วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 22:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2019, 19:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย
เคยบอกหลายครั้งแล้วนะว่า ตายแล้วก็หมดเรื่อง แต่ยังไม่ตายนี่สิมีเรื่องมีปัญหา :b32: มีปัญหาขนาดถึงกับคิดว่า ตายดีกว่า จะได้หมดปัญหาหมดเรื่อง บ้างก็โดดน้ำตาย บ้างก็รมควันตาย ฯลฯ หาวิธีตายหนีปัญหาตอนมีชีวิตกัน นี่ก็เท่ากับแสดงว่า ตายแล้วหมดเรื่องไม่มีปัญหา แม่นบ่


อ้างคำพูด:

โลกสวย

ลุงคะคิดตื้นๆ
โลกนี้มี โลกหน้ามี
ตายแล้วไปต่อในนรก ก็มี ในสวรรค์ก็มี ไม่หมดเรื่องหรอก

ทางที่หมดเรื่องหมดเชื้อ พระพุทธองค์สอนไว้มีนะคะ นิพพาน



อ้างคำพูด:
กรัชกาย
อย่ามโนไปไกลขนาดนั้น พระพุทธเจ้าแนะนำชาวกาลามชนไว้ดีแล้ว เรื่องนรกสวรรค์ (มีโอกาสจะนำตรงนี้มาลงให้ดูนะ) เริ่มต้นที่ชีวิตปัจจุบันนี้เริ่มที่นี่

นิพพง นิพพานก็เหมือนกันเริ่มที่ปัจจุบันนี้ เราไม่ถึงไม่มีไม่เป็นก็ยอมรับว่าตนเองไม่ถึง ไม่ต้องไปเขย่งให้เป็นบัตรเสียบัตรมีปัญหาไม่รู้จบ. ดื้อจริงๆ บอกไม่เชื่อ

viewtopic.php?f=1&t=54872&p=451782#p451782



อ้างคำพูด:
สาวเครียด แบกภาระครอบครัว ค้างค่าเช่าบ้าน 4 เดือน ใช้กรรไกรกล้อนผม แทงคนที่จะเข้าไปช่วย เพื่อนบ้าน-ตำรวจ-กู้ภัย ช่วยกันโกลาหล เผยเคยกรีดข้อมือตัวเองมาแล้ว

เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจควนลัง สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และหน่วยกู้ชีพควนลัง รุดเข้าไปให้การช่วยเหลือหญิงสาวรายหนึ่ง อายุ 39 ปี ที่เกิดอาการคุ้มคลั่งจากความเครียด ใช้กรรไกรจะกร้อนผมตัวเอง และแทงคนที่เข้าไปช่วย

จากการสอบถามญาติ และเจ้าของบ้านเช่าบอกว่า สาเหตุที่ทำให้หญิงสาวใหญ่คุ้มคลั่งมาจากภาวะเครียดเรื่องปัญหาครอบครัว และเศรษฐกิจที่รัดตัว ค่าใช้จ่ายที่ไม่เพียงพอ เพราะต้องทำงานรับจ้างซักรีดหาเลี้ยงครอบครัวเพียงคนเดียว

เนื่องจากสามีตกงาน และมีลูกที่ต้องเลี้ยงดู 2 คน ค้างค่าเช่าบ้านมาเกือบ 4 เดือนแล้ว ก่อนหน้านี้ก็เคยใช้มีดกรีดข้อมือตัวเองมาแล้ว ญาติต้องพาไปพบแพทย์ด้านจิตเวชเพื่อรักษา แต่ระยะหลังไม่ได้ไปพบแพทย์ตามนัด จึงทำให้เกิดคุ้มคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง


เมโลกสวยเถียงลุงสิ :b32: บอกไม่เชื่อดื้อจริงๆคนอารัย


ค่าเช่าแค่ไม่กี่เดือน
ญาติพลี [บำรุงญาติ] ไม่ช่วยเรย

cry


เมโลกสวยอีกแระ :b1: ยามจนแม้แต่มาตรน้ำก็ถูกตัด ยามอับจนแม้แต่พระเอกละครก็ค้างค่าเช่า สุดท้ายจบชีวิตลาโลก



ไม่ถือฤกษ์ ก็ไปยึดถือยามอีกแระ

ยามโน้นยามนี้

tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2019, 05:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:

ไม่ถือฤกษ์ ก็ไปยึดถือยามอีกแระ

ยามโน้นยามนี้



สถานที่สำคัญๆจำต้องมียาม มี รปภ. ดูแลความปลอดภัย ดูคนเข้าคนออก ใครเข้าได้ ใครเข้าไม่ได้ เหมือนสตินะ คิกๆๆ สติท่านเปรียบเหมือนยาม เหมือนนายประตูนะ ถูกหมิ่นยามสะแล้ว :b13: ที่ต่างกันก็มี คือ ยามที่เฝ้าประตูสถานที่ราชการ เป็นต้น ต้องจ้างเขา ต้องมีเงินเดือนให้เขา ส่วนสติไม่ต้องจ้าง ไม่ต้องเสียเงิน เสียแต่เวลาฝึกให้เขาหน่อย :b12: เมื่อสติเขาประจำหน้าที่แล้ว เขาจะเฝ้าประตู 6 ประตูให้ ทีนี้เจ้าของก็ปลอดภัยไร้กังวล

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2019, 18:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย
เคยบอกหลายครั้งแล้วนะว่า ตายแล้วก็หมดเรื่อง แต่ยังไม่ตายนี่สิมีเรื่องมีปัญหา :b32: มีปัญหาขนาดถึงกับคิดว่า ตายดีกว่า จะได้หมดปัญหาหมดเรื่อง บ้างก็โดดน้ำตาย บ้างก็รมควันตาย ฯลฯ หาวิธีตายหนีปัญหาตอนมีชีวิตกัน นี่ก็เท่ากับแสดงว่า ตายแล้วหมดเรื่องไม่มีปัญหา แม่นบ่


อ้างคำพูด:

โลกสวย

ลุงคะคิดตื้นๆ
โลกนี้มี โลกหน้ามี
ตายแล้วไปต่อในนรก ก็มี ในสวรรค์ก็มี ไม่หมดเรื่องหรอก

ทางที่หมดเรื่องหมดเชื้อ พระพุทธองค์สอนไว้มีนะคะ นิพพาน



อ้างคำพูด:
กรัชกาย
อย่ามโนไปไกลขนาดนั้น พระพุทธเจ้าแนะนำชาวกาลามชนไว้ดีแล้ว เรื่องนรกสวรรค์ (มีโอกาสจะนำตรงนี้มาลงให้ดูนะ) เริ่มต้นที่ชีวิตปัจจุบันนี้เริ่มที่นี่

นิพพง นิพพานก็เหมือนกันเริ่มที่ปัจจุบันนี้ เราไม่ถึงไม่มีไม่เป็นก็ยอมรับว่าตนเองไม่ถึง ไม่ต้องไปเขย่งให้เป็นบัตรเสียบัตรมีปัญหาไม่รู้จบ. ดื้อจริงๆ บอกไม่เชื่อ ลูกโทนก็งี้แหละถูกตามใจจนเสียคน เห็นมาเยอะแล้ว

viewtopic.php?f=1&t=54872&p=451782#p451782



ตัดสินใจหนีชีวิตปัจจุบันระยะนี้มีบ่อย ทั้งปัญหาสุขภาพ ปัญหาความเป็นอยู่ ออกแนวๆเลียนแบบกัน

อ้างคำพูด:
สาวสวยเจ้าของร้านมือถือ ป่วยซึมเศร้ารมควันดับคาเก๋ง ลานจอดรถห้างดังนครปฐม

เบื้องต้น ญาติของผู้เสียชีวิต บอกว่าก่อนเหตุผู้เสียชีวิตมีท่าทีปกติ แต่มีปัญหาป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามานานหลายเดือนแล้ว ประกอบกับปัญหาหนี้สินรุมเร้า ซึ่งคาดว่าเป็นสาเหตุให้ตัดสินใจจบชีวิตตนเอง อย่างไรก็ตามทางตำรวจจะสอบสวนญาติผู้เสียชีวิตอย่างละเอียดเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตอีกครั้ง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2019, 19:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:

ไม่ถือฤกษ์ ก็ไปยึดถือยามอีกแระ

ยามโน้นยามนี้



สถานที่สำคัญๆจำต้องมียาม มี รปภ. ดูแลความปลอดภัย ดูคนเข้าคนออก ใครเข้าได้ ใครเข้าไม่ได้ เหมือนสตินะ คิกๆๆ สติท่านเปรียบเหมือนยาม เหมือนนายประตูนะ ถูกหมิ่นยามสะแล้ว :b13: ที่ต่างกันก็มี คือ ยามที่เฝ้าประตูสถานที่ราชการ เป็นต้น ต้องจ้างเขา ต้องมีเงินเดือนให้เขา ส่วนสติไม่ต้องจ้าง ไม่ต้องเสียเงิน เสียแต่เวลาฝึกให้เขาหน่อย :b12: เมื่อสติเขาประจำหน้าที่แล้ว เขาจะเฝ้าประตู 6 ประตูให้ ทีนี้เจ้าของก็ปลอดภัยไร้กังวล


คริคริ

ประตูสาธารณะ อะไรผ่าน ก็สักว่าผ่าน ดันไปยึดถือเป็นเจ้าของอีก
นี่แหละน๊า ความหลง ทำยังให้ยามทำเป็นเหมือนเขตความมั่นคงทำเนียบขาว ห้ามเข้า


tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2019, 20:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:

ไม่ถือฤกษ์ ก็ไปยึดถือยามอีกแระ

ยามโน้นยามนี้



สถานที่สำคัญๆจำต้องมียาม มี รปภ. ดูแลความปลอดภัย ดูคนเข้าคนออก ใครเข้าได้ ใครเข้าไม่ได้ เหมือนสตินะ คิกๆๆ สติท่านเปรียบเหมือนยาม เหมือนนายประตูนะ ถูกหมิ่นยามสะแล้ว :b13: ที่ต่างกันก็มี คือ ยามที่เฝ้าประตูสถานที่ราชการ เป็นต้น ต้องจ้างเขา ต้องมีเงินเดือนให้เขา ส่วนสติไม่ต้องจ้าง ไม่ต้องเสียเงิน เสียแต่เวลาฝึกให้เขาหน่อย :b12: เมื่อสติเขาประจำหน้าที่แล้ว เขาจะเฝ้าประตู 6 ประตูให้ ทีนี้เจ้าของก็ปลอดภัยไร้กังวล


คริคริ

ประตูสาธารณะ อะไรผ่าน ก็สักว่าผ่าน ดันไปยึดถือเป็นเจ้าของอีก
นี่แหละน๊า ความหลง ทำยังให้ยามทำเป็นเหมือนเขตความมั่นคงทำเนียบขาว ห้ามเข้า


tongue


มาอีกแระไม่ยึดมั่นถือมั่น คิกๆๆๆ เข้าเขตโลกสวยอีกแระ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2019, 20:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการกระทำ

สติ แปลกันง่ายๆว่า ความระลึกได้ ความไม่เผลอ ไม่เลินเล่อ ไม่ฟั่นเฟือน ไม่เลื่อนลอย พูดง่ายๆ ว่า ใจอยู่ ไม่ใจหาย ไม่ใจลอย
ความตื่นตัวต่อหน้าที่ ความมีใจพร้อมอยู่ ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กับสิ่งที่ทำ ภาวะที่พร้อมอยู่เสมอในอาการคอยรับรู้ต่อสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และตระหนักว่า ควรปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆ อย่างไร ซึ่งทำให้เกิดเป็นการดูแล รักษา คุ้มครองไว้ได้

การทำหน้าที่ของสติ มักถูกเปรียบเทียบเหมือนกับนายประตู ที่คอยระวัง เฝ้าดูคนเข้าออกอยู่เสมอ และคอยกำกับการ โดยปล่อยคนที่ควรเข้าออกให้เข้าออกได้ และคอยกันห้ามคนที่ไม่ควรเข้า ไม่ให้เข้าไป คนที่ไม่ควรออก ไม่ให้ออกไป สติจึงเป็นธรรมที่สำคัญในทางจริยธรรมเป็นอย่างมาก เพราะเป็นตัวควบคุมการปฏิบัติหน้าที่ และเป็นตัวคอยป้องกันยับยั้งตนเอง ทั้งที่จะไม่ให้หลงเพลินไปตามความชั่ว และที่จะไม่ให้ความชั่วเล็ดลอดเข้าไปในจิตใจได้ พูดง่ายๆว่า ที่จะเตือนตน ในการทำความดี และไม่เปิดโอกาสแก่ความชั่ว

พุทธธรรมเน้นความสำคัญของสติเป็นอย่างมากในการปฏิบัติจริยธรรมทุกขั้น การดำเนินชีวิต หรือการประพฤติปฏิบัติโดยมีสติกำกับอยู่เสมอนั้น มีชื่อเรียกโดยเฉพาะว่า “อัปปมาท” หรือ ความไม่ประมาท

อัปปมาทนี้ เป็นหลักธรรมสำคัญยิ่งสำหรับความก้าวหน้าในระบบจริยธรรม มีความหมายหลักเหมือนเป็นคำจำกัดความว่า การเป็นอยู่โดยไม่ขาดสติ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2019, 01:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการกระทำ

สติ แปลกันง่ายๆว่า ความระลึกได้ ความไม่เผลอ ไม่เลินเล่อ ไม่ฟั่นเฟือน ไม่เลื่อนลอย พูดง่ายๆ ว่า ใจอยู่ ไม่ใจหาย ไม่ใจลอย
ความตื่นตัวต่อหน้าที่ ความมีใจพร้อมอยู่ ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กับสิ่งที่ทำ ภาวะที่พร้อมอยู่เสมอในอาการคอยรับรู้ต่อสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และตระหนักว่า ควรปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆ อย่างไร ซึ่งทำให้เกิดเป็นการดูแล รักษา คุ้มครองไว้ได้

การทำหน้าที่ของสติ มักถูกเปรียบเทียบเหมือนกับนายประตู ที่คอยระวัง เฝ้าดูคนเข้าออกอยู่เสมอ และคอยกำกับการ โดยปล่อยคนที่ควรเข้าออกให้เข้าออกได้ และคอยกันห้ามคนที่ไม่ควรเข้า ไม่ให้เข้าไป คนที่ไม่ควรออก ไม่ให้ออกไป สติจึงเป็นธรรมที่สำคัญในทางจริยธรรมเป็นอย่างมาก เพราะเป็นตัวควบคุมการปฏิบัติหน้าที่ และเป็นตัวคอยป้องกันยับยั้งตนเอง ทั้งที่จะไม่ให้หลงเพลินไปตามความชั่ว และที่จะไม่ให้ความชั่วเล็ดลอดเข้าไปในจิตใจได้ พูดง่ายๆว่า ที่จะเตือนตน ในการทำความดี และไม่เปิดโอกาสแก่ความชั่ว

พุทธธรรมเน้นความสำคัญของสติเป็นอย่างมากในการปฏิบัติจริยธรรมทุกขั้น การดำเนินชีวิต หรือการประพฤติปฏิบัติโดยมีสติกำกับอยู่เสมอนั้น มีชื่อเรียกโดยเฉพาะว่า “อัปปมาท” หรือ ความไม่ประมาท

อัปปมาทนี้ เป็นหลักธรรมสำคัญยิ่งสำหรับความก้าวหน้าในระบบจริยธรรม มีความหมายหลักเหมือนเป็นคำจำกัดความว่า การเป็นอยู่โดยไม่ขาดสติ

สติ แปลกันง่ายๆ

คริคริ

ก็มัวแต่แปลง่ายๆ แต่ไม่เข้าใจคำสอนเพื่อให้ถึงที่สุด

จะไปทำตัวให้เป็นประธานาธิบดีให้เป็นทำเนียบขาว เพื่อไรหรอค๊ะ
พระพุทธองค์ไม่ได้สอนให้เป็นประธานาธิบดี พอตกกระป๋อง ก็เข้าประตูไม่ได้ เพราะสอนยามไว้อย่างนั้น

ทั้งๆที่ประตูแต่ละประตู เค้าก็ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแระ
คือให้ผ่านเข้าออก

tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2019, 20:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการกระทำ

สติ แปลกันง่ายๆว่า ความระลึกได้ ความไม่เผลอ ไม่เลินเล่อ ไม่ฟั่นเฟือน ไม่เลื่อนลอย พูดง่ายๆ ว่า ใจอยู่ ไม่ใจหาย ไม่ใจลอย
ความตื่นตัวต่อหน้าที่ ความมีใจพร้อมอยู่ ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กับสิ่งที่ทำ ภาวะที่พร้อมอยู่เสมอในอาการคอยรับรู้ต่อสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และตระหนักว่า ควรปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆ อย่างไร ซึ่งทำให้เกิดเป็นการดูแล รักษา คุ้มครองไว้ได้

การทำหน้าที่ของสติ มักถูกเปรียบเทียบเหมือนกับนายประตู ที่คอยระวัง เฝ้าดูคนเข้าออกอยู่เสมอ และคอยกำกับการ โดยปล่อยคนที่ควรเข้าออกให้เข้าออกได้ และคอยกันห้ามคนที่ไม่ควรเข้า ไม่ให้เข้าไป คนที่ไม่ควรออก ไม่ให้ออกไป สติจึงเป็นธรรมที่สำคัญในทางจริยธรรมเป็นอย่างมาก เพราะเป็นตัวควบคุมการปฏิบัติหน้าที่ และเป็นตัวคอยป้องกันยับยั้งตนเอง ทั้งที่จะไม่ให้หลงเพลินไปตามความชั่ว และที่จะไม่ให้ความชั่วเล็ดลอดเข้าไปในจิตใจได้ พูดง่ายๆว่า ที่จะเตือนตน ในการทำความดี และไม่เปิดโอกาสแก่ความชั่ว

พุทธธรรมเน้นความสำคัญของสติเป็นอย่างมากในการปฏิบัติจริยธรรมทุกขั้น การดำเนินชีวิต หรือการประพฤติปฏิบัติโดยมีสติกำกับอยู่เสมอนั้น มีชื่อเรียกโดยเฉพาะว่า “อัปปมาท” หรือ ความไม่ประมาท

อัปปมาทนี้ เป็นหลักธรรมสำคัญยิ่งสำหรับความก้าวหน้าในระบบจริยธรรม มีความหมายหลักเหมือนเป็นคำจำกัดความว่า การเป็นอยู่โดยไม่ขาดสติ

สติ แปลกันง่ายๆ

คริคริ

ก็มัวแต่แปลง่ายๆ แต่ไม่เข้าใจคำสอนเพื่อให้ถึงที่สุด

จะไปทำตัวให้เป็นประธานาธิบดีให้เป็นทำเนียบขาว เพื่อไรหรอค๊ะ
พระพุทธองค์ไม่ได้สอนให้เป็นประธานาธิบดี พอตกกระป๋อง ก็เข้าประตูไม่ได้ เพราะสอนยามไว้อย่างนั้น

ทั้งๆที่ประตูแต่ละประตู เค้าก็ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแระ
คือให้ผ่านเข้าออก

tongue



ถ้างั้น ก็เอาที่สบายใจแล้วกันนะ สบายใจนั่นแหละนิพพาน :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2019, 05:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนที่คนเราจะมาเกิดในโลกนี้ มาจากไหน เมื่อจากโลกนี้แล้วจะไปไหนต่อ

เป็นคำถามที่ดำมืดสำหรับชีวิตทุกรูปทุกนาม

ตัวอย่างนี้ แม่ป่วยอยากเห็นลูกบวชให้ก่อนสิ้นลม เสียชีวิตแล้วด้วยความสบายจิตสบายใจ

รูปภาพ

https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... =3&theater

พูดถึงจิตใจ คุณโรสยังตามหาอยู่ :b1: บอกไม่เชื่อว่ามันมองด้วยตาเนื้อไม่เห็น เพราะเป็นนามธรรม ไม่ใช่วัตถุธรรมเหมือนร่างกาย แต่มันก็อาศัยกายนี่แหละ

เพราะฉะนั้น หลักปฏิบัติเพื่อให้รู้เข้าใจ ท่านจึงแบ่งเป็นข้อย่อย 4 ข้อ ได้แก่ กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธัมมานุปัสสนา

เมื่อว่าโดยข้อใหญ่ ก็มี 2 ได้แก่ ร่างกาย กับ จิตใจ = รูป กับ นาม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2019, 10:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


https://www.facebook.com/bkkhumans/phot ... =3&theater

“ตอน ม.4 หนูเคยไปแลกเปลี่ยนที่เยอรมันอยู่หนึ่งปี ห้องเรียนที่นั่นเปิดโอกาสให้เด็กถามได้เต็มที่ ครูสอนเนื้อหาที่เข้มข้น ถ้านักเรียนไม่เข้าใจก็ยกมือถาม จำได้ว่าเพื่อนที่นั่งข้างๆ ไม่เข้าใจบางเรื่อง เขายกมือถาม ครูค่อยๆ อธิบาย แต่เขายังไม่เข้าใจ เลยถามอีกครั้ง ครูก็ค่อยๆ อธิบายเรื่องเดิมด้วยตัวอย่างใหม่ เป็นแบบนั้นหลายรอบ พอได้ถามๆๆ เขาคงเข้าใจเรื่องนั้นอย่างดีไปเลย ขณะเดียวกัน หนูเข้าใจมากขึ้นด้วยนะ แล้วมีทัศนคติที่ดีต่อวิชานั้นและครูคนนั้นไปเลย ปกติหนูเป็นคนชอบถามอยู่แล้ว ยิ่งกลายเป็นคนกล้าถามมากขึ้น เพราะรู้สึกได้ว่าความสงสัยไม่ใช่เรื่องผิด

“พอกลับมาเรียนซ้ำ ม.4 ที่เมืองไทย ห้องเรียนที่นี่เป็นการสื่อสารจากครูฝ่ายเดียว เนื้อหาเยอะมาก มากจนไม่เข้าใจอะไรเลย ตอนนั้นครูพูดว่า ‘ใครสงสัยอะไรไหม’ หนูเลยยกมือถาม แต่คำตอบที่ได้มาพร้อมสีหน้าและน้ำเสียงที่หงุดหงิด รวมทั้งคำพูดประมาณว่า 'ทำไมไม่ตั้งใจฟัง' ทำให้หนูไม่กล้ายกมือถามครูคนนั้นอีกเลย ซึ่งเจอแบบเดียวกันในวิชาอื่นด้วย ระบบการศึกษาไทยไม่ได้ปลูกฝังให้นักเรียนกล้าตั้งคำถาม ครูหลายคนเลยมองว่า นักเรียนถามเพราะไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจก็เพราะไม่สนใจ ไม่ฟัง ไม่ตั้งใจเรียน ครูคงเหนื่อยกับการสอน เพราะหนึ่งวันต้องสอนหลายคาบ หนูเข้าใจนะ แต่นักเรียนก็เหนื่อยจากการเรียนหลายวิชาเหมือนกัน เลยอยากให้ครูทุกคนเคารพสิทธิในการถามของเด็กด้วย

“ถ้าเราเรียนแล้วเชื่อตามครูตลอด สุดท้ายอาจไม่ได้เข้าใจสิ่งนั้นจริงๆ ก็ได้ หนูเรียนวิชาพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก ก็ขีดเส้นใต้เนื้อหาแล้วท่องจำไว้ ตอนนั้นคิดว่าตัวเองเข้าใจ แต่ตอนไปแลกเปลี่ยนที่เยอรมัน เพื่อนที่ไม่รู้จักศาสนาพุทธมาคุยด้วย หนูเล่าเรื่องต่างๆ ตามที่ท่องจำไว้ เขาสงสัยว่า
'ทำไมต้องสวดมนต์'
'สวรรค์-นรกเป็นเหตุเป็นผลยังไง'
'การทำบุญช่วยอะไรได้' เขาแค่สงสัยเฉยๆ แต่หนูตอบไม่ได้เลย เพราะไม่เคยกล้าถามเรื่องนี้ในเมืองไทย มันเปราะบางมาก เหตุการณ์นั้นทำให้หนูเอาสิ่งที่เรียนตั้งแต่ประถม-มัธยม สิ่งที่ท่องจำจนเคยชิน กลับมาตั้งคำถามและหาคำตอบใหม่อีกครั้ง”

https://www.facebook.com/bkkhumans/phot ... =3&theater

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 51 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร