วันเวลาปัจจุบัน 10 ต.ค. 2024, 15:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2024, 05:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ก.พ. 2007, 20:39
โพสต์: 189


 ข้อมูลส่วนตัว


"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยไม่ทำแล้ว ไม่ปรุงแต่งแล้วมีอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยไม่ทำแล้ว ไม่ปรุงแต่งแล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัดออกซึ่ง ธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏ ในโลกนี้เลย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะเหตุที่ธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยไม่ทำแล้ว ไม่ปรุงแต่งแล้ว มีอยู่ ฉะนั้นการสลัดออกซึ่งธรรมชาติ ที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จึงปรากฏ ฯ

ธรรมชาติอันเกิดแล้ว มีแล้ว เกิดขึ้นพร้อมแล้ว อันปัจจัยทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว ไม่ยั่งยืน ระคนแล้วด้วยชราและ มรณะ เป็นรังแห่งโรค ผุผัง มีอาหารและตัณหา เป็น แดนเกิด ไม่ควรเพื่อยินดีธรรมชาตินั้น

การสลัดออกซึ่ง ธรรมชาตินั้น เป็นบทอันระงับ จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ยั่งยืน ไม่เกิด ไม่เกิดขึ้นพร้อม ไม่มีความโศก ปราศจากธุลี ความดับแห่งทุกขธรรมทั้งหลาย คือ ความที่สังขารสงบระงับ เป็นสุข ฯ"

-- อชาตสูตร --

ข้อความนี้เป็นพระพุทธพจน์ที่ลึกซึ้งและมีความหมายที่สำคัญมาก ซึ่งกล่าวถึงธรรมชาติของสรรพสิ่งและการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร ผมจะขยายความให้ละเอียดขึ้นดังนี้:

พระพุทธองค์ทรงเริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงสภาวะที่เรียกว่า "นิพพาน" โดยไม่ได้ใช้คำว่านิพพานโดยตรง แต่ทรงอธิบายลักษณะของนิพพานว่าเป็นธรรมชาติที่ "ไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยไม่ทำแล้ว ไม่ปรุงแต่งแล้ว" ซึ่งหมายความว่านิพพานเป็นสภาวะที่อยู่นอกเหนือกฎแห่งเหตุปัจจัย ไม่มีการเกิดขึ้น ไม่มีการดับไป ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ

พระองค์ทรงย้ำว่าสภาวะเช่นนี้มีอยู่จริง และหากไม่มีสภาวะเช่นนี้ การหลุดพ้นจากวัฏสงสารก็จะเป็นไปไม่ได้ นี่เป็นการยืนยันถึงความเป็นไปได้ของการบรรลุนิพพาน และเป็นการให้ความหวังแก่เหล่าสาวกว่าหนทางแห่งการหลุดพ้นนั้นมีอยู่จริง

ต่อมาพระพุทธองค์ทรงอธิบายถึงลักษณะของสิ่งที่ "เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว" ซึ่งหมายถึงสรรพสิ่งในโลกที่เราเห็นและรับรู้ได้ทั่วไป สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย มีการเปลี่ยนแปลง และดับสลายไปในที่สุด พระองค์ทรงชี้ให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้ "ไม่ยั่งยืน ระคนแล้วด้วยชราและมรณะ เป็นรังแห่งโรค ผุผัง" เป็นการเน้นย้ำถึงความไม่เที่ยงแท้และความทุกข์ที่แฝงอยู่ในสรรพสิ่ง

นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงกล่าวว่าสิ่งเหล่านี้ "มีอาหารและตัณหาเป็นแดนเกิด" ซึ่งหมายความว่าสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้เพราะมีปัจจัยหล่อเลี้ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือตัณหาหรือความอยาก ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร

พระพุทธองค์ทรงสรุปว่าสิ่งที่มีลักษณะเช่นนี้ "ไม่ควรเพื่อยินดี" เป็นการเตือนสติให้เราไม่ยึดติดหรือหลงใหลในสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้และนำมาซึ่งความทุกข์

ในทางตรงกันข้าม พระองค์ทรงชี้ให้เห็นถึงคุณลักษณะของการ "สลัดออก" หรือการหลุดพ้นจากสภาวะที่ไม่เที่ยงแท้เหล่านั้น โดยทรงอธิบายว่าเป็น "บทอันระงับ" คือเป็นสภาวะที่สงบ ไม่มีความเร่าร้อนหรือความทุกข์ใดๆ

การสลัดออกนี้ "จะคาดคะเนเอาไม่ได้" หมายความว่าเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการคิดนึกหรือจินตนาการของปุถุชนทั่วไป ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยเหตุผลหรือตรรกะธรรมดา แต่ต้องประจักษ์แจ้งด้วยตนเอง

พระองค์ทรงอธิบายต่อไปว่าสภาวะนี้ "ยั่งยืน ไม่เกิด ไม่เกิดขึ้นพร้อม" ซึ่งตรงข้ามกับลักษณะของสิ่งทั้งหลายในโลก ที่ไม่เที่ยงและมีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา

นอกจากนี้ สภาวะนี้ยัง "ไม่มีความโศก ปราศจากธุลี" หมายถึงไม่มีความทุกข์ ความเศร้าโศก หรือกิเลสใดๆ เจือปน เป็นความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง

สุดท้าย พระพุทธองค์ทรงสรุปว่านี่คือ "ความดับแห่งทุกขธรรมทั้งหลาย" เป็นจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือการดับทุกข์อย่างสิ้นเชิง

พระองค์ทรงเน้นย้ำว่านี่คือ "ความที่สังขารสงบระงับ" หมายถึงการที่กิเลสและความปรุงแต่งทั้งหลายสงบลง ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ อีกต่อไป

และท้ายที่สุด พระองค์ทรงกล่าวว่านี่คือ "สุข" ซึ่งเป็นความสุขที่แท้จริง ไม่ใช่ความสุขชั่วคราวที่เจือด้วยทุกข์เหมือนความสุขทางโลก แต่เป็นความสุขที่บริสุทธิ์ ยั่งยืน และไม่มีที่สิ้นสุด

พระพุทธพจน์นี้แสดงให้เห็นถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ที่มุ่งเน้นการพ้นทุกข์และการเข้าถึงสภาวะที่เหนือกว่าความเป็นไปของโลก โดยชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยซึ่งนำมาซึ่งความทุกข์ กับสภาวะที่พ้นจากการปรุงแต่งซึ่งเป็นความสุขที่แท้จริง

พระพุทธพจน์นี้ยังเป็นการยืนยันว่านิพพานมีอยู่จริง และเป็นเป้าหมายที่มนุษย์สามารถบรรลุถึงได้ หากปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์อย่างถูกต้อง นี่จึงเป็นกำลังใจและแรงบันดาลใจให้พุทธศาสนิกชนมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม เพื่อเข้าถึงความหลุดพ้นอันเป็นจุดหมายสูงสุดของชีวิต

การที่พระพุทธองค์ทรงใช้คำอธิบายที่ละเอียดและลึกซึ้งเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าแม้นิพพานจะเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก แต่ก็สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การเข้าใจอย่างแท้จริงนั้นต้องอาศัยการปฏิบัติและการประจักษ์แจ้งด้วยตนเอง

พระพุทธพจน์นี้จึงเป็นทั้งคำสอน คำเตือนสติ และคำให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ให้เห็นทั้งโทษของการยึดติดในสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ และอานิสงส์ของการมุ่งสู่ความหลุดพ้น อันเป็นสาระสำคัญของพระพุทธศาสนาที่ยังคงมีความหมายและคุณค่าอย่างยิ่งในโลกปัจจุบัน


.....................................................
เมื่อเจ้าจักเห็น จงเห็นฉับพลัน พอตั้งต้นคิด หนทางปิดตัน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร