยังมีป่าอีกหรอ :b21:

:b6: ...นอกจากโน๊ตบุ๊คแล้วยากันยุงด้วยนะคับ :b12:

ได้ผลยังไงหรือได้พบพระพุทธเจ้าก็ส่งข่าวด้วยบ้างนะคร้าบ :b20:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2008, 14:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขอให้อาจารย์โชคดีครับ

รู้ธรรม

เห็นธรรม

โดยเร็วไว

แล้วอย่าลืมผมนะครับ :b12:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 10:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่าน mes เข้าป่าไปเที่ยวหรือไปทำงานน่ะครับ :b16: :b16:
เอ....หรือว่าปลีกวิเวกครับ กลับมาก็เอาประสบการณ์มาแบ่งปันกันบ้างนะครับ :b12:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 18:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ฌาณ เขียน:
เนื่องด้วยความหมายของ อัตตา-อนัตตา ที่ใช้กันอยู่ในภาษาไทยมีหลายความหมาย

เพราะใช้คำต่างกัน เช่น อนัตตา บางท่าน บางแห่ง ใช้คำว่า "ไม่มีตัวตน"
บางแห่ง บางท่าน ใช้คำว่า "ไม่ใช่ตัวตน" เป็นต้น


รูปภาพ

คำว่า "ไม่มี" กับ "ไม่ใช่"

นั้น ในภาษาไทยความหมายต่างกัน ก็ทำให้สงสัยว่า ความหมายต่างๆ ที่ยกมาถามในกระทู้นั้นแท้จริงแล้วมีความหมายอย่างไรกันแน่ครับท่านพี่และอาจารย์ทุกท่าน.... :b10: :b10: :b10:

ขอบคุณครับ :b8:


สวัสดีค่ะคุณฌาน

อนัตตา เป็นเรื่องของไตรลักษณ์
อัตตา เป็นเรื่องของขันธ์ ๕ อัตตาเกิดขึ้นเพราะอุปทานที่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 45 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร