วันเวลาปัจจุบัน 03 ต.ค. 2025, 11:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2025, 05:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5383


 ข้อมูลส่วนตัว


"..การต่อสู้กามกิเลส เป็นสงครามอันยิ่งใหญ่
กามกิเลสนี้ร้ายนัก มันมาทุกทิศทุกทาง
พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริง ก็ถอนได้

กามนี้มันหมุนรอบโลก มันเป็นเจ้าโลก
กามกิเลสนี้แหละ ที่ทำให้เกิดสงครามต่อสู้กัน
เกิดก็เพราะกาม ตายก็เพราะกาม รักก็เพราะกาม ชังก็เพราะกาม

กามทุกอย่างนี้เรียกว่ากามกิเลส
การต่อสู้กามกิเลสเป็นสงครามอันยิ่งใหญ่
กามกิเลสนี้ร้ายนัก มันมาทุกทิศทุกทาง
ความพอใจก็คือกิเลส ความไม่พอใจก็คือกิเลส
กามกิเลสนี้อุปมาเหมือนแม่น้ำ
ธารน้ำน้อยใหญ่ไม่มีประมาณไหลลงสู่ทะเลไม่มีที่เต็มฉันใดก็ดี
กามตัณหาที่ไม่พอดี ภวตัณหา วิภวตัณหา
เป็นแหล่งก่อทุกข์ ก่อความเดือดร้อนไม่มีที่สิ้นสุด
ทั้งหมดอยู่ที่ใจ สุขก็อยู่ที่ใจ ทุกข์ก็อยู่ที่ใจ
ใจนี่แหละคือตัวเหตุ ทำความพอใจให้อยู่ที่ใจนี่

หมั่นเพียรและตั้งสัจจะให้มั่น
รักษาศีล รักษาตา รักษาหู รักษาตัว รักษาปาก สำรวมอินทรีย์ รักษาธาตุ ๔
ขันธ์ ๕ พิจารณาเข้าไป ตจปัญจกกรรมฐาน ๕ กายคตากรรมฐาน
พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงก็จะถอนได้

พวกหมู หมา เป็ด ไก่ มันก็เสพกามกันทั่วแผ่นดิน อย่าได้ไปอัศจรรย์
มีแต่ศีล สมาธิ ปัญญา ผู้ใดรักษาศีล
ภาวนาเข้าจนเกิดสมาธิแล้ว สติก็ดิ่งเข้าไปแล้ว
ก็จะได้ทำจิตทำใจของตนให้บริสุทธิ์
พระธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ท่านชี้เข้าหาใจนี่แหละ
ทำใจให้บริสุทธิ์ ให้มีสติสัมปชัญญะนำคืนออกให้หมด
ถ้ามีสติแล้วก็นำความผิดออกจากกายจากใจของตน
อย่าหลงสมมติทั้งหลาย มีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อย่าเอามาหมักไว้ในใจ

กามตัณหาเปรียบเหมือนแม่น้ำไหลไปสู่ทะเล ไม่รู้จักเต็มสักที
อันนี้ฉันใด ความอยากของตัณหามันไม่พอ ต้องทำความพอจึงจะดี
เราจะต้องทำใจให้ผ่องใส
ตั้งอยู่ในศีล ตั้งอยู่ในทาน ตั้งอยู่ในธรรม ตั้งอยู่ในสมาธิก็ดี
ทุกอย่างเราทำความพอดี ความพอใจนำออกเสีย ความไม่พอใจก็นำออกเสีย
เวลานี้เราจะพักจิต ทำกายของเราทำใจของเราให้รู้แจ้งในกายในใจของเรานี้ รู้ความเป็นมา
วางให้หมด วางอารมณ์ วางอดีตอนาคตทั้งปวง ที่ใจนี่แหละ

เรื่องสังขารนี้ สังขารมันปรุง สังขารมันแต่ง
มันเกิด มันแก่ มันเจ็บ มันดับ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
วางอยู่นี่แหละ อดีตอนาคตมันก็มานี่แหละ
ตัดอดีตอนาคตลงหมด จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน รู้ในปัจจุบัน ละในปัจจุบัน วางในปัจจุบัน
ทำจิตทำใจของเราให้สว่าง ให้รู้แจ้งในมรรคในผล ในศีล สมาธิ ปัญญา
เอาที่ใจนี้แหละ ให้มันสำเร็จขึ้นที่ใจ

เวลาปฏิบัติจริงกิเลสมันมาได้ทุกทิศทุกทาง
ใจนี้มันสำคัญ เหตุมันเกิดจากใจนี้ ตั้งสัจจะ จริงกายจริงวาจาจริงใจ
อย่าหลงไปตามเขา ตามอารมณ์
ละทิ้งความที่เกิดขึ้นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
สมบัติของเจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหมดนี้
เป็นที่ตั้งของทาน เป็นที่ตั้งของมรรค เป็นที่ตั้งของพระนิพพาน
จงละและวางให้เป็นพุทโธ ละวางหมดก็เป็นสุข ปล่อยวางก็สบาย.."

คัดจาก หนังสืออนุสรณ์
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ โดย มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
นครนายก : โรงพิมพ์มูลนิธินวมราชานุสรณ์






ผู้ที่ได้ทำทานการกุศลมาดีแล้วก็ได้มาเกิดกับพ่อแม่ที่ดีมีเงินมีทอง เหมือนเด็กที่เขาได้มาเกิดทุกวันนี้เอง ได้มาเกิดกับพ่อกับแม่ตามฐานะของเขาที่เขาได้สร้างบุญเอาไว้

พวกเราก็เหมือนกัน พวกเรารู้แล้วก็ได้ทำเอาไว้ เพื่อเป็นทุนของตนเองเก็บไว้ในใจของตนเอง เรียกว่าเป็นสัญญาเป็นความทรงจำหมายรู้อย่างลึกซึ้ง นึกถึงบุญกุศลที่ตนเองได้ทำแล้วก็จะปลื้มใจสุขใจ ก็จะได้แผ่เมตตาให้ผู้ใดก็ได้หรือจะแผ่เมตตาไปให้ทั่วโลกก็ได้ แล้วแต่ ไม่หมดไปไหนหรอกบุญนี้

บุญนี้อยู่ที่ใจ เมื่อแผ่เมตตาไปเรื่อยๆใจของเราก็ยิ่งมีความสุข ก็ให้คนอื่นมีความสุขด้วย ไม่มีการหมด

เหมือนกับจุดเทียนนี่แหละ จุดเทียนในวันมาฆบูชาก็ดีวันวิสาขบูชาก็ดี เมื่อเราจุดขึ้นมาแล้วหลายๆคนมาจุดต่อกันไปหลายๆเล่ม มากขึ้นเท่าไรแสงสว่างก็มากขึ้นเท่านั้น ฉันใดก็ดีบุญกุศลที่เราได้ทำก็เหมือนกัน เราก็แบ่งบุญแบ่งกุศลให้ มันก็จะยิ่งกว้างขวางยิ่งมีกำลังมาก เมื่อทำบุญทำทานการกุศลก็ดีให้นึกถึงอย่างนั้น ว่าตนเองได้ทำไว้แล้ว เวลารับพรจากพระเจ้าพระสงฆ์ก็ให้ตั้งจิตแผ่เมตตา

โอวาทธรรม หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป





"..วาสนานั้นเป็นไปตามอัธยาศัย บุคคลควรพยายามคบแต่บัณฑิตเพื่อเลื่อนภูมิวาสนาให้สูงขึ้น.."

โอวาทธรรม
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต




“ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง วันนี้เราเครียดแทบตาย
แต่วันพรุ่งนี้ อาจเป็นวันที่ดีที่สุดของชีวิตก็เป็นได้”

หลวงปู่ขาว อนาลโย







การพิจารณาเรื่องความสัมพันธ์กับคนอื่น
ย่อมนำไปสู่ความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ
ต่อเรา ส่วนมากเรามักจะมองว่าความสำนึกใน
บุญคุณของผู้ที่มีอุปการคุณต่อเราว่าเป็น
ธรรมพื้นฐาน ไม่ใช่เรื่องสูงฟังยากเหมือน
อนัตตา แต่ที่จริงแล้วความกตัญญูกตเวที
อันแท้จริง เกิดขึ้นและเข้มแข็งเพราะความ
เข้าใจในเรื่องอนัตตา คือความระลึกรู้อยู่ว่า ...

เราไม่ใช่ศูนย์กลางของโลก ไม่ได้อยู่ในโลกนี้
คนเดียว ความสุขทั้งหมดที่เราเคยเสวยใน
ชาตินี้ ย่อมอาศัยคนอื่น สัตว์อื่น หรือสิ่งอื่น
ไม่มากก็น้อย ในชีวิตของเรานั้น เคยไหม
เคยมีความสุขแม้แต่นิดเดียวที่ไม่ได้อาศัย
คนอื่นเป็นปัจจัย ขอตอบแทนว่า ...ไม่เคย
แล้วเมื่อชีวิตเราไม่มีอะไรที่ไม่ขึ้นอยู่กับคนอื่น
และสิ่งอื่น เราจะถือตัวถือตนได้อย่างไร
แล้วเราจะหาตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวรได้ที่ไหน ...
...
พระอาจารย์ชยสาโร





เพราะฉะนั้นลูกเอ้ย...ถ้าเป็นสัมมาทิฐิแล้วไม่คิดร้ายใครเลยลูก แค่คิดแล้วก็แต่งใจเรา แล้วพูดร้ายก็แต่งปากเข้าไปด้วย แรงขึ้นไปอีก แล้วเอากายไปทำร้าย ลงมือเดินไปด่า เดินไปให้ร้ายนินทาเขาเนี่ย...ก็ทำทั้ง ๓ กรรมด้วยลูก แล้วมันก็เข้าไปในใจเรา ชำนาญนักหนาเป็นวสีเป็นอมตะในเรื่องสั่งสมความเลวเชียวเนาะลูกเนาะ(หัวเราะ)

ถ้าไปเจอครูบาอาจารย์ที่เคยสอนกันบอกว่า
โง่นะลูกนะ จะไปทำ ทำไมทำร้ายเราเองทำไม?
คน ๆ นั้นถ้าเขาเลวไม่ต้องไปด่าเขาหรอก
เดี๋ยวเขาตายเขาก็ลงนรกไปเอง
อนาคตสัตว์นรกตัวหนึ่งจะตายในวันรุ่งขึ้น
เหมือนกันเนี่ย ร่างนั้นเขาก็ต้องลงเป็น ดินน้ำลมไฟ แต่ใจเขาต้องลงไปเป็นสัตว์นรก ถ้าเราอยู่เฉย ๆ
หันมาทำความดีแล้วชำระความเลวด้วย เขาก็ตายเขาก็ลงนรกเดี๋ยวร่างเราวันนี้ก็ตายลงไปในดินเป็นเถ้า แต่ใจเราจะเป็นพรหมหรือเทวดาหรือเข้านิพพาน หรือเป็นพระอริยะลงมาบวชต่อบารมี

ทำไมจะต้องไปร้อยรัดหรือไปแก้ไข “จงดีอย่างโน้น จงดีอย่างนี้” เข้าไปขัดข้อง “จงอย่าเลวอย่างนี้ จงอย่าเลวอย่างนี้” ทั้งไปร้อยรัดทั้งไปขัดข้องจริยาคนอื่น นั่นก็คือเอาใจเราไปผูกไว้กับกระแส ถ้าเขาจะเป็นสัตว์นรกเราก็ไปแก้ไขความประพฤติสัตว์นรก “จงอย่าเป็นอย่างนี้” ใช่มั้ยลูก ? ถ้าแก้ไม่จบแล้วตายก่อนมึงไปไหนลูก? ตอบคำถามได้ใช่ไหมลูก?

- หลวงตาวัชรชัย -







การพิจารณาเรื่องความสัมพันธ์กับคนอื่น
ย่อมนำไปสู่ความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ
ต่อเรา ส่วนมากเรามักจะมองว่าความสำนึกใน
บุญคุณของผู้ที่มีอุปการคุณต่อเราว่าเป็น
ธรรมพื้นฐาน ไม่ใช่เรื่องสูงฟังยากเหมือน
อนัตตา แต่ที่จริงแล้วความกตัญญูกตเวที
อันแท้จริง เกิดขึ้นและเข้มแข็งเพราะความ
เข้าใจในเรื่องอนัตตา คือความระลึกรู้อยู่ว่า ...

เราไม่ใช่ศูนย์กลางของโลก ไม่ได้อยู่ในโลกนี้
คนเดียว ความสุขทั้งหมดที่เราเคยเสวยใน
ชาตินี้ ย่อมอาศัยคนอื่น สัตว์อื่น หรือสิ่งอื่น
ไม่มากก็น้อย ในชีวิตของเรานั้น เคยไหม
เคยมีความสุขแม้แต่นิดเดียวที่ไม่ได้อาศัย
คนอื่นเป็นปัจจัย ขอตอบแทนว่า ...ไม่เคย
แล้วเมื่อชีวิตเราไม่มีอะไรที่ไม่ขึ้นอยู่กับคนอื่น
และสิ่งอื่น เราจะถือตัวถือตนได้อย่างไร
แล้วเราจะหาตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวรได้ที่ไหน ...
...
พระอาจารย์ชยสาโร







"เจตสิก" คือธรรมชาติอันหนึ่ง
มาอาศัยจิตเกิด อาศัยจิตดับ
มันมาเกิดกับจิตเรา
ทำให้ฟุ้งซ่าน ทำให้จิตกระจายไป
#มันเป็นธรรมชาติทั้งหมด_ไม่มีเราอยู่ในนั้น
แต่ความหลงว่านี่มันเรา ปรุงแต่งขึ้นมาว่านี่เรา
จะไปทำตามความคิดนึกปรุงแต่ง
หลงความคิด หลงสังขาร อยากจะทำตาม
บางทีก็ไหลไปกับความคิดนึกปรุงแต่งตัวเอง
มันไม่ใช่ ธรรมะมันจะต้องหยุดอยู่ข้างในได้
.
พระอาจารย์ครรชิต สุทฺธิจิตฺโต
วัดป่าภูไม้ฮาว จ. มุกดาหาร





"..ปรัชญาธรรม.."..หลวงปู่ดูลย์ อตุโล.."

"..จิตคิด จิตเกิด
จิตไม่คิด จิตไม่เกิด

จิตคิด จิตถูกทำลาย
จิตไม่คิด จิตไม่ถูกทำลาย

จิตปรุงแต่ง จิตถูกทำลาย
จิตไม่ปรุงแต่ง จิตไม่ถูกทำลาย

จิตแสวงหา จิตถูกทำลาย
จิตไม่แสวงหา จิตไม่ถูกทำลาย

จิตปรารถนา จิตถูกทำลาย
จิตไม่มีความกำหนัด จิตไม่ถูกทำลาย

ทิ้งหมด รู้หมด ทิ้งหมด ได้หมด
ไม่ทิ้งเลย ไม่รู้เลย ไม่ทิ้งเลย ไม่ได้เลย

ทรงจิตเข้ามรรคจิต แล้วจิตพิจารณาจิต
รู้ธรรมในจิต แล้วถนอมมรรคจิต
จงทำให้ชำนิชำนาญ

จิตอบรมจิต รู้ธรรมภายในจิต
แล้วอบรมธรรมในธรรมภายในจิต

ผู้รู้ไม่คิด ผู้คิดยังไม่รู้
รู้แล้วไม่ต้องคิดก็เกิดปัญญา

เอาธรรมมาอบรมธรรม
รู้ธรรมในธรรม

เอาธรรมชาติมาปฏิบัติธรรมชาติ
ให้รู้ธรรมชาติในธรรมชาติ

เอาธาตุมาปฏิบัติธาตุ
ให้รู้ธาตุในธาตุ

เอาธรรมอบรมในธรรม
เอาจิตอบรมในจิต
ให้รู้ธรรมภายในจิต

รู้แล้วละวาง ปล่อยทิ้ง
และไม่อาลัย และไม่ยึดมั่นธรรมต่างๆ

ธรรมที่เกิดขึ้นภายในจิต
ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว

บาปบุญเปรียบเหมือนมารยา
เกิดขึ้นแล้วดับ ปล่อยทิ้งทั้งสอง

มีแต่ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
สิ้นแห่งความรู้ หุบปากเงียบ อิ่มในธรรม
ธรรมเติมธรรม ไม่มีธรรม นั่นคือธรรม

อย่าปล่อยให้จิตปรุงแต่งมากนัก
ข้อสำคัญ ให้รู้จัก.....จิต.....ของเราเท่านั้นเอง

เพราะว่าจิตคือ “ตัวหลักธรรม”
นอกจากจิตแล้ว ไม่มีหลักธรรมใดๆ เลย

ภาวนามากๆ แล้วจะรู้ถึงความเป็นจริง
เท่านั้นเอง..ไม่มีอะไรมากมาย..
มีเท่านั้น เปล่า เปล่า บริสุทธิ์.."

โอวาทธรรมคำสอน
พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
วัดบูรพาราม
อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์







"...ปัจจุบันนี้ ถือว่าเราโชคดีหนักหนา ที่ได้เกิดมาเป็นคน
เพราะสามารถใช้ร่างกายนี้
ทำบุญ ทำกุศล ได้เกิดมาทั้งทีจะนำพาเราก้าวไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์ นั่นคือ ทาน ศีล และการเจริญภาวนา จงทำเถิด จะได้ไม่เสียที ที่ได้เกิดมาเป็นคน..."

หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต





"..การต่อสู้กามกิเลส เป็นสงครามอันยิ่งใหญ่
กามกิเลสนี้ร้ายนัก มันมาทุกทิศทุกทาง
พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริง ก็ถอนได้

กามนี้มันหมุนรอบโลก มันเป็นเจ้าโลก
กามกิเลสนี้แหละ ที่ทำให้เกิดสงครามต่อสู้กัน
เกิดก็เพราะกาม ตายก็เพราะกาม รักก็เพราะกาม ชังก็เพราะกาม

กามทุกอย่างนี้เรียกว่ากามกิเลส
การต่อสู้กามกิเลสเป็นสงครามอันยิ่งใหญ่
กามกิเลสนี้ร้ายนัก มันมาทุกทิศทุกทาง
ความพอใจก็คือกิเลส ความไม่พอใจก็คือกิเลส
กามกิเลสนี้อุปมาเหมือนแม่น้ำ
ธารน้ำน้อยใหญ่ไม่มีประมาณไหลลงสู่ทะเลไม่มีที่เต็มฉันใดก็ดี
กามตัณหาที่ไม่พอดี ภวตัณหา วิภวตัณหา
เป็นแหล่งก่อทุกข์ ก่อความเดือดร้อนไม่มีที่สิ้นสุด
ทั้งหมดอยู่ที่ใจ สุขก็อยู่ที่ใจ ทุกข์ก็อยู่ที่ใจ
ใจนี่แหละคือตัวเหตุ ทำความพอใจให้อยู่ที่ใจนี่

หมั่นเพียรและตั้งสัจจะให้มั่น
รักษาศีล รักษาตา รักษาหู รักษาตัว รักษาปาก สำรวมอินทรีย์ รักษาธาตุ ๔
ขันธ์ ๕ พิจารณาเข้าไป ตจปัญจกกรรมฐาน ๕ กายคตากรรมฐาน
พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงก็จะถอนได้

พวกหมู หมา เป็ด ไก่ มันก็เสพกามกันทั่วแผ่นดิน อย่าได้ไปอัศจรรย์
มีแต่ศีล สมาธิ ปัญญา ผู้ใดรักษาศีล
ภาวนาเข้าจนเกิดสมาธิแล้ว สติก็ดิ่งเข้าไปแล้ว
ก็จะได้ทำจิตทำใจของตนให้บริสุทธิ์
พระธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ท่านชี้เข้าหาใจนี่แหละ
ทำใจให้บริสุทธิ์ ให้มีสติสัมปชัญญะนำคืนออกให้หมด
ถ้ามีสติแล้วก็นำความผิดออกจากกายจากใจของตน
อย่าหลงสมมติทั้งหลาย มีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อย่าเอามาหมักไว้ในใจ

กามตัณหาเปรียบเหมือนแม่น้ำไหลไปสู่ทะเล ไม่รู้จักเต็มสักที
อันนี้ฉันใด ความอยากของตัณหามันไม่พอ ต้องทำความพอจึงจะดี
เราจะต้องทำใจให้ผ่องใส
ตั้งอยู่ในศีล ตั้งอยู่ในทาน ตั้งอยู่ในธรรม ตั้งอยู่ในสมาธิก็ดี
ทุกอย่างเราทำความพอดี ความพอใจนำออกเสีย ความไม่พอใจก็นำออกเสีย
เวลานี้เราจะพักจิต ทำกายของเราทำใจของเราให้รู้แจ้งในกายในใจของเรานี้ รู้ความเป็นมา
วางให้หมด วางอารมณ์ วางอดีตอนาคตทั้งปวง ที่ใจนี่แหละ

เรื่องสังขารนี้ สังขารมันปรุง สังขารมันแต่ง
มันเกิด มันแก่ มันเจ็บ มันดับ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
วางอยู่นี่แหละ อดีตอนาคตมันก็มานี่แหละ
ตัดอดีตอนาคตลงหมด จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน รู้ในปัจจุบัน ละในปัจจุบัน วางในปัจจุบัน
ทำจิตทำใจของเราให้สว่าง ให้รู้แจ้งในมรรคในผล ในศีล สมาธิ ปัญญา
เอาที่ใจนี้แหละ ให้มันสำเร็จขึ้นที่ใจ

เวลาปฏิบัติจริงกิเลสมันมาได้ทุกทิศทุกทาง
ใจนี้มันสำคัญ เหตุมันเกิดจากใจนี้ ตั้งสัจจะ จริงกายจริงวาจาจริงใจ
อย่าหลงไปตามเขา ตามอารมณ์
ละทิ้งความที่เกิดขึ้นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
สมบัติของเจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหมดนี้
เป็นที่ตั้งของทาน เป็นที่ตั้งของมรรค เป็นที่ตั้งของพระนิพพาน
จงละและวางให้เป็นพุทโธ ละวางหมดก็เป็นสุข ปล่อยวางก็สบาย.."

คัดจาก หนังสืออนุสรณ์
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ โดย มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
นครนายก : โรงพิมพ์มูลนิธินวมราชานุสรณ์


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร