วันเวลาปัจจุบัน 04 ต.ค. 2024, 08:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2024, 05:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 2793

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




3หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ (2).jpg
3หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ (2).jpg [ 56.14 KiB | เปิดดู 8531 ครั้ง ]
.
"ความยินดีตามมีตามได้"

" .. พระศาสดาตรัสไว้ว่า "สนฺตุฏฐี ปรมํ ธนํ ความยินดีตามมีตามได้ เป็นทรัพย์อันประเสริฐ" เอาพระพุทธภาษีตเข้าเลย มาวิจารณ์ดูว่า มันหมายความว่า อย่างไร ..

ความยินดีตามมีตามได้นั้น "เมื่อวิจารณ์ดูมันก็รู้ได้ ตนแสวงหาเงินทองมาได้ มาโดยทางที่ชอบแล้ว" จะมากก็ดี น้อยก็ดี ก็ยินดีพอใจใช้สอยอยู่เท่านั้น "แม้คนอื่นจะมืมากกว่าตน ก็ไม่เดือดร้อน ก็ไม่ได้น้อยเนื้อตํ่าใจกับความรํ่ารวยของคนอื่น" อันนั้นก็เป็นบุญของเขา

เราบุญน้อย เราก็มีตามน้อย "ถ้าหากว่าตนต้องการให้มีมาก ก็ทำบุญ ให้มากทำความดีให้มากเข้าไว้ อย่าไปแย่งเอาสมบัติผู้อื่นมันเสียเกียรติ" ของความเป็นมนุษย์ มีไว้สอนใจของตนเองเข้าไปอย่างนี้ "มันก็สามารถ ปฏิบัติอยู่ใน สันตุฏฐีธรรม" นั้นได้ ความโลภก็ครอบงำจิตใจไม่ได้ .. "

พระสุธรรมคณาจารย์
(หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
.. สติเป็นโล่ห์ ปัญญาเป็นอาวุธ ..
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2024, 05:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 2793

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




2หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี (2).jpg
2หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี (2).jpg [ 118.05 KiB | เปิดดู 7708 ครั้ง ]
.
"การฝึกหัดจิต"

เมื่อพูดถึงเรื่อง "ฝึกหัดจิต" ก็ต้องพูดถึงเรื่องของจิต "ให้รู้จักจิตเสียก่อน จึงค่อยฝึกหัดจิตได้ ถ้าไม่รู้จักหัวจิต ก็ฝึกหัดจิตไม่ได้" ถึงฝึกหัดก็ฝึกหัดไปอย่างนั้นแหละ มันก็นำไปตามเรื่องตามราวของมัน "เพราะไม่รู้จักที่ตั้งของจิต อาการของจิต" ไม่รู้จักจุดหมาย

เหตุนั้นควรที่จะจับตัวต้นของจิตให้ได้เสียก่อน "อาการมันหลอก หลอน มันโกหกมายา ท่านเรียกไว้หลายอย่างหลายเรื่อง จิตเป็นผู้ปรุงผู้แต่ง จิตเป็นคนหลอกลวง จิตมีมายาสาไถย จิตเป็นมาร จิตเป็นกิเลส" ท่านพูดถึงเรื่องจิตทั้งนั้น อันนี้พูดถึงเรื่องทางชั่วในทางดี

ท่านบอกว่า "จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ" จิตที่ฝึกฝนอบรมดีแล้วนำความสุขมาให้ นี่ยากที่จะเข้าใจ "จิตที่ฝึกฝนแล้วนั้น มันอยู่นิ่งสงบ นั่นแหละเป็นความสุขอันยิ่งใหญ่"

แต่คนไม่ชอบ "หากมันพาวิ่งว่อน พาปรุง พาแต่ง พาคิดนึกส่งส่ายด้วยประการต่าง ๆ นั่นแหละจึงค่อยชอบ" เพราะนิสัย ของจิตนั้นแต่ไหนแต่ไรมามันไม่อยู่คงที่ "อุปมาเหมือนกับลิงกระโดดโลด โผนอยู่อย่างนั้น" คนเราก็เลยเข้าใจว่า การกระโดดโลดโผนอย่างนั้น เป็นความสุขความสบาย

"จิตที่สงบ ที่อบรมได้แล้ว เข้าใจว่าเป็นเครื่องเดือดร้อน" ควบคุมให้มันอยู่คงที่ มันไม่กระโดดโลดโผน "เห็นว่าจิตนั้นอยู่ในบังคับ ไม่มีอิสระ ความเข้าใจของคนเป็นอย่างนั้น" .. "

"ฝึกหัดจิต" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)

วันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๓

.....................................................
.. สติเป็นโล่ห์ ปัญญาเป็นอาวุธ ..
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2024, 06:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 2793

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1ท่านพ่อลี ธัมมธโร (1).jpg
1ท่านพ่อลี ธัมมธโร (1).jpg [ 121.9 KiB | เปิดดู 7705 ครั้ง ]
.
"สังขารโลก สังขารธรรม"

" .. สังขารโลกและสังขารธรรม ถ้าจะเปรียบก็เหมือน "ไฟสีสลับต่าง ๆ ที่ตามหน้าโรงหนัง มันวูบ วาบ เขียว แดง ขาว เหลือง ฯลฯ สลับสับเปลี่ยนกันไปมา ตาของเราที่ไป มองดูก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย ต้องส่ายไปตามมัน" เหตุนั้นจึง เกิดการเข้าใจผิด

ดวงจิตก็ไปเกาะอย่างเหนียวแน่นกับสังขาร ทั้งหลายเหล่านี้ "เป็นเหตุแห่งความยินดี ยินร้าย ในเมื่อมันมี ความเปลี่ยนแปรไปเป็นดีเป็นชั่ว ดวงจิตของเราก็แปรเปลี่ยน ไปตามมันด้วย" ฉะนั้นจึงตกอยู่ในอนิจจลักขณะ ทุกขลักขณะ และอนัตตลักขณะทั้ง ๓ ประการนี้ฯ .. "

อนึ่ง "สังขาร" นี้มีอีก ๒ ประเภทคือ "สังขารมีใจครอง" อย่างหนึ่ง เช่น คนหรือสัตว์กับ "สังขารไม่มีใจครอง" อย่างหนึ่ง เช่น ต้นไม้ เป็นต้น .. "

"ท่านพ่อลีสอนกรรมฐาน"
(ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)

.....................................................
.. สติเป็นโล่ห์ ปัญญาเป็นอาวุธ ..
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2024, 05:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 2793

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




607.jpg
607.jpg [ 99.36 KiB | เปิดดู 7481 ครั้ง ]
.
"อย่าพากันประมาท"

" .. ตั้งใจนะ ตั้งใจทุกคน สำรวมจิตใจของตนให้ดี กิเลสตัณหานี่เหมือนกับห้วงน้ำในมหาสมุทรทะเล "บุคคลผู้ใดไม่มีความพากเพียรพยายาม มันก็เหมือนกับบุคคลตกลงไปสู่ห้วงทะเล มหาสมุทร แล้วไม่พยายามแหวกว่าย ก็จมน้ำตาย" ฉันใดก็อย่างนั้นแล

กิเลส ราคะ โทสะ โมหะ มันเหมือนกับน้ำที่ท่วมหัวใจของคนอยู่ "ผู้ใดไม่พากเพียรพยายามแหวกว่ายกิเลสเหล่านั้นออกจากจิตใจ ผู้นั้นก็จมอยู่ในทุกข์" เหมือนอย่างบุคคลตกไปในทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้นแหละ ย่อมไม่มีทางเอาตัวรอดได้ "ผู้ใดชอบปล่อยใจของตนให้กิเลสเหล่านี้ครอบงำแล้ว ก็เอาตัวรอดจากทุกข์ไม่ได้เช่นเดียวกัน" เพราะฉะนั้น "อย่าพากันประมาท" .. "

"ธรรมโอวาทหลวงปู่เหรียญ"
พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
.. สติเป็นโล่ห์ ปัญญาเป็นอาวุธ ..
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2024, 06:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 2793

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




book289.jpg
book289.jpg [ 99.69 KiB | เปิดดู 7396 ครั้ง ]
"โรคกรรม ..โรคเวร"

" .. ในพรรษานี้ "ท่านพ่อลีจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าคลองกุ้งเช่นเดิม ท่านอาพาธ ด้วยโรคปวดท้องอย่างหนัก ฉันยาอะไรก็ไม่มีทีท่าว่าจะหาย" ท่านใช้ธรรมโอสถ รักษา ทุกครั้งที่ท่านนั่งสมาธิจะมีความรู้สึกเงียบสนิทคล้ายหลับ

ท้นใดนั้น ก็เกิดนิมิตรู้ว่า "โรคที่ท่านเป็นอยู่นเป็นโรคกรรม ไม่ต้องกินยา ท่านนิมิต เห็นนกเขาถูกขังอยู่โนกรงผอมโซ" ก็ระลึกย้อนรู้ได้ว่า "ครั้งหนึ่งท่าน เคยเลี้ยงนกเขาไว้ แล้วลืมให้ข้าวให้น้ำแก่มันเป็นเวลาหลายวัน"

กรรมอันนั้นจึงติดตามมาสนอง "ให้เกิดเป็นโรคปวดท้อง" มีทางเดียวที่ จะหายจากโรคนั้นได้ "ก็คือการบำเพ็ญความดีโนทางจิต แล้วแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้มัน จึงจะหายได้" .. "

พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
(ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
.. สติเป็นโล่ห์ ปัญญาเป็นอาวุธ ..
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2024, 05:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 2793

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




หลวงปู่จันทร์ศรี จันฺททีโป  (8).jpg
หลวงปู่จันทร์ศรี จันฺททีโป (8).jpg [ 46.2 KiB | เปิดดู 7379 ครั้ง ]
.
"ของดี ไม่ต้องโฆษณา"

" .. ในวันหนึ่ง ที่วัดถ้ำกลองเพล "ในหลวงและพระราชินีเสด็จไปเยี่ยมหลวงปู่ขาว" พอดีหลวงปู่ (หลวงปู่จันทร์ศรีฯ) ก็ไปเฝ้าท่านที่นั่น จำได้ว่า .. ในขณะนั้นอาตมากับพระอาจารย์บุญเพ็งนั่งอยู่กับท่าน

ในหลวงก็ถามธรรมไปหลายข้อ แต่จำได้ว่า "ข้อสุดท้าย ในหลวงถามว่า พระกัมมัฏฐาน ทำไมไม่โฆษณา เหมือนอย่างกัมมัฏฐานอื่น ๆ" หลวงปู่ขาวฯ ก็ได้ทูลว่า "ทองคำเป็นของมีค่า เขาโฆษณากันหรือปล่าว" หมายความว่า "ของดีไม่ต้องโฆษณา" เมื่อเป็นเช่นนั้น "ในหลวงก็ยิ้มแล้วมีอาการพอใจ"

หลวงปู่ขาวท่านพูดเพียงสั้น ๆ แค่ "อันนี้ถ้าเราจะมาวินิจฉัยด้วยปัญญาก็จะได้คำตอบที่กว้างขวาง" เป็นคำตอบที่ลึกซึ้งตรึงใจเหลือเกิน "คือของดีนั้นไม่ต้องไปอวดใคร คือดีอยู่ที่ใจของเรานั้นเอง" อันนี้เป็นเหตุให้ในหลวงท่านยิ้มขึ้นมา เข้าใจว่า "พอพระทัยในคำตอบ" อันนี้อาตมานั่งอยู่นั้น ครั้นต่อมา ท่านก็ไม่ถามอะไรอีกต่อไป .. "

"จันทร์ศรีส่องธรรม" หน้า ๗๑
หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
.. สติเป็นโล่ห์ ปัญญาเป็นอาวุธ ..
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2024, 05:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 2793

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท (1).jpg
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท (1).jpg [ 98.22 KiB | เปิดดู 7359 ครั้ง ]
.
"ด้วยความรักแม่"

" .. สมุดบันทึกประวัติพระอาจารย์เจี๊ยะที่วัดเขาแก้วจารึกไว้ว่า ... "พระอาจารย์เจี๊ยะท่านไปรับใช้อุปัฏฐากหลวงปขาวแล้วเป็นเวลา ๒ ปี ท่านก็กลับมาจำพรรษาที่วัดเขาแก้ว เนื่องด้วยอาการปวยเกี่ยวกับโรคในลำไส้ของโยมมารดาที่เป็นเรื้อรังมานานนั้น ทำให้อาการทรงกับทรุดเท่านั้น"

ในบางคราวที่โยมมารดาอาการทุเลาพอทรงตัวได้ ท่านก็จะนำมาปฏิบัติธรรมที่วัดเขาแก้ว ท่านเล่าเรื่องโยมมารดาให้ฟังว่า "เราชวนโยมแม่ให้มาอยู่วัด" ตามไปง้อถึงบ้านเลย เราบอกว่า ..

"โยมแม่ ให้มาอยู่วัดสักพรรษาซิ"
โยมแม่บอกว่า "พรรษาหนึ่งไมได้หรอก"

"๒ เดือนได้มั้ย"
"ไม่ได้ แม่ปวยไม่ค่อยสบาย"


"งั้น ๑ เดือนได้มั้ย"
"ไม่ได้"


"ถ้าอย่างนั้น เอาเพียง ๑๐ วัน"
โยมแม่ตอบว่า "เออ! ... ถ้าอย่างนั้นไปได้"

เมื่อโยมแม่ท่านเช้ามาอยู่ที่วัด ท่านออกอุบายให้โยมแม่ทำกับข้าวถวายทุกวัน "แต่เรื่องธรรมะ ระหว่างพระอาจารย์เจี๊ยะกับโยมแม่ไม่ค่อยคุยกัน" เพราะโยมแม่ท่านไม่ชอบกิริยาของพระลูกชาย

บางทีโยมแม่ท่านก็พูดว่า "เรียบร้อยหน่อยซิลูก คนเขาจะว่าเอา เราบวชมาแล้ว แม่อายเขา คำว่า ไอ้ควาย ... เย็ดแม่ง มึง ... ไอ้ห่า ... ไอ้* ... ไม่พูดไม่ได้เหรอ ... ลูก ยิ่งเวลาอาจารย์ถวิลมาหา ยิ่งพูดจนญาติโยมเขาหนี กันหมด แม่ก็รู้อยู่ว่าเป็นคนคอเดียวกัน พวกเดียวกัน บ้านเกิดเดียวกัน แต่แม่กลัวคนเขาจะว่าเอา แม่รู้อยู่ว่ากิริยาท่าทางเป็นอย่างงี้ แต่จิตใจดี ทำกายวาจาให้ดีด้วยไม่ได้หรือ ... ลูก?”

โยมแม่ท่านพูดอย่างนั้น ท่านก็นื่งไปพักหนึ่งท่านก็พูดว่า "โยมแม่ ... นิสัยนี้มันติดมาตั้งแต่ยังไม่เกิดโน่น มิใช่มันเพิ่งจะอุตริมาเป็นเอาตอนเกิดแล้ว จะให้แก้ยังไง ก็มันเป็นมาก่อนเกิด ถ้ามันเป็นหลังเกิด ก็พอแก้ได้อยู่ แต่นิสัยนี้มันติดมาในขันธสันดานเสียแล้ว แก้ไม่ได้หรอก"

เพราะปกตินิสัยโยมแม่ท่านชอบพระเรียบร้อย ส่วนพระอาจารย์เจี๊ยะชอบอิสระ โยมแม่จะไป โต้ตอบสู้อะไร ก็อายแทนลูกละซิ บางทีโยมแม่ของท่านก็อึดอัดจึงบ่นว่า "ลูกกูทำไมเป็นอย่างนี้วะ บวชเรียนแล้วไม่กลัวใครเลย พูดโพล่ง ๆ"

พระอาจารย์เจี๊ยะท่านเล่าว่า "เป็นเพราะนิสัยท่านเป็นอย่างนี้ จึงท่าให้ สอนโยมแม่ยาก" ท่านบอกว่า "ท่านไม่เก่งเหมือนท่านพระอาจารย์มหาบัว เอาแม่มาอยู่วัดด้วยได้"

พระอาจารย์เจี๊ยะจึงเล่าต่อว่า "เรานี่นะ รักโยมแม่มากกว่าโยมพ่อ เพราะเรากินนมแม่" โยมแม่อยู่ในใจเราตลอด ตอนเป็นเด็กๆ ท่าผิด บางทีโยมแม่เอาแส้ไล่หวด เราก็วิ่งไปหลบอยู่ในคลองน้ำ บางทีแม่ไล่ตีเราก็วิ่งหนีเข้าโรงฝิ่น ไปฟังเขาคุยกันในโรงฝิ่นสนุกดี แต่เราไม่ได้ไปสูบฝิ่น

โยมแม่เป็นคนเจ้าระเบียบเรียบร้อยใจดี "โยมแม่รักเรามาก" เพราะภายในใจท่านคิดเสมอว่า "จักให้เราดำรงวงศ์ตระกูลให้ยั่งยืน ปกครองทรัพย์สมบัติที่ท่านหามาไว้ได้ เมื่อท่านตายไปแล้ว" ก็หวังให้เราท่าบุญอุทิศส่วนกุศลให้

"โยมแม่มืลูกชาย ๓ คน หวังจะให้ลูกชายทั้งสาม เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการงานทุกสิ่ง" แต่มันก็ไม่ได้เป็นไปตามนั้น เพราะถึงพวกเราจะเกิดมาในท้องเดียวกันก็ตาม "จะให้เสมอเหมือนกันทุกสิ่งย่อมไม่ได้ เพราะแม้แต่ผิวพรรณและความประพฤติยังแตกต่างกันและความประพฤติยังแตกต่างกันแล้ว"

ยิ่งบุญกรรมที่ละเอียดยิ่งแตกต่างกันไปใหญ่ "ในบางครั้งเราเป็นเด็กทำความผิด โยมแม่รู้จับได้ ก็จะสั่งสอนตักเตือนในสิ่งที่ประพฤตผิดไปแล้ว" ท่านไม่ทอดทิ้งในเรื่องนั้น ๆ จะนำมาสั่งสอนเสมอ

"พ่อแม่นี้ท่านรักเราผู้เป็นลูก ในทำนองเดียวกันกับมือและเท้าของท่านเองที่เปรอะเปื่อนไป ด้วยของสกปรก เป็นสิงที่ควรชะล้างให้สะอาด" ถึงจะสกปรกมากเพียงไร "ก็ไม่ควรที่จะตัดมือเท้านั้นทิ้ง" เพราะจะทำให้ร่างกายตนเองเจ็บปวดและทรมานมาก "พ่อแม่รักลูกส่วนมากท่านก็ทะนุถนอมลูก เหมือนมือเท้าของท่านโดยทำนองนี้"

ในระหว่างที่พระอาจารย์เจี๊ยะพักจำพรรษาที่วัดเขาแก้ว "ท่านได้แสดงความเป็นผู้กตัญญกตเวที แก่ท่านผู้มีคุณจนสุดความสามารถ" ในที่สุดโยมมารดาท่านก็เสียชีวิตอายุ ๙๓ ปี วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๑๗

เมื่อโยมมารดาเสียชีวิต ท่านจัดพิธีทางศาสนาอย่างสมเกียรติ นิมนต์ท่านเจ้าคุณพระพรหม มุนี (วิชมัย ปุญถม่าราโม) วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นองค์แสดงธรรม ในงานศพนั้นสหธรรมมิกฃอง ท่านคือ "พระอาจารย์เฟื่อง โชติโก พระอาจารย์ถวิล จิณฺณธมฺโม" มาช่วยเหลือจนตลอดงาน .. "

หลวงปู่เจ๊ยะ จุนฺโท
"พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง"


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
.. สติเป็นโล่ห์ ปัญญาเป็นอาวุธ ..
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2024, 04:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 2793

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




2หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน (2).jpg
2หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน (2).jpg [ 74.94 KiB | เปิดดู 7343 ครั้ง ]
.
"ดับตัณหาอวิชชา ดับที่จิต"

" .. "การดับกิเลสตัณหาอวิชชา ดับโลกดับสงสารจะดับที่ไหน ถ้าไม่ดับที่ตัวจิต" ซึ่งเป็นตัวโลกตัวสงสาร ตัวอวิชชา ตัวเกิดแก่เจ็บตาย เชื้อของความให้เกิดแก่เจ็บตายก็ได้แก่ "ราคะตัณหา มีอวิชชาเป็นตัวสำคัญ มีอยู่ที่จิตดวงนี้เท่านั้น"

เมื่อดับอันนี้ให้ขาดกระเด็นออกไปจากจิตใจหมดแล้วก็ "นิโรโธ โหติ" เท่านั้น "นี่แหละงาน แห่งการประพฤติปฏิบัติตามหลักศาสนาของพระพุทธเจ้า" .. "

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
.. สติเป็นโล่ห์ ปัญญาเป็นอาวุธ ..
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2024, 05:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 2793

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




4หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี (2).jpg
4หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี (2).jpg [ 65.45 KiB | เปิดดู 7269 ครั้ง ]
.
"การรักษาใจเป็นหน้าที่ของเรา"

" .. "การรักษาใจเป็นหน้าที่ของเราโดยเฉพาะ" คนอื่นทำให้ไม่ได้ ของใครของมันทั้งหมด ทำให้ตนเองโดยแท้ "จะยากจะง่ายสักเท่าใดก็ควรทำ" บางคนว่าเป็นฆราวาสทำไม่ได้ ทำได้ ฆราวาสก็ทำได้

ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลหรือในสมัยนี้ก็ดี "ผู้ที่เป็นฆราวาสได้สำเร็จ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี มีถมไป" ถึงในปัจจุบันนี้ฆราวาสผู้ทำสมาธิก็มีมากมายเหลือหลาย นั่นเขายังทำได้ "ถ้าอุตสาหะวิริยะขยันหมั่นเพียร มีศรัทธาแก่กล้าทำภาวนาได้ทั้งนั้น" .. "

"การภาวนา"
พระนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาจารย์
(หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
.. สติเป็นโล่ห์ ปัญญาเป็นอาวุธ ..
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2024, 17:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 2793

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1หลวงปู่ขาว (6).jpg
1หลวงปู่ขาว (6).jpg [ 95.52 KiB | เปิดดู 7208 ครั้ง ]
.
"ให้มีสติคุมดวงจิต"

" .. อาตมาบอกไว้เท่านั้นว่า "ให้มีสติคุมดวงจิต" สัตว์นรกก็แม่นจิต สัตว์อเวจีก็แม่นจิต พระอินทร์พระพรหมก็แม่นจิต ที่เข้าพระนิพพาน ก็แม่นจิต ไม่ใช่ใคร จิตไม่มีตนมีตัว จิตเหมือนวอก (ลิง) นี่แหละ แล้วแต่มันจะไป บังคับบัญชามันไม่ได้ แล้วแต่มันจะปรุงจะแต่ง บอกไม่ได้ ว่าไม่ฟัง

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้า "ให้วางมันเสีย" อย่าไปยึดถือมัน "ก็จิตนั่นแหละ มันถือว่าตัวกูอยู่เดี๋ยวนั้ก็ดี เราถือว่าเราเป็นผู้ชาย เราเป็นผู้หญิง" ก็แม่นจิตนั่นแหละเป็นผู้ว่า มันไม่มีตนไม่มีตัวดอก

แล้วพระพุทธเจ้าว่า "ให้วางเสีย ให้ดับวิญญาณเสีย ครั้นดับ วิญญาณแล้ว ไม่ไปก่อภพก่อชาติอีก ก็นั่นแหละพระนิพพานหละ" แน่ะ พระพุทธเจ้าบอกอย่างนั้น มันไม่อยู่ที่อื่น "นรกมันก็อยู่นี่ พระนิพพานก็อยู่นี่ อย่าไปค้นที่อื่น อย่าไปพิจารณาที่อื่น" ให้ค้นที่สกนธ์กายของตน "ให้มันเห็นเป็นอสุภะอสุภัง ให้เห็นเป็นของปฏิกูล" ให้เกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายมันนั่นแหละ

แต่นี่มันเห็นว่า "เป็นของสวยของ งามของดี ดวงจิตนั่นเมื่อมีสดิควบคุม" มีสัมปชัญญะด้นหาเหตุผล ใคร่ครวญอยู่ "มันเลยรู้เห็นว่าอัตภาพร่างกายนี้เป็นของปฏิกูล ของเน่าเชื่อยผุพัง แล้วมันจะเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่าย" จิตนั่นแหละ เบื่อหน่าย

"จิตเบื่อหน่าย จิตไม่ยึดมั่นแล้ว" เรียกว่า “จิตหลุดพ้น” ถึง วิมุตติ วิมุตติคือความหลุดพ้นจากความยึดถือ หลุดพ้นจากอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น พ้นจากภพจากชาติ ตั้งใจทำเอา .. "

"โอวาทธรรม ๒๖ ปี วันละสังขาร"
หลวงปู่ขาว อนาลโย



:b8: :b8: :b8:

.....................................................
.. สติเป็นโล่ห์ ปัญญาเป็นอาวุธ ..
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2024, 08:25 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2884


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2024, 05:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 2793

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




IMG_7003.JPG
IMG_7003.JPG [ 142.33 KiB | เปิดดู 7171 ครั้ง ]
.
"ให้แก้ปัจจุบัน"

" .. "ให้แก้ปัจจุบัน เมื่อแก้ปัจจุบันได้แล้ว ภพ ๓ นั้น หลุดหมด" ไม่ต้องส่งอดีต อนาคต "ให้ลบอารมณ์ภายนอกให้หมด" จึงจะเข้าอารมณ์ภายในได้ "เพ่งนอกเป็นตัวสมุทัย" เป็นตัวทุกข์และเป็นตัวมิจฉาทิฐิ "เพ่งในเป็นตัวสัมมาทิฐิ" .. "

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
.. สติเป็นโล่ห์ ปัญญาเป็นอาวุธ ..
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2024, 05:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 2793

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




หลวงป่ดูลย์ อตุโล (8).jpg
หลวงป่ดูลย์ อตุโล (8).jpg [ 98.79 KiB | เปิดดู 7110 ครั้ง ]
.
"คิดไม่ถึง"

" .. "สำนักปฏิบัติแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสาขาของหลวงปู่นั่นเอง" อยู่ด้วยกันเฉพาะพระประมาณห้าหกรูป "อยากจะเคร่งครัดเป็นพิเศษ ถึงขั้นสมาทานไม่พูดจากันตลอดพรรษา" คือไม่ให้มีเสียงเป็นคำพูดออกจากปากใคร ยกเว้นการสวดมนต์ทำวัตร หรือสวดปาฏิโมกข์เท่านั้น

ครั้นออกพรรษาแล้ว พากันไปกราบหลวงปู่เล่าถึงการ ปฏิบัติอย่างเคร่งของพวกตนว่า "นอกจากปฏิบัติข้อวัตร อย่างอื่นแล้ว สามารถหยุดพูดได้ตลอดพรรษาอีกด้วย"

หลวงปู่ฟังแล้วยิ้มหน่อยหนึ่ง พูดว่า ..

"ดีเหมือนกัน เมื่อไม่พูดก็ไม่มีโทษทางวาจา แต่ที่ว่าหยุดพูดได้นั้น เป็นไปไม่ได้หรอก" นอกจากพระอริยบุคคลผู้เข้านิโรธสมาบัติขั้นละเอียด ดับสัญญา เวทนาเท่านั้นแหละที่ไม่พูดได้ "นอกนั้นพูดทั้งวันทั้งคืน ยิ่งพวกที่ตั้งปฏิญาณว่า ไม่พูดนั้นแหละยิ่งพูดมากกว่า" เพียงแต่ไม่ออกเสียงให่คนอื่นได้ยินเท่านั้นเอง .. "

"หลวงปู่ฝากไว้"
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
.. สติเป็นโล่ห์ ปัญญาเป็นอาวุธ ..
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2024, 05:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 2793

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1สมเด็จพระงฆราชเจ้า (8).jpg
1สมเด็จพระงฆราชเจ้า (8).jpg [ 67.78 KiB | เปิดดู 7077 ครั้ง ]
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท (1).jpg
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท (1).jpg [ 98.22 KiB | เปิดดู 6815 ครั้ง ]
.
"ประโยชน์ภายหน้า"

.. ทางเกิดของประโยชน์ภายหน้า ..

" .. ประโยชน์ภายหน้า พระพุทธเจ้าทรงแสดงทางเกิดไว้ ๔ อย่าง คือ ..

๑. สัทธาสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศรัทธา คือเชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ คือเชื่อในเรื่องความดีความชั่ว สำหรับทางพระพุทธศาสนา คือเชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และเชื่อหลักกรรมตามคำสั่งสอนของพระองค์ เช่นตรัสว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นต้น

เพราะใครก็ตามที่นับถือความดี ก็ต้องมี ความเชื่อในหลักของกรรม ตามพระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้และเชื่อพระพุทธเจ้าด้วย คีอเชื่อว่าพระองค์ได้ตรัสรู้จริง
คำของพระองค์ต้องจริงแท้แน่นอน

๒. สีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยสืล คือรักษากาย วาจาเรียบร้อยดี ไม่มีโทษ เพราะงดเว้นจากโทษนั้น ๆ เมื่อมี ศรัทธาในหลักของกรรมด้งกล่าวแล้ว ก็ย่อมเว้นจากความชั่วได้ ตามความเชื่อของตน

๓. จาคสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการบริจาค คือ สละให้ปัน เป็นการเฉลี่ยสุขให้แก่ผู้อื่น ได้แก่การบำเพ็ญ ประโยชน์แก่ผู้อื่น ซึ่งเป็นการทำความดีอย่างหนึ่งด้งกล่าวแล้ว

๔. ปัญญาสัมปทา ถึงพร้อมด้วยปัญญา รู้จัก บาปบุญคุณโทษ หรือความดีความชั่ว มีประโยชน์มิใช่ประโยชน์ เป็นต้น ปัญญาทำให้รู้จักเปรียบเทียบว่าอะไรเป็นอะไรด้งกล่าว และให้รู้จักค่าของบุญหรือคุณความดี ทำให้รู้จักเลือกเชื่อใน สิ่งที่ควรเชื่อ และทำให้รู้จักเลือกเว้นการที่ควรเว้น เลือก ประพฤติการที่ควรประพฤติ

"ทางเกิดประโยชน์ภายหน้า ๔ อย่างนี้ เป็นบุญกุศล คือความดีโดยตรง" เป็นเหตุสนับสนุนประโยชน์ปัจจุบันให้ มั่นคงถาวร และความดีที่แต่ละคนได้ทำไว้แล้วคราวหนึ่ง ๆ เรียกว่าเป็น "ปุพเพกตปุญญตา" (ความมีบุญที่ทำไว้ก่อน) "ย่อมเป็นคุณสมบัติประจำตน" ดังที่ เมื่อจะติดต่อการงานกับใครเป็นต้น ก็ต้องพิจารณาถึงคุณสมบัติประการหนึ่ง "จึงเป็นตัวโชควาสนาอำนวยประโยชน์ให้ตามที่ต้องการ" .. "

"ชีวิตจะเป็นสุขได้อย่างไร"
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร


:b8: :b8: :b8:


"มันยังไม่พอแดก พอยาไส้"

" .. ตอนนั้นมีพระอยู่รูปหนึ่ง "นั่งภาวนาเกิดความสงบมาก ๆ อัศจรรย์มหัศจรรย์ภายในจิต ใครจะไปใครจะมารู้ล่วงหน้าหมด ถึงขั้นไปอวดใส่พระอาจารย์เจี๊ยะเลย เพราะจิตมันสงบมากก็อาจหาญ ไม่กลัวท่าน" เดินดุ่ม ๆ เข้าไปกราบเรียนท่านว่า ..

"ท่านอาจารย์พรุ่งนี้จะมีรถคันหนึ่งวิ่งเข้ามาที่วัด มันคันใหญ่ ๆคล้าย ๆ รถไฟ" ท่อต่ออยู่ข้างบนหลังคา "คอยรอพิสูจน์ดูว่าพรุ่งนี้จะมีมาจริงหรือไม่ เหมือนในนิมิตภาวนา"

พอถึงรุ่งเช้าวันใหม่ "ก็มีรถยีเอ็มซีคันใหญ่ ๆ มีปล่องท่อไอเสียอยู่ข้างบน วิ่งเข้ามาพระก็มาดูกันใหญ่" พระรูปนั้นก็กราบเรียนพระอาจารย้เจี๊ยะว่า

"นี่ไง ๆ สิ่งที่ผมเห็นในนิมิตที่เล่าให้ฟังเมื่อวานนี้" ที่ท่านอาจารย์ว่า "นั่งสมาธิจิตสงบเป็น อัปปนาสมาธิไม่พอกินได้อย่างไร" ใครจะตายก็รู้ ใครจะไปจะมาก็รู้ มันวิเศษขนาดนี้จะไม่พอกินได้ อย่างไรกันครับ

พระอาจารย์เจี๊ยะก็ดุว่าด้วยเสียงดัง ๆ แบบตวาด ๆ ใกล้ไปทางตะโกนแต่ไม่ใช่ตะโกน ..

"เฮ้ย! .. ปฏิบัติอย่างนี้มันไม่พอกิน" มันไม่พอแดก ประสารถ "ไม่ต้องนั่งภาวนาให้เสียเวลาก็ เห็นได้ชัดกว่านั่งภาวนาดูอีก" เนี่ย! กูก็ยังเห็นอยู่เนี่ย "มันจะวิเศษอะไร ประสาเห็นรถ"

พระรูปนั้นก็ไม่ยอมลงใจในสิ่งที่ท่านสอนว่า "ไม่พอกิน ไม่พอแดก ในการปฏิบัติแบบนี้" เพราะเธอเกิดความอัศจรรย์ในสมาธิมากหลาย จึงคัดค้านอยู่ในใจในสิ่งที่ท่านสอน "เอ๊ะ!... อาจารย์ของเรานี้เป็นอย่างไร?"

สักพักหนึ่งจึงไดโต้ตอบท้าทายพระอาจารย์เจี๊ยะว่า "ท่านอาจารย์ ... เดี๋ยว วันพรุ่งนี้จะมีรถข้างหน้าสีขาว ๆ ส่วนด้านข้างเป็นอีกสึหนึ่ง ดู ๆ ไม่ค่อยเหมือน รถแต่มันก็เป็นรถ"

พอรุ่งเช้ามา "ก็มีรถที่ยังโปัวสีไม่เสร็จ ลักษณะอย่างที่ว่า วิ่งตะบึงเข้ามา" จริง ๆ พระทั้งหลายก็ขึ้!ปที่รถว่า "นั่นไง ๆ มาแล้ว แน่จริง ๆ วาระจิตนี้" สมัยก่อนวัดญาณฯ อยู่กลางทุ่ง นาน ๆ จะมีรถมาคันหนึ่ง การที่จะสุ่มเดาทายเอาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ

พระรูปนั้นก็กราบเรียนพระอาจารย์เจี๊ยะขึ้นอีกว่า เอ!...ท่าน อาจารย์ ครับมันอัศจรรย์มาก "เรื่องการที่จิตออกไปรับรู้ ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยสอนเลย อันนี้จิตผมไปรู้เอง" ท่านอาจารย์จะว่าไม่พอกินได้อย่างไรครับ

"เฮ้ย! ..มันยังไม่พอกิน เฮ้ย! .. มันยังไม่พอแดกพอยาไส้ สำหรับผู้ปฏิบัติเพื่อจะไปสู่พระนิพพาน" ที่เธอว่าจิตเธอมหัศจรรย์ทางด้านสมาธิเหลือหลายนั้น "ให้เธอลองทางด้านปัญญาบ้างว่า จะมหัศจรรย์แค่ไหน สมาธิเป็นเพียงเครื่องกั้นกิเลส แต่ปัญญาเป็นเครื่องทำลายเขื่อนคือกิเลสนั้นให้พังทลาย" จะมหัศจรรย์แบบตาแจ้ง ๆ แบบท่านเดินไปไหนเห็นได้เลย

"ไม่ต้องมานั่งเข้าสมาธงสมาธิ มหัศจรรย์ตาแจ้ง ๆ ทั้ง ๆ ที่คนอยู่เยอะ ๆ หรือคนน้อย ๆ ทั้งที่กิริยาท่าทางคุยกันได้" เดินคุยไปกันได้อย่างนี้ หรืออย่างที่ผมคุยกับท่านอยู่เวลานี้ "ให้ท่านลองพิจารณาทางด้านปัญญาบ้าง" ไอ้อันที่ท่านทำอยู่นี่ทิ้งไปเลย .. "ไม่พอแดก .. สำหรับภาษาธรรมของผมนะ" .. "

"หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท"
พระผู้ดั่งเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง


:b8: :b8: :b8:


"บุญและบาปใจมันถึงก่อน"

" .. กรรมมันไม่ได้เกิดที่อื่น เวลานี้กายเราไม่ได้ทำอะไร วาจาเราก็ไม่ได้ทำ เหลือแต่มโนกรรม ความน้อมนึก "มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา" บุญและบาปไม่ว่าใด ๆ ใจถึงก่อน ให้พากันพินิจพิจารณาให้เห็นแจ่มแจ้งลงไป แน่นอนลงไป "บุญและบาปใจมันถึงก่อน" .. "

"การฟังและการปฏิบัติ"
พระธรรมเทศนาของ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

ม.ร.ว. ส่งศรี เกตุสิงห์ ถอดจากแถบบันทึกเสียง


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
.. สติเป็นโล่ห์ ปัญญาเป็นอาวุธ ..
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2024, 05:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 2793

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




582.jpg
582.jpg [ 60.51 KiB | เปิดดู 6767 ครั้ง ]
.
"ผลแห่งการรักษาศีล"

" .. ผลแห่งการรักษาศีลในปัจจุบัน "ก็มองเห็นได้ชัดๆ คนมีศีลย่อมเป็นที่รักของคนทั้งหลาย" เพราะผู้มีศีลเป็นผู้มีสติ สัมปชัญญะ ระมัดระวังในความประพฤติทางกาย ทางวาจา ไม่ให้ผิดศีล "เมื่อไม่ผิดศีล มันก็ไม่ผิดใจคน ถ้าไปทำอะไรผิดศีล ก็ผิดใจคนเหมือนกัน" ลองสังเกตดู .. "

"ธรรมโอวาท หลวงปู่เหรียญ"
พระสุธรรมคณาจารย์
(หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
.. สติเป็นโล่ห์ ปัญญาเป็นอาวุธ ..
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร