วันเวลาปัจจุบัน 14 ต.ค. 2025, 17:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2025, 09:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5394


 ข้อมูลส่วนตัว


"คำว่ากฐิน ไม่เกี่ยวกับเงินล้านเงินแสน
คนมีสตางค์น้อยก็เลยไม่กล้าทำกฐิน
พวกมัคทายักษ์นี้ดูถูกนินทา
โอ๊ย! กฐินกระจอกได้นิดเดียว
คนมีสตางค์น้อยก็เลยไม่กล้าทอดกฐิน
ไม่ได้เกี่ยวกับเงินล้าน
คำว่า กฐินะ เป็นชื่อไม้สะดึง เป็นไม้สี่เหลี่ยม
ใช่กางเย็บผ้า คือสมัยโบราณ
สมัยหลวงปู่มั่น ใช่การเย็บมือ ผ้าฝ้าย
สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม้สะดึงสำหรับกางเย็บผ้า
ทำผ้าให้มันตรึง คำว่ากฐินนะ
อนุญาตให้ภิกษุเปลี่ยนผ้า เพิ่นกะเลยตัดจีวรแขบกัน
สายวัดป่าเฮานี้ใช่ผ้าขาวตอนกฐินนี้
รับแล้วจงกาลด้วยผ้านี้ว่าซันเด๊ะ ผู้กล่าวคำถวาย
เพิ่นกะเย็บ สิย้อม สิตัด ให้เสร็จภายในวันเดียว
ผืนใดผืนหนึ่ง จีวร สบง สังฆา"

โอวาทธรรม

#หลวงปู่ประเวศ ปัญญาธโร

วัดป่าคลองมะลิ ต.อ่างคีรี
อ.มะขาม จ.จันทบุรี
•••







#ขอความไม่มีจงอย่ามีแก่ข้าพเจ้า
.
ครั้งหนึ่งในสมัยก่อน หลวงปู่ลี ได้พาลูกศิษย์ในวัดไปเก็บมะกอกป่า เอาถังเหลืองไปด้วยเพื่อใส่มะกอกป่า ปรากฏว่า ได้มะกอกป่ากลับมาเยอะพอสมควร จากนั้นองค์หลวงปู่ก็บอกกับลูกศิษย์ว่า เอ้า อยากได้อะไรก็อธิษฐานเอา ลูกศิษย์เกิดความสงสัยว่า แค่เก็บมะกอกป่า อุตส่าห์มาเก็บ ก็ไม่ได้เตรียมอะไรให้ยุ่งยากสักเท่าไหร่ มะกอกเราก็ไม่ได้ปลูก แล้วจะได้บุญมากขนาดไหนหนอ จึงได้กราบเรียนถามองค์หลวงปู่ว่า อย่างเช่นอะไรครับ?
.
หลวงปู่ลี เมตตาสอนว่า เช่น”ขอความไม่มี จงอย่ามีแก่ข้าพเจ้า”
.
(การทำบุญ ไม่ใช่ลักษณะทุนนิยม ไม่ใช่การลงทุน ผลบุญจะได้มากหรือน้อย สำคัญที่เจตนาคือแรงศรัทธาและความตั้งใจเป็นใหญ่ ผลบุญที่สนองกลับมานั้นมากมายมหาศาลแค่ไหน เหตุการณ์นี้จึงทำให้ลูกศิษย์ได้คติเตือนใจว่า องค์หลวงปู่ท่านเคยให้สร้างกระต๊อบเล็กๆไว้สำหรับให้พระพักภาวนาบนภูผาแดง บางทีอานิสงส์ผลบุญอาจจะได้มากกว่าคนที่สร้างตึกสูง ๑๐ ชั้น แต่แรงศรัทธาของเขาอาจจะยังไม่เต็มร้อยก็ได้)
.
#หลวงปู่ลี กุสลธโร
วัดป่าภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

จากหนังสือ ๙๐ ปี เศรษฐีธรรม






“ สิ่งไหนที่ไม่ดี ก็ให้ละไปเสีย
ให้รักษาศีล ๕ เท่านั้นละ ถ้ามีศีล จะไปที่ไหนดีหมด”

โอวาทธรรม

#หลวงปู่ปั่น สมาหิโต อายุ ๙๙ ปี






"...บุญ ในเบื้องต้น ของพรหมจรรย์ แห่งพุทธศาสนา อันเป็น โลกุตรบุญ ที่มีขอบเขตกฎเกณฑ์ มี โสดาบันบุญ เป็นต้นไป บุญต่ำกว่านั้นลงมาเป็น โลกิยบุญ เป็นบุญที่ไม่แน่นอน เพราะมีหลายบางที บางทีก็ก้าวหน้า บางทีก็ทรงตัว บางทีก็ต่ำลง

ไม่เหมือน ภูมิบุญ ภูมิใจ ของพระโสดาบัน ภูมิจิต ภูมิใจ ภูมิบุญ ภูมิธรรม ของพระโสดาบัน เป็น มหาภูมิที่ก้าวหน้า โดยถ่ายเดียว ไม่มีคติภูมิจะตกต่ำเลย ข้ามปุถุชนคนหนาไปแล้ว ปิดอบายภูมิทั้ง ๔ มี นรกเปรตทุก ๆ จำพวก พร้อมทั้งสัตว์เดรัจฉานทุก ๆ จำพวกแล้ว

สุปฏิปันโน ปฏิบัติดี เว้นส่วนหยาบ ๆ เหล่านี้ไปโดยสวัสดิภาพแล้ว ไม่เสียหาย ไม่อาลัยว่าจะล่วงละเมิด เป็นผู้มีแว่นส่องทางส่องใจแบบไม่มัว มองเห็นความสุขอันแท้จริงได้ อันตั้งอยู่ข้างหน้าเป็นระยะ ๆ จึงมีเงื่อนไขไม่เสียดาย ไม่อาลัยว่าจะถอยหลัง..."

หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
วัดบรรพตคีรี(ภูจ้อก้อ) จ.มุกดาหาร







"..ผู้ปฏิบัติพึงใช้อุบายปัญญาฟังธรรมเทศนาทุกเมื่อ ถึงจะอยู่คนเดียวก็ตาม คืออาศัยการกำหนดพิจารณาธรรม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เป็นรูปธรรมที่มีปรากฏอยู่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็มีอยู่ ได้ยินอยู่ สัมผัสอยู่ ปรากฏอยู่ จิตใจเล่าก็มีอยู่ ความนึกคิด รู้สึกในอารมณ์ต่างๆ ทั้งดี และร้ายก็มีอยู่ ความเสื่อม ความเจริญ ทั้งภายนอก ภายใน ก็มีอยู่ ธรรมชาติอันมีอยู่โดยธรรมดา เขาแสดงความจริงคือ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ให้ปรากฏอยู่ทุกเมื่อ เช่น ใบไม้มันเหลืองหล่นร่วงลงมา พินิจพิจารณาด้วยสติปัญญา โดยอุบายมีอยู่เสมอแล้ว ชื่อว่า ได้ฟังธรรมทุกเมื่อแล.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง
จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)







“ สิ่งไหนที่ไม่ดี ก็ให้ละไปเสีย
ให้รักษาศีล ๕ เท่านั้นละ ถ้ามีศีล จะไปที่ไหนดีหมด”

โอวาทธรรม

#หลวงปู่ปั่น สมาหิโต อายุ ๙๙ ปี






ในชีวิตนี้คิดอ่านให้ดี
มหาปุญโญวาท

ทำไป ... ตั้งใจไปจนแก่กล้า แกล้วกล้า
สามารถเอาชนะในความชั่วใดๆ ที่สุด
บรรลุมรรคผล ก็ได้พ้น สำเร็จกันไป
อย่างหมู่พระสาวกทั้งหลายขององค์
พระพุทธเจ้ามีมากถึง ๒๐ ล้าน ๕ หมื่นคน
นอกกว่านั้น สาวกของอสีติสาวก สาวกของ
อนุอสีติสาวก สาวกของพระอรหันตเจ้า
สำเร็จกันไปจนนับมิได้ ไปสู่มรรคผลนิพพาน
จากที่ผ่านมาและต่อไปอีกเมื่อหน้า

นี่ตัวพวกเราเองเกิดมาในโลกนี้จนนับ
มิได้แล้ว แต่เริ่มเกิดเริ่มตายมาจนวันนี้
เหมือนกับสัตว์วิญญาณล่องลอยในโลก
ก็อจินไตยนับมิได้ ใหญ่โตขึ้นเป็นลำดับ
จนได้เป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ผู้ไม่รู้จักอันใด
ก็เมาหา เมาอยู่ เมากิน เมาใช้ เมารายได้
เมารายจ่าย หลงภพ หลงเกิด หลงตาย
ของตน จนที่สุดนานแสนนาน จึงได้ทำ
ความดี ได้ทำความดีเป็นนานต่อไปอีก
เนิ่นนานจึงได้สำเร็จได้

ในชีวิตนี้คิดอ่านให้ดี ความดีเราสะสม
มาแล้ว ความชั่วเรามีอยู่ ความดีอันเรา
สะสม นับแต่พบปะพระพุทธเจ้า กราบไหว้
สักการบูชา พบปะพระอรหันต์ ฟังธรรม
คำสอน พบปะบัณฑิต ฤๅษี โยคี ตั้งใจ
ปฏิบัติกันมา บัดเดี๋ยวนี้เราอยากจะได้สุข
อยากจะสำเร็จ อยากพ้นทุกข์ จึงมาทำ
ความดี ให้ได้เป็นนิสฺสยปจฺจโย
อุปนิสฺสยปจฺจโย ปุเรชาตปจฺจโย
ปจฺฉาชาตปจฺจโย อารมฺมณปจฺจโย
อธิปติปจฺจโย อาเสวนปจฺจโย เหตุปจฺจโย
ทำเหตุเอาไว้จึงได้ปัจจัย ...
...
หลวงปู่จาม มหาปุญโญ







เดินจงกรมกลับไปกลับมา
ก็ให้นึกพุทโธ อย่าได้ทิ้งพุทโธ
ผู้ที่ได้สมาธิขณะเดินจงกรมนี้
สมาธิไม่เสื่อมง่าย ตั้งอยู่ได้นาน
จิตมันรวมลงไปได้ง่าย

ส่วนร่างกายก็เบา มิเจ็บแข้งมิเจ็บขา
เลือดลมไปมาสะดวก จะมานั่งก็นั่งได้นาน
เดินตอนกลางวันก็ไม่อืดอาด อาหารถูกธาตุไฟเผาจนหมด
หากจิตรวมแล้วก็จะเห็นได้ว่า มีเทวดา
มายืนถือพานดอกไม้บูชาอยู่หัวท้ายทางจงกรม
บางพวกก็พนมมือไหว้ สาธุ สาธุ อยู่

โอวาทธรรม คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ








"จิตปล่อยจิต" เป็นธรรม "อันเดียว"

"..เป็นธาตุที่บริสุทธิ์เป็นมหัศจรรย์ ยิ่งกว่าความมหัศจรรย์ ทาง "สมาธิปัญญา" ใดที่เคยผ่านมา

พอ "จิตวางปั๊บ" ฮุกหมัดเด็ดคือ "วิปัสสนาญาณ" เข้าปลายคาง ธรรมชาติอันนี้หยั่งลึกเกินอธิบาย เป็น "อจินไตย"

ตามดูลมหายใจไปด้วย ผ่อนลงไป...ผ่อนลงไป... ทีแรกมันอยู่ตรงนี้ พออยู่ตรงนี้หมด... หมด... หมด... หมดขึ้นมาเรื่อย หมดขึ้นมาเรื่อย อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงนี้ ยังมีอีกนิดๆ

เราก็พิจารณาอยู่ ยังไม่หมดนี่ พิจารณาค้นอยู่อย่างนั้นตลอด

พอพิจารณาตรงนี้มันดับหมดแล้ว เราก็ "หยุดความคิด" คือเรียกว่า “หยุดความค้น”

ลองวางปั๊บ แหม !! มันขาดเชียว

การ "ขาด" ครั้งนี้ไม่เหมือนการขาดลงอย่างที่ผ่านๆ มา

พอจิตวางปั๊บ... "จิตมีอิสรภาพอย่างสูงสุด" ปล่อยวาง "สังขารโลก" "คว่ำวัฏจักร วัฏจิต แหวกอวิชชาและโมหะ" อันเป็นประดุจตาข่าย

ด้วยการฮุกหมัดเด็ดคือวิปัสสนาญาณ เข้าปลายคาง

"อวิชชา" ถึงตาย ไม่มีวันฟื้น !!

พระพุทธเจ้าพระองค์อยู่ที่ใดทราบได้อย่างประจักษ์ใจ คำว่า "เป็นหนึ่ง" นั้น ไม่มีความหมายใดจะอธิบายต่อได้อีก

"ภพ" "ชาติ" ที่หมุนวนมา ตั้งกัปตั้งกัลป์นั้น เป็นความโง่ที่ไม่อาจให้อภัยได้

"ชาติ" "สังขาร" อยู่ที่ใด "ใจ" ไม่เกี่ยวเกาะ สิ่งที่จิตเคยเกี่ยวเกาะ ถูกลบด้วย "ธรรมชาติ" ที่เป็น "หนึ่ง" นั้น

จะว่าบริสุทธิ์ก็พอจะคาดเดาได้ แต่ธรรมชาติอันนี้หยั่งลึกเกินอธิบาย เป็น "อจินไตย"

สำหรับปุถุชน ไม่ควรถามคิดให้ปวดหัว

"ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ" ไม่มีช่องทางให้ "อวิชชา" เดิน ถูกปิดด้วย "มหาสติ มหาปัญญา"

"วิปัสสนาญาณ" ตีตะล่อมเข้าภายใน หักล้าง "อวิชชา" อันเป็นตัวการ

"จิตปล่อยจิต" เป็น "ธรรมอันเดียว" เป็น "ธาตุที่บริสุทธิ์" เป็น "มหัศจรรย์" ยิ่งกว่าความมหัศจรรย์ทาง "สมาธิปัญญาใด" ที่เคยผ่านมา.."

โอวาทธรรมคำสอน
พระครูสุทธิธรรมรังษี (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท)
วัดป่าภูริตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี
พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร