วันเวลาปัจจุบัน 09 มิ.ย. 2025, 16:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2024, 06:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว




1728812120858.jpg
1728812120858.jpg [ 465.18 KiB | เปิดดู 1836 ครั้ง ]
มีข้อที่ควรกล่าวในที่นี้อีกประการหนึ่งก็คือ ตามบาลีแสดงว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา
ซึ่งแปลกันว่า อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขารนั้น ในทางธรรม หมายความว่า สังขารปรากฏ
ขึ้นก็พราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย อันเป็นการกล่าวถึง ผล (คือสังขาร) ก่อน แล้วจึงแสดง
เหตุ (คืออวิชซา) ที่อุปการะให้เกิดผลนั้น ที่แสดงเช่นนี้ก็เพราะถือว่า ผล เป็นสิ่งที่เห็นได้ง่าย
กว่าเหตุ จึงกล่าวถึงผลก่อนแล้วจึงย้อนกลับไปแสดงถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดผลนั้น

องค์ที่ ๑ อวิชชา

อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร คือ สังขารอันเป็นปัจจะบันธรรมจะปรากฏขึ้นก็
เพราะมีอวิชชาอันป็นปัจจัยธรรมนั้นเป็นสาเหตุ จึงเลยพูดกันสั้น ๆ ว่า อวิชชาเป็นหตุ
สังขารเป็นผล
อวิชชาที่เป็นสาเหตุให้เกิดสังขารนั้น มีลักขณาทิจตุกะดังนี้
อญาณลกฺขณา มีความไม่รู้ หรือ เป็นปฏิปักษ์ต่อปัญญา เป็นลักษณะ
สมฺโมหนรสา ทำให้สัมปยุตตธรรม และ ผู้ที่โมหะกำลังเกิดอยู่นั้นมีความหลง
ความมืดมน เป็นกิจ
ฉาทนปจฺจุปฏฺฐานา ปกปิดสภาวะที่มีอยู่ในอารมณ์นั้น ๆ เป็นผล
อาสวปทฎฺฐานา มีอาสวะ เป็นเหตุใกลั
อวิชชา นี้องค์ธรรมได้แก่ โมหเจตสิก คือความไม่รู้นั่นเอง ไม่รู้ในที่นี้หมายเฉพาะ
ไม่รู้ธรรม ๘ ประการ อันได้แก่ ไม่รู้อริยสัจ ๔. ไม่รู้อดีต ๑, ไม่รู้อนาคต ๑. ไม่รู้อดีต
และอนาคต ๑ และไม่รู้ปฏิจจสมุปปาทธรรม ๑

เพราะความไม่รู้ คือ โมหะ หรือ อวิชชา นื่้อง เป็นปัจปัจจัย เป็นสิ่งที่อุปการะช่วย
เหลือให้เกิดสังขาร ให้เกิดมีความปรุงแต่งขึ้น ดังนั้นจึงกล่าวว่าอวิชชาเนปัจจัย สังขารเป็น
ปัจจยุบัน สังขารอันเป็นปัจจยุบบันของอวิชชานี้จัดได้เป็นสังขาร ๓ คือ อบุญญาภิสังขาร
บุญญาภิสังขาร และอาเนญชาภิสังขาร

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2024, 08:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


๑. อบุญญาภิสังขาร จงใจปรุงแต่งให้เป็นบาป องค์ธรรมได้แก่เจตนาในอกุสลจิต ๑๒
เมื่อเจตนาปรุงแต่งให้เกิดบาปเช่นนี้ ก็เป็นทางที่จะนำไปให้ปฏิสนธิในอบายภูมิ เจตนาทำ
บาปอันจะส่งผลให้ปฏิสนธิในอบายภูมินี้เห็นได้ชัดว่าเป็นด้วยอำนาจแห่งโมหะ คือ อวิชชา
โดยตรงทีเดียว
๒.บุญญาภิสังขาร จงใจปรุงแต่งให้เป็นบุญ องค์ธรรมได้แก่เจตนาในมหากุสลจิต ๘
และเจตนาในรูปาวจรกุสลจิต ๕ รวมเป็นเจตนา ๑๓ เมื่อเจตนาปรุงแต่งให้เกิดกุศลกรรมเช่นนี้
ก็เป็นทางที่จะให้ได้ปฏิสนธิเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นรูปพรหม ตามควรแก่กรรมนั้น ๆ
เจตนาทำกุศลอย่างนี้ก็นับว่าดีมากอยู่ แต่ว่ายังไม่ถึงดีที่สุดเพราะว่ายังไม่พ้นทุกข์ จะต้องกลับ
มาเวียนในสังสารวัฏอีก กุศลที่ประเสริฐฐสุดคือโลกุตตรกุศลอันจะทำให้พ้นทุกข์ได้เด็ดขาด
ไม่ต้องกลับมาวนเวียนในสังสารวัฏอีกเลย ก็มี แต่ไม่มีเจตนาปรุงแต่งให้กุศลอันประเสริฐสุด
นั้นเกิดขึ้น จึงได้ชื่อว่ายังมือวิชชาอยู่ กล่าวอีกนัยหนึ่งว่าเพราะไม่รู้ว่ากุศลอันยิ่งกว่านั้นก็มี
จึงเจดนาทำเพียงมหากุศลกรรมและรูปาวจรกุศสกรมเท่านั้น
๓. อเนญชาภิสังขาร จงใจปรุงแต่ให้เป็นบุญชนิดที่ใม่หวั่นไหวคือ ตั้งอยู่ใน
อุเบกขาพรหมวิหารให้นานเหลือเกิน องค์รรมได้แก่ เจตนาอรูปาวจรกุสลจิต ๕ เมื่อ
เจตนาปรุงแต่งให้เกิดกุสลกรรมถึงปานนี้ ก็ส่งผลให้ไปปฏิสนธิเป็นธรูปพรหม เสวยบรม
สุขอยู่นานช้า ถึงกระนั้นก็ได้ชื่อว่ายังไม่พ้นไปจากอวิชชาตามนัยที่กล่าวแล้วในข้อ ๒ นั้น

อีกนัยหนึ่ง สังขารอันเป็นปัจยุบบันนธรรมขององอวิชชานี้ ได้แก่สังขาร ๓ คือ
ก. กายสังขาร คือ เจตนาที่ปรุงแต่งกายทุจริต และกายสุจริตให้เป็นผลสำเร็จลง
องค์ธรรมได้แก่ อกุตลเจตนา ๑๒ และ มหากุตรเจตนา ๘ ที่เกี่ยวกับทางทางกาย
ข. วจึสังขาร คือ เจตนาที่ปรุงตัววจีทุจริตและวจีสุจริตให้เป็นผลสำเร็จลง องค์
ธรรมได้แก่ อกุสลเจตนา ๑๒ แระมหากุสลเจตนา ๘ ที่เกี่ยวกับทางวาจา
ค. จิตตสังขาร คือ เจตนาที่ปรุงแต่งมโนทุจริต และ มโนสุจริตให้เป็นผลสำเร็จลง
องค์ธรรมได้แก่ อกุสลเจตนา ๑๒ และโลกียกุสลเจตนา ๕../ ที่เกี่ยวกับทางใจ
รวมสังขาร ๓ ก็ดี หรือจะว่าสังขารทั้ง ๖ ดังกล่าวแล้วนี้ก็ดี ก็ได้แก่เจตนา ๒๙
หรือกรรม ๒๙ นั่นเอง
โดยเฉพาะ โลกุตตรกุสลเจตนา นั้นได้ชื่อว่าเป็นบุญก็จริง แต่ในจัดเป็นบุญญาภิสังขาร
หรืออาเนญชาภิสังขาร เพราะโลกุตตรกุสลนั้นไม่มีหน้าที่ทำให้เกิดภพเกิดชาติอันเป็น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2024, 09:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


วัฏฏะ แต่มีหน้าที่ทำลายภพทำลายชาติอันเป็นการตัดสินใจ จึงไม่เกี่ยวข้องกับปฏิจจสมุปบาทนี้
อนึ่ง ตามตัวอย่าง พระสุตตันตปิฎก ก็แสดงสังขาร ๓ ไว้อีกนัยหนึ่ง คือ
กายสังขาร ธรรมชาติที่ปรุงแต่งกาย ได้แก่ อัสสาสะ และ ปัสสาสะ
วจีสังขาร ธรรมชาติที่ปรุงแต่งวาจา ได้แก่ วิตก วิจาร
จิตตสังขาร ธรรมชาติที่ปรุงแต่งจิต ได้แก่ สัญญา เวทนา หรืออีกนับหนึ่งว่าได้แก่
เจตสิก ๕๐ (เว้นวิตก วิจาร)
สรุปความในบท อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขารนี้ได้ว่า อวิชชาที่เป็นปัจจัยให้เกิด
สังขารนั้นได้แก่โมหะ สังขารอันป็นปัจจุบบันนธรรรมของอวิชชานั้นให้แก่ เจตนา ๒๙ หรือกรรม ๒๙
เพราะไม่รู้ว่ากรรมที่ดับสิ้นแห่งทุกข์นั้นมี คือยังมีโมหะมีอวิชชาอยู่ จึงเป็นปัจจัยให้
กะทำกรรม ๒๙ อันจะต้องวนเวียนอยู่ในสังสารทุกข์ ไม่พ้นทุกข์ไปได้

ปัจจัย ๒๔ ที่เกี่ยวแก่อวิชชา

ในบท อวิชชา เป็นปัจจัยแก่สังขารนี้ เมื่อกล่าวโดยปัจจัย ๒๔ แล้วก็เป็นไปด้วย
อำนาจแห่งปัจจัยดังต่อไปนี้
ก. อวิชชาเป็นปัจจัยแก่อบุญญาภิสังขาร ก็ด้วยอำนาจแห่งปัจจัย ๑๕ ปัจจัย คือ
๑. เหตุปัจจัย ๒. อารัมมณปัจจัย ๓. อธิปติปัจจัย
๔. อนันตรปัจจัย ๕. สมนันตรปัจจัย ๖. สหชาตปัจจัย
๗. อัญญมัญปัจจัย ๘. สหชาตนิสสยปัจจัย ๙. ปกตูปนิสสยปัจจัย
๑๐. อาเสวนปัจจัย ๑๑. สัมปยุตตปัจจัย ๑๒. อัตถิปัจจัย
๑๓. นัดถิปัจจัย ๑๔. วิคตปัจจัย ๑๕. อวิคตปัจจัย

ข. อวิชชา เป็นปัจจัยแก่ บุญญาภิสังขาร ก็ด้วยอำนาจแห่งปัจจัย ๒ ปัจจัย คือ
๑. อารัมณปัจจัย ๒. ปกตูปนิสสสยปัจจัย

ค. อวิชชา เป็นปัจจัยแก่ อาเนญชาภิสังขาร ก็ด้วยอำนาจแห่งปกตูปนิสสยปัจจัย
ปัจจัยเดียวเท่านั้นเอง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2024, 12:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


อธิบาย

ก. อวิชชา เป็นปัจจัยแก่อบุญญาภิสังขาร ก็ด้วยอำนาจแห่งปัจจัย ๑๕ ปัจจัยนั้นเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ก็ว่า โมหเจตสิกเป็นปัจจัยแก่กุสลจิตนั้น เป็นได้ ๑๕ ปัจจัยแต่ละปัจจัยมีความหมายดังนี้

๑. เหตุปัจชัย กล่าวถึงหตุ ๖เป็นปัจจัยให้เกิดจิตและเจตสิกนั้นในที่นี้ โมหะ เป็น
เหตุปัจจัย อกุสลจิต ๑๒ และเจตสิกที่ประกอบเป็นเหตุปัจยุบบัน
๒.อารัมมณปัจจัย กล่าวถึงอารมณ์เป็นปัจจัยให้เกิดจิตและเจตสิกนั้นคือ เมื่อนึกถึง
สิ่งที่คนชอบใจติดใจก็ดี ที่ไม่ชอบใจ ที่เกลียด ที่กลัวก็ดี ที่สงสัยที่ฟุ้งซ่านก็ดี เหล่านี้เป็น
อารมณ์ที่มีสาเหตุมาจากโมหะทั้งนั้น อารมณ์เหล่านี้แหละเป็นอารัมมณปัจจัย ก่อให้เกิดอกุสลจิต ๑๒ และเจตสิกที่ประกอบนี่แหละเป็นอารัมณปัจจยุบบัน
๓.อธิปติปัจจัย กล่าวถึงอารมณ์ที่เป็นใหญ่ที่มีกำลังมาก หรือที่เอาใจใส่มากเป็น
พิเศษเป็นปัจจัยให้เกิดจิตและเจตสิก คืออารมณ์ที่มีกำลังมากเป็นพิเศษนั้นเป็นอธิปติปัจจัย
ก่อให้เกิดกุสลจิต ๑๒ และเจตสิกที่ประกอบ เป็นอธิปติปัจจุยุบบัน
๔. อนันตรปัจจัย กล่าวถึงจิตที่เกิดติดต่อกันโดยไม่มีระหว่างคั่น ที่มาเรียวกับโมห
เจตสิกก็พราะหตุว่า โมหเจตสิกต้องเกิดพร้อมกับอกุสลจิต กล่าวโดยหน้าที่การงาน อกุสล
จิตก็เป็นชวนจิต ชวนจิตนี้โดยปกติเกิดติดต่อกัน ๗ ดวงหรือ ๗ ขณะจิต ดังนั้นโมหเจต
สิกที่ในอกุสลชวนจิตดวงที่ ๑ ก็เป็นอนันตรปัจจัย โมหะในอกุสลชวนจิตดวงที่ ๒ ก็เป็น
อนันตรปัจจยุบบัน โมหในอกุสลชวนจิตดวงที่ ๒ เป็นอนันตรปัจจัย โมหะในอนันตรปัจจัย โมหะในอกุสล
ชวนจิตดวงที่ ๓ ก็เป็นอนันตรปัจยุบบัน เป็นตามลำดับกันจนถึงโมหะในอกุสลชวนจิต
ดวงที่ ๖ เป็นอนันตรปัจจัย โมหะในอกสลจิตดวงที่ ๗ เป็นอนันตรปัจยุบบัน
๕. สมนันตรปัจจัย เป็นปัจจัยที่เน้นถึงอนันตรปัจจัยว่า การที่เกิดติดต่อกันโดยไม่มี
ระหว่างคั่นนั้น เกิดติดต่อกันตามลำดับ ไม่ข้ามลำดับ อันมีความหมายเช่นเดียวกับอนันตร
ปัจจัยนั่นเอง เป็นแต่ย้ำความให้กระชับแน่นแฟ้นขึ้นอีกเท่านั้น
๖. สหชาตปัจจัย กล่าวถึงธรรมที่เกิดพร้อมกัน ในที่นี้โมหเจตสิกย่อมต้องเกิดพร้อม
กับอกุสลจิตและเจตสิกที่ประกอบ ดังนั้นโมหะจตสิกนี้ก็เป็นสหชาตปัจจัย อกุสลจิต ๑๒ และ
เจตสิกที่ประกอบ ซึ่งเกิดพร้อมกับโมหเจตสิกนั้น เป็นสหชาตปัจจยุบบัน
๗. อัญญมัญญปัจจัย กล่าวถึงธรรมที่อุปการะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในที่นี้
โมหเจตสิกก็อุปการะช่วยเหลืออกุสลจิตและเจตสิกที่ประกอบให้เกิดขึ้น อกุสลและเจตสิกจะเจตสิก
ที่ประกอบก็อุปกระช่วยเหลือแก่โมหเจตสิกให้เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน กล่าวคือต่างฝ่ายต่าง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2024, 14:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


อุปการะแก่กันและกัน ดังนั้น โมหเจตสิกนี้จึงเป็นอัญญมัญญปัจจัย อกุสลจิต ๑๒ และเจตสิก
ที่ประกอบนั้นเป็นอัญญมัญญปัจจยุบบัน
๘. นิสสยปัจจัย กล่าวถึงธรรมอันเป็นที่อาศัย ในที่นี้โมหเจตสิกเป็นที่อาศัย
ของอกุสลจิตและเจตสิกที่ประกอบ กล่าวอีกนัยหนึ่งว่าอกุสลจิตและเจตสิกที่ประกอบนี้แหละที่
อาศัยโมหเจตสิก จึงปรากฎขึ้นได้ ดังนั้นโมหเจตสิกจึงเป็นนิสสยปัจจัย อกุสลจิต ๑๒
และเจตสิกที่ประกอบก็เป็นนิสสยปัจจยุบบัน
๙. อุปนิสสยปัจจัย กล่าวถึงธรรมที่อาศัย อย่างแรงกล้า อย่างมั่นคง ในที่นี้
โมหเจตสิกเป็นที่อาศัยของอกุสลจิตและเจตสิกที่ประกอบอย่างแรงกล้า กล่าวอีกนัยหนึ่งวว่า
อกุสลจิตแลัเจตสิกที่ประกอบได้อาศัยโมหเจตสิกอย่างมั่นคง จึงปรากฎเขึ้นได้ ดังนั้น โมห-
เจตสิก จึงเป็นอุปนิสสยปัจจัย อกุสลจิต ๑๒ และเจตสิกที่ประกอบก็เป็นอุปนิสสยปัจจยุบบัน
๑๐. อาเสวนปัจจัย กล่าวถึงธรรมที่เสพอารมณ์หลายขณะ อันหมายถึงชวนจิตโดย
เฉพาะ เพราะในวิถีหนึ่ง ๆ ชวนจิตย่อมเกิดติดต่อกันโดยปกติ ๗ ขณะจิต ดังนั้นโมหเจตสิก
ในอกุศลชวนจิตดวงที่ ๑ จึงเป็นอาเสวนปัจจัย โมหเจตสิกที่ในอกุสลชวนจิตดวงที่ ๒ ก็เป็น
อาเสวนปัจยุบบัน โมหเจตสิกที่ในอกุสลชวนจิตดวงที่ ๒ เป็น อาเสวนปัจจัย โมหเจตสิกที่ใน
อกุสลชวนจิตดวงที่ ๓ เป็นอาเสวนปัจจยุบบัน เป็นดังนี้ไปตามลำดับจนถึงโมหเจตสิกที่ใน
อกุสลชวนจิตดวงที่ ๖ เป็นอาเสวนปัจจัย โมหเจตสิกที่ในอกุสลชวนจิตดวงที่ ๗ เป็น
อาเสวนปัจจจยุบบัน
๑๑. สัมปยุตตปัจจัย กล่าวถึงธรรมที่ประกอบกัน โมหเจดสิกย่อมประกอบกับอกุสล
จิตและเจตสิกที่ประกอบ ดังนั้นโมหเจตสิกจึงเป็นสัมปยุตตปัจจัย อกุสลจิต ๑๒ และเจตสิกที่
ประกอบ ก็เป็นสัมปยุตตปัจจยุบบัน
๑๒. อัตถิปัจจัย กล่าวถึงธรรมที่กำลังมีอยู่นั้นเป็นปัจจัย ในที่นี้หมายถึงว่า โมห-
เจตสิกยังมีอยู่ ยังไม่ได้ดับไป นั่นแหละเป็นอัตถิปัจจัย อกุสลจิต ๑๒ และเจตสิกที่ประ
กอบนั้นก็เป็นอัตถิปัจจยุบบัน
๑๓. นัตถิปัจจัย กล่าวถึงธรรมที่ไม่มีแล้ว ดับไปแล้ว จึงจะเป็นปัจจัยได้ ในที่นี้
หมายถึงว่า โมหเจตสิกที่ในอกุสลชวนจิตดวงที่ ๑ ดับไปแล้วไม่มีแล้ว จึงเป็นนัตถิปัจจัย ให้
เกิดโมหเจตสิกทีในอกุสลชวนจิตดวงที่ ๒ นั้นได้ โมหเจตสิกที่ในอกุสลชวนจิตดวงที่ ๒ นี้
แหละเรียกว่า นัตถิปัจจยุบบัน ซึ่งมีความหมายเป็นไปในทำนองเดียวกันกับ อนันตรปัจจัย
(ข้อ ๔) และอาเสวนปัจจัย(ข้อ ๑๐)ที่กล่าวข้างต้น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2024, 05:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


๑๔. วิคตปัจจัย กล่าวถึงธรรมที่ปราศไปแล้ว คือดับไปแล้ว เป็นปัจจัย มีความ
หมายเช่นเดียวกับธรรมที่ไม่มีแล้ว ดับไปแล้ว ดังที่กล่าวในข้อ ๑๓ นัตถิปัจจัย นั่นเอง
๑๕. อวิคตปัจจัย กล่าวถึงธรรมที่ยังไม่ปราศไป เป็นปัจจัย ธรรมที่ยังไม่ปราศจากไป
ก็คือธรรมที่ยังมีอยู่ ยังไม่ดับไป จึงมีความหมายเช่นเดียวกับที่กล่าวในข้อ ๑๒ อัตถิปัจจัยนั้น.

ข. อวิชชาเป็นปัจจัยแก่บุญญาภิสังขาร ก็ด้วยอำนาจแห่งปัจจัย ๒ ปัจจัย คือ
อารัมมณปัจจัย และ ปกตูปนิสสยปัจจัย แต่ละปัจจัยมีความหมายดังต่อไปนี้
๑.อารัมมณปัจจัย กล่าวถึงอารมณ์เป็นปัจจัยให้เกิดจิตและเจตสิก ในบทนี้หมายถึง
ว่า ด้วยอำนาจแห่งโมหะจึงมีอารมณ์ติดใจ ขอบใจ มนุษย์สมบัติ เทวสมบัติ และพรหมสมบัติ
จึงประกอบมหากุศลกรรมเพื่อให้สมปรารถนในมนุษย์สมบัติ และ เทวสมบัติ จึงเพียร
บำเพ็ญภาวนารูปาวจรกุศลกรรม เพื่อในสมปรารถนาในรูปพรหมสมบัติ ดังนี้ดี ดังนี้จึงได้ชื่อว่า
โมหะป็นอารัมมณปัจจัย จิตที่เป็นมหากุศล รูปาวจรกุศล และเจตสิกที่ประกอบนั้นก็เป็น
อารัมมณปัจจยุบบัน
๒. ปกตูปนิสสยปัจจัย กล่าวถึงธรรมที่เป็นปัจจัยนั้นเป็นที่อาศัยอย่างแรงกล้า หรือ
เป็นที่อาศัยที่มีกำลังมากแก่ปัจยุบกับกันมธรรม ในบทนี้จึงนึกวานหมายว่า โมทธนั้น
ปัจจัย เป็นที่อาศัยอย่างแรงกล้า เป็นที่อาศัยที่มีกำลังมากช่วยอุปการะเกื้อกูลให้ ประกอบ
กรรมทำเพียงแค่มหากุสล และรูปาวจรกุสลเท่านั้น ดังนี้โมหะจึงได้ชื่อว่าเป็นปกตูปนิสสยปัจ-
จัย จิตมหากุสลและรูปาวจรกุสลพร้อมกับเจตสิกที่ประกอบนั้นเป็นปกตูปนิสวยปัจจยุบบัน

ค. อวิชชาปืนปัจจัยแก่อเนญชาภิสังขาร ด้วยอำนาจแห่งปกตูปนิสสยปัจจัยเพียง
ปัจจัยเดียวเท่านั้น ซึ่งมีความหมายทำนองเดียวกับที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้คือมีความ
ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้อรูปพรหมสมบัติ จึงได้บำเพ็ญเพียรประกอบอบอรูปาวรกุศล
กรรม เพราะความปรารถนาในอรูปพรหมบัติเช่นนี้ได้ชื่อว่ายังมีโมหะอยู่ ดังนั้น โมหะที่
เป็นปกตูปนิสสยปัจจัยอรูปาวจรกุศลจิตและเจตสิกที่ประกอบเป็น ปกตูปนิสสยปัจจยุบัน

ข้อความเพิ่มเติมที่เกี่ยวแก่อวิชชา

มีช้อความบางประการที่เกี่ยวแก่อวิชชา ซึ่งเป็นข้อที่ควรรรจะทราบไว้ด้วยดังต่อไปนี้ คือ
๑. อวิชชา อันได้แก่ โมหเจตสิก นี้ มีสภาพหรือมีลักษณะอย่างเดียว คือไม่รู้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2024, 09:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุผลตามความเป็นจริงของธรรมทั้งปวง ถึงกระนั่นก็อาจจะกล่าวได้ตามสิ่งทีไม่รู้นั้นว่า
อวิชชามีหลายอย่าง เป็นต้นว่า
อวิชชา มี ๒ อย่าง คือไม่รู้ในข้อปฏิบัติที่ผิด ๑ และไม่รู้ในข้อปฏิบัติที่ถูก ๑ หรือ
ไม่รู้ธรรมที่เป็นสังขาร ๑ และไม่รู้ในธรรมที่เป็น วิสังขาร ๑
ถ้าจะนับว่า อวิชชา มี ๓ ก็หมายถึงว่า ไม่รู้ความจริงในเวทนาทั้ง ๓ มีสุขเวทนา
เป็นต้น จึงทำให้เกิดมีความวิปลาสขึ้น
ถ้าจะนับว่า อวิชชา มี ๔ ก็เพราะไม่รู้อริยสัจจธรรมทั้ง ๔ มี ทุกขสัจเป็นต้น
ถ้าจะนับว่า อวิชชามี ๕ ก็เพราะในความจริงแห่งทุกข์โทษภัยที่นั้นในคติทั้ง ๕
(นิรยคติ เปตคติ ติรัจฉานคติ มนุสคติ เทวคติ) ซึ่งยังต้องวนเวียนอยู่ในกองทุกข์
ถ้าจะนับ อวิชชา มี ๖ ก็เพราะไม่รู้ความจริงในอารมณ์ทั้ง ๖, ในวิญญาณทั้ง ๖
ว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

๒. อวิชชา กับพระอรหันต์ มีปัญหาว่า การกระทำใด ๆ ของพระอรหันต์นั้นเป็นกิริยา
คือไเป็นบุญและไม่เป็นบาป เพราะพระอรหันต์ทำลายอวิชชาคือโมหะได้โดยสิ้นเชิงแล้ว เป็นอันว่า
สังขารทั้ง ๓ ที่เป็นบุญและเป็นบาปนั้นย่อมถูกทำลายไปด้วย ดังนี้ก็หมายความว่า นอก
จากพระอรหันต์ไม่ทำบาปแล้ว บุญต่าง ๆ เช่น ทาน ศีล ภาวนา ก็ไม่กระทำด้วย
เช่นนั้นหรือ
ความจริงพระอรหันต์ทั้งหลายก็บำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา อยู่เป็นนิจ ที่พระอรหันต์
กระทำไปนั้นไม่จัดว่าเป็น บุญญาภิสังขาร หรืออาเนญชาภิสังขารอันเป็นผลของอวิชชา
ตามนัยแห่งปฏิจจสมุปปาทธรรมนี้ เพราะการกระทำของพระอรหันต์นั้นเป็นกิริยาจิต ไม่มี
การให้ผลในวัฏสงสารอีกต่อไป จึงได้ชื่อว่าพระอรหันต์ท่านบำเพ็ญธรรมจนสิ้นบาปและ
หมดทั้งบุญด้วย ส่วนผู้ที่ยังมีบุญมีบาปอยู่ ผู้นั้นจะต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏไม่มีที่สิ้นสุด

๓. อวิชชา กับอริยสัจ
อวิชชา เป็นทุกขสัจ เกิดพร้อมกับทุกขสัจ กระทำทุกขสัจให้เป็นอารมณ์ได้ ทั้งปกปิด
ไม่ให้เห็นทุกขสัจด้วย
อวิชชา ไม่ใช่สมุทยสัจ จะสงเคราะห์เป็นสมุทยสัจก็ไม่ได้ แต่อวิชชานี้เกิดพร้อม
กับสมุทยสัจ กระทำสมุทยสัจให้เป็นอารมณ์ได้ และปกปิดไม่ให้เห็นสมุทยสัจด้วย
อวิชชา ไม่ใช่นิโรธสัจ สงเคราะห์เป็นนิโรธสัจก็ไม่ได้ เกิดพร้อมกับนิโรธสัจก็ไม่ได้
กระทำนิโรธสัจให้เป็นอารมณ์ก็ไม่ได้ แต่สามารถปกปิดไม่ให้เห็นนิโรธสัจ
อวิชชาไม่ใช่มัคคสัจ สงเคราะห็เป็นมัคคสัจไม่ได้ เกิดพร้อมกับมัคคสัจไม่ได้
กระทำมัคคสัจให้เป็นอารมณ์ไม่ได้ แต่ปกปิดไม่ให้เห็นมัคคสัจได้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2025, 20:16 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2542

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร