วันเวลาปัจจุบัน 19 ธ.ค. 2025, 01:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2025, 05:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5436


 ข้อมูลส่วนตัว


”ยอม ไม่ยอมรับความจริง“

ถ้าพิจารณาในเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น มันเข้าใจ แต่ยังไม่เป็นภาวนามยปัญญา คือยังไม่อยู่ในเหตุการณ์จริง ถ้าอยู่ในเหตุการณ์จริงแล้วพิจารณา จะเห็นสุขกับทุกข์ที่จะสับเปลี่ยนกัน ถ้าเราทุกข์วุ่นวายกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ถ้าพิจารณาว่าต้องปล่อยวาง พอตัดได้ปล่อยได้ความทุกข์ความรุ่มร้อนใจก็จะหายไป ความสุขความสบายใจก็จะปรากฏขึ้นมา เช่นห่วงว่าจะติดคุกหรือไม่ติดคุก พอยอมติดเท่านั้น ความทุกข์ในใจก็หายไป แต่ถ้ายังไม่ยอมติด ไม่ยอมรับความจริง ก็ยังทุกข์อยู่ ถ้าเป็นโรคหมอบอกจะตายภายใน ๓ วัน ๗ วัน เราก็พิจารณาดู ถ้ายังทุกข์อยู่ก็แสดงว่ายังไม่ยอมรับความจริง ยังไม่เห็นอนิจจังในร่างกาย ว่ามันต้องตาย แต่ถ้าเราพิจารณาจนเห็นความจริงว่า ตายก็ตาย ตายก็จบ ไม่เห็นเป็นปัญหาอะไร ตายด้วยกันทุกคน พอยอมตายเท่านั้นมันก็หายทุกข์ พอถึงเวลามันอาจจะไม่ตายก็ได้ หมออาจจะวินิจฉัยผิดก็ได้ แต่ก็ไม่รู้สึกดีใจอย่างไร เพราะรู้ว่าไม่ตายวันนี้ก็ต้องตายพรุ่งนี้อยู่ดี ไม่ตายใน ๗ วันก็ตายใน ๗ เดือน ไม่ตายใน ๗ เดือนก็ตายใน ๗ ปี จะไม่เดือดร้อน พิจารณาเพื่อดับทุกข์ภายในใจเท่านั้น

ปัญหาใหญ่ไม่ใช่การเกิดแก่เจ็บตาย แต่ใจที่ไปทุกข์กับการเกิดแก่เจ็บตาย ถ้าไม่ทุกข์แล้วก็ไม่เป็นปัญหา จะแก่ก็ไม่เป็นปัญหา จะเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่เป็นปัญหา จะตายก็ไม่เป็นปัญหา จะเป็นอะไรก็ดูแลมันไป รักษาได้ก็รักษาไป หายก็หาย ไม่หายก็ตาย หายแล้วเดี๋ยวก็ต้องเป็นอีก ไม่ใช่หายแล้วจะไม่เป็นอีก ถ้าหายแล้วหายขาดไปเลย ไม่ต้องตายเลย ก็น่าจะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้กับมัน แต่รักษาหายแล้วเดี๋ยวก็เป็นอีก หายจากโรคนี้ก็เป็นโรคอื่นแทน ถ้าไม่มีโรคก็มีความชราที่จะทำให้ตาย ใจไม่ได้ตายไปด้วย กลับไปวุ่นวายกับการตายของร่างกาย จึงต้องพยายามแยกแยะให้ออกว่า เราไม่ได้ตายนะ ร่างกายตาย เราไม่ได้ตาย เราไปวุ่นวายกับมันทำไม เราเป็นเพียงคนขับรถ เราเพียงมาครอบครองร่างกายนี้ ที่เป็นเหมือนสมบัติชิ้นหนึ่ง เหมือนเครื่องอัดเสียงนี้ ใช้ไปเรื่อยๆเราก็รู้ว่าสักวันหนึ่งมันจะต้องเสีย เสียก็เสียไป ซ่อมได้ก็ซ่อม ซ่อมไม่ได้ก็ทิ้งไป ร่างกายนี้ก็เหมือนกัน แต่เราที่เป็นเจ้าของร่างกายนี้ ที่คอยดูแลรักษาร่างกายนี้ ไม่ได้เป็นอะไรไปกับมัน ถ้าฉลาดรู้ทัน ตัดความหลงได้หมด ก็จะไม่ไปหาร่างกายใหม่อีก ถ้ายังรู้ไม่ทัน พอร่างกายนี้แตกไป ก็ไปหาร่างกายใหม่มาเป็นกองทุกข์กองใหม่อีก ให้เราแบกอีก แต่ร่างกายก็มีประโยชน์อยู่ ถ้าเอามาปฏิบัติธรรม ถ้าบรรลุขั้นแรกแล้วแต่ยังเหลืออีก ๓ ขั้น จบเพียงขั้นปริญญาตรียังไม่จบปริญญาเอก ถ้าเกิดต้องตายไปก่อน ก็ยังต้องกลับมาหาร่างกายใหม่อีก เพื่อจะได้เรียนต่อ พอเรียนจบแล้วก็ไม่ต้องมีร่างกายใหม่อีกแล้ว

อย่างพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายท่านเรียนจบแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือ ถ้าเป็นพระโสดาบันก็ยังต้องอาศัยร่างกาย กลับมาเกิดใหม่มาปฏิบัติธรรมต่อ มีอีก ๗ ชาติเป็นอย่างมาก ท่านก็สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ ถ้าเป็นพระสกิทาคามีก็เพียงชาติเดียวบรรลุได้ ถ้าเป็นพระอนาคามีก็ไม่ต้องอาศัยร่างกาย เพราะงานที่ต้องใช้ร่างกายนี้สำเร็จหมดแล้ว งานที่เกี่ยวกับราคะตัณหาเกี่ยวกับกามฉันทะนี้ ได้ทำสำเร็จแล้ว เรียนจบวิชานี้แล้ว เหลือแต่ภวตัณหาวิภวตัณหา ที่มีอยู่ภายในจิต ไม่เกี่ยวข้องกับร่างกาย ที่อยู่ในระดับของพระอนาคามี ไม่ต้องอาศัยร่างกาย ก็สามารถเรียนจบได้ ไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ แต่เกิดเป็นพรหม อยู่ในชั้นพรหมภาวนาต่อไป บำเพ็ญวิปัสสนาขั้นต่อไป จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ไปในที่สุด ร่างกายยังมีคุณค่าอยู่ ถ้ารู้จักใช้มันก็เป็นประโยชน์ ถ้าไม่รู้จักใช้มันก็เป็นโทษ ทำให้ติดอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ ได้ร่างกายมาแทนที่จะเอามาบำเพ็ญ ก็เอามาเที่ยว มันก็จะผูกให้ติดอยู่กับการเที่ยวไปเรื่อยๆ พอตายไปก็ต้องไปหาร่างกายใหม่ไปเที่ยวต่อ เวลาเที่ยวมันก็ดีหรอก แต่เวลามันเจ็บไข้ได้ป่วยมันเป็นอย่างไร เวลามันหิวข้าว เวลามันอดอยากขาดแคลนอะไรต่างๆ มันไม่ดีหรอก มันทรมาน ชาตินี้อาจจะเป็นบุญของเรา ที่ได้ร่างกายที่ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ อยากจะได้อะไรก็ได้ สิ่งจำเป็นต่างๆ เช่นเครื่องใช้ไม้สอยปัจจัย ๔ ก็มีอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเกิดไปอยู่ในประเทศที่แห้งแล้งกันดาร อดมื้อกินมื้อ จะไม่อยากเกิดเลย.

กำลังใจ ๔๐ กัณฑ์ที่ ๓๘๐
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๑

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี






~ ธรรมภาวนาหลวงพ่อ ~

ภาวนาเป็นเรื่องของใจ ใจไม่มีตัวตน ฉะนั้นเราอาศัยการควบคุม ควบคุม ภาวนา เจริญภาวนา กรรมฐาน เช่น เราหายใจเข้า พุท หายใจออก โธ เจริญภาวนา รักษาใจให้อยู่ในความสุข อยู่ใน พุทโธ ตั้งมั่นด้วยองค์ภาวนา " พุทโธ "

ถ้ายังลืมอยู่ ไม่ตั้งมั่น ไม่มั่นคง
ยังคิดไปเรื่องนั้น เรื่องนี้อยู่
เราก็นับเอาก็ได้
หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ 1
หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ 2
นับให้ถึงร้อย แล้วกลับมานับใหม่

พอเรานั่งภาวนา เราก็ไม่คิดแล้ว เราคิดมามากแล้ว ไปนึก ไปคิด ไปปรุง ไปแต่ง ไปทบ ไปทวนอะไรมันทำมากแล้ว นี่เราต้องการความพักผ่อน ต้องการให้มันมีพลัง รวมจิตให้เป็นหนึ่งได้จิตเราจะมีพลัง ฉะนั้น... เราไม่คิดแล้ว การภาวนา ก็ต้องหยุดความคิดเสียก่อน พอเราหยุดความคิดได้สักพักนึง หยุดให้คิดอยู่เรื่องเดียวให้เป็น เอกัคคตารมณ์ …

หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ
พอเราคิดอยู่เรื่องเดียวนานๆ จิตมันจะสงบลง
จากฟุ้งซ่าน รำคาญ ก็หายไป รู้แต่ลมหายใจเข้า หายใจออก นานๆ พอนานเข้า จิตจะอยู่ที่เดียว จะเกิดความสงบ "ใจ" สงบสงัด อยู่ในใจเรา นานเข้าก็เกิดปิติสุข วิตกวิจารณ์ ตรึกตรอง
แต่ลมหายใจ เข้า - ออกตลอดจะเกิด ปิติสุข
สุขเย็น สุขว่าง สุขสบาย

จากเราเครียด ...
เราทุกข์ จะหายหมด หน้าตาหม่นหมอง
สายตาเศร้าหมอง วิตกกังวล อ่อนล้า
อ่อนแอ หายหมดเลยแหละ...
ไม่ต้องไปกินยาอะไร ไม่ต้องไปเสก
ไปเป่า มันหายเอง ความทุกข์ ความเครียด
ความทุกข์มันหายไป "เราต้องรักษาใจนะ "
เดินไปไหน กายก็เบา ใจก็เบา เรียกว่า
กายลหุตา กายเบา | จิตตลหุตา จิตเบา

พอเราภาวนานานๆ ก็เกิดสมาธิ เกิด ฌาน
บางคนนั่งหลับตาแล้วก็ สว่าง ใจสว่าง
* สะอาด สงบ สว่าง *
ใจมันโล่ง ที่ง่วง เหงา หาวนอนก็ หายไป

คนอยากจะมีสุขภาพใจที่ดี
ก็หมั่นภาวนา ใจจะเข้มแข็ง ใจมีพลัง
รถใหม่เบรคจะดีนะ มีรถดี จะคิดอะไร
จะทำอะไรนี่มันไม่ถูกไม่ต้อง จะเกิดความทุกข์
ความวุ่นวาย เราก็เบรคได้นั้นหล่ะ " หยุดได้ "

การที่เราหยุดได้ คือ ... หยุดความคิด เรื่องที่มันไม่ถูก ไม่ต้อง ที่ทำให้เกิดความทุกข์ได้ เค้าเรียกว่าเรามีพลังจิต มีพลังจิตตานุภาพ มีมโนมยิทธิ มีฤทธิ์ทางใจ คือควบคุมใจได้ เหมือนกับเราควบคุม พวงมาลัยขับรถได้ ให้เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เดินหน้า ถอยหลัง เข้าใจกลไก ของรถ และ ก็มีเบรคที่ดีจะตกเขา ตกดอย อะไรนี่จะชนอะไรก็เบรค !! เอาไว้

เข้าใจเรื่อง "จิต" แล้ว อะไรที่มันเกิดขอบเขต
พูดไปจะคุยกัน ทะเลาะ เบาะแว้ง มีเรื่องราว
เบรคเสีย เปลี่ยนเรื่อง เปลี่ยนอารมณ์
เปลี่ยนวิธีพูด เปลี่ยนวิธีคิด
เปลี่ยนไปเรื่องอื่นเสีย

เปลี่ยนได้ เพราะ ... อำนาจจิต
มันไม่ย้ำคิด ย้ำทำ ซ้ำๆซาก ๆ
คนสมาธิไม่ดี ย้ำคิด ย้ำทำ ซ้ำซาก
เรียกว่าเสียสุขภาพจิต

ถ้าใจผ่องใส ใจมันดี
ก็แสดงออกในสิ่งที่ดีงาม
มองโลกในสิ่งที่ดีงาม ทำในสิ่งที่ดีงาม
ก็มีความสุข เค้าเรียกว่า เป็นภาวนามัยบุญ
" สำเร็จด้วยการภาวนา "



พ่อแม่ครูบาอาจารย์
พระเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระอาจารย์ธรรมสาธิต
เวียงกาหลง อ.เวียงป่าเป้า
จ.เชียงราย








เราเกิดมานี่เรียกว่า “เดินทางมา”
เวลาตายนี่เรียกว่า “เดินทางกลับ”
อธิบายง่าย ๆ อย่างนี้
มานี่ เอาร่างกายมา ตา หู จมูก
ร่างกายทุกส่วน คือ ทุกส่วนประกอบกัน
เรียกว่า เอาร่างกายมา เวลาจากไป
คือตายนี่ ต้องวาง ต้องทิ้ง นี่เอาไปไม่ได้
ตอนมานี่ เอามาใช้ ตอนไปนี่ ไม่ต้องใช้แล้ว
มันเป็นอนิจจัง มันสลาย นี่เกิดมาถือว่า
โชคดีอยู่ มีโอกาสกลับไป ก็เอาบุญ
เอากุศลติดไม้ติดมือกลับไป ไม่ใช่แบกบาป
อกุศลกลับไป นี่ อธิบายง่าย ๆ อย่างนี้ จำไว้
...
คำสอน หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวัณโณ
วัดประดู่ฉิมพลี แขวงวัดท่าพระ กรุงเทพฯ







ความจริงคนเราทุกคนไม่ต้องกลัวตาย กลัวเกิดดีกว่า ถ้าเราไม่เกิดเสียอย่างเดียว มันจะตายอย่างไรให้มันรู้ไป
.
ถ้าไม่เกิดให้มันตายที ทีนี้เราเกิดมา เพราะตาเราเห็นรูป เราพอใจในรูป หูได้ยินเสียง พอใจในเสียง เป็นต้น
.
ความพอใจไอ้ตัวจริง ๆ ที่เป็นตัวร้าย ที่เราจะต้องตัดคือใจ ตัดอารมณ์ของใจเสีย อย่าให้ใจมันโง่
.
แนะนำมันบอกว่า นี่ไอ้แกไปหลงใหลใฝ่ฝันในรูป รูปนี้สวย ทรวดทรงดี
ถามมันดูซิว่ามีรูปอะไรที่มีการทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลงบ้าง ไม่มีการทรุดโทรม ไม่มีการเสื่อมมันมีบ้างไหม ถามใจมันดู
.
ที่มา : หนังสือ รวมคำสอนธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เล่ม ๑ (หน้า ๓๐)
โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน








"..ทุกข์เป็นของมีค่ามหาศาล ทุกข์เป็นหนทางถึงพระนิพพาน ทุกข์เป็นอมตะโลก ทุกข์เป็นของจริงของพระอริยเจ้าโดยส่วนเดียว ทุกข์เป็นเส้นชีวิตของผู้มองไม่เห็นทุกข์ ไม่คำนึงถึงทุกข์ เป็นคนไร้ค่าในโลก ผู้นั้นแลนอนจมอยู่ในกองทุกข์อย่างไม่มีวันตื่น

มนุษย์ปุถุชนทั้งหลายผู้ไม่เห็นทุกข์ ไม่รู้แจ้งตามความเป็นจริงของทุกข์แล้วจึงพากันเดือดร้อนดิ้นรนอย่างยิ่ง เพื่อให้พ้นไปจากทุกข์นั้น แต่ก็หาได้สำเร็จตามปรารถนาไม่ ผู้เกลียดทุกข์ก็คือผู้เกลียดธรรมนั่นเอง (ธัมมเทสิปราภโว) ผู้เกลียดธรรมเป็นผู้พ่ายแพ้ (ทุกข์).."

โอวาทธรรมคำสอน
พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (เทสก์ เทสรังสี) วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
(พ.ศ.๒๔๔๕-๒๕๓๗)







คิดพลิก
...
ในสังคมเราก็เจอทั้งบัณฑิต ทั้งพาล
แต่พาลมักจะมากกว่าบัณฑิต ก็จะเจอ
คนทุกประเภท และเมื่อเราต้องอยู่ใน
สถานที่ ที่คนไม่น่ารัก ทำอะไรก็ไม่น่ารัก
พูดก็ไม่น่ารัก มันจะเกิดผลกับชีวิตเรา
ผลกับจิตใจเราอย่างไร มันไม่ได้อยู่ที่เขา
อย่างเดียว คือ ถ้าเราปล่อยให้จิตใจเรา
ไปยึดกับการกระทำของเขา เกิดปฏิกิริยา
ไม่ชอบ ไม่อยากจะต้องอยู่กับคนแบบนี้
ทำไมจะต้องมีคนแบบนี้ เราไปทำกรรมอะไร
ไว้ก็ไม่รู้ ที่จะต้องไปอยู่กับคนแบบนี้
ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์
แต่ถ้าเรามองว่าคนนี้เป็นอาจารย์ เป็นคนที่
กำลังสอนสิ่งที่ไม่ควรทำ สิ่งที่ไม่ควรพูด
จำไว้ให้ดี สิ่งที่เรากำลังทำที่เรารู้สึกว่า
น่าเกลียด ไม่เหมาะไม่สม เราเคยทำบ้างไหม
ลักษณะการพูดการจาของเรานี้
เราเคยทำไหม โอ ... มันน่าเกลียดขนาดนี้เลย
ถ้าผู้ที่มีความประพฤติที่ไม่ดีนั้นเป็นผู้ใหญ่
นี่ยิ่งดีใหญ่ เพราะเป็นการเตือนว่าถ้าเรา
อยู่ตรงนั้นเมื่อไหร่ ถ้าเรากลายเป็นผู้นำ
เป็นผู้บริหารเมื่อไหร่ เราจะไม่ทำอย่างนั้น
เราจะไม่พูดอย่างนั้นเป็นอันขาด​

พระพรหมพัชรญาณมุนี
(พระอาจารย์ชยสาโร)






..เราเอาอย่างนี้ดีกว่า เอาศีลปัจจุบัน ศีล ๕ ศีล ๘ ก็เอาปัจจุบันเดี๋ยวนี้ เราไม่ได้โกหกใคร เราเอาปัจจุบัน นั่งภาวนาเลย เอาขณะที่นั่งภาวนา เรียกว่า ศีลปัจจุบัน ในสมัยพุทธกาล ที่ญาติโยมมาฟังเทศน์พระพุทธเจ้า ใช่มั๊ย..ไม่ใช่คนรักษาศีล ๕ มาทุกคนนะ พอเขาฟังเทศน์จบ เขาก็เอาปัจจุบัน เขาก็บรรลุมรรคผล ใช่มั๊ย แหน่...ต้องไปคิดถึงสมัยครั้งพุทธกาลบ้างสิ คนมีลูกมีเมียทั้งนั้น เป็นเศรษฐีก็มี คนทุกข์คนจน ก็เอาปัจจุบันทั้งนั้น เรามาสรุป สรุปลงปัจจุบัน ก็ทำเอาปัจจุบัน บัดนี้ ถ้ามันบรรลุคุณงามความดีไป มันจะรู้เรื่องของมันเอง จะพอเหมาะพอสมที่จะปฏิบัติยังไงกับศีล..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..






"หลวงปู่มั่นท่านสอนว่า
ให้พยายามรักษาศีลธรรม มันไม่ตายหรอก แล้วไม่ต้องไปขอกับผู้หนึ่งผู้ใด คนขอเป็นคนจน เราไปฆ่าสัตว์ ก็จิตเรานั่นแหละไม่ฆ่า ไม่ลักของ ไม่ประพฤติผิดในผู้อื่นเขา ไม่โกหกหลอกลวง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่ดื่มเครื่องเมาทั้งหมด ก็จิตดวงนี้ของเรา ให้ระวังจิตดวงนี้ ให้มีสติ อย่างน้อยให้จิตมีทุน วันนี้ก็ไม่ต้องพูดอะไรมาก ให้พี่น้องกรุณายึดคำสอนของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติทุกวัน ๆ อยู่บ้านอยู่ที่ไหนจิตก็เป็นกุศล บ้านก็เป็นมงคล ลูกก็เป็นมงคล หลานก็เป็นมงคล..."

โอวาทธรรม
หลวงปู่ปรีดา (หลวงปู่ทุย) ฉนฺทกโร
วัดป่าด่านวิเวก อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ








" พวกเราเกิดมาไม่ใช่ว่าเกิดมาชาตินี้ชาติเดียว เมื่อวานนี้ก็มี เดือนก่อน ปีก่อน ยาวเหยียด นึกย้อนหลัง จากนั้นก็เกิดมาชาติที่แล้ว มันมีกี่ชาติล่ะ หลักของพระพุทธศาสนาท่านจึงให้มอง สิ่งที่มันไม่ดีอย่าคิด อย่าพูด อย่าทำเสียเลยดีกว่า ให้ทำแต่กรรมดี เพราะกรรมที่ไม่ดีนั่นล่ะมันจะตามสนอง มันจะตามให้ผล

เมื่อวานเราไปตีหัวเขา เราไปทำความชั่ว เราขี้เกียจขี้คร้าน ผลที่สุดกรรมเมื่อวานมันจะตามมาวันนี้ ถ้าเราทำวันนี้ กรรมวันนี้ที่เราทำไม่ดีวันนี้ มันจะตามไปถึงวันพรุ่งนี้ ชาติที่แล้วเราทำกรรมไม่ดีไว้มันก็ตามมาทางชาตินี้ มันไล่มาอย่างนั้นนะลูกหลาน

เพราะฉะนั้นกรรมชั่วอย่าทำเสียเลยดีกว่า เมื่อทำกรรมชั่วลงไปแล้ว กรรมชั่วนั่นล่ะจะตามให้ผล ตนเองนั้นแลจะเดือดร้อนเมื่อภายหลัง เพราะฉะนั้น ให้ประกอบแต่คุณงามความดี เกิดมา ณ สถานที่ใด วันนี้ก็คิดดี พรุ่งนี้ก็คิดดี เมื่อเราคิดดี ทำดีอยู่ตลอด กรรมดีจะตามให้ผล เราอยู่ ณ สถานที่ใดก็มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข "

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “มองข้ามช็อต มองข้ามชาติ”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๕







“ . . ภาวนามีผลอานิสงส์มากที่สุด
วิปัสสนานี้มีผลอานิสงส์
ใหญ่ยิ่งกว่าทาน ศีล พรหมวิหาร

ภาวนาย่อมทำให้ผู้เจริญนั้น
มีสติ
ไม่หลง

เมื่อทำกาลกิริยา
มีสุคติภพ
คือมนุษย์และโลกสวรรค์
เป็นไปในเบื้องหน้า

หากยังไม่บรรลุผล
ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน

ถ้าอุปนิสัยมรรคผลมี
ก็ย่อมทำให้ผู้นั้นบรรลุมรรคผล
ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานได้
ในชาตินี้นั่นเทียว . . ”

โอวาทธรรม
-- หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล
วัดเลียบ อุบลราชธานี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร