วันเวลาปัจจุบัน 11 ต.ค. 2025, 10:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2025, 11:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5390


 ข้อมูลส่วนตัว


ออกพรรษาไปแล้ว
ก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญความดีนะ
กิเลสมันไม่ได้ออกพรรษาด้วยเรานะ
กิเลสมันอยู่ในใจของเรา

วันนี้วันออกพรรษา
เรานึกว่ากิเลสมันจะออกไป
มันไม่ได้ออกนะ มันอยู่ที่ใจ

การชำระใจเพื่อความเป็นคนดี
ต้องได้ชำระตลอด
ทั้งในพรรษาทั้งนอกพรรษาตลอดกาลเลย
นี่เรียกว่าชำระกิเลส

กิเลสสิ้นไปแล้วในพรรษานอกพรรษาไม่มีปัญหา
สว่างจ้าอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา
นั่นคือใจของผู้บริสุทธิ์ท่านเป็นอย่างงั้นละ

#หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี





บูรพาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโตรู้วาระจิตหลวงปู่ฝั้น

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร แห่งวัดป่าอุดมสมพร จังหวัดสกลนคร ศิษย์หลวงปู่มั่นองค์สําคัญองค์หนึ่ง ได้เข้าพบหลวงปู่มั่น เมื่อครั้งที่หลวงปู่มั่นยังพักอยู่แถบจังหวัดเชียงใหม่ ครั้งนั้นได้พบเหตุอัศจรรย์หลายอย่างของหลวงปู่มั่น ซึ่งองค์หลวงตาได้เมตตาเล่าเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นไว้ ดังนี้

"..ท่านอาจารย์ฝั้นออกจากโคราชนี้ไปหาหลวงปู่มั่นที่เชียงใหม่ (ราวปี ๒๔๗๙) ท่านอาจารย์มั่นอุตส่าห์ออกมาต้อนรับเลยนะ เห็นไหมเก่งไหม ที่วัดเจดีย์หลวง ท่านรู้ภายในข้างในนี้ ท่านอุตส่าห์ออกมาเมื่อท่านอาจารย์ฝั้นไปถึงนั่น

วันหนึ่งหรือ...ตอนเช้าวันที่สองตอนสายๆ ท่านอาจารย์ฝั้นเห็นท่านอาจารย์มั่นมาหาหน้ากุฏินั้นเลย พอมองเห็นก็คิดอยู่ในใจ

‘โอ๊ย ท่านอาจารย์มั่นนี่’ จึงรีบโดดลงจากกุฏิเลย ท่านเดินกึ๊กกั๊ก กึ๊กกั๊กมา

‘โอ้ครูอาจารย์มายังไง ? ยังไง ?’

‘ก็มารับท่านนั่นหละ’

นั่นเห็นไหม บอกว่า ‘มารับท่าน’ แล้วก็พาไปเลยเชียว นั่นท่านทราบไว้แล้ว เก่งไหม บอกว่า ‘ก็มารับท่านนั้นแหละ’

พอไปอยู่กับท่านอาจารย์มั่นแล้ว ท่านก็พูดถึงเรื่องสถานที่นั่น ดีอย่างนั้น ที่นี่ดีอย่างนี้ ทางท่านอาจารย์ฝั้นก็เลยคิดอยากไปอยู่ที่นั่นที่นี่ แต่ในตอนนั้นท่านอาจารย์มั่นไม่เห็นอะไรสมควรยิ่งกว่าอยู่กับท่านในขณะนั้น สมกับเหตุผลที่ท่านมารับเอง

ตอนกลางคืนท่านอาจารย์ฝั้นก็คิดถึงเรื่องที่จะไปที่นั่นที่นี่ พอโผล่ออกมา ท่านอาจารย์มั่นว่า ‘ไหนจะไปไหน ?’

ว่าอย่างนั้นเลยนะ นั่นเห็นไหมล่ะ ‘จะไปที่ไหนอีก ?’ เปิดประตูออกมาตอนเช้า ท่านอาจารย์ฝั้นจะคอยรับบริขารท่าน พอเปิดประตูออกมา ‘หา ? จะไปที่ไหน ?’ ว่าอย่างนั้นเลยนะ

‘ที่นี่ดีกว่า’ ทางอาจารย์ฝั้นนั้นก็ปิดปากเลย เงียบไป แต่ก็ไม่นานละ ก็คิดอีก ท่านอาจารย์ฝั้นเล่าเองแหละ คิดอีกว่าจะไปที่นั่น ท่านก็เอาอีก..

พอวันหนึ่ง จิตท่านลงอย่างนั้นหละ จิตท่านอาจารย์ฝั้นนะ นั่งภาวนานี่ จิตลงอย่างอัศจรรย์เลยสว่างจ้าครอบโลกธาตุ ท่านว่าอย่างนั้นนะ

‘พอมองไปหาท่านอาจารย์มั่นทีไร เห็นท่านนั่งจ้องดูเราอยู่อย่างนี้’

ท่านว่าอย่างงั้นนะ มองไปทีไร มองจิต ส่งจิตไปทีไร ท่านนั่งจ้องเราอยู่แล้ว หมอบกลับมา พอตื่นเช้าขึ้นมาก็เปิดประตูเท่านั้นแหละ ประตูกระต๊อบนะ ไม่ใช่กุฏิอะไรใหญ่โตนะ กระต๊อบๆ ทั้งนั้น พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นอยู่ มีแต่กระต๊อบๆ ทั้งนั้นนะ หรูหราที่ไหน นั่นแหละสถานที่อยู่ของธรรม หรูหราไหม สถานที่อยู่ของธรรมดวงเลิศ ผู้เลิศมักจะอยู่อย่างนั้น และอยู่อย่างนั้น

ทีนี้พอเปิดประตูออกมา ท่านอาจารย์ฝั้นก็ไปรอ เปิดประตูออกมานี่ ยืนกึ๊กเลยเชียวนะ ‘เป็นยังไง เห็นหรือยังศาสนาทีนี้ ?’

เอาล่ะนะ แทนที่ท่านอาจารย์มั่นจะให้เข้าไปจับ ไปขนบริขาร (เพื่อเตรียมออกบิณฑบาต) ไม่ให้ไปนะ ท่านไปยืนกันอยู่ที่ประตูเลย ทางนั้นก็คุกเข่าหมอบนั่นอยู่

‘เป็นยังไง ? เห็นหรือยังศาสนาทีนี้ ? หือ ? หือ ?’ ขึ้นเลย

‘ศาสนา อัศจรรย์ที่ไหน ? ศาสนาอยู่ที่ไหน ? มรรคผลนิพพานอยู่ที่ไหน ? เห็นหรือยัง ?’ ว่าอย่างนั้นนะ ยืนจ้อซัดอยู่ที่นั่นเลย เสียงเปรี้ยง เปรี้ยง

‘เจริญที่ไหน เห็นหรือยังทีนี้ ?’

คือกลางคืนนั้นจิตสว่างจ้านี่นา ก็ท่านอาจารย์มั่นดูอยู่แล้วนี่ พอออกมาท่านถึงใส่เปรี้ยงเลย

‘เห็นหรือยัง ศาสนาเจริญที่ไหน ? หือ ? มรรคผลนิพพานเจริญที่ไหน ? ผมดูท่านทั้งคืนนะ เมื่อคืนนี้ผมก็ไม่ได้นอน’

มันก็ยอมรับเลย พอท่านอาจารย์ฝั้นจ่อจิตไป ส่งจิตไปทีไร ท่านจ้องดูอยู่แล้ว มันก็หมอบ ถอย ถอย ดูทีไรจ่ออยู่

‘ผมก็ไม่ได้นอนทั้งคืน เมื่อคืนนี้ดูท่านนี่แหละ’

ว่าอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้นถึงว่า ไหน...ศาสนาเจริญที่ไหน จ้อเข้าเลยสิ นั่นเห็นไหม ท่านมาเล่าให้ฟัง ท่านบอก ‘โอ้ย ขนลุกเลย ไม่ทราบมันเป็นยังไง ทั้งปีติยินดีในจิตอัศจรรย์ ปีติยินดีล้นพ้น และอัศจรรย์ท่านอาจารย์มั่นก็อัศจรรย์ล้นพ้น’ ท่านว่าอย่างนั้นนะ ชมความอัศจรรย์ทั้งวันทั้งคืนเลย นั่นแหละ ธรรมหาอย่างนั้นแหละ ธรรมอยู่ที่นี่แหละ ชี้เข้ามาที่ใจเท่านั้นรับธรรม ใจเท่านั้นรับมรรคผลนิพพาน สิ่งอื่นใดในโลก ไม่มีอะไรรับได้.."

จาก : หนังสือญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์ หน้า ๘๔, ๘๖
เรียบเรียงจากเทศนาธรรมของท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เป็นหนังสืออนุสรณ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงถวายแด่พระสรีระสังขาร
พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน)





"การละกิเลสยากมาก เพราะเหตุใดหรือ
แม้พิจารณาให้ดี ย่อมได้รับความเข้าใจพอสมควรว่า
การละกิเลสยากมาก เพราะพากันไปมุ่งละกิเลสผู้อื่น
ไม่มุ่งละกิเลสตนเอง กิเลสจึงท่วมบ้านท่วมเมือง
อยู่ทุกวันนี้"

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ






“ความอดทนอดกลั้นย่อมก่อให้เกิดการยั้งคิด
และเป็นธรรมดาของมนุษย์เรา เมื่อยั้งคิด
ได้แล้ว ย่อมมีโอกาสที่จะพิจารณาเรื่องที่ทำ
คำที่พูด ทบทวนดูใหม่อีกคำรบหนึ่ง ถ้าท่าน
ทั้งหลายมีสติยับยั้ง และทบทวนการกระทำ
อยู่เสมอ ย่อมจะช่วยให้ท่านสามารถวินิจฉัย
ที่จะกระทำหรือไม่กระทำการใด ๆ ได้
ถ่องแท้ละเอียดมากขึ้น” ...
...
พระโอวาท สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ประทานในพิธีประทานปริญญาบัตรแก่ผู้
สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมกุฏราช
วิทยาลัย วันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๐











...คนที่ถวายสังฆทานแล้วครั้งหนึ่งในชีวิต แม้แต่ ครั้งเดียว ถวายด้วยศรัทธาแท้
...ในสถานที่ใดที่เต็มไปด้วยความยากจนเข็ญใจมีความแร้นแค้น คนถวายสังฆทานแล้วจะไม่ไปเกิดที่นั้น
...ในดินแดนเต็มไปด้วยความร่ำรวยมีความสุข มีทั้ง ความอุดมสมบูรณ์ ...จะไปเกิดในที่นั้น

คำสอน พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน
(พระมหา วีระ ถาวโร ป.ธ.๔) วัดจันทาราม ( ท่าซุง )
ตำบนน้ำซึม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี

คัดลอก จากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๑๐ หน้า ๔๖


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร