วันเวลาปัจจุบัน 29 ก.ค. 2025, 03:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2022, 08:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


ศาสนาเรื่องความจริง

ดีมากเหลือเกินโยม ถ้าปฏิบัติในทางศาสนา
ไม่มีทาง ต้องสัมผัส
แต่ก่อนไม่เคยสัมผัสความดีความงาม
แต่ระวังมากเข้าใจไหม

หลวงปู่เชอรี่ อภิเจโต
วัดป่าบ้านตาด






…ต่อจากนั้น
ก็มีงานที่ละเอียดกว่านั้นอีกที่ต้องทำต่อ
คือ..” การพิจารณานามขันธ์ที่อยู่ในจิต “

.ได้แก่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ที่จิตยังหลงยึดติดอยู่
ยังติดอยู่กับสังขาร ความคิดปรุงแต่ง
ยังชอบคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้
คิดแล้วก็มีความสุขบ้าง มีความทุกข์บ้าง

.แต่พอมีความทุกข์
ก็ไม่รู้จักระงับดับมัน
เพราะติดสังขาร ไม่รู้จักหยุดคิด

.จึงต้องพิจารณาแยกจิตผู้รู้
ออกจากสังขาร ความคิดปรุง
แยกจิตออกจากเวทนา
แยกจิตออกจากสัญญา
แยกจิตออกจากวิญญาณ

.ให้เห็นว่า..” จิตกับขันธ์เป็นคนละส่วนกัน “
ขันธ์ออกมาจากจิต..เป็นอาการของจิต

.เหมือนกับฟองน้ำกับคลื่น
ที่ต้องอาศัยน้ำทำให้เกิดขึ้นมา
เช่นเดียวกับเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ “ ต้องมีจิต ถึงจะเกิดขึ้นมาได้ “.
………………………………………….
.
จุลธรรมนำใจ ๗ กัณฑ์ที่ ๒๗๔
วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๙
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี





ที่ว่าน้อยใจ เสียใจ เศร้าใจ นั้นไม่ใช่จิต (แต่)เป็นสังขาร

แท้จริงจิตนี้ไม่เคยเศร้าหมอง เพราะจิตนี้คือ ความว่าง..ความว่าง ไม่เคย เสียใจ ไม่เคยน้อยใจ ทุกข์ใจ เศร้าใจ ไม่เคยโกรธใคร เพราะเรามีความว่าง..รู้อยู่ แต่ปรุงแต่งไม่ได้ กิเลสจะตัดหรือไม่ตัด ไม่ใช่ปัญหา เพราะเราไปหาธรรม

ถ้าเราระลึกรู้ตรงนี้ เราก็จะรู้ได้ จะรู้ไม่รู้ก็ขึ้นอยู่กับ สติของเรา สติของเราเข้าใน รู้ว่าสติเราอยู่กับตัวหรือเปล่า หยุดตรงนี้ กลางกายของเรา ถ้าน้อมเข้ามาแล้วความวุ่นวายทั้งหลาย กิเลสที่เราอยากตัด มันจะจบทันทีเลย มันจะตัดเองไม่ต้องไปตัดมัน ถ้าเราอยู่ตรงนี้สังขารไม่มา หากเราไปอยู่กับสังขารมันก็ใช้เราตลอด

ถ้าเราหาจิตไม่เจอก็เป็นทาสของสังขาร เพราะมันปรุงแต่งให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง อยู่ในสังขารทั้งนั้น สติตรงนี้ ไม่มีอดีต อนาคต เหลืออยู่แต่ปัจจุบันธรรม ถ้าไม่น้อมเข้ามาก็ไม่เป็นสมาธิ

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า อยากเห็นพระพุทธเจ้าก็น้อมเข้ามาที่ตัวเรา เรียกว่า ปัจจุบันจิต เป็นธรรมชาติที่ปราศจากการปรุงแต่ง นั่นคือธรรมะ แต่ถ้าปรุงแต่งก็เป็นธรรมะ แต่เป็นสังขารธรรม

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า อย่าไปหากิเลส มันเป็นเรื่องของมัน เราอย่าไปเอามาเป็นสาระ มันเป็นกองบัญชาการ มันทำให้เรามีแต่ความทุกข์ มีแต่ความร้อน เป็นธรรมที่เกิด เกิดเพราะโลภะ โทสะ โมหะ

พระองค์จึงให้ไปหาธรรมะที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย อยู่ที่ตัวของเรา ตั้งสติไว้ปกติ ไม่มีอดีต อนาคต ก็เกิด ความว่างทันที ถ้ารู้อยู่ตรงนี้จะไม่รู้อย่างอื่น รู้แค่รู้

เหมือนที่หลวงปู่ดุลย์ท่านว่า การปฎิบัติ ถ้าเราไปหาจิตเจอ สังขารก็ตายเอง ไม่ต้องไปฆ่ามัน แต่ถ้าหาจิตไม่เจอก็เป็นทาสของมัน เพราะทิฎฐิที่ทำให้เราไม่รู้ธรรม ก็เพราะมีอดีต อนาคต.

พระธรรมเทศนา พระอาจารย์เยื้อน ขันติพโล





#จิตหนึ่ง....

การทำใจให้สงบ
ให้รู้อยู่ในจุดรู้
อยู่อย่างเดียว

ประคองเข้าสู่จุดนั้น
รักษาความรู้สึกไว้
ในจุดเดียว

ถือเอา
ความรู้สึกนั้น
ให้ ไปรวมอยู่
ในที่จุดเดียว

หรือมิฉะนั้น
ให้กลั้นลมหายใจ
มันจะจดจ่อ
เป็นที่ตั้งของใจ

เมื่อได้ที่ตั้งแล้ว
ให้จำตรงนั้น
ประคองความรู้สึก
ไว้ที่ตรงนั้น

ให้มันอยู่
ให้มันติด
ตรงจุดนั้น
ให้ได้

เมื่อตั้ง
จนชำนิชำนาญ
จิตมันจะติดตรงนั้น

เมื่อใจมันติด
ตรงจุดนั้นได้
มันก็วางข้างนอก

มันไม่ไป
ต่อข้างนอก
มันจะต่อจุดนั้น
อย่างเดียว

เมื่อมันแน่ว
อยู่ในจุดเดียวแล้ว
มันเป็น
สมาธิเบื้องต้น

รักษาจิต
ให้อยู่ในจุดนั้น
มากขึ้นเท่าใด
ใจก็จะมั่นคง
มากขึ้นเท่านั้น

เป็นเอกัคตาจิต
จิตมีอารมณ์
เป็นอันเดียว
อยู่ในจุดที่ตั้งนั้น
เป็นสภาวะธรรม
ของ..จิตหนึ่ง.
———-
พระโพธิญาณเถร
หลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง
อ.วารินชำราบ
จ.อุบลราชธานี






พยายามให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม
ถ้าเราได้บำเพ็ญต่อเนื่องสม่ำเสมอ
ก็เรียกว่าคุ้มค่ากับการเกิดมา
ไหนๆ ชีวิตสังขารนี้
จะต้องเน่าเปื่อยผุพังไร้สาระ

ดังนั้นก่อนที่จะสิ้นลมหายใจ
นอนแน่นิ่งให้เขานำไปเผาเป็นขี้เถ้า
ไม่ได้ประโยชน์อะไร
ก็ควรสร้างบุญบำเพ็ญกุศลให้มากๆ
ในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่
อย่าให้หมดลมหายใจ
สิ้นวิญญาณไปเปล่าๆ เลย

ชีวิตถ้าเกิดมาเพียงปล่อยไปวันๆ หนึ่ง
ก็ได้แค่ แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีสาระอะไร
เสียโอกาสที่ได้ชีวิตเป็นมนุษย์
เป็นสัตว์อันประเสริฐ มีมันสมอง
มีสติปัญญาที่จะพัฒนาตัวเองได้
การปล่อยให้ชีวิตล่องลอย เลอะเลือน
ใหลหลงไปตามอำนาจของกิเลส
ก็น่าเสียดายชีวิตที่เกิดมา
ยิ่งเกิดมาในยุคนี้
มีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนาแล้วไม่สนใจ
โอกาสที่จะได้หวนกลับมาเป็นมนุษย์อีกก็ยาก
ถ้ายังมัวประมาทอยู่
ก็ต้องไปสู่ความเป็นสัตว์เดรัจฉาน
วนเวียนอยู่ในอบายภูมิ
ฉะนั้นจึงต้องเร่งแข่งกับเวลา
ที่หมดไปในแต่ละวันๆ
เพราะวันเวลาผ่านไปทุกนาที
ไม่สามารถหวนคืนกลับมาได้
กลืนกินชีวิตไปทุกขณะ
เราได้ทำอะไรที่เป็นแก่นสารบ้างหรือยัง

สาระของชีวิตอยู่ที่คิดดี พูดดี ทำดี
ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง
ตามครรลองประโยชน์ตนและคนอื่น
ทำชีวิตของเราให้มีสาระขึ้น
คือให้มีประโยชน์
ได้ประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น

ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
‪‎ท่านเจ้าคุณ‬ ‪‎พระภาวนาเขมคุณ‬ วิ.
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร