วันเวลาปัจจุบัน 08 มิ.ย. 2025, 20:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2024, 18:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว




guru-purnima-flat-illustration-indian-hindu-festival_421953-23791.jpg
guru-purnima-flat-illustration-indian-hindu-festival_421953-23791.jpg [ 80.14 KiB | เปิดดู 1696 ครั้ง ]
อธิบายว่าด้วยนิโรธสมาบัติ
[๔๖๗] ข้อว่า สามารถเข้านิโรธสมาบัติได้ อธิบายว่า ก็มิใช่แต่การเสวยรสอริย-
ผลอย่างเดียวเท่านั้น แต่แม้ความเป็นผู้สามารถในการเข้านิโรธสมาบัติได้ ก็พึงทราบว่า
เป็นอานิสงส์แห่งปัญญาภาวนานี้.
ในคำที่ย่อไว้ว่า ความเป็นผู้สามารถในการเข้านิโรธสมาบัตินั้น เพื่อความแจ่มแจ้ง
แห่งนิโรธสมาบัติ จึงมีปัญหากรรมดังต่อไปนี้ ~
๑. นิโรธสมาบัติคืออะไร ?
๒. บุคคลเหล่าไหนเข้านิโรธสมาบัตินั้นได้ เหล่าไหนเข้าไม่ได้ ?
๓. เข้าได้ในภพไหน ?
๔. เข้าเพื่ออะไร ?
๕. และการเข้านิโรสมาบัตินั้นมีได้อย่างไร ?
๖. ยั้งอยู่ได้อย่างไร ?
๗. ออกอย่างไร ?
๘. จิตของผู้ออกแล้วน้อมไปสู่อะไร ?
๙. คนตายกับคนเข้านิโรธสมาบัติต่างกันอย่างไร ?
๑๐. นิโรรสมาบัติเป็นสังขตะหรืออสังขตะ เป็นโลกียะหรือโลกุตตระ เป็นนิปผันนะ
(สำเร็จ) หรืออนิปผันนะ (ไม่สำเร็จ) ?

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2024, 05:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


พรรณนากถาว่าด้วยนิโรธสมาบัติ
อธิบาย อานิสงส์ข้อที่ ๓

(๔๖๗) (๓๖๐) บทว่า ตตฺร ความเท่ากับ ตสฺมิํ โยค นิโรธสมาปตฺติสมาปชฺชน
สมตฺถตาติ สงฺขิตฺตวจเน แปลว่า ในคำที่ย่อไว้ว่า ความเป็นผู้สามารถในการเข้านิโรธสม่บัติ
นั้น นี้เป็นปัญหากรรม (จึงมีปัญหากรรมดังต่อไปนี้) ด้วยอำนาจคำสรูปเป็นต้น.
กตฺถ ความเท่ากับ กลุ่ม โยค ภเว แปลว่า ในภพไหน.

ต่อไปนี้เป็นคำตอบปัญหากรรมเพื่ออธิบาย

๑. นิโรธสมาบัติคืออะไร ?

[๘๖๘] ในบรรดาปัญหากรรมเหล่านั้น.
ข้อว่า นิโรธสมาบัติคืออะไร ?
ตอบว่า ได้แก่ความไม่เป็นไปแห่งธรรมคือจิตและเจตสิก ด้วยอำนาจความดับไป.

๒. บุคคลเหล่าไหนเข้านิโรธสมาบัตินั้นได้ เหล่าไหนเข้าไม่ได้ ?

ข้อว่า บุคคลเหล่าไหนเข้านิโรสมาบัตินั้นได้ เหล่าไหนเข้าไม่ได้ ?
ตอบว่า ปุถุชน พระโสดาบัน พระสกทาคามีทั้งสิ้น ทั้งพระอนาคามีที่เป็นสุกขวิปัส-
สกและพระอรหันต์ที่เป็นสุกขวิปัสสก เข้าไม่ได้ แต่พระอนาคามีและพระอรหันตขีณาสพ
ทั้งหลายผู้ได้สมาบัติ ๘ เข้าได้ เพราะท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรก็ได้กล่าวไว้ว่า "เพราะ
ความเป็นผู้ประกอบด้วยพละ ๒ และเพราะความระงับไปแห่งสังขาร ๓ วสีภาวตาปัญญา
ความรู้ทั่วด้วยความเป็นผู้ชำนาญด้วยญาณจริยา ๑๖ และด้วยสมาธิจริยา ๙ เป็นญาณใน
การเข้านิโรธสมาบัติ" ดังนี้ อันสัมปทานี้ย่อมไม่มีแก่คนเหล่าอื่น เว้นพระอนาคามีและพระ
ขีณาสพทั้งหลายผู้ได้สมาบัติ ๘ แล้ว เพราะเหตุนั้น พระอนาคามีและพระขีณาสพทั้งหลาย
ผู้ได้สมาบัติ ๘ นั้นเท่านั้นย่อมเข้าได้ บุคคลเหล่าอื่นเข้าไม่ได้.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2024, 06:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว




guru-purnima-flat-illustration-indian-hindu-festival_421953-23675.jpg
guru-purnima-flat-illustration-indian-hindu-festival_421953-23675.jpg [ 116.89 KiB | เปิดดู 1654 ครั้ง ]
ต่อไปนี้เป็นคำตอบปัญหากรรมเพื่ออธิบาย
๑. นิโรธสมาบัติคืออะไร ?

[๘๖๘] คำว่า ด้วยอำนาจความดับไปโดยลำดับ ความว่า ด้วยอำนาจความดับไป
โดยลำดับแห่งสังขารทั้ง ๓ โดยหัวข้อ คือความดับธรรมอันเป็นปฏิปักษ์ต่อสมาบัติ ๘ นั้นๆ
ซึ่งขึ้นสู่สมาบัติ ๘ อันไปตามวิปัสสนา. ความว่า ความไม่เป็นไปแห่งจิตและเจตสิกอันใด
ตลอดกาลตามที่กำหนด, นี้ชื่อว่า นิโรธสมาบัติ.

๒. บุคคลเหล่าไหนเข้านิโรธสมาบัตินั้นได้ เหล่าไหนเข้าไม่ได้ ?

คำว่า บุคคลเหล่าไหนเข้านิโรธสมาบัตินั้นได้ เหล่าไหมเข้าไม่ได้ ความว่า ท่าน
อาจารย์ได้ถามถึงบุคคลผู้สามารถเข้านิโรธสมาบัตินั้นได้ก่อน เพราะความเป็นประธาน
โดยแท้ ถึงอย่างนั้น ท่านอาจารย์เมื่อจะแสดงถึงบุคคลผู้เข้าไม่ได้ก่อน เพื่อจะวิสัชขนา
คำวิสัชชนาบุคคลผู้สามารถจะเข้านิโรธสมาบัตินั้นในภายหลัง เพราะเป็นความสำคัญ จึง
กล่าวว่า ปุถุชน..... ทั้งสิ้น ฯลฯ เข้าไม่ได้ ดังนี้ เหมือนอย่างกล่าวคำว่า จงละทางซ้าย
จงถือเอาทางขวา ฉะนั้น. ในบรรดาคำเหล่านั้น คำว่า ทั้งสิ้น เป็นคำวิเสสนะของบุคคล
ทั้ง ๓ มีปุถุชนเป็นต้น. ด้วยว่า บุคคลเหล่านั้นเป็นผู้ได้สมาบัติ ๘ ก็ไม่สามารถจะเข้า
นิโรธได้ เพราะความเป็นผู้มีใช่กระทำให้บริบูรณ์ในสมาธิหมือนกับคนที่ยังได้ เพราะว่า
ความเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในสมาธิ ย่อมมีได้ด้วยการตัดนิวรณ์มีกามฉันทะเป็นต้นได้
เด็ดขาด หามีได้โดยเพียงการบรรลุฌานไม่. ในสองบทว่า อนาคามิโน อรหนฺโต นี้ พึง
ประกอบ สุกฺขวิปสฺสก ศัพท์ เข้าทีละบทว่า สุกฺขวิปสฺสกา จ อนาคามิโน สุกฺขวิปสฺสกา
จ อรหนฺโต แปลว่า ทั้งพระอนาคานีที่เป็นสุกขวิปัสสกาและพระอรหันต์ที่เป็นสุกขวิปัสสก.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2024, 09:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว




planet-with-planet-mountains-background_295754-41.jpg
planet-with-planet-mountains-background_295754-41.jpg [ 270.43 KiB | เปิดดู 1501 ครั้ง ]
ก็บุคคลทั้ง ๒ พวกนี้ แม้เมื่อมีวิปัสสนาพละอยู่ ก็เข้านิโรธไม่ได้ เพราะไม่มีสมาธิ.
พละ. ในการเข้านิโรธสมาบัตินี้ จึงปรารถนาสมาธิพละของบุคคลผู้มีมีอนุปุพฺพวิหารธรม
เท่านั้น. ส่วนบุคคลทั้ง ๓ ข้างต้น แม้เมื่อมีสมาธิพละ ก็ไม่สามารถจะเข้านิโรธสมาบัติได้
เพราะไม่มีวิปัสสนาพละ และเพราะวิปัสสนาพละไม่ครบถ้วน. ก็ความที่วิปัสสนาพละไม่
ครบถ้วน เพราะเหตุที่มิได้พิจารณาสังขารทั้งหลายโดยถูกต้อง.
ท่านอาจารย์ครั้นกล่าวว่า แต่พระอนาคามีและพระอรหันตขีณาสพทั้งหลายผู้ได้
สมาบัติ ๘ เข้าได้ ดังนี้ แล้วกล่าวคำว่า ด้วยพละ ๒ ดังนี้เป็นต้น เพื่อจะแสดงเหตุใน
การเข้านิโรธสมาบัตินั้นด้วยอำนาจแห่งพระบาลีนั่นเอง. บทว่า ตโย ในสองบทว่า ตโย
จ สงฺขารานํ เป็นปฐมาวิภัตติ ลงในอรรถแห่งฉัฏฐีวิภัตติ ความเท่ากับ ติณฺณํ.
คำว่า ด้วยญาณจริยา คือ ด้วยความเป็นไปแห่งญาณ. บทว่า นิโรธสมาปตฺติยา
ความว่า เป็นญาณในการเข้านิโรธสมาบัติ. คำว่า อันสัมปทานี้ ความว่า สมาบัติอันนำมา
ซึ่งนิโรธสมาบัติตามที่กล่าวแล้วมีความประกอบด้วยพละทั้ง ๒ เป็นต้น. บทว่า อนาคามิ.
ขีณาสเว แปลว่า พระอนาคามีและพระขีณาสพทั้งหลาย.
อธิบายพระบาลีที่อ้างถึง
[๘๖๙] ก็ไมพระบาลีนี้มีปัญหากรรมว่า พละ ๒ เป็นไฉน ? ฯลฯ ความเป็นผู้
ชำนาญเป็นไฉน ? ในพระบาลีนี้คำตอบอะไร ? อันข้าพเจ้าพึงกล่าวไม่มีเลย คำตอบ
ทั้งหมดนี้ ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรได้กล่าวไว้แล้วในนิทเทสแห่งคำที่เป็นอุทเทสนี้
นั่นเทียว เหมือนคำที่ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรได้กล่าวไว้ว่า -
"ข้อว่า ด้วยพละ ๒ อธิบายว่า พละมี ๒ ได้แก่ สมถพละ ๑ วิปัสสนาพละ ๑
สมถพละเป็นไฉน ?
ความไม่พุ่งซ่าน คือความมีอารมณ์เป็นหนึ่งแห่งจิต ด้วยอำนอำนาจเนกขัมมะ
วิตก ชื่อว่า สมถพละ, .....ด้วยอำนาจอัพยาปาทวิตก..... .....ด้วยอำนาจอาโลกสัญญา
.....ด้วยอำนาจความไม่ฟุ้งซ่าน......, ฯลฯ .....ด้วยอำนาจของการพิจารณาเห็นการ
สลัดทิ้งหายใจเข้า... ความไม่ฟุ้งซ่าน คือควานมีอารมหนึ่งแห่งจิต ด้วยอำนาจ
ของการพิจารณาเห็นการสลัดทิ้งหายใจออก ชื่อว่า สมถพละ.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2024, 09:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


ชื่อว่า สมถพละ เพราะอรรถอะไร ?
ชื่อว่า สมถพละ เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหวในเพราะนิวรณ์ด้วยปฐมาน
...เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหวในเพราะวิตกวิจารด้วยทุติยฌาน,ฯลฯ ชื่อว่า สมถะ
พละ เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหวในเพราะอากิญจัญญายตนสัญญาด้วยเนวสัญญา-
นาสัญญายตนสมาบัติ, ชื่อว่า สมถพละ เพราะอรรถว่า ไม่ไหว ไม่หวั่น ไม่สั่นไป
ในเพราะอุทธัจจะ ในเพราะกิเลอันสหรคตด้วยอุทธัจจะ ในเพราะขันธ์ด้วย.
นี้สมถพละ.
วิปัสสนาพละเป็นไฉน ?
อนิจจานุปัสสนา (ความตามเห็นว่าสังขารทั้งหลายมีความไม่เที่ยง) ชื่อว่า
วิปัสสนาพละ, ทุกขานุปัสสนา (ความตามเห็นว่าสังขารทั้งหลายเป็นทุกข์).........
อนัตตานุปัสสนา (ความตามเห็นว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา)..... นิพพิทานุปัสสนา
(ความตามเห็นสังขารน่าหน่าย).... วิราคานุปัสสนา (ความตามเห็นสังขารทั้งหลาย
ด้วยความคลายกำหนัด)...... นิโรธานุปัสสนา (ความตามเห็นสังขารทั้งหลายด้วย
ความดับ)..... ปฏินิสสัคคานุปัสสนา (ความตามเห็นสังขารทั้งหลายด้วยความสลัด
ทิ้งไป) ชื่อว่า วิปัสสนาพละ. อนิจจานุปัสสนา (ความตามเห็นว่าไม่เที่ยง) ในรูป
... ฯลฯ ปฏินิสสัคคานุปัสสนา (ความตามเห็นด้วยการสลัดทิ้งไป) ในรูป ชื่อว่า
วิปัสสนาพละ. อนิจจานุปัสสจนา (ความตามเห็นว่าไม่เที่ยง) ในเวทนา...............ใน
สัญญา..._ในสังขารทั้งหลาย... ในวิญญาณ.. _ในจักขุ ฯลฯ ในชราและ
มรณะ..... ปฏินิสสัคคานุปัสสนา (ความตามเห็นด้วยการสลัดทิ้งไป) ในชราและ
มรณะ ชื่อว่า วิปัสสนาพละ.
ชื่อว่า วิปัสสนาพละ เพราะอรรถอะไร ?
ชื่อว่า วิปัสสนาพละ เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหวในเพราะนิจจสัญญา ด้วย
อนิจจานุปัสสนา, ...เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหวในเพราะสุขสัญญา ด้วยทุกขานุ-
ปัสสนา, ..เพราะอรถว่า ไม่หวั่นไหวในเพราะอัตตสัญญา ด้วยอนัตตานุปัสสนา.
_เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหวในพราะนันทืนิพพิทานุปัสสนา, .....เพราะอรรถว่า
ไม่หวั่นไหวในเพราะราคะ ตัวยวิราคานุปัสสนา. ...เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหวใน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2024, 10:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว




guru-purnima-flat-illustration-indian-hindu-festival_421953-23785.jpg
guru-purnima-flat-illustration-indian-hindu-festival_421953-23785.jpg [ 69.8 KiB | เปิดดู 1503 ครั้ง ]
เพราะสมุทัย ด้วยนิโรธานุปัสสนา.....เพราะอรรถว่า ไม่ทวั่นไหวเพราะอาทานะ
(ความยึดไว้) ด้วยปฏินิสสัคคานุปัสสนา. ชื่อว่า วิปัสสนาพละ เพราะอรรถว่าไม่
ไหว ไม่หวั่น ไม่สั่นไปในเพราะอวิชชา ในเพราะกิเลสที่สหรคตกับอวัชชา และใน
เพราะขันธ์.
นี้วิปัสสนาพละ.
ข้อว่า และเพราะความระงับไปแห่งสังขาร ๓ อธิบายว่า ถามว่า เพราะ
ความระงับไปแห่งสังขาร ๓ เหล่าไหน ?
ตอบว่า วจีสังขาร คือ วิตกวิจารของผู้เข้าทุติยฌานย่อมเป็นอันระงับไป
กายสังขาร คือ อัสสาสะปัสสาสะของผู้เข้าจตุตถฌานย่อมเป็นอันระงับไป จิตต-
สังขาร คือ สัญญาและเวทนาของผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ย่อมเป็นอันระงับไป
เพราะความระงับแห่งสังขาร ๓ เหล่านี้.
ข้อว่า ด้วยญาณจริยา ๑๖ อธิบายว่า ถามว่า ด้วยญาณจริยา ๑๖ เหล่าไหน ?
ตอบว่า อนิจจานุปัสสนา ชื่อว่า ญาณจริยา ทุกขานุปัสสนา...., อนัตตานุ-
ปัดสนา.. นิพพิทานุปัสสนา.. วิราคานุปัสสนา... นิโรธานุปัสสนา...... ปฏินิสสัคคานุ-
ปัสสนา.... วิวัฏฏานุปัสสนา ชื่อว่า ญาณจริยา, โสดาปัตติมรรค ชื่อว่า ญาณจริยา
โสดาปัตติผลสมาบัติ ชื่อว่า ญาณจริยา, สกทาคามิมรรค..., สกทาคามิผลสมาบัติ
, อนาคามิมรรค..., อนาคามิผลสมาบัติ..., อรหัตตมรรค..., อรหัตตผลสมาบัติ
ชื่อว่า ญาณจริยา.
ด้วยญาณจริยา ๑๖ เหล่านี้..
ข้อว่า ด้วยสมาธิจริยา ๙ อธิบายว่า ถามว่า ด้วยสมาธิจริยา ๙ เหล่าไหน?
ตอบว่า ปฐมฌาน ชื่อว่า สมาธิจริยา, ทุติยฌาน ฯลฯ เนวสัญญานาสัญญา-
ยตนสมาบัติ ชื่อว่า สมาธิจริยา (รวมเป็น ๘) วิตก วิจาร ปิติ สุข จิตเตกัคตาเพื่อ
ประโยชน์แก่การได้ปฐมฌน ฯลฯ วิตก วิจาร ปีติ สุข จิตเตกัคคตา เพื่อประโยชน์
แก่การได้เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ (รวมเป็น ๑).
ด้วยสมาธิจริยา ๙ เหล่านี้.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2024, 13:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


ข้อว่า วสี ได้แก่ วสี ๕ ประการ คือ :-
๑.อาวัชชนวสี ๒, สมาปัชชนวลี ๓.อธิฏฐานวสี ๔. วุฏฐานวดี ๔ ปัจจเวกขณวสี.
อธิบาย วสี ๕ ประการ

โยคีนึกถึงปฐมฌาน ในที่ที่ต้องการ ยามที่ต้องการ ตามที่ต้องการ ก็ไม่มี
ความชักช้าในการนึกเลย เหตุนั้น จึงชื่อว่า อาวัชชนวสี.
โยคีเข้าปฐมฌาน ในที่ที่ต้องการ ยามที่ต้องการ ตามที่ต้องการ ก็ไม่มีความ
ชีกชีาในการเข้าเลย เหตุนั้น จึงชื่อว่า สมาปัชชวสี.
โยคีอธิฏฐานปฐมฌาน ฯลฯ ก็ไม่มีความชักชักข้าในการอธิฏฐานเลย เหตุนั้น
จึงชื่อว่า อธิฏฐานวสี
โยคีออกจากปฐมฌาน ฯลฯ ก็ไม่มีความชักชัาในการออกเลย เหตุนั้น จึง
ชื่อว่า วุฏฐานวสี.
โยคีปัจจเวกขณ์ปฐมฌาน ฯลฯ ก็ไม่มีความชักชักชักในการปัจจเวกขณ์เลย เหตุ
นั้น จึงชื่อว่า ปัจจเวกขณวสี.
โยคีนึกถึงทุติยฌาน ฯลฯ
โยคีนึกถึง ฯลฯ ปัจจเวกขณ์เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ในที่ที่ต้องการ
ยามที่ต้องการ ตามที่ต้องการ ก็ไม่มีความชักข้าในการปัจจเวกขณ์เลย เหตุนั้น จึง
ชื่อว่า ปัจจเวกขณวสี.
วสี ๕ ประการเหล่านี้" ดังนี้.
(๘๖๙) (๓๖๒) คำว่า สมถพละ อธิบายว่า ชื่อว่า สมถะ เพราะอรรถว่า สงบ
ธรรมอันเป็นข้าศึกทั้งหลาย มีกามฉันทะ เป็นต้น, สมถะนั้นแหละ ชื่อว่าเป็นพละ ด้วยอรรถ
ว่า อันธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ทั้งหลายให้หวั่นไหวไม่ได้. ชื่อว่า วิปัสสนา เพราะอรรถว่า เห็น
โดยอาการต่าง ๆ ด้วยอำนาจลักษณะ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น, วิปัสสนานั้นแหละ ชื่อว่า
เป็นพละ ตามนัยที่กล่าวนล้ว เพราะหตุนั้น จึงชื่อว่า วิปัสสนาพละ. ในค่า ด้วยอำนาจ
เนกขัมมะ เป็นต้น มีคำประกอบความว่า :-

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2024, 16:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว




guru-purnima-sacred-celebration_680596-2559.jpg
guru-purnima-sacred-celebration_680596-2559.jpg [ 101.75 KiB | เปิดดู 1440 ครั้ง ]
ความไม่ฟุ้งซ่านอันใดกล่าวคือความมีอารมณ์เป็นหนึ่งแห่งจิต ด้วยอำนาจเนกขัมม
สังกัปปะอันข่มกามฉันทะ หรือด้วยอำนานาจกุศลจิตตุปบาทที่เป็นไแอย่างนั้น ซึ่งมีอโลภะ
เป็นประธาน อันนั้นชื่อว่า สมถพละ.
ความไม่ฟุ้งซ่านอันใดกล่าวคือความมีอารมณ์เป็นหนึ่งแห่งจิต ด้วยอำนาจอัพยา
ปาทวิตกอันข่มพยาบาท หรือด้วยอำนาจกุศลจิตตุปบาทอันเป็นไปอย่างนั้น ซึ่งมีอโทสะ
เป็นประธาน อันนั้นชื่อว่า สมถพละ.
ความไม่ฟุ้งซ่านอันใดกล่าวคือความมีอารมณ์เป็นหนึ่งแห่งจิต ด้วยอำนาจอาโลก.
สัญญาที่ปรากฎ ด้วยการมนสิการทำให้แจ่มแจ้ง อันข่มถีนมิทธะ อันนั้นชื่อว่า สมถพละ.
ความไม่ฟุ้งซ่านอันใดกล่าวคือความมีอารมณ์เป็นหนึ่งแห่งจิต ด้วยอำนาจความไม่
ฟุ้งซ่าน คือความควบคุมไว้ ซึ่งข่มอุทธัจจะ อันนั้นชื่อว่า สมถพละ.
ความไม่ฟุ้งซ่านอันใดกล่าวคือความมีอารมณ์เป็นหนึ่งแห่งจิต ด้วยด้วยอำนาจของการ
พิจารณาเห็นการสลัดทิ้งหายใจเข้าและหายใจออก ซึ่งสำเร็จด้วยอานาปานัสสติที่ถึงยอด
แห่งการข่มมิจฉาวิตกทั้งสิ้น อันนั้นชื่อว่า สมถพละ.

ท่านอาจารย์ครั้นแสดงสมถพละด้วยอำนาจอุปจารฌานอย่างนี้แล้ว บัดนี้ ประสงค์
จะแสดงสมถพละนั้นด้วยอำนาจสมาบัติ ๘ และด้วยอำนาจการบรรลุพละ เพราะความเป็น
ผู้อันธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ทั้งหลายพึงครอบงำไม่ได้ จึงกล่าวคำว่า ด้วยปฐมฌาน เป็นต้น..
ในบรรดาคำเหล่านั้น คำว่า ในเพราะนิวรณ์ คือ มีนิวรณ์เป็นนิมิต ได้แก่ เพราะนิวรณ์เป็น
ปัจจัย. บุคคลผู้มีความพร้อมพรียงด้วยฌาน หรือสมาธิที่สัมปยุตด้วยฌานย่อมไม่หวั่นไหว
ก็สมาธิอันสัมปยุตด้วยฌานนั้น ท่านประสงค์เอาว่าสมถพละในที่นี้โดยพิเศษ. จริงอย่าง
นั้น คำว่า ชื่อว่า สมถพละ เพราะอรรถอะไร ความว่า ท่านถามถึงความหมายของพละ.
คำว่า ในเพราะอุทธัจจะ คือ มีอุทธัจจะเป็นนิมิต. คำว่า ในเพราะกิเลสอันสหรคตด้วย
อุทธัจจะ คือ เพราะมีกิเลสอันมีโมหะและอหิริกะเป็นต้น ซึ่งสัมปยุตกับอุทธัจจะป็นเหตุ
คำว่า ในเพราะชันธ์ คือ มีขันธ์ ๕ ที่สัมปยุตกับอุทธัจจะเป็นนิมิต. บทว่า น กมฺปติ เป็นต้น
เป็นไวพจน์ของกันและกัน อีกอย่างหนึ่ง ความไหว ได้แก่ ความไปปราศจากฐาน ความ
หวั่น ได้แก่ ความหมุนไปรอบ. ความสั่น ได้แก่ ควานแล่นไป. พึงประกอบความว่า ย่อม
ไม่ไหวในเพราะ อุทธัจจะ, ย่อมไม่หวั่นในพราะกิเลสอันสหรคตด่วยอุทธัจจะ, หรือว่า ย่อม

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2024, 06:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว




guru-purnima-flat-illustration-indian-hindu-festival_421953-23699.jpg
guru-purnima-flat-illustration-indian-hindu-festival_421953-23699.jpg [ 65.01 KiB | เปิดดู 1405 ครั้ง ]
ไม่สั่นในเพราะขันธ์อันสหรคตด้วยอุทธัจจะ ก็ในอธิการนี้ ศัพท์ว่า อุทธัจจะ ก็เพื่อแสดง
การบรรลุพละด้วยความครอบงำอุทธัจจะนั้น เพราะความเป็นปฏิปักษ์ตรงต่อสมถะ. ด้วย
เหตุนั้น ข้อนี้พึงเห็นว่าเป็นการแสดงความพิเศษแห่งกิจโดยทั่วไปแก่สมาบัติทั้ง ๘ คำว่า
นี้สมถพละ ความว่า ความที่ธรรมอันเป็นปฏิปักษ์มีนิวรณ์เป็นต้นพึงให้หวั่นไหวไม่ได้ เพราะ
ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง อันได้ด้วยอำนาจเนกขัมมะเป็นต้นนี้ใด. ก็ความตั้งลงโดย
ครอบงำนิวรณ์เป็นต้นเหล่านั้น นี้ชื่อว่า สมถพละ.

บัดนี้ ท่านอาจารย์เมื่อจะแสดงไขวิปัสสนาพละต่อไป เพราะวิปัสสนาว่าโดยสังเขป
ท่านสงเคราะห์ด้วยอนุปัสสนา ๗ อย่าง ฉะนั้น โยคาวจรพึงออกจากสมาบัตินั้น ๆ แล้ว
กระทำการพิจารณาเห็นด้วยอำนาจอนุปัสสนาทั้ง ๗ นั้น และกิจแห่งอนุปัสสนาในที่นี้ย่อม
เป็นอันครบถ้วนได้ด้วยอาการเพียงท่านั้นนั่นเอง เหตุนั้น ท่านอาจาจารมแสดงโดยสรูป
ว่า อนิจจานุปัสสนา ชื่อว่า วิปัสสนาพละ ฯลฯ ปฏินิสสัคคานุปัสสนา ชื่อว่า วิปัสสนาพละ
ดังนี้แล้ว ประสงค์จะแสดงอนุปัสสนาเหล่านั้น โดยจำแนกอารมณ์ตามนัยที่ได้กล่าวแล้ว
ในหนหลังต่อไป จึงเริ่มคำว่า ความตามเห็นว่าไม่เที่ยงในรูป ดังนี้เป็นต้น. แม้ในที่นี้ เพื่อจะ
แสดงว่าภาวะที่เป็นธรรมชาติอันธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ทั้งหลายครอบงำไม่ได้ เป็นความหมาย
ของพละ ฉะนั้น ท่านอาจารย์จึงเริ่มคำว่า ชื่อว่า วิปัสสนาพละ เพราะอรรถอะไร ดังนี้
เป็นต้น. ในบรรดาคำเหล่านั้น คำว่า ในเพราะอวิชชา คือ เพราะอวิชชาเป็นนิมิตในอกุศล-
จิตตุปบาท ๑๒ ดวง. คําว่า ในพราะกิเลสที่สหรคตกับอวิชชา คือ เพราะมีวัตถุแห่งกิเลส
มี โลภะ โทสะ เป็นต้น อันสัมปยุตกับอวิชชาเป็นนิมิต. คำที่เหลือพึงรู้ได้ไดยง่ายทีเดียว
เพราะมีนัยได้กล่าวแล้วในหนหลัง. ก็ศัพท์ว่า อวิชชา ในที่นี้ เพื่อจะแสดงการบรรลุพละด้วย
การครอบงำอวิชชานั้น เพราะอวิชชาเป็นปฏิปักษ์ตรงต่อวิปัสสนา. ด้วยหตุนั้น ข้อนี้พึง
เห็นว่า เป็นการแสดงความพิเศษแห่งกิจโดยทั่วไปแก่อนุปัสสนาทั้ง ๗. คำว่า นี้วิปัสสนา-
พละ ความว่า ความที่วิปัสสนาญาณอันได้ด้วยอำนาจอนิจจานุปัสสนาเป็นต้นนี้ใด อันธรรม
ที่เป็นปฏิปักษ์พึงให้หวั่นไหวไม่ได้ เพราะมีนิจจสัญญาเป็นต้นเป็นนิมิต, และการครอบงำ
นิจจสัญญาเป็นต้นเหล่านั้นตั้งลง นี้ชื่อว่า วิปัสสนาพละ.

(๓๖๓) วจีสังขาร คือ วิตกวิจาร เพราะทำคำอธิบายว่า ปรุงแต่งวาจา คือยัง
วาจาให้เป็นไป. ด้วยเหตุนั้น ท่านพระธัมมทินมาเถรีได้กล่าวว่า ดูกรอาวุโสวิสาขะ บุคคล
ตรึกตรองก่อนแล้วจึงเปล่งวาจาในภายหลัง เพราะเหตุนั้น วิตกวิจารจึงชื่อว่า วจีสังขาร

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2024, 10:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


ดังนี้ ก็วิตกวิจารหล่านั้นย่อมเป็นอันเข้าไปสงบในทุติยฌาน เพราะหตุนั้น ท่านอาจารย์
จึงกล่าวว่า วจีสังขาร คือ วิตกวิจารของผู้เข้าทุติยฌานย่อมเป็นอันระงับไป. ลมอัสสาสะ
และลมปัสสาสะ ชื่อว่า กายสังขาร เพราะความหมายว่า อันกายปรุงแต่งขึ้น จริงอย่าง
นั้น ท่านพระธัมมทินนาเกรีได้กล่าวไว้ว่า ดูกรอาวุโสวิสาขะ ลมอัสสาสะและลมบัสสาสะ
ธรรมทางกายเหล่านี้แลเป็นของเนื่องด้วยกาย เพราะหตุนั้น สมอัสสาสะและลมปัสสาสะ
จึงชื่อว่า กายสังขาร. ก็เพราะลมอัสสาสะและลมปัสสาสะเหล่านั้นย่อมเป็นอันเข้าไปสงบ
ในจตุตถฌาน ฉะนั้น ท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า กายสังขาร คือ อัสสาสะปัสสาสะของผู้เข้า
จตุตถฌานย่อมเป็นอันระงับไป ดังนี้. สัญญา เวทนา ชื่อว่า จิตตสังขาร เพราะอันจิตปรุง
แต่งขึ้น. จริงอย่างนั้น ท่านพระธัมมทินนาเถรีได้กล่าวไว้ว่า สัญญาและเวทนา เจตสิกธรรม
เหล่านี้เนื่องด้วยจิต เพราะเหตุนั้น สัญญาและเวทนาจึงชื่อว่า จิตตสังขาร ดังนี้. ก็จิตต.
สังขารเหล่านั้น เพราะเมื่อบุคคลเข้านิโรธย่อมเข้าไปสงบ ฉะนั้น ท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า
จิตตสังขาร คือ สัญญาและเวทนาของผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ย่อมเป็นอันระงับไป ดังนี้.

ด้วยการถือเอาวิวัฏฏานุปัสสนาในญาณจริยาทั้งหลายนั่นเอง ย่อมเป็นอันถือเอา
แม้อนุปัสสนาที่เหลืออันเป็นเบื้องต้นของวิปัสสนาพละนั้น เพราะไม่เว้นอนุปัสสนาที่เหลือ
นั้น วิวัฏฏานุปัสสนาจึงมีได้. คำว่า มรรค ชื่อว่า ญาณจริยา, ผลสมาบัติ ชื่อว่า ญาณ-
จริยา ท่านอาจารย์กล่าวไว้อย่างนั้นเพราะกระทำอธิบายว่า การกล่าวมรรคและผลสมาบัติ
ว่าเป็นจริยา เพราะความที่ธรรมคือมรรคและผลมีญาณเป็นประธาน, อีกอย่างหนึ่ง ธรรม
คือมรรคและผลที่เหลือ อันญาณซึ่งเป็นปัจจัยมีความพิเศษยิ่งให้เป็นไปแล้ว ด้วยอำนาจ
เป็น อินทรียปัจจัย อธิปติปัจจัย เหตุปัจจัย และมัคคปัจจัย เป็นต้น. แม้ในสมาธิจริยาก็มี
นัยนี้. คำว่า ด้วยญาณจริยา ๑๖ เหล่านี้ ได้แก่ ด้วยความเป็นไปแห่งญาณ ๑๖ เหล่านี้ คือ
อนุปัสสนา ๘ และมรรคญาณ ผลญาณ ๘.

คำว่า ด้วยสมาธิจริยา ๙ ความว่า ด้วยสมาธิจริยา ๙ อย่างนี้ คือ สมาบัติ ๘ นับ
เป็นสมาธิจริยา ๘ อุปจารสมาธิของสมาบัติเหล่านั้นนับเป็นสมาธิจริยา ๑ ด้วยความเป็น
อุปจารสมาธิกวนาเสมอกัน ด้วยเหตุนั้น ท่านอารรรงกล่าวว่า ปฐมฌาน ชื่อว่า สมาธิ
จริยา ดังนี้เป็นต้น. คำว่า วิตก... เพื่อประโยชน์แก่การได้ปฐมฌาน เป็นต้น พึงเห็นว่า
ท่านอาจารย์กล่าวไว้ด้วยอำนาจเป็นอุปจารสมาธิมีอาวัชชนะต่างกัน เพราะแม้อุปจารแห่ง
สมาบัติชั้นสูงขึ้นไป ท่านก็กล่าวไว้อย่างนั้น ก็ธรรมทั้งหลายมีปีติเป็นต้น ยอ่มเกิดขึ้นใน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2024, 12:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว




buddhist-monk-teaching-his-students-illustration-attention-detail-high-quality_639744-24215.jpg
buddhist-monk-teaching-his-students-illustration-attention-detail-high-quality_639744-24215.jpg [ 119.85 KiB | เปิดดู 1377 ครั้ง ]
อุปจารแห่งจตุตถฌานเป็นต้นก็หามิได้. ก็ในที่นี้ ด้วยคำว่า "เพื่อประโยชน์แก่การได้ปฐม-
ฌาน" เป็นต้น ท่านอาจารย์ย่อมแสดงว่า จำปรารถนาความบริบูรณ์แม้แห่งอุปจารสมาธิ.
มีคำถามว่า ก็ในที่นี้ อะไรเป็นความต่างกันของสมถพละและสมาธิจริยา, หรืออะไรเป็น
ความต่างกันของวิปัสสนาพละและญาณจริยาที่เป็นโลกิยะ. ท่านได้กล่าวอัปปนาสมาธิ
อย่าวงเดียวไว้ในสมาบัติ ๘ กับอุปจารสมาธิ ด้วยคำว่า ด้วยอำนาจเนกขัมมะเป็นต้น แม้เป็น
สมถพละฉันใด, ท่านก็ได้กล่าววิปัสสนาอย่างเดียวไว้ในสมาธิจริยา และในวิปัสสนาพละ
และญาณจริยาที่เป็นโลกิยะไว้ฉันนั้น ดังนี้ ? ข้อนี้ตอบว่า ท่านกล่าวไว้ก็จริง ถึงอย่างนั้น
วิวัฏฏานุปัสสนาที่มิได้กล่าวไว้เลยในวิปัสสนาพละ มีญาณที่เป็นปุเรจรเป็นต้น ก็ได้กล่าวไว้
แล้วในญาณจริยาทั้งหลาย. อีกประการหนึ่ง อรรถที่ที่ธรรมอันปฏิปักษ์ที่เหลายให้หวั่น
ไหวไม่ได้เป็นต้น เป็นอรรถของพละ. ความเป็นผู้สั่งสมดีแล้วด้วยอำนาจความเป็นผู้มีวสี
๕ อย่าง เป็นอรรถของจริยา, ด้วยเหตุนั้นแหละ พึงทราบว่า ท่านได้สังวรรณนาความต่าง
แม้แห่งสมถพละและสมาธิจริยาแล้ว.

(๓๖๔) ในคำว่า วสีภาวตาปัญญา นี้ มีวิเคราะห์ดังนี้ ความชำนาญมีอยู่แกบุคคล
นี้ เหตุนั้น บุคคลนี้ชื่อว่า วสี (ผู้มีความชำนาญ) ภาวะแห่งบุคคลผู้มีความชำนาญนั้
วสีภาโว (ความเป็นผู้มีความชำนาญ) วสีภาวตา ก็คืออันนั้นนั่นแหละ. ก็เพราะในพระบาลี
ท่านกล่าวไว้เป็นอิตถีลิงค์ว่า วสิโย ท่านอาจารย์จึงกล่าวอาทิว่า วสีติ ปญฺจ วสิโย ข้อว่า
วสี ได้แก่ วสี ๕ ประการ ดังนี้ เพื่อแสดงวสีเหล่านั้นแหละ.

ในวสีทั้ง ๕ นั้น ความเป็นผู้สามารถในการยังให้ดำเนินอยู่ในองค์ฌานไม่มีระหว่าง
ของผู้นึกหน่วงฌาน ชื่อว่า อาวัชชนวสี. ความเป็นผู้สามารถเข้าฌานได้รวดเร็วของผู้ใคร่
จะเข้าฌาน ชื่อว่า สมาปัชขนวสี. ความเป็นผู้สามารถจะยั้งฌานได้ตลอดขณะลัดนิ้วมือ
หรือชั่วสองสามลัดนิ้วมือ ชื่อว่า อธิฏฐานวสี. ความเป็นผู้สามารถจะออกได้อย่างฉับพลัน
อย่างนั้นแหละ ชื่อว่า วุฏฐานวสี. ส่วนปัจจเวกขณวสี ย่อมสำเร็จด้วยอาวัยขนวสีนั่นเอง.
ด้วยว่าปัจจเวกขณชวนะทั้งหลายนั่นเทียวมีอาวัขขนวิถีเป็นลำดับแล. นี้เป็นความย่อในที่นี้,
ส่วนความพิสดารได้มาแล้วในหนหลังนั่นเทียว. ก็วสีภาวะนี้ได้กล่าวไว้ด้วยอำนาจสมาธิ-
จริยาทั้งหลาย. อนึ่ง ในบรรดาญาณจริยาทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่ากิจที่จะทำให้ถึงวสีภาวะแห่ง
ญาณจริยวทั้งหลายที่เป็นโตกุตตระไม่มี. วสีการะในญาณจริยาที่เป็นโลกุตตระเหล่านั้น
สำเร็จโดยสภาวะ เพราะกำจัดธรรมอันเป็นปฏิปักษ์ได้เด็ดขาดแล้ว, ส่วนสำหรับญาณจริยา
ที่เป็นโลกียะทั้งหลาย ย่อมได้วสีภาวะด้วยการให้ถึงความเป็นธรรมคล่องแคล่วและมีกำลัง
ที่เดียว

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2025, 20:16 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2542

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร