วันเวลาปัจจุบัน 12 ต.ค. 2024, 00:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 11:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
:b8: ขอขอบพระคุณที่มาของรูปภาพ : อ.อนัตตา ห้องพระ udon108


ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ

เทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำโขง

วัดธาตุมหาชัย
ต.มหาชัย อ.ปลาปาก จ.นครพนม


๏ ชาติภูมิ

“พระเดชพระคุณพระสุนทรธรรมากร” หรือ “หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ” อดีตเจ้าอาวาสวัดธาตุมหาชัย บ้านมหาชัย ต.มหาชัย อ.ปลาปาก จ.นครพนม ผู้เรืองธรรม มีปฐวีกสิณเป็นเอก ชื่อเสียงเลื่องลือ ๒ คาบฝั่งโขง เป็นสมัญญานามที่ผู้คนต่างรู้จักดีถึงกับมีการขนานนามท่านว่า “เทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำโขง”

หลวงปู่คำพันธ์ มีนามเดิมว่า คำพันธ์ ศรีสุวงค์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๘ ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๒ ปีเถาะ ณ บ้านหมู่ที่ ๔ ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายเคน และนางล้อม ศรีสุวงค์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๒ คน ท่านเป็นบุตรคนโต มีชื่อตามลำดับดังนี้

(๑) หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ (มรณภาพแล้ว)

(๒) นายพวง ศรีสุวงค์ (ถึงแก่กรรมแล้ว)

และมีน้องร่วมมารดา แต่ต่างบิดากันอีก ๔ คน ตามลำดับดังนี้

(๑) นางสด วงษ์ผาบุตร (ถึงแก่กรรมแล้ว เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๗)

(๒) ด.ช.บด แสนสุภา (ถึงแก่กรรมแล้ว)

(๓) ด.ญ.สวย แสนสุภา (ถึงแก่กรรมแล้ว)

(๔) นางกดชา เสนาช่วย (ถึงแก่กรรมแล้ว)

วัยเด็กเป็นคนขยันขันแข็ง ช่วยโยมบิดา-โยมมารดาทำนา อุปนิสัยเป็นคนเรียบง่าย เรียบร้อย พูดน้อย จบการศึกษาภาคบังคับ ป. ๔ จากโรงเรียนบ้านโพนคู่ ต.พุ่มแก อ.นาแก จ.นครพนม

รูปภาพ
พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล


๏ การบรรพชาและอุปสมบท

วันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๕ (อายุ ๑๗ ปี) ได้เข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดศรีบุญเรือง บ้านหนองหอย ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม โดยมีพระอาจารย์เชื่อม เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากบรรพชาแล้ว ก็ได้ศึกษาอักษรธรรม และหนังสือสูตรคามแบบโบราณ ในขณะเดียวกันก็ได้ฝึกปฏิบัติกัมมัฏฐานควบคู่ไปด้วย

หลังจากบรรพชาเป็นสามเณรได้ ๓ พรรษา ก็ออกเดินธุดงค์ทรงกรดไปที่ จ.เลย พร้อมกับพระภิกษุ ๒ รูป คือ พระภิกษุบุญ และพระภิกษุวัน ก่อนหน้าที่จะได้ฝึกปฏิบัติกัมมัฏฐานนั้น เคยได้รับความรู้เรื่องกัมมัฏฐานมาจาก ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ซึ่งท่านไปอบรมสั่งสอนประชาชนที่วัดโพนเมือง จ.อุบลราชธานี

ท่านพระอาจารย์เสาร์ให้แนวทางในการปฏิบัติกัมมัฏฐานไว้ว่า “ให้กำหนดลมหายใจเข้า-ออก” และได้ให้ข้อคิดต่อไปอีกว่า “ร่างกายของคนเรานั้นเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง มันทำงานอยู่ตลอดเวลา ลมหายใจเข้า-ออกนั้น มีความสำคัญมาก ถ้าลมไม่ทำงานคนเราจะตายทันที ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกำหนดลมหายใจ” นอกจากนั้นท่านพระอาจารย์เสาร์ยังได้ย้ำอีกว่า “ให้คนเราตีกลองคือขันธ์ ๕ ให้แตก” ซึ่งก็หมายความว่า ท่านให้ทำความเข้าใจขันธ์ ๕ ให้จงดี ให้เข้าใจตามสภาพที่เป็นจริง

หลวงปู่ได้ศึกษาภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติกับท่านพระอาจารย์เสาร์ประมาณ ๑ ปี และได้ยึดแนวทางของท่านเป็นแนวทางในการปฏิบัติเรื่อยมา นับแต่นั้นต่อมาก็ได้ไปศึกษาและปฏิบัติธรรมร่วมกับ อาจารย์ครุฑ ซึ่งเป็นพระขาว (ปะขาว) และได้รับความรู้ในเรื่องการปฏิบัติธรรมจากท่านอาจารย์ครุฑนี้เพิ่มเติมเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นหลวงปู่คำพันธ์ก็ได้นำเอาแนวทางการปฏิบัติของอาจารย์ทั้ง ๒ มาเป็นแนวทางปฏิบัติกัมมัฏฐาน

หลวงปู่ได้จำพรรษาอยู่ที่ จ.เลย เป็นเวลา ๑ พรรษา หลังจากนั้นได้เดินธุดงค์ไปยัง จ.เชียงราย ประมาณ ๓-๔ เดือน ต่อมาได้รับข่าวโยมบิดาได้เสียชีวิตลง หลวงปู่จึงได้เดินทางกลับมาทำบุญงานศพโยมบิดา

พ.ศ. ๒๔๗๘ อายุ ๒๐ ปี ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ และเริ่มศึกษาพระปริยัติธรรม

พ.ศ. ๒๔๘๒ อายุ ๒๔ ปี โยมมารดาก็ถึงแก่กรรม เวลานั้นเหลือน้องผู้หญิง ๒ คนซึ่งยังเล็กมาก ท่านจึงได้ลาสิกขาออกไปเลี้ยงดูน้องๆ

วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๘ อายุ ๓๐ ปี ได้กลับเข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุอีกครั้ง ณ พัทธสีมาวัดโพธิ์ชัย บ้านพุ่มแก ต.พุ่มแก อ.นาแก จ.นครพนม ได้รับนามฉายาว่า “โฆสปัญโญ” ซึ่งแปลว่า ผู้มีปัญญาระบือไกล, ผู้มีปัญญาอันดังกึกก้องระบือไกล และได้ออกไปอยู่จำพรรษาที่วัดป่าเป็นเวลา ๓ พรรษา

ต่อมาก็ได้ปฏิบัติกัมมัฏฐานพร้อมเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมด้วย ที่วัดพระพุทธบาทจอมทอง บ้านหนองหอยใหญ่ ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม

หลังจากนั้นได้เดินธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆ ในเขต จ.นครพนม สกลนคร อุดรธานี หนองคาย และข้ามไปฝั่งลาวประมาณ ๓-๔ เดือน แต่ไม่ได้จำพรรษา แต่กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบ้านเดิม คือ อ.นาแก อยู่ประมาณ ๓ ปี และญาติโยมชาวบ้านก็นิมนต์ท่านให้เข้ามาอยู่จำพรรษาที่วัดบ้านเพื่อโปรดญาติโยมชาวบ้านบ้าง หลังจากออกพรรษาแล้วหลวงปู่ก็ออกเดินธุดงค์ต่อ จนอายุถึง ๔๐ ปีท่านจึงหยุดเดินธุดงค์ แต่ก็พยายามศึกษาปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานมาโดยตลอดจนกระทั่งมรณภาพ

พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้นำญาติโยมประมาณ ๕ ครอบครัว จากบ้านหนองหอยใหญ่ ต.นาแก อ.นาแก มาสร้างบ้านและวัดใหม่ที่โนนมหาชัย ให้ชื่อบ้านว่า “บ้านมหาชัย” ในปัจจุบันนี้ และได้สร้างวัดใหม่ คือ “วัดธาตุมหาชัย” (เดิมชื่อ วัดโฆษการาม) จนเจริญรุ่งเรืองตราบถึงปัจจุบัน


๏ การศึกษาเบื้องต้นและพระปริยัติธรรม

พ.ศ. ๒๔๗๒ สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ที่โรงเรียนบ้านโพนดู่ บ้านโพนดู่ ต.พุ่มแก อ.นาแก จ.นครพนม

พ.ศ. ๒๔๗๙ อายุ ๒๒ ปี สอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรี ณ สำนักเรียนคณะจังหวัดนครพนม วัดพระพุทธบาทจอมทอง บ้านหนองหอยใหญ่ ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม

พ.ศ. ๒๔๘๘ อายุ ๓๐ ปี สอบไล่ได้นักธรรมชั้นโท ณ สำนักเรียนคณะจังหวัดนครพนม วัดพระพุทธบาทจอมทอง บ้านหนองหอยใหญ่ ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม

พ.ศ. ๒๔๘๙ อายุ ๓๑ ปี สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก ณ สำนักเรียนคณะจังหวัดนครพนม วัดพระพุทธบาทจอมทอง บ้านหนองหอยใหญ่ ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม


๏ การศึกษาพิเศษ

- เมื่อหลวงปู่สอบได้นักธรรมชั้นเอกได้แล้ว ก็ได้พยายามศึกษาพิเศษ เช่น ศึกษาหนังสืออักษรธรรม อักษรขอม อักษรไทยน้อย อ่านเขียนได้คล่องแคล่ว และมีความชำนาญมาก

- ทรงจำพระปาฏิโมกข์ได้แม่นยำ เป็นพระผู้สวดพระปาฏิโมกข์ในวันทำสังฆกรรมอุโบสถ ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๐ เรื่อยมาโดยตลอด

รูปภาพ
พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต

รูปภาพ
พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร


๏ ความชำนาญการ

- มีความชำนาญการแสดงพระธรรมเทศนาโวหาร บรรยายธรรม เทศนาธรรม และเทศนาธรรมแบบปุจฉาวัสัชนา ๒ ธรรมาสน์ จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเขตอีสานเหนือ ยากที่จะหาพระธรรมกถึกรูปอื่นเสมอเหมือนในสมัยนั้น

- มีความชำนาญการเทศนาธรรม ทำนองแหล่ภาษาอีสาน มีความสามารถในการประพันธ์กลอนแหล่ทำนองอีสานได้ เช่น กลอนอัญเชิญพระเวสสันดรเข้าเมือง, พระเวสสันดรทรงพบพระประยูรญาติ, พระเวสสันดรลาป่า, นางมัทรีเดินป่า เป็นต้น

- เป็นพระวิปัสสนาจารย์ใหญ่สายพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล, พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต และพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ให้การอบรมวิปัสสนากัมมัฏฐานประจำที่วัดป่ามหาชัย, วัดส้างพระอินทร์ และวัดภูพานอุดมธรรม (วัดภูพานดานสาวคอยวนาราม) จ.นครพนม เป็นต้น

- มีความชำนาญการด้านนวัตกรรม การออกแบบก่อสร้างเสนาสนะ ทั้งงานไม้ งานปูน โดยเป็นผู้นำในการก่อสร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ และพระธาตุมหาชัย (การก่อสร้างครั้งแรกๆ ท่านทำเองทั้งหมด เพราะสมัยนั้นไม่มีช่างผู้ชำนาญการ และเงินงบประมาณก็มีไม่เพียงพอ)


๏ งานการศึกษาพระปริยัติธรรม

พ.ศ. ๒๕๓๒ หลวงปู่ได้ตั้งสำนักเรียนพระปริยัติธรรมวัดธาตุมหาชัย ทั้งแผนกธรรม-บาลีขึ้นจนสามารถมีลูกศิษย์สอบนักธรรม ได้เป็นจำนวนมากเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี และมีลูกศิษย์สามารถสอบเปรียญธรรมได้ทุกปี ปีละหลายๆ รูป ทำให้การศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม-บาลี ของอำเภอปลาปากดีขึ้นตามลำดับ

พ.ศ. ๒๕๓๔ หลวงปู่ได้จัดตั้งทุนมูลนิธิการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกธรรม-บาลี ขึ้นที่วัดธาตุมหาชัย เพื่อส่งเสริมและมอบทุนการศึกษาให้แก่พระภิกษุ สามเณร ที่มีความรู้ความสามารถสอบนักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ได้ และสามารถสอบเปรียญธรรมได้ รวมทั้ง หลวงปู่ยังให้ทุนการศึกษาแก่ลูกศิษย์ที่ไปเรียนต่ออีกด้วย


๏ งานการศึกษาสงเคราะห์

พ.ศ. ๒๕๓๕ หลวงปู่ได้จัดตั้งกองทุนมูลนิธิการศึกษาให้แก่นักเรียนที่ยากจน ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร ในเขตอำเภอปลาปาก และทุกอำเภอในเขตจังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ ๑๐ เดือนมกราคมของทุกๆ ปี หลวงปู่คำพันธ์จะมอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนทุกอำเภอๆ ละ ๙ ทุน และมอบทุนให้เป็นค่าอาหารกลางวันให้แก่โรงเรียนต่างๆ ด้วย

พ.ศ. ๒๕๓๕ หลวงปู่คำพันธ์ได้สร้างโรงเรียนมัธยมขึ้นที่บ้านนกเหาะ ต.โคกสูง อ.ปลาปาก จ.นครพนม ตั้งชื่อโรงเรียนมัธยมแห่งนี้ว่า ธรรมโฆษิตวิทยา มีนักเรียนเพิ่มมากขึ้นทุกๆ ปี และหลวงปู่คำพันธ์ยังได้เป็นผู้อุปถัมภ์โรงเรียนแห่งนี้มาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน

พ.ศ. ๒๕๓๘ หลวงปู่คำพันธ์ได้ขออนุญาตสร้างโรงเรียนสุนทรธรรมากร และในปัจจุบันนี้ทางราชการได้เปลี่ยนใหม่ให้ชื่อว่า โรงเรียนมัธยมมหาชัยธรรมากร เพราะตั้งอยู่ที่บ้านโนนศรีชมภูทางแยกเข้ามาบ้านมหาชัย หลวงปู่ก็ให้การอุปถัมภ์ในทุกวันนี้และได้จัดบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนเป็นประจำ


๏ งานการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

พ.ศ. ๒๕๓๒ หลวงปู่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าหน่วยพระธรรมฑูต ฝ่ายกำกับการพระธรรมฑูต อ.ปลาปาก จ.นครพนม

พ.ศ. ๒๕๓๓ หลวงปู่ได้ร่วมมือกับคณะสงฆ์และทางราชการออกไปอบรมประชาชนตามหมู่บ้านต่างๆ ในเขตการปกครอง และร่วมกับหน่วยงานของราชการทุกหน่วยงานออกไปอบรมตามโครงการหมู่บ้านแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองของ อ.ปลาปาก และยังได้ติดตามคณะพระธรรมฑูตจากส่วนกลางออกเยี่ยมเยียนประชาชนในเขตอำเภอปลาปาก โดยสม่ำเสมอมาตลอดทุกปี

ในฐานะพระนักเทศน์มักมีข้อธรรมกถาที่แยบยล รวมทั้งคำสั่งสอนเข้าใจง่าย ทุกบท ทุกวลี มีธรรมาภินิหาร ความหมายกินใจ ประจักษ์แจ้งแก่ผู้ฟังทั้งสิ้น

(มีต่อ)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 11:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

๏ งานสาธารณูปการ

พ.ศ. ๒๔๙๒ เป็นประธานสร้างอุโบสถ วัดพระพุทธบาทจอมทอง

พ.ศ. ๒๔๙๔ เป็นประธานสร้างหอระฆัง วัดพระพุทธบาทจอมทอง

พ.ศ. ๒๔๙๕ เป็นประธานนำชาวบ้านญาติโยมประมาณ ๕ ครอบครัว จากบ้านหนองหอยใหญ่ อ.นาแก ที่พากันติดตามหลวงปู่มา สร้างวัดใหม่ที่โนนมหาชัย ใช้ชื่อวัดว่า วัดโฆษการาม (วัดธาตุมหาชัย ในปัจจุบัน) บ้านมหาชัย ต.มหาชัย อ.ปลาปาก จ.นครพนม

พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นประธานสร้างพระคู่บ้านมหาชัย “พระพุทธศักดิ์สิทธิ์”

พ.ศ. ๒๕๑๔ หลวงปู่ได้เป็นประธานนำคณะศรัทธาญาติโยมชาวบ้านมหาชัย สร้างธาตุเจดีย์ขึ้นภายในวัด ซึ่งมีลักษณะทรงแปดเหลี่ยมด้วยศิลาแลงเสริมคอนกรีต สูง ๑๕ เมตร ตั้งชื่อว่า “พระธาตุมหาชัย” เพื่อเป็นหลักบ้านให้แก่ชาวมหาชัย ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันตธาตุ ๔ องค์ ได้แก่ พระอัญญาโกณฑัญญะ พระสารีบุตร พระอานนท์ และพระอนุรุทธะ

วันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ ตรงกับวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ ๙ ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ที่ “พระธาตุมหาชัย” และทรงเวียนเทียนรอบองค์พระธาตุด้วยพระองค์เอง พร้อมด้วยข้าราชบริพารและพสกนิกร ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นประธานสร้างอุโบสถ วัดธาตุมหาชัย

พ.ศ. ๒๕๒๔ เป็นประธานสร้างกำแพงล้อมรอบวัดธาตุมหาชัย

พ.ศ. ๒๕๒๗ เป็นประธานสร้างกุฏิสงฆ์

พ.ศ. ๒๕๒๗ เป็นประธานสร้างวัดป่ามหาชัย (วัดป่าอรัญญคาม) และในปีเดียวกันนั้นเองหลวงปู่ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำพระปรมาภิไธยย่อ (ภปร.) ประดิษฐานไว้ที่หน้าบันอุโบสถ วัดโฆษการาม (วัดธาตุมหาชัย ในปัจจุบัน)

วัดป่ามหาชัย (วัดป่าอรัญญคาม) สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ฝึกปฏิบัติธรรมและเป็นศูนย์รวมการเผยแผ่พุทธธรรม โดยมีการอบรมปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานทุกๆ ปี ระหว่างเดือนธันวาคม-มกราคม และเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษาจะมีการฝึกปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานแก่ผู้เข้ารับการฝึกอบรมตลอดไตรมาส


พ.ศ. ๒๕๒๘ เป็นประธานสร้างกุฏิสงฆ์หลังใหม่อีกหลังหนึ่ง และหลวงปู่ได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนชื่อจากเดิมคือ วัดโฆษการาม เป็น วัดธาตุมหาชัย จนกระทั่งถึงปัจจุบัน และในปีเดียวกันนั้นหลวงปู่ได้เป็นประธานสร้างศาลาการเปรียญ-หอสมุดภายในวัด

พ.ศ. ๒๕๒๙ หลวงปู่ได้สร้างหอพระไตรปิฎก หอระฆัง

พ.ศ. ๒๕๓๔ เป็นประธานสร้างโรงเรียนมัธยม “โรงเรียนธรรมโฆษิตวิทยา”

พ.ศ. ๒๕๓๖ เป็นประธานสร้างโรงเรียนมัธยม “โรงเรียนธรรมากรวิทยา”

พ.ศ. ๒๕๓๖ เป็นประธานสร้าง “พระธาตุมหาชัย” ครอบองค์เดิม

พ.ศ. ๒๕๓๗ เป็นประธานสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ “พระพุทธการุณ” ณ วัดส้างพระอินทร์

พ.ศ. ๒๕๓๗ เป็นประธานสร้างโรงเรียนมัธยม “โรงเรียนมหาชัยวิทยาคม”

พ.ศ. ๒๕๔๕ เป็นประธานสร้างตึกผู้ป่วย โรงพยาบาลปลาปาก

รูปภาพ
ป้ายชื่อตรงปากทางเข้าวัดธาตุมหาชัย จ.นครพนม

รูปภาพ
วัดธาตุมหาชัย จ.นครพนม


๏ การสร้างวัตถุมงคล

นอกจากงานด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแล้ว ในด้านวัตถุมงคลท่านก็โด่งดังยิ่งนัก แต่เริ่มเดิมทีหลวงปู่คำพันธ์ท่านหาได้สนใจจัดสร้างไม่ ท่านนั่งปลุกเสกสร้างวัตถุมงคลไปแล้วไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ รุ่น เพื่อนำปัจจัยไปพัฒนากิจการด้านการศึกษา การศาสนา การสังคม และวัฒนธรรมพื้นถิ่น

วัตถุมงคลรุ่นแรกเป็นเหรียญรุ่นหยดน้ำ สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ต่อมาในช่วงกลางเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ ทางวัดธาตุมหาชัยกำลังพัฒนา หลวงปู่คำพันธ์จึงได้สร้างอิทธิมงคลขึ้น ชื่อชุด “มหาชัยมงคล” เป็นพระสมเด็จปรกโพธิ์หล่อ และล็อกเกตอุดผงตะกรุดทองคำ ซึ่งท่านได้ทำพิธีอธิษฐานจิตปลุกเสกมหามนตราศักดิ์สิทธิ์วัตถุมงคลนี้เป็นกรณีพิเศษ เพื่อนำปัจจัยมาสมทบทุนมูลนิธิสังฆศาสน์ และเป็นทุนพัฒนาวัดธาตุมหาชัย

รวมทั้ง เหรียญรุ่นมหาปรารถนา สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่ได้รับความนิยมสูงสุด และเป็นเหรียญรุ่นสุดท้าย ซึ่งกองทัพบกสร้างขึ้น และได้ขอบารมีให้ท่านปลุกเสก

ในจำนวนวัตถุมงคลที่สร้างและออกในนามหลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ วัดธาตุมหาชัย ทุกรุ่น จะพบว่า ยันต์ด้านหลังเหรียญที่พบมากที่สุด คือ “ยันต์สมปรารถนา” ซึ่งอาจจะเรียกว่าเป็นยันต์เฉพาะตัวของหลวงปู่คำพันธ์ก็ว่าได้

ส่วนที่มาของยันต์นั้น หลวงปู่คำพันธ์ได้มาจากจารึกบนแผ่นศิลา ใต้ฐานองค์พระธาตุพนม ซึ่งค้นพบหลังจากพระธาตุพนมล้มลง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ โดยหลวงปู่คำพันธ์กล่าวไว้ว่า “ภาษาจารึกเป็นภาษาสวรรค์” ทั้งนี้ หลวงปู่ได้นำมาปรับแต่ง และเขียนยันต์ขึ้นใหม่ เพราะท่านศึกษาอักษรธรรมอีสาน อักษรขอม อักษรไทยน้อย อ่านเขียนได้คล่องแคล่ว และมีความชำนาญมาก โดยใช้ชื่อว่า “ยันต์สมปรารถนา”

ส่วนพระคาถาที่หลวงปู่คำพันธ์ใช้ในพิธีอธิษฐานจิต ปลุกเสกมหามนตราศักดิ์สิทธิ์วัตถุมงคล คือ “คาถาพระพุทธเจ้า” โดยบริกรรมว่า “ทิตะ ศิรา ทันนันฑะ โลกะ ลิลากะ ละลาสติโป จะติโห คะหะตะเน”

“ยันต์สมปรารถนา” ของหลวงปู่คำพันธ์ มีความพิเศษกว่ายันต์ของพระเกจิอาจารย์รูปอื่นๆ คือ เขียนด้วยอักขระขอม และอักขระธรรมอีสาน ซึ่งปกติแล้วการเขียนยันต์ทั่วๆ ไปจะใช้อักขระเดียวเท่านั้น อักขระที่ใช้เขียนยันต์มี ๖ ภาษา ได้แก่ อักขระขอม อักระธรรมล้านนา อักขระธรรมอีสาน อักขระมอญ อักขระพม่า และอักขระสิงหล ซึ่งเมื่อเทียบเคียงแล้ว จะพบว่าอักขระทั้ง ๖ ภาษา (ถ้ารวมไทยด้วย ๗ ภาษา) บางตัวเขียนคล้ายกันมาก เช่น ก.ไก่ ย.ยักษ์ และ ว.แหวน เป็นต้น ที่เป็นเช่นนี้ เพราะการประดิษฐ์อักษรไทยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชในสมัยสุโขทัยนั้น ประยุกต์หรือปรับปรุงมาจากอักษรมอญ และขอม ซึ่งมีการใช้อักษรมาก่อน


๏ ลำดับงานปกครองคณะสงฆ์

พ.ศ. ๒๕๐๙ เป็นเจ้าอาวาสวัดโฆษการาม (วัดธาตุมหาชัย ในปัจจุบัน)

พ.ศ. ๒๕๐๙ เป็นเจ้าคณะตำบลมหาชัย

พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นรองเจ้าคณะอำเภอปลาปาก

พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นพระอุปัชฌาย์

พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นเจ้าสำนักศาสนศึกษาวัดธาตุมหาชัย แผนกธรรมและบาลี

พ.ศ. ๒๕๓๑ เป็นเจ้าคณะอำเภอปลาปาก

พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอปลาปาก


๏ ลำดับสมณศักดิ์

พ.ศ. ๒๕๑๘ พระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่ “พระครูสุนทรธรรมโฆษิต”

พ.ศ. ๒๕๒๐ พระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในราชทินนามเดิม

พ.ศ. ๒๕๒๘ พระครูสัญญาบัตรชั้นเอก ในราชทินนามเดิม

พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ในราชทินนามที่ “พระสุนทรธรรมากร” อันมีความหมายเป็นมงคลว่า “ผู้เป็นต้นธรรมที่ดีพร้อม”

แม้จะได้รับการแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะ (เจ้าคุณ) แต่ใจท่านเป็นพระเต็มตัว ละแล้วซึ่งกิเลส ไม่ยึดติดในลาภสักการะคำสรรเสริญเยินยอใดๆ


๏ หลวงปู่คำพันธ์ ธุดงค์ผ่านภูลังกา

จากประวัติหลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ บันทึกว่า ท่านได้เดินรุกขมูลขึ้นไปตามลำแม่น้ำโขง เข้าเขตอำเภอบ้านแพงขึ้นภูลังกา ยามเย็นได้ไปยืนอยู่ที่หน้าผาฝั่งตะวันตกในเขตบึงโขงหลง มองลงมาข้างล่างเห็นฝูงช้างจำนวนมาก บางตัวก็มีลูกอ่อน พากันหักต้นกล้วยป่ากินเป็นอาหารแบบสบายอารมณ์ ฝูงละ ๕ ตัวบ้าง ๖ ตัวบ้าง

จากการค้นคว้าประวัติครูบาอาจารย์ ทำให้รู้ว่าอาณาบริเวณถ้ำชัยมงคล (ถ้ำหลวงปู่วัง ฐิติสาโร) ที่ยอดภูลังกาโดยรอบ คือดินแดนที่พระอริยสงฆ์แต่อดีตถึงปัจจุบันได้ขึ้นมาบำเพ็ญเพียรภาวนามิได้ขาด น่าเสียดายที่ทุกวันนี้ ดินแดนแห่งนี้กลับกลายเป็นแหล่งหาผลประโยชน์ของบุคคลบางกลุ่มไปเสียแล้ว

รูปภาพ
หลวงปู่สนธิ์ สุรชโย วัดท่าดอกแก้วเหนือ จ.นครพนม

รูปภาพ
หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ วัดธาตุมหาชัย จ.นครพนม

รูปภาพ
พระครูสุนทรชยาภิวัฒน์ (พระอาจารย์มหาสมัย รักขิตธัมโม)
เจ้าอาวาสวัดธาตุมหาชัย จ.นครพนม รูปปัจจุบัน



๏ ศึกษาเคล็ดลับวิชา “น้ำมนต์พระจันทร์”
กับหลวงปู่สนธิ์ สุรชโย วัดท่าดอกแก้วเหนือ


“น้ำมนต์พระจันทร์” นี้เป็นพระพุทธมนต์ที่มีมาแต่โบราณกาล จะเกิดขึ้นแห่งใดเป็นแห่งแรกไม่ปรากฏแน่ชัด แต่คาดว่ามาจากพระพุทธศาสนาลัทธิหินยาน (เถรวาท) จากประเทศจีน ตอนหลังตกมายังประเทศพม่า ลาว และกัมพูชา และล่าสุดคือประเทศไทย

หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ เคยเล่าให้ “คุณอาคม ทรงสถาพรเจริญ” ฟังว่า ช่วงที่ท่านเดินธุดงค์โดยมีเณรอุปัฏฐากติดตามไปด้วย ท่านได้เดินเทศน์หาปัจจัยสร้างโบสถ์ วัดพระพุทธบาทจอมทอง อ.นาแก จ.นครพนม เดินทางจาก อ.นาแก จนกระทั่งเข้าสู่หนองคาย ระยะทางประมาณสามร้อยกว่ากิโลเมตร เดินทางผ่านลำห้วยใหญ่แต่ละแห่งได้พบปะภูมิเจ้าที่และผีเปรตมาขอส่วนบุญ ตลอดจนสัตว์ร้ายนานาชนิด

ช่วงท่านเดินทางมาถึงท่าดอกแก้ว ท่านได้แวะสนทนาธรรมและคาราวะ “พระครูสันธานพนมเขต (หลวงปู่สนธิ์ สุรชโย)” แห่งวัดท่าดอกแก้วเหนือ จ.นครพนม ซึ่งสมัยนั้นท่านยังมีชีวิตอยู่ หลวงปู่คำพันธ์ได้ศึกษาวิชาบางส่วนจากหลวงปู่สนธิ์ สุรชโย วิชานี้เรียกว่า “น้ำมนต์พระจันทร์” หลวงปู่สนธิ์ท่านพูดว่าผู้เรียนวิชานี้ได้จะต้องมีบุญวาสนาสูง มีสมาธิจิตเป็นเยี่ยม และต้องบรรลุธรรมชั้นสูง ไม่ใช่พระภิกษุรูปใดจะเรียนได้ เมื่อท่านพบกับหลวงปู่คำพันธ์แล้วรู้ว่าสามารถเรียนวิชานี้ได้ จึงมอบวิชานี้ให้ซึ่งเป็นตัวอักษรธรรมลาว

หลังจากนั้นหลวงปู่คำพันธ์ท่านก็ได้ศึกษาเรื่อยมาจนชำนาญ มาพบเสธวรนาถ (พลอากาศเอกวรนารถ อภิจารี) ท่านเสธวรนาถก็มี “ตำรามนต์พระจันทร์” ได้มาจากกรุงเทพฯ เป็นตำราเก่า คิดว่าเป็นสายวัดสุทัศน์

หลวงตาทอง ศิษย์ผู้ใกล้ชิดหลวงปู่คำพันธ์ กล่าวว่า “หลวงปู่คำพันธ์ท่านพิจารณาแล้ว เสธวรนารถมีความสนใจคงอยากอาบน้ำมนต์พระจันทร์ ซึ่งแต่โบราณกาลตำราของครูบาอาจารย์ลุ่มแม่น้ำโขงที่หลวงปู่คำพันธ์ได้มา น้ำมนต์พระจันทร์ปีหนึ่งอาบได้หนึ่งครั้ง ถ้าจะให้ได้ผลอาบได้ปีละหนึ่งคน คนอาบจะต้องเป็นคนดีมีศีลธรรม โดยใช้บาตรน้ำมนต์หนึ่งใบ มีดอกบัวหนึ่งดอกที่ตูมใกล้จะบาน เวลาที่พระจันทร์อยู่ตรงกับบาตร เวลาประมาณหกทุ่มก็จะเริ่มทำพิธี จุดเทียนขี้ผึ้งแท้ และบริกรรมพระคาถาพร้อมทั้งอธิฐานจิต สร้างธาตุหนุนธาตุเสริมธาตุ ขอบารมีให้ประสบผลสำเร็จตามที่ผู้อาบน้ำมนต์ต้องการ ส่วนผู้ที่อาบน้ำมนต์ต้องอธิษฐานอย่างเดียวว่าต้องการอะไร เช่น ต้องการเป็นแม่ทัพ ต้องการเป็นเศรษฐี ต้องการให้หนี้หมด หรือต้องการให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ พอบริกรรมน้ำมนต์เสร็จก็จะเอาบาตรน้ำมนต์มาอาบกลางแจ้งต่อแสงเดือน เทรดลงศีรษะครั้งเดียวเป็นอันเสร็จพิธี ตามตำราผู้ทำมนต์จะต้องอธิษฐานพระคาถาน้ำมนต์พระจันทร์จนดอกบัวบานจึงจะได้ผลและมีพุทธานุภาพสูง”

และในปี พ.ศ.ใด ไม่ทราบข้อมูลละเอียด หลวงตาทองกล่าวว่า “หลวงปู่คำพันธ์ได้ทำน้ำมนต์พระจันทร์ให้กับพลอากาศเอกวรนารถ อภิจารี อาบเพียงผู้เดียวเท่านั้นในลานอุโบสถ วัดธาตุมหาชัย ในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง (ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบสอง) คนเต็มวัดฯ”

หลังจากที่หลวงปู่คำพันธ์ได้อาบน้ำมนต์พระจันทร์ให้แก่ลูกศิษย์ลูกหาที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบหลายคน ทำลูกศิษย์ที่อาบสมปรารถนาด้วยประการทั้งปวงแล้ว จากปากต่อปากของลูกศิษย์และพระเณรในวัดได้พูดต่อกันไป แพร่กระจายกันออกไป ฝูงลูกศิษย์และประชาชนต่างๆ ก็แห่กันเดินทางมายังวัดธาตุมหาชัย โดยนำเทียนและบาตรน้ำมนต์ติดตัวมา บางคนก็มายืมบาตรน้ำมนต์จากพระและเณรภายในวัด มานั่งรออาบน้ำมนต์ตั้งแต่เวลาประมาณสองทุ่มจนดึก เหมือนกับมีงานมหรสพ ซึ่งบุคคลที่อยากจะอาบน้ำมนต์มีทั้งบุคคลที่มีศีลธรรมและบุคคลที่ไม่มีศีลธรรม นักเลงหัวไม้ก็มี โกงเงินชาวบ้านก็มี แต่มีความต้องการมาอาบน้ำมนต์วันเพ็ญเดือนสิบสอง

หลวงปู่คำพันธ์ท่านพูดว่า “น้ำมนต์ผู้จะอาบต้องเป็นบุคคลประพฤติปฏิบัติดี รักษาศีล และเป็นคนดีเท่านั้น” เพราะฉะนั้นขอยุติการอาบน้ำมนต์พระจันทร์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เมื่อหลวงปู่คำพันธ์ท่านหยุดทำน้ำมนต์พระจันทร์ แต่ละปีลูกศิษย์ลูกหาก็เฝ้ารอคอยว่า ปีใดท่านจะใจอ่อนยอมทำน้ำมนต์พระจันทร์อีก ทุกวันเพ็ญเดือนสิบสอง ลูกศิษย์ลูกหาแต่ละคนก็จะเดินทางมายังวัดธาตุมหาชัยและสอดส่องดู บ้างก็โทรศัพท์มาถามพระเณรที่วัดว่ามีการอาบน้ำมนต์หรือไม่ เพราะปรารถนาที่จะได้อาบน้ำมนต์ จึงคิดหาวิธีการว่าทำอย่างไรจึงจะมีโอกาสได้อาบน้ำมนต์

เจ้าคณะจังหวัดนครพนม ในสมัยนั้นคือ พระราชปริยัตยาจารย์ (หลวงพ่อชม ธัมมธีโร) จึงคิดหาวิธีการว่าทำอย่างไรจึงจะให้ลูกศิษย์หลายคนสมปรารถนา จึงขออนุญาตหลวงปู่คำพันธ์สร้างบาตรน้ำมนต์และเหรียญน้ำมนต์ โดยจัดพิธีพุทธาภิเษกขึ้นในวันเพ็ญเดือนสิบสองของปีถัดมา

หลังจากนั้นในวันเพ็ญเดือนสิบสองปีต่อมาเช่นเดียวกัน พระครูสุนทรชยาภิวัฒน์ (พระอาจารย์มหาสมัย รักขิตธัมโม) เจ้าอาวาสวัดธาตุมหาชัย รูปปัจจุบัน ก็ขออนุญาตสร้างบาตรน้ำมนต์ และจัดพิธีพุทธาภิเษกขึ้นในวันเพ็ญเดือนสิบสองเช่นเดียวกัน มีลูกศิษย์ที่อยู่ในกรุงเทพฯ สมุทรปราการ หรือจังหวัดที่ไกลจากนครพนม ในวันลอยกระทงหรือวันเพ็ญเดือนสิบสองจะนำบาตรน้ำมนต์หรือขันน้ำมาตั้งไว้ในที่แจ้ง ใส่เหรียญน้ำมนต์ลงในบาตรหรือใส่เหรียญหลวงปู่คำพันธ์รุ่นใดรุ่นหนึ่งลงในบาตร นำดอกบัวใส่ในบาตรหนึ่งดอก จุดเทียนเวลาประมาณห้าถึงหกทุ่ม เวลาที่พระจันทร์อยู่ตรงกับบาตรน้ำมนต์ หันหน้ามาทางทางวัดธาตุมหาชัย ถ้าหากอยู่ต่างจังหวัดก็หันหน้ามาทางจังหวัดนครพนม ระลึกถึงหลวงปู่คำพันธ์ สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ หรืออาจสวดพาหุงหรือชินบัญชรแล้วแต่คนถนัด แล้วนำน้ำมนต์มาเทอาบเพื่อเป็นสิริมงคล เสมือนหนึ่งได้อาบน้ำมนต์พระจันทร์จากหลวงปู่


:b44: ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่สนธิ์ สุรชโย”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=31045


๏ ลักษณะนิสัยทั่วไป

พระเดชพระคุณหลวงปู่เป็นพระมหาเถระ ที่มีอัธยาศัยใจคอกว้างขวาง เยือกเย็น มีความเมตตา กรุณาต่อศิษยานุศิษย์ ตลอดถึงญาติโยมทุกคนที่เข้าหาท่าน ใครก็ตามที่มีปัญหา หรือมีความทุกข์เข้าหาท่าน จะได้รับการต้อนรับจากท่านอย่างดียิ่ง เสมอกันหมด ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม ต่อครูบาอาจารย์และพระเถระที่อาวุโสกว่า หลวงปู่จะแสดงอาการอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ โดยไม่เคยจะแสดงอาการแข็งกระด้างใดๆ เลย ด้วยเหตุนี้หลวงปู่จึงเป็นที่เคารพนับถือของศิษยานุศิษย์และญาติโยมโดยทั่วไปเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้แล้ว หลวงปู่ก็ยังเป็นพระเถระที่มีความตั้งใจมั่นคงหนักแน่นอีกด้วย จะเห็นได้จากการที่ท่านตั้งใจจะทำสิ่งใดแล้ว จะต้องทำสิ่งนั้นให้สำเร็จให้จงได้ คงเป็นเพราะความตั้งใจจริงและความตั้งใจมั่นคงนี้เอง ที่ทำให้หลวงปู่ทำสิ่งใดก็สำเร็จลุล่วงด้วยดี และรวดเร็วเกินความคาดหมายทุกประการ

ตัวอย่างเช่น พระธาตุมหาชัย, อุโบสถวัดธาตุมหาชัย, กำแพงล้อมรอบวัดธาตุมหาชัย และกุฏิสงฆ์หลังใหม่ ๒ หลัง ซึ่งสิ่งก่อสร้างแต่ละอย่างล้วนแต่ใช้ค่าก่อสร้างจำนวนมากทั้งสิ้น เมื่อคณะศรัทธาญาติโยมที่มีความเคารพนับถือในตัวหลวงปู่ได้ทราบ ต่างก็มีจิตศรัทธาช่วยกันสละกำลังทรัพย์มาช่วยในรูปของกฐินบ้าง ผ้าป่าบ้าง จนงานก่อสร้างดังกล่าวสำเร็จรวดเร็วเกินคาด

อีกประการหนึ่ง โดยอุปนิสัยแล้ว หลวงปู่ท่านถือการปฏิบัติกัมมัฏฐานเป็นประจำนับตั้งแต่อุปสมบทพรรษาแรก จนกระทั่งมรณภาพ


๏ การมรณภาพ

พระเดชพระคุณพระสุนทรธรรมากร (หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ) ท่านได้ถึงแก่มรณภาพลงด้วยอาการอันสงบภายในกุฏิจำพรรษา วัดธาตุมหาชัย จ.นครพนม เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๖ เวลาประมาณ ๐๑.๕๙ น. ด้วยโรคชราภาพ ประกอบกับมีโรคประจำตัวหลายอย่างแทรกซ้อนหลังจากอาพาธมานานหลายปี สิริอายุรวมได้ ๘๙ พรรษา ๕๙ ท่ามกลางความอาลัยโศกเศร้าของบรรดาคณะสงฆ์ คณะลูกศิษย์ลูกหาที่ใกล้ชิด ตลอดจนพุทธศาสนิกชนทั่วไปที่เลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่เป็นยิ่งนัก

วันนี้...หลวงปู่คำพันธ์ พันธุ์ไม้มีแก่นในตัว ท่านสิ้นใจแต่ไม่สิ้นธรรม

รูปภาพ
“พระธาตุมหาชัย” พระธาตุประจำวันพุธ ณ วัดธาตุมหาชัย จ.นครพนม
ขอขอบพระคุณที่มาของรูปภาพ : baanjompra.com



.............................................................

:b8: :b8: :b8: รวบรวมและคัดลอกเนื้อหามาจาก ::
(๑) ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ”
จาก...เว็บไซต์วัดป่ามหาชัย watpamahachai.net

(๒) ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่สนธิ์ สุรชโย”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=31045

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 11:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

อิทธิบารมีเหรียญพระสมเด็จหลวงปู่คำพันธ์

จาก...นิตยสารโลกลี้ลับ ปีที่ 20 ฉบับที่ 223
ประจำเดือนกรกฏาคม พ.ศ. 2546


ในบรรดาพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั่วทั้งพุทธจักร ย่อมรู้จักนามของ “หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ” หรือ “พระสุนทรธรรมากร” นักบุญผู้มีเมตตาธรรมสูง แห่งวัดธาตุมหาชัย บ้านมหาชัย ต.มหาชัย อ.ปลาปาก จ.นครพนม ซึ่งเป็นพระอาจารย์ที่มีศีลาจารวัตรอันงดงาม พรหมวิหารธรรมของท่านประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา เป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนทั่วไป

โดยเฉพาะอิทธิมงคลของหลวงปู่คำพันธ์ ล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์ปาฏิหาริย์สูงล้ำหลายด้าน จึงได้รับความนิยมจากวงการพระเครื่องอย่างรวดเร็ว ด้วยท่านเป็นผู้อุทิศชีวิตให้กับการปฏิบัติธรรมจนบรรลุผลทางใจกลายเป็นพระอริยสงฆ์ผู้เปี่ยมด้วยเมตตาอันสูงสุด ทั้งยังเป็นแสงสว่างแห่งปัญญาวิสุทธิ์ของชาวพุทธ ท่านมิใช่เกจิอาจารย์ธรรมดา แต่หลวงปู่นี้คือยอดเกจิอาจารย์ผู้รุ่งเรืองด้วยพุทธิปัญญาโดยแท้

ด้วยคำสอนอันเรียบง่ายของท่าน แต่ลึกซึ้งด้วยแก่นแท้แห่งธรรมที่นักปราชญ์ทั้งทางโลกและทางธรรมยอมรับว่าท่านมี ดวงตาที่สาม สามารถรู้แจ้งในพระธรรมของพระพุทธเจ้า เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในธรรม สมกับที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น พหูสูตทางศาสนา ผู้หนึ่ง

ในช่วงกลางเดือนกันยายน พ.ศ. 2535 ทางวัดธาตุมหาชัยกำลังพัฒนา หลวงปู่คำพันธ์จึงได้สร้างอิทธิมงคล ชุด “มหาชัยมงคล” ขึ้น เพื่อนำปัจจัยมาสมทบทุนมูลนิธิสังฆศาสน์ และเป็นทุนพัฒนาวัดธาตุมหาชัย ซึ่งผมเองก็ได้เดินทางไปขอเช่าวัตถุมงคลด้วย เป็นพระสมเด็จปรกโพธิ์หล่อ และล็อกเกตอุดผงตะกรุดทองคำ เพื่อไว้บูชาและความเป็นสิริมงคล โดยที่ได้นำเอาพระสมเด็จปรกโพธิ์หล่อจัดใส่กรอบแขวนห้อยคอตัวเอง ส่วนล็อกเกตอุดผงได้ให้ภรรยาแขวนคอไว้บูชา ซึ่งหลวงปู่คำพันธ์ได้ทำพิธีอธิษฐานจิต ปลุกเสกมหามนตราศักดิ์สิทธิ์วัตถุมงคลนี้เป็นกรณีพิเศษ

หลังจากที่ได้ “พระสมเด็จปรกโพธิ์หล่อ” ของหลวงปู่คำพันธ์มาบูชา โดยคล้องคออยู่ตลอดเวลา จนมาช่วงหลายเดือนมกราคม ปี 2540 ผมได้เดินทางไปเข้าร่วมอบรมสัมมนาทางวิชาการฯ ของโรงเรียนในกลุ่มเขตการศึกษา 10 ที่จังหวัดอุบลราชธานี หลังเสร็จสิ้นภารกิจการอบรมฯ ที่จัดขึ้น 3 วันแล้ว วันสุดท้ายจึงได้ไปเที่ยวฟังเพลงในคาเฟ่แห่งหนึ่งในตัวจังหวัดเพียงคนเดียว จนกระทั่งเกิดเหตุทะเลาะกับกลุ่มวัยรุ่นที่เมาสุรา และเหมือนคราวเคราะห์เนื่องจากเหตุการณ์บานปลาย

ขณะนั้นหนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นได้ชักปืนขนาด .38 ออกมายิงใส่ตัวผมจำนวน 5 นัดซ้อน ในระยะเผาขน จนเป็นเหตุให้ผมล้มฟุบลงด้วยความเจ็บ ก่อนที่วัยรุ่นกลุ่มนั้นจะแตกกระเจิงหลบหนีไปคนละทิศละทาง และจากความแรงของวิถีกระสุนทำให้ผมมีอาการเจ็บปวดระคนจุกเสียดบริเวณหน้าอกและกลางหลังเหมือนกับจะหมดสติ และนอนนิ่งกองกับพื้นหมดสติไปในที่สุด ณ ที่ตรงนั้น ชั่วอึดใจได้มีผู้คนเห็นเหตุการณ์แห่มามุงดู พอผมตั้งสติได้จึงขยับตัวพยายามลุกขึ้นยืนท่ามกลางความงุนงงของผู้คนเหล่านั้น

เวลานั้นผมบอกอะไรไม่ถูก เหมือนคนตายแล้วเกิดใหม่และแทบไม่น่าเชื่อว่าผมจะยังมีชีวิตอยู่ ผมรอดตายมาได้ยังไง ? ด้วยมีรอยกระสุนที่ถูกยิงบริเวณหน้าอก ชายโครง และท้องน้อย 5 จุด ซึ่งมีลักษณะเป็นรอยไหม้และแผลเป็นลึกบุ๋มลงไปเล็กน้อยเท่านั้น คงเป็นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของพระสมเด็จปรกโพธิ์หล่อ ของหลวงปู่คำพันธ์ แน่เลยที่ช่วยให้ผมรอดพ้นจากความตายมาได้อย่างน่าอัศจรรย์เพียงนี้

ด้วยความศักดิ์สิทธิ์นี่เอง ผมจึงได้ห้อย “พระสมเด็จปรกโพธิ์หล่อ” ของหลวงปู่คำพันธ์ติดตัวเป็นประจำด้วยความเคารพเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงกล้า และมีความมั่นใจกับพระเครื่องของหลวงปู่คำพันธ์ที่ท่านได้สร้างขึ้นว่า เป็นพระแท้ที่เปี่ยมด้วยพลังเมตตา แคล้วคลาดสูงสุด ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพระปรมาจารย์ หรือพระเกจิอาจารย์องค์สำคัญใดๆ ในแผ่นดินธรรมนี้เลย

รูปภาพ


.............................................................

:b8: :b8: :b8: คัดลอกเนื้อหามาจาก ::
http://www.lekpluto.com/suksit/suksit_04.htm
พิมพ์เนื้อเรื่องส่งมาให้โดย คุณ Lilly

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2015, 14:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2007, 13:49
โพสต์: 1013


 ข้อมูลส่วนตัว


กราบสาธุ หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ พระอริยสงฆ์แห่งวัดธาตุมหาชัย

.....................................................
ทำความดีทุกๆ วัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2017, 09:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 เม.ย. 2015, 09:43
โพสต์: 718

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาสาธุนะครับ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2022, 16:20 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 0 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร