วันเวลาปัจจุบัน 01 พ.ย. 2024, 07:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=28



กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2008, 07:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ตำ น า น พ ร ะ ป ริ ต ร
เ จ็ ด ตำ น า น

โดยทั่วไปพุทธศาสนิกชนมักทำบุญ
โดยนิมนต์พระสงฆ์มาสวดสาธยายบทพระพุทธมนต์ในพิธีมงคล
หรือพิธีที่จัดขึ้นเพื่อความสุขความเจริญ
เป็นสิริมงคลแก่การดำเนินชีวิตในวาระต่างๆ
ซึ่งมักจะเรียกรวมกันว่าว่า
พิธีเจริญพระพุทธมนต์

คำว่า “พระพุทธมนต์” หมายถึง
พระพุทธพจน์อันเป็นพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า
ที่มีปรากฏในพระไตรปิฏกบ้าง
เป็นคำที่แต่งขึ้นมาภายหลังบ้าง

โดยถือกันว่าพระพุทธมนต์เป็นคำศักดิ์สิทธิ์
สามารถปัดป้องอันตรายต่างๆ ได้
จึงเรียกอีกอย่างว่า “พระปริตร”


คำว่า “ปริตร” มีความหมายว่า คุ้มครองรักษา
หรือเครื่องคุ้มครองป้องกัน
ซึ่งบทพระพุทธมนต์ที่นิยมว่าศักดิ์สิทธิ์
เท่าที่ปรากฏรวบรวมไว้มี ๗ บท
จึงเรียกว่า เจ็ดตำนาน


(ตามปกติ คำว่าตำนาน จะหมายถึงเรื่องราวนมนานที่เล่ากันสืบๆ มา
แต่ในที่นี้เป็นการเรียกพระปริตรบทๆ หนึ่งว่า ตำนาน
ซึ่งมีผู้สันนิษฐานว่าน่าจะแผลงมาจาก
คำว่า ตาณ ในภาษาบาลีที่แปลว่า ต้านทาน
หรือป้องกันเช่นเดียวกับคำว่า ปริตร
หรืออาจจะหมายถึงตำนานอันเป็นที่มาของแต่ละพระสูตรก็เป็นได้)


(มีต่อ)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2008, 08:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


การสวดพระปริตรหรือเจ็ดตำนานนี้
เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศลังกา ราว พ.ศ. ๕๐๐

ด้วยว่าชาวลังกาที่นับถือพุทธศาสนาในขณะนั้น
ประสงค์ให้พระสงฆ์ช่วยเหลือตนให้เกิดสิริมงคล
และป้องกันภยันตรายต่างๆ ด้วยการสวดมนต์
และคาถาตามแบบอย่างพราหมณ์
ซึ่งมีความเชื่อว่าผู้ทรงเวทจะทำให้เกิดสิริมงคล
และป้องกันภยันตรายแก่มหาชนได้

ด้วยเหตุนี้ พระสงฆ์ลังกาจึงได้คิดวิธีสวดพระปริตรขึ้น
โดยเลือกเอาพระสูตรหรือคาถาที่สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย
อันเกิดขึ้นเนื่องด้วยเหตุการณ์ต่างๆ มาสวดเป็นมนต์


โดยการสวดครั้งแรกๆก็ขึ้นกับเหตุการณ์ที่ไปสวด
เช่น ไปสวดพิธีมงคลก็ใช้มงคลสูตรสวด
สวดให้คนเจ็บป่วยก็ใช้โพชฌงคสูตร
ครั้นคนนิยมมากขึ้นก็คิดค้นพระสูตรต่างๆ
มาสวดเป็นพระปริตรมากขึ้นเป็นลำดับ

ต่อมาพระเจ้าแผ่นดินประเทศลังกา
ก็ได้รับสั่งให้คณะสงฆ์ปรับปรุงพระสูตร
และคาถาที่ใช้สวดพระปริตรขึ้นใหม่ให้เหมาะกับเหตุการณ์
เพื่อใช้ในพระราชพิธีหลวงโดยได้เพิ่มพระสูตรและคาถาให้มากขึ้น
และเรียกว่า “ราชปริตร” แปลว่า มนต์คุ้มครองพระเจ้าแผ่นดิน

ต่อมาประชาชนต่างก็นิยมให้มีการสวดพระปริตรในพิธีของตนบ้าง
จึงเกิดเป็นประเพณีสืบต่อกันมาจนปัจจุบัน


(มีต่อ)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2008, 08:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

เจ็ดตำนานหรือพระปริตร

ซึ่งหมายถึง มนต์อันเป็นเครื่องป้องกันภยันตรายต่างๆ
มีอยู่ด้วยกัน ๗ พระสูตรคือ

๑. มงคลสูตร

ว่าด้วยเหตุที่จะทำให้เกิดสิริมงคล

๒. รัตนสูตร

ว่าด้วยรัตนทั้ง ๓ คือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
สวดเพื่อปัดเป่าอุปัทวันตรายให้หมดไป

๓. กรณียเมตตสูตร

ว่าด้วยการเจริญเมตตา ไปไหนมาไหนให้คน เทวดารักใคร่เมตตา

๔. ขันธปริตร

ว่าด้วยพระพุทธมนต์สำหรับป้องกันสัตว์ร้ายพวกอสรพิษ

๕. ธชัคคสูตร

ว่าด้วยการเคารพธงและการรำลึกถึงคุณพระรัตนตรัยทำให้หายหวาดกลัว

๖. อาฏานาฏิยปริตร

ว่าด้วยพระพุทธมนต์ที่สามารถป้องกันอุปัทวันตรายทั้งปวง

๗. อังคุลิมาลปริตร

ว่าด้วยมนต์ขององคุลีมาล
ใช้ในงานมงคลหรือทำให้คลอดลูกง่าย

(มีต่อ)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2008, 08:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


สำหรับความเป็นมาของพระสูตรแต่ละเรื่อง
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.)
กระทรวงวัฒนธรรมได้สรุปส่วนหนึ่ง
จากหนังสือ “วรรณคดีขนบประเพณีฯ”
ของอาจารย์เบญจมาศ พลอินทร์ ความว่า

• มงคลสูตร

เกิดจากชาวชมพูทวีปต่างถกเถียง
และตกลงกันไม่ได้ว่ามงคลคืออะไร
จึงพากันไปทูลถามพระพุทธเจ้า

ซึ่งพระพุทธองค์ก็ได้ให้คำตอบว่า

สิ่งอันเป็นมงคลในชีวิตมี ๓๘ ประการ
หรือที่ชาวพุทธรู้จักในนาม มงคล ๓๘ นั่นเอง
เช่น ไม่คบคนพาล คบบัณฑิต วาจาเป็นสุภาษิต ฯลฯ


ซึ่งธรรมอันเป็นมงคลนี้
พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ว่ามนุษย์หรือเทวดาปฏิบัติ
ก็ล้วนเป็นสิริมงคลแก่ตัวทั้งสิ้น

• รัตนสูตร

เล่ากันว่าครั้งหนึ่งเมืองไพสาลีเกิดทุพภิกภัย
ฝนแล้งข้าวยากหมากแพง
คนล้มตายเพราะความอดอยาก
ประชาชนก็ไปร้องต่อพระเจ้าแผ่นดิน

พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้ประชาชนตรวจสอบพระองค์ว่า
ผิดธรรมข้อใดหรือเปล่า จึงเกิดเหตุเช่นนี้
ก็ปรากฏว่าไม่ผิดธรรมข้อใด
จึงพากันไปอาราธนาพระพุทธเจ้ามาเมืองไพสาลี

เมื่อพระพุทธองค์เสด็จมาถึงก็ปรากฏว่ามีฝนตกมาห่าใหญ่
ครั้นนั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสเรียกพระอานนท์ให้มาเรียนรัตนสูตร

อันมีเนื้อความสรรเสริญแก้ววิเศษ ๓ ประการ
ที่ไม่มีแก้วอื่นใดเสมอเหมือนคือพุทธรัตนะ ธัมมรัตนะ และสังฆรัตนะ
และทำให้ผู้สวด ผู้ฟัง ผู้บูชาและผู้ระลึกถึงประสบแต่ความสวัสดี


ซึ่งเมื่อพระอานนท์เรียนจากพระพุทธองค์
ก็นำบาตรน้ำมนต์ของพระพุทธเจ้าไปประพรมทั่วนครไพสาลี
เมื่อน้ำพระพุทธมนต์ไปถูกพวกปีศาจๆ ก็หนีไป
ไปถูกมนุษย์ที่เจ็บป่วย โรคเหล่านั้นก็หายสิ้น
แต่นั้นมาชาวเมืองก็มีความสงบสุขตลอดมา

(มีต่อ)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2008, 08:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

• กรณียเมตตสูตร

เป็นพระสูตรที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนพระภิกษุ ๕๐๐ รูป
ที่ได้เรียนกัมมัฏฐานแล้วคิดจะหาสถานที่สงบบำเพ็ญธรรม

เมื่อเดินทางไปถึงหมู่บ้านหนึ่ง
ชาวบ้านเห็นก็เลื่อมใสยินดีนิมนต์ให้อยู่ปฏิบัติธรรม
พร้อมทั้งสร้างกุฏิให้

ปรากฏว่าทำให้เทวดาที่อยู่ละแวกนั้นเดือดร้อน ไม่มีที่อยู่
จึงได้แสดงอาการน่ากลัวต่างๆ มาหลอกพระภิกษุ
เมื่อพระภิกษุเห็นก็เกิดความหวาดกลัว
ไม่อาจทำจิตใจให้เป็นสมาธิได้
จึงพากันไปเฝ้าพระพุทธองค์

พระองค์จึงได้สอน กรณียเมตตสูตร อันมีเนื้อความว่า

ขอให้บุคคลเป็นผู้อาจหาญ ซื่อตรง ว่าง่าย
อ่อนโยนไม่หยิ่งยะโส มีสันโดษ
ไม่ประกอบกรรมที่ผู้รู้ติเตียน
อย่าดูหมิ่นหรือหาทุกข์ให้กัน ฯลฯ


เมื่อพระภิกษุกลับไปและนำไปสวดสาธยาย
เหล่าเทวดาก็เกิดความเมตตาแก่พระภิกษุ
มิได้สำแดงอาการอย่างใดอีก
ทำให้พระภิกษุบำเพ็ญธรรมได้เต็มที่
พระสูตรบทนี้ถือเป็นบทแนะนำวิธีสร้างเมตตามหานิยม
สร้างเสน่ห์แก่ตนเอง

(มีต่อ)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2008, 08:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


• ขันธปริตร

เกิดจากพระภิกษุรูปหนึ่งถูกงูกัดที่เท้า
ทนพิษไม่ไหวถึงแก่มรณภาพ


เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบเรื่อง
จึงตรัสสอนให้พระภิกษุรู้จักแผ่เมตตาแก่สกุลพญางูทั้งสี่
คือ พญางูวิรูปักข์ พญางูเอราบถ พญางูฉัพยาบุตร
และพญางูกัณหาโคตมะ

ซึ่งมีเนื้อความว่า

ไมตรีของเราจงมีแก่สกุลพญางูทั้งสี่
ตลอดทั้งสัตว์สองเท้า สี่เท้า อย่าเบียดเบียนเรา
สัตว์ทั้งหลาย เช่น งู แมลงป่อง ตะขาบ เป็นต้น
มีประมาณไม่มากเหมือนคุณพระรัตนตรัย
เราทำการนอบน้อมพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่
ขอสัตว์ร้ายจงหลีกไป

ในทางความเชื่อ
พระพุทธมนต์บทนี้ใช้ภาวนาป้องกันอสรพิษทุกชนิดได้


แต่กล่าวกันว่า ในงานพิธีทั่วไปไม่นิยมขึ้นต้นที่ “วิรูปกฺเข”
เพราะเชื่อว่าเป็นบทปลุกผีให้ออกมาอาละวาด
พระมักจะขึ้นที่ “อปปฺมาโณ”

(มีต่อ)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2008, 08:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

• ธชัคคสูตร

มาจากที่พระพุทธเจ้าตรัสเล่าให้พระภิกษุฟังว่า

เมื่อเทวดากับอสูรรบกัน
ท้าวสักกะซึ่งเป็นใหญ่ในหมู่เทวดา
ได้แนะให้เหล่าเทวดาที่เกิดความกลัว หวาดสะดุ้ง
หรือขนพองสยองเกล้า
ได้แลดูชายธงของเทวราชทั้งหลาย
เพื่อให้คลายจากความกลัว

แต่พระพุทธองค์กล่าวว่าการดูธงของเหล่าเทวราช
อาจจะทำให้หายหรือไม่หายกลัวก็ได้
เพราะเหล่าเทวดายังไม่ละกิเลส
อย่างไรก็ยังต้องมีความหวาดกลัวอยู่

ดังนั้น จึงสอนให้พระภิกษุเชื่อ
และยึดถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแห่งจิตใจ
จะทำให้คลายจากความกลัว
และรู้สึกปลอดภัยไม่หวั่นไหว


บทนี้มักจะใช้สวดในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าธงไชยเฉลิมพล

(มีต่อ)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2008, 08:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


• อาฏานาฏิยปริตร

เกิดเมื่อท้าวมหาราชทั้งสี่คือ
ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักข์ และท้าวเวสสุวัณ
ตั้งใจจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
แต่เกรงว่าหากพวกอสูรรู้ว่าบนดาวดึงส์ไม่มีใครอยู่
ก็อาจถือโอกาสมากวน
ซึ่งพวกตนก็อาจกลับมาไม่ทัน

จึงได้จัดตั้งกองทหารไว้ ๔ กอง
ประกอบด้วยคนธรรพ์ ยักษ์ นาครักษาแต่ละทิศไว้
แล้วพากันไปประชุมที่อาฏานาฏิยนคร
แล้วผูกมนต์เป็นอาฏานาฏิยปริตรขึ้น
จากนั้นก็พากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมบริวารเป็นจำนวนมาก

แต่ปรากฏว่าบริวารของท้าวมหาราชเหล่านี้
ต่างก็มีปฏิกิริยาต่อพระพุทธองค์ต่างๆ กัน
เพราะบ้างก็นับถือ บ้างก็ไม่เชื่อถือ

จนเป็นเหตุให้บรรดาสาวกของพระพุทธเจ้าที่ไปบำเพ็ญธรรมตามที่ต่างๆ
ต้องถูกผี ปีศาจ ยักษ์ที่ไม่เลื่อมใสเหล่านี้รบกวน
จนเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเป็นอันตรายต่างๆ นานา

ท้าวเวสสวัณจึงได้กราบทูล
ขอให้พระพุทธองค์รับอาฏานาฏิยปริตร
ไว้ประทานแก่สาวกของพระองค์
เพื่อป้องกันมิให้ยักษ์ และภูตผีปีศาจรบกวน


ซึ่งเนื้อความ

เป็นการสรรเสริญพระพุทธคุณของพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์
และขอนอบน้อมพระพุทธเจ้าเหล่านั้นด้วยกาย วาจา ใจ
ไม่ว่าเวลานอน เดิน นั่ง หรือยืน
ขอให้พระพุทธเจ้าเหล่านั้นได้คุ้มครองรักษาให้พ้นภัย พ้นโรค
และความเดือดร้อนต่างๆ


ปริตรบทนี้ใครเจริญภาวนาอยู่เป็นนิตย์
เชื่อว่ายักษ์ ผี ปีศาจก็จะช่วยคุ้มครองให้มีความสุขความเจริญ


(มีต่อ)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2008, 08:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

• อังคุลิมาลปริตร

มี ๒ ปริตรรวมกันคือ อังคุลิมาลปริตร และ โพชฌงคปริตร

โดยได้เล่าเรื่องขององคุลีมาล
ซึ่งเดิมเป็นบุตรปุโรหิตนามว่า อหิงสกกุมาร
ไปร่ำเรียนวิชากับอาจารย์ทิศาปาโมกข์

ด้วยความเก่งและปัญญาดี
เลยเป็นที่อิจฉาริษยาของศิษย์อื่น
แล้วก็ไปยุยงอาจารย์จนหลงเชื่อ
จะหาทางกำจัดอหิงสก
โดยหลอกให้ไปฆ่าคนมาพันคน
แล้วจะบอกวิชาให้

อหิงสกอยากได้วิชาก็ทำตามอาจารย์แนะ
เที่ยวไล่ฆ่าคนไปทั่ว
ฆ่าเสร็จก็ตัดนิ้วมาร้อยห้อยเป็นพวงมาลัย
จนเป็นที่หวั่นกลัวของมหาชน
และถูกขนานนามใหม่ว่า “องคุลิมาล”
อันหมายถึงโจรที่ตัดนิ้วนั่นเอง
องคุลิมาลฆ่าคนไปได้ถึง ๙๙๙ คน ขาดอีกหนึ่งเดียว

วันหนึ่งพระพุทธองค์ทรงทราบ
และหยั่งรู้ด้วยญาณว่าโจรนี้ยังมีทางจะโปรดได้
ก็เลยเสด็จบิณฑบาตผ่านหน้าองคุลิมาล
องคุลิมาลเห็นก็ดีใจคิดว่าคราวนี้ได้นิ้วครบพันแล้ว

แต่ปรากฏว่าเดินตามพระพุทธเจ้าเท่าไรก็ไม่ทัน
ในที่สุดพระพุทธองค์จึงได้ตรัสสอน
และองคุลิมาลก็ได้บวชเป็นสาวก

แต่เนื่องจากฆ่าคนไว้มา
ก พอไปบิณฑบาตที่ไหนคนก็วิ่งหนีหวาดกลัว
ทำให้องคุลิมาลไม่ได้ข้าวแม้ทัพพีเดียว

วันหนึ่งมีหญิงท้องแก่ใกล้คลอดเห็นองคุลิมาล
ก็วิ่งหนีไปลอดรั้วด้วยความกลัว แต่ลอดไม่ได้
ทำให้ต่อมาเกิดความลำบากในการคลอดลูก

บรรดาญาติจึงต่างปรึกษากัน
และเห็นว่าองคุลิมาลคงไม่ฆ่าใครแล้ว
และเป็นสาเหตุให้หญิงนี้คลอดยาก
จึงนิมนต์พระองคุลิมาลมาเล่าสาเหตุให้ฟัง

ท่านฟังแล้วก็ตั้งสัตย์อธิษฐาน ความว่า

ตนเองเกิดมาไม่เคยคิดฆ่าสัตว์โดยเจตนา
ด้วยความสัตย์นี้ขอให้ความสวัสดิ์จงมีแก่ครรภ์หญิงนั้น
ก็ปรากฏว่าทำให้นางคลอดลูกได้โดยสะดวก


พระปริตรบทนี้ถือว่าสวดแล้วจะมีความสวัสดีและคลอดลูกง่าย
นิยมสวดในพิธีมงคลสมรสด้วย


(มีต่อ)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2008, 08:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


• โพชฌงคปริตร

คำว่า โพชฌงค์ แปลว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้
เป็นพระสูตรที่สวดร่วมกับองคุลิมาลปริตรที่สั้นเกินไป
ทำให้ฟังดูไม่มีน้ำหนัก จึงได้เพิ่มโพชฌงคปริตร
ซึ่งมีคุณคล้ายกันในด้านแก้เจ็บไข้ได้ป่วยมาสวดต่อให้ยาวขึ้น

โดยมีเรื่องเล่าว่าเมื่อครั้นพระมหากัสสปอาพาธหนัก
ได้รับทุกขเวนาอย่างแสนสาหัส
พระพุทธองค์ก็ได้เสด็จไปตรัสเทศนาโพชฌงค์เจ็ดคือ

สติ : ความระลึกได้
ธรรมวิจัย : การวิจัยข้อธรรม
วิริยะ : ความเพียร
ปีติ : ความเอิบอิ่มในธรรม
ปัสสัทธิ : ความระงับ
สมาธิ : ความตั้งใจมั่น และ
อุเบกขา : ความวางเฉย


พร้อมทั้งแสดงอานิสงส์แห่งการเจริญโพชฌงค์
พระมหากัสสปเมื่อได้ฟังก็เพลิดเพลินในธรรมหายอาพาธ

ต่อมาพระโมคคัลลานะอาพาธ
พระพุทธองค์ก็เสด็จไปแสดงโพชฌงคปริตร
พระโมคคัลลานะก็หายอาพาธเช่นเดียวกับพระมหากัสสป
และแม้แต่พระพุทธองค์เองเมื่อทรงประชวร
ก็ตรัสให้พระมหาจุนทะแสดงโพชฌงค์ ๗ พระองค์
ก็หายประชวรเช่นกัน


พระสูตรนี้จึงถือว่าเป็นมนต์ต่ออายุ
ใช้สวดต่ออายุคนเจ็บ


(มีต่อ)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2008, 08:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ราชปริตรหรือเจ็ดตำนาน
อันเป็นพระพุทธมนต์ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้

หลายคนอาจจะคิดว่าแค่สวดมนต์
ทำไมถึงมีความศักดิ์สิทธิ์หรืออานุภาพที่เป็นพลังให้ความคุ้มครอง
ป้องกัน หรือช่วยขจัดปัดเป่าสิ่งอวมงคล
รวมถึงภยันตรายต่างๆ ออกไปได้
และยังก่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตอีกด้วย


ซึ่งเรื่องนี้ หากเราจะได้พิจารณาเนื้อความจากบทสวดแต่ละบทแล้ว
จะเห็นว่าส่วนใหญ่

จะเป็นการสรรเสริญพระรัตนตรัย
คือพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์
เป็นการสอนให้ยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
เป็นหลักธรรมในการดำเนินชีวิต


สอนให้รู้จักชนะศัตรูด้วยคุณความดีและแผ่เมตตา
สอนให้ไม่ประมาท
สอนให้รู้จักเคารพนอบน้อมผู้รู้ ผู้เป็นแบบฉบับ เป็นต้น
ซึ่งแม้เราจะฟังไม่บทสวดไม่เข้าใจทั้งหมด


แต่การได้ยินได้ฟังสิ่งที่ดีงาม
ก็ย่อมทำให้เรามีจิตเป็นกุศล
และยิ่งหากใครเข้าใจและปฏิบัติตามคำสอนดังกล่าว
ก็ย่อมจะพบความสุข ความเจริญ
ไปไหนมาไหนก็มีคนรักใคร่เมตตามากขึ้นแน่นอน


:b8: :b8: :b8:

นำมาจากบอร์ดเก่า โพสต์โดย คุณกุหลาบสีชา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=15180

:b8: :b8: :b8:

:b44: กระทู้เกี่ยวเนื่องกัน :b44:

• ตำนานพระปริตร : เ จ็ ด ตำ น า น
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=19722

• ตำนานพระปริตร : สิ บ ส อ ง ตำ น า น
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=19723

• ความหมายและการสวดพระปริตร
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=44177

• พิธีสวดพระปริตรรามัญ : พระมหาจรูญ ญาณจารี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=30982

• ว่าด้วยโมรปริตร
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=28&t=30605

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2020, 08:57 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2024, 13:55 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2885


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร