วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 06:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 134 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2019, 22:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ปริยัติก็ตามนั้น (ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ)

นี่ปฏิบัติ



นั่งสมาธิแล้วมีอาการหมุนเหวี่ยงจะอ้วก

ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สาม นั่งไปซักพัก ประมาณสิบนาที เริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัว จึงนั่งต่อไม่ได้ ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามา ก็เริ่มมาหาอ่านเอง จนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณา ว่า เป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปป ก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืน หมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ

ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนา ทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่าง มี เกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด

แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้ว จะทำไปเพื่ออะไร หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ
หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน



นี่เป้นตัวอย่าง ทีลุงกรัชกายยกมา คิดว่าเป็นปฎิบัติ

แต่ไม่ใช่ที่พระศาสดาสอนแน่นอน คนละเรื่องกะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเรย

แก้โดย ไปอ่านให้รู้เรื่องก่อนน๊ะค๊ะ

ว่า จะปฎิบัติยังไง ให้ตรง ตามอักรขระ และพยัญชนะ ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้

ไม่มีว่าพุทโธ ไม่มีว่าสมาธิเรย

น้อค๊ะ

พระพุทธองค์ทรงแสดง สติปัฎฐานน้อค๊ะ ไม่ใช่สมาธิปัฎฐาน ไม่ใช่พุทโธปัฎฐาน ค่ะ

tongue



ผู้ที่ไปปฏิบัติกรรมฐาน ไปภาวนามัยตามสำนักต่างๆ ดูตัวอย่างไว้นะ นั่นเขาคือผู้ทำจริงๆ ลงไม้ลงมือปฏิบัติกันจริงๆ แล้วทีนี้เจ้าตัวไปอยู่ไปพบเจ้าสำนักปฏิบัตินั้นๆ ซึ่งขาดภูมิปฏิบัติ ก็จะตอบจะพูดแนวๆเมโลกสวยนี่แหละ ซึ่งมิได้ช่วยแก้ปัญหาให้ผู้ปฏิบัติเลย

เมื่อเป็นดังว่านั้น ให้รีบเก็บข้าวของ กราบลาเจ้าสำนักกลับบ้านให้ไว แล้วหยุดภาวนาให้จิตคลายจากสภาวะนั้น นี่เป็นวิธีแก้เมื่อหาผู้รู้แนะนำไม่ได้

อ้างคำพูด:
ผมก็พิจารณา ว่า เป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปป ก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืน หมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีก ซักสิบห้านาที ค่อยดีขึ้น


นั่นแหละอาการคลายของสภาวธรรมที่ประสบ ต่อเมื่อหยุดภาวนา

แต่ขอบอกบอกว่า ผู้ที่เดินทางทางจิตมาถึงแถวๆนี้แล้ว การจะกลับไปจุดเดิมเหมือนก่อนยากแล้ว ตัวอย่าง เมื่อเราทำงานอะไรนิ่งๆเพ่งมองอะไรเฉยๆนิ่งๆ ก็เกิดสมาธิแล้ว



คนฉลาด เค้าก็จะหันกลับมาปฎิบัติ ให้ถูกต้อง ตรงตามอักขระและพยัญชนะ ที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ดีแล้วค่ะ

ตามพระสูตรข้างบนที่ เม ยกมาให้ น๊ะค๊ะ

แต่ ๆๆ

ใครจะไปทำตามแบบท่านอาจารย์สัญชัย หรือทำตามแบบ คุณลุงกรัชกาย
ไปทำ ที่ไม่เหมือนพระพุทธองค์ตรัสไว้้้ในพระสูตร

ไม่ว่าจะเป็นสมาธิปัฎฐาน พุทโธปัฎฐาน

อันนี้ เม คงไปห้ามไม่ได้หรอกค่ะ

tongue


คนฉลาดไม่เชื่อไม่ปฏิบัติตามเพราะอักขระพยัญชนะในตำรากล่าวว่าอย่างนี้ ๆ หรอกครับ คนฉลาดเค้าจะพิจารณาครับว่าอกุศลไม่ดี มีโทษ ไม่ฉลาดในธรรม เป็นไปเพื่อทุกข์ ส่วนกุศลดี มีประโยชน์ ฉลาดในธรรม เป็นไปเพื่อสุข การปฏิบัติแบบนี้เป็นไปเพื่อความเสื่อมสิ้นไปของอกุศลธรรม เพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม การปฏิบัติแบบนี้เป็นไปเพื่อความสงบแห่งจิตภายใน การปฏิบัติแบบนี้เป็นไปเพื่อความเห็นธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง พิจารณาดีแล้วจึงเชื่อจึงน้อมนำมาปฏิบัติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2019, 22:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ปริยัติก็ตามนั้น (ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ)

นี่ปฏิบัติ



นั่งสมาธิแล้วมีอาการหมุนเหวี่ยงจะอ้วก

ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สาม นั่งไปซักพัก ประมาณสิบนาที เริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัว จึงนั่งต่อไม่ได้ ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามา ก็เริ่มมาหาอ่านเอง จนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณา ว่า เป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปป ก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืน หมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ

ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนา ทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่าง มี เกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด

แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้ว จะทำไปเพื่ออะไร หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ
หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน



นี่เป้นตัวอย่าง ทีลุงกรัชกายยกมา คิดว่าเป็นปฎิบัติ

แต่ไม่ใช่ที่พระศาสดาสอนแน่นอน คนละเรื่องกะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเรย

แก้โดย ไปอ่านให้รู้เรื่องก่อนน๊ะค๊ะ

ว่า จะปฎิบัติยังไง ให้ตรง ตามอักรขระ และพยัญชนะ ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้

ไม่มีว่าพุทโธ ไม่มีว่าสมาธิเรย

น้อค๊ะ

พระพุทธองค์ทรงแสดง สติปัฎฐานน้อค๊ะ ไม่ใช่สมาธิปัฎฐาน ไม่ใช่พุทโธปัฎฐาน ค่ะ

tongue



ผู้ที่ไปปฏิบัติกรรมฐาน ไปภาวนามัยตามสำนักต่างๆ ดูตัวอย่างไว้นะ นั่นเขาคือผู้ทำจริงๆ ลงไม้ลงมือปฏิบัติกันจริงๆ แล้วทีนี้เจ้าตัวไปอยู่ไปพบเจ้าสำนักปฏิบัตินั้นๆ ซึ่งขาดภูมิปฏิบัติ ก็จะตอบจะพูดแนวๆเมโลกสวยนี่แหละ ซึ่งมิได้ช่วยแก้ปัญหาให้ผู้ปฏิบัติเลย

เมื่อเป็นดังว่านั้น ให้รีบเก็บข้าวของ กราบลาเจ้าสำนักกลับบ้านให้ไว แล้วหยุดภาวนาให้จิตคลายจากสภาวะนั้น นี่เป็นวิธีแก้เมื่อหาผู้รู้แนะนำไม่ได้

อ้างคำพูด:
ผมก็พิจารณา ว่า เป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปป ก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืน หมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีก ซักสิบห้านาที ค่อยดีขึ้น


นั่นแหละอาการคลายของสภาวธรรมที่ประสบ ต่อเมื่อหยุดภาวนา

แต่ขอบอกบอกว่า ผู้ที่เดินทางทางจิตมาถึงแถวๆนี้แล้ว การจะกลับไปจุดเดิมเหมือนก่อนยากแล้ว ตัวอย่าง เมื่อเราทำงานอะไรนิ่งๆเพ่งมองอะไรเฉยๆนิ่งๆ ก็เกิดสมาธิแล้ว



คนฉลาด เค้าก็จะหันกลับมาปฎิบัติ ให้ถูกต้อง ตรงตามอักขระและพยัญชนะ ที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ดีแล้วค่ะ

ตามพระสูตรข้างบนที่ เม ยกมาให้ น๊ะค๊ะ

แต่ ๆๆ

ใครจะไปทำตามแบบท่านอาจารย์สัญชัย หรือทำตามแบบ คุณลุงกรัชกาย
ไปทำ ที่ไม่เหมือนพระพุทธองค์ตรัสไว้้้ในพระสูตร

ไม่ว่าจะเป็นสมาธิปัฎฐาน พุทโธปัฎฐาน

อันนี้ เม คงไปห้ามไม่ได้หรอกค่ะ

tongue


คนฉลาดไม่เชื่อไม่ปฏิบัติตามเพราะอักขระพยัญชนะในตำรากล่าวว่าอย่างนี้ ๆ หรอกครับ คนฉลาดเค้าจะพิจารณาครับว่าอกุศลไม่ดี มีโทษ ไม่ฉลาดในธรรม เป็นไปเพื่อทุกข์ ส่วนกุศลดี มีประโยชน์ ฉลาดในธรรม เป็นไปเพื่อสุข การปฏิบัติแบบนี้เป็นไปเพื่อความเสื่อมสิ้นไปของอกุศลธรรม เพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม การปฏิบัติแบบนี้เป็นไปเพื่อความสงบแห่งจิตภายใน การปฏิบัติแบบนี้เป็นไปเพื่อความเห็นธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง พิจารณาดีแล้วจึงเชื่อจึงน้อมนำมาปฏิบัติ



คนนั้น คงเกือบฉลาดขึ้นมาบ้าง เนาะคะ

เพราะยังคงแสดง ความ ค้างคาใจ ในธรรมะของพระพุทธองค์ ตรัสไว้ว่า

หลังจากปรินิพพานไปแล้ว ธรรมที่แสดงไว้ จักเป็นศาสดาแทนพระองค์

เพราะคนๆนั้น ยังไม่อาจปักใจเชื่อโดยสนิทใจได้
ว่า
ธรรมของพระพุทธองค์นั้น เป็นมหากุศลอันยิ่ง เนาะค๊ะ
ธรรมของพระพุทธองค์ มีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษ
และเป็นไปเพื่อความหมดทุกข์

ก็คงให้รอให้ถึงปัญญาอันยิ่ง อย่างที่คุณ love j กล่าวไว้
ว่า
"พิจารณาดีแล้วจึงเชื่อจึงน้อมนำมาปฏิบัติ"

ความฉลาด ก็คงต่างกัน ลิบๆๆ

ระหว่างผู้ที่เชื่อและศรัทธามี พระพุทธ พระอริยะสงฆ์ พระธรรมเป็นสรณะ แล้วอย่างเต็มที่แล้ว

กะ ผู้ที่ยังค้างคาใจ จะตรวจสอบธรรมพระพุทธองค์

ว่า ธรรมนั่น เป็นกุศล หรือ อกุศลอยู่หละเป่า เนาะค๊ะ

tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2019, 23:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ปริยัติก็ตามนั้น (ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ)

นี่ปฏิบัติ



นั่งสมาธิแล้วมีอาการหมุนเหวี่ยงจะอ้วก

ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สาม นั่งไปซักพัก ประมาณสิบนาที เริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัว จึงนั่งต่อไม่ได้ ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามา ก็เริ่มมาหาอ่านเอง จนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณา ว่า เป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปป ก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืน หมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ

ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนา ทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่าง มี เกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด

แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้ว จะทำไปเพื่ออะไร หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ
หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน



นี่เป้นตัวอย่าง ทีลุงกรัชกายยกมา คิดว่าเป็นปฎิบัติ

แต่ไม่ใช่ที่พระศาสดาสอนแน่นอน คนละเรื่องกะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเรย

แก้โดย ไปอ่านให้รู้เรื่องก่อนน๊ะค๊ะ

ว่า จะปฎิบัติยังไง ให้ตรง ตามอักรขระ และพยัญชนะ ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้

ไม่มีว่าพุทโธ ไม่มีว่าสมาธิเรย

น้อค๊ะ

พระพุทธองค์ทรงแสดง สติปัฎฐานน้อค๊ะ ไม่ใช่สมาธิปัฎฐาน ไม่ใช่พุทโธปัฎฐาน ค่ะ

tongue



ผู้ที่ไปปฏิบัติกรรมฐาน ไปภาวนามัยตามสำนักต่างๆ ดูตัวอย่างไว้นะ นั่นเขาคือผู้ทำจริงๆ ลงไม้ลงมือปฏิบัติกันจริงๆ แล้วทีนี้เจ้าตัวไปอยู่ไปพบเจ้าสำนักปฏิบัตินั้นๆ ซึ่งขาดภูมิปฏิบัติ ก็จะตอบจะพูดแนวๆเมโลกสวยนี่แหละ ซึ่งมิได้ช่วยแก้ปัญหาให้ผู้ปฏิบัติเลย

เมื่อเป็นดังว่านั้น ให้รีบเก็บข้าวของ กราบลาเจ้าสำนักกลับบ้านให้ไว แล้วหยุดภาวนาให้จิตคลายจากสภาวะนั้น นี่เป็นวิธีแก้เมื่อหาผู้รู้แนะนำไม่ได้

อ้างคำพูด:
ผมก็พิจารณา ว่า เป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปป ก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืน หมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีก ซักสิบห้านาที ค่อยดีขึ้น


นั่นแหละอาการคลายของสภาวธรรมที่ประสบ ต่อเมื่อหยุดภาวนา

แต่ขอบอกบอกว่า ผู้ที่เดินทางทางจิตมาถึงแถวๆนี้แล้ว การจะกลับไปจุดเดิมเหมือนก่อนยากแล้ว ตัวอย่าง เมื่อเราทำงานอะไรนิ่งๆเพ่งมองอะไรเฉยๆนิ่งๆ ก็เกิดสมาธิแล้ว



คนฉลาด เค้าก็จะหันกลับมาปฎิบัติ ให้ถูกต้อง ตรงตามอักขระและพยัญชนะ ที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ดีแล้วค่ะ

ตามพระสูตรข้างบนที่ เม ยกมาให้ น๊ะค๊ะ

แต่ ๆๆ

ใครจะไปทำตามแบบท่านอาจารย์สัญชัย หรือทำตามแบบ คุณลุงกรัชกาย
ไปทำ ที่ไม่เหมือนพระพุทธองค์ตรัสไว้้้ในพระสูตร

ไม่ว่าจะเป็นสมาธิปัฎฐาน พุทโธปัฎฐาน

อันนี้ เม คงไปห้ามไม่ได้หรอกค่ะ

tongue


คนฉลาดไม่เชื่อไม่ปฏิบัติตามเพราะอักขระพยัญชนะในตำรากล่าวว่าอย่างนี้ ๆ หรอกครับ คนฉลาดเค้าจะพิจารณาครับว่าอกุศลไม่ดี มีโทษ ไม่ฉลาดในธรรม เป็นไปเพื่อทุกข์ ส่วนกุศลดี มีประโยชน์ ฉลาดในธรรม เป็นไปเพื่อสุข การปฏิบัติแบบนี้เป็นไปเพื่อความเสื่อมสิ้นไปของอกุศลธรรม เพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม การปฏิบัติแบบนี้เป็นไปเพื่อความสงบแห่งจิตภายใน การปฏิบัติแบบนี้เป็นไปเพื่อความเห็นธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง พิจารณาดีแล้วจึงเชื่อจึงน้อมนำมาปฏิบัติ



คนนั้น คงเกือบฉลาดขึ้นมาบ้าง เนาะคะ

เพราะยังคงแสดง ความ ค้างคาใจ ในธรรมะของพระพุทธองค์ ตรัสไว้หลังจากปรินิพพานไปแล้ว

ว่า ธรรมที่แสดงไว้ จักเป็นศาสดาแทนพระองค์

เพราะยังไม่อาจปักใจเชื่อโดยสนิทใจได้
ว่า
ธรรมของพระพุทธองค์นั้น เป็นมหากุศลอันยิ่ง เนาะค๊ะ
ธรรมของพระพุทธองค์ มีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษ
และเป็นไปเพื่อความหมดทุกข์

ก็คงให้รอให้ถึงปัญญาอันยิ่ง อย่างที่คุณ love j กล่าวไว้
ว่า
"พิจารณาดีแล้วจึงเชื่อจึงน้อมนำมาปฏิบัติ"

ความฉลาด ก็คงต่างกัน ลิบๆๆ

ระหว่างผู้ที่เชื่อและศรัทธามี พระพุทธ พระอริยะสงฆ์ พระธรรมเป็นสรณะ แล้วอย่างเต็มที่แล้ว

กะ ผู้ที่ยังค้างคาใจ จะตรวจสอบธรรมพระพุทธองค์

ว่า ธรรมนั่น เป็นกุศล หรือ อกุศลอยู่หละเป่า เนาะค๊ะ

tongue


ที่ผมพูดอธิบายคือลักษณะของคนฉลาด ปกติของคนฉลาดที่จะพิจารณาโดยแยบคายก่อนจะเชื่อ
ก่อนจะน้อมนำมาปฏิบัติ เค้าไม่ได้เชื่อถือศรัทธาเพียงเพราะคำนี้เป็นคำของอาจารย์เรา ไม่ได้เชื่อ
เพราะอักขระ พยัญชนะตามตำราว่าไว้อย่างนี้ แม้พระพุทธเจ้าเองก็สอนไม่ให้เชื่อด้วยเหตุอย่างนี้
กล่าวไว้ใน กาลมสูตร ๑๐

ส่วนที่ผมกล่าวว่า " พิจารณาดีแล้วจึงเชื่อจึงน้อมนำมาปฏิบัติ " ก็สอดคล้องกับหลักกาลมสูตร ๑๐
เมื่อพิจารณาคำสอนของพระพุทธเจ้าดีแล้วจึงน้อมนำมาปฏิบัติด้วยความเคารพยำเกรง ด้วยความ
ยินดีในความสำรวมระวัง ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างไม่ค้างคาใจ

ส่วนที่กล่าวถึงผู้ที่เชื่อและศรัทธามีพระพุทธ พระอริยะสงฆ์ พระธรรมเป็นสรณะ แล้วอย่างเต็มที่นั้น
คุณโลกสวยเป็นแบบนั้นแล้วหรือยัง ศึกษาปฏิบัติด้วยความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยแล้วหรือยัง
ยอมรับในคำสอนด้วยความยินดีหรือเปล่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2019, 23:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ปริยัติก็ตามนั้น (ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ)

นี่ปฏิบัติ



นั่งสมาธิแล้วมีอาการหมุนเหวี่ยงจะอ้วก

ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สาม นั่งไปซักพัก ประมาณสิบนาที เริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัว จึงนั่งต่อไม่ได้ ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามา ก็เริ่มมาหาอ่านเอง จนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณา ว่า เป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปป ก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืน หมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ

ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนา ทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่าง มี เกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด

แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้ว จะทำไปเพื่ออะไร หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ
หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน



นี่เป้นตัวอย่าง ทีลุงกรัชกายยกมา คิดว่าเป็นปฎิบัติ

แต่ไม่ใช่ที่พระศาสดาสอนแน่นอน คนละเรื่องกะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเรย

แก้โดย ไปอ่านให้รู้เรื่องก่อนน๊ะค๊ะ

ว่า จะปฎิบัติยังไง ให้ตรง ตามอักรขระ และพยัญชนะ ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้

ไม่มีว่าพุทโธ ไม่มีว่าสมาธิเรย

น้อค๊ะ

พระพุทธองค์ทรงแสดง สติปัฎฐานน้อค๊ะ ไม่ใช่สมาธิปัฎฐาน ไม่ใช่พุทโธปัฎฐาน ค่ะ

tongue



ผู้ที่ไปปฏิบัติกรรมฐาน ไปภาวนามัยตามสำนักต่างๆ ดูตัวอย่างไว้นะ นั่นเขาคือผู้ทำจริงๆ ลงไม้ลงมือปฏิบัติกันจริงๆ แล้วทีนี้เจ้าตัวไปอยู่ไปพบเจ้าสำนักปฏิบัตินั้นๆ ซึ่งขาดภูมิปฏิบัติ ก็จะตอบจะพูดแนวๆเมโลกสวยนี่แหละ ซึ่งมิได้ช่วยแก้ปัญหาให้ผู้ปฏิบัติเลย

เมื่อเป็นดังว่านั้น ให้รีบเก็บข้าวของ กราบลาเจ้าสำนักกลับบ้านให้ไว แล้วหยุดภาวนาให้จิตคลายจากสภาวะนั้น นี่เป็นวิธีแก้เมื่อหาผู้รู้แนะนำไม่ได้

อ้างคำพูด:
ผมก็พิจารณา ว่า เป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปป ก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืน หมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีก ซักสิบห้านาที ค่อยดีขึ้น


นั่นแหละอาการคลายของสภาวธรรมที่ประสบ ต่อเมื่อหยุดภาวนา

แต่ขอบอกบอกว่า ผู้ที่เดินทางทางจิตมาถึงแถวๆนี้แล้ว การจะกลับไปจุดเดิมเหมือนก่อนยากแล้ว ตัวอย่าง เมื่อเราทำงานอะไรนิ่งๆเพ่งมองอะไรเฉยๆนิ่งๆ ก็เกิดสมาธิแล้ว



คนฉลาด เค้าก็จะหันกลับมาปฎิบัติ ให้ถูกต้อง ตรงตามอักขระและพยัญชนะ ที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ดีแล้วค่ะ

ตามพระสูตรข้างบนที่ เม ยกมาให้ น๊ะค๊ะ

แต่ ๆๆ

ใครจะไปทำตามแบบท่านอาจารย์สัญชัย หรือทำตามแบบ คุณลุงกรัชกาย
ไปทำ ที่ไม่เหมือนพระพุทธองค์ตรัสไว้้้ในพระสูตร

ไม่ว่าจะเป็นสมาธิปัฎฐาน พุทโธปัฎฐาน

อันนี้ เม คงไปห้ามไม่ได้หรอกค่ะ

tongue


คนฉลาดไม่เชื่อไม่ปฏิบัติตามเพราะอักขระพยัญชนะในตำรากล่าวว่าอย่างนี้ ๆ หรอกครับ คนฉลาดเค้าจะพิจารณาครับว่าอกุศลไม่ดี มีโทษ ไม่ฉลาดในธรรม เป็นไปเพื่อทุกข์ ส่วนกุศลดี มีประโยชน์ ฉลาดในธรรม เป็นไปเพื่อสุข การปฏิบัติแบบนี้เป็นไปเพื่อความเสื่อมสิ้นไปของอกุศลธรรม เพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม การปฏิบัติแบบนี้เป็นไปเพื่อความสงบแห่งจิตภายใน การปฏิบัติแบบนี้เป็นไปเพื่อความเห็นธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง พิจารณาดีแล้วจึงเชื่อจึงน้อมนำมาปฏิบัติ



คนนั้น คงเกือบฉลาดขึ้นมาบ้าง เนาะคะ

เพราะยังคงแสดง ความ ค้างคาใจ ในธรรมะของพระพุทธองค์ ตรัสไว้หลังจากปรินิพพานไปแล้ว

ว่า ธรรมที่แสดงไว้ จักเป็นศาสดาแทนพระองค์

เพราะยังไม่อาจปักใจเชื่อโดยสนิทใจได้
ว่า
ธรรมของพระพุทธองค์นั้น เป็นมหากุศลอันยิ่ง เนาะค๊ะ
ธรรมของพระพุทธองค์ มีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษ
และเป็นไปเพื่อความหมดทุกข์

ก็คงให้รอให้ถึงปัญญาอันยิ่ง อย่างที่คุณ love j กล่าวไว้
ว่า
"พิจารณาดีแล้วจึงเชื่อจึงน้อมนำมาปฏิบัติ"

ความฉลาด ก็คงต่างกัน ลิบๆๆ

ระหว่างผู้ที่เชื่อและศรัทธามี พระพุทธ พระอริยะสงฆ์ พระธรรมเป็นสรณะ แล้วอย่างเต็มที่แล้ว

กะ ผู้ที่ยังค้างคาใจ จะตรวจสอบธรรมพระพุทธองค์

ว่า ธรรมนั่น เป็นกุศล หรือ อกุศลอยู่หละเป่า เนาะค๊ะ

tongue


ที่ผมพูดอธิบายคือลักษณะของคนฉลาด ปกติของคนฉลาดที่จะพิจารณาโดยแยบคายก่อนจะเชื่อ
ก่อนจะน้อมนำมาปฏิบัติ เค้าไม่ได้เชื่อถือศรัทธาเพียงเพราะคำนี้เป็นคำของอาจารย์เรา ไม่ได้เชื่อ
เพราะอักขระ พยัญชนะตามตำราว่าไว้อย่างนี้ แม้พระพุทธเจ้าเองก็สอนไม่ให้เชื่อด้วยเหตุอย่างนี้
กล่าวไว้ใน กาลมสูตร ๑๐

ส่วนที่ผมกล่าวว่า " พิจารณาดีแล้วจึงเชื่อจึงน้อมนำมาปฏิบัติ " ก็สอดคล้องกับหลักกาลมสูตร ๑๐
เมื่อพิจารณาคำสอนของพระพุทธเจ้าดีแล้วจึงน้อมนำมาปฏิบัติด้วยความเคารพยำเกรง ด้วยความ
ยินดีในความสำรวมระวัง ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างไม่ค้างคาใจ

ส่วนที่กล่าวถึงผู้ที่เชื่อและศรัทธามีพระพุทธ พระอริยะสงฆ์ พระธรรมเป็นสรณะ แล้วอย่างเต็มที่นั้น
คุณโลกสวยเป็นแบบนั้นแล้วหรือยัง ศึกษาปฏิบัติด้วยความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยแล้วหรือยัง
ยอมรับในคำสอนด้วยความยินดีหรือเปล่า


เม คงไม่ต้อง แสดงความค้างคาใจ ที่จะมาตรวจสอบธรรมของพระองค์
ว่าธรรมพระองค์นี้ นี้ เป็นกุศล หรืออกุศล มีคุณมีโทษเช่นไร

เพราะกระจ่างแก่ใจค่ะ ไม่ต้องตรวจสอบใดๆ โดยกาลามสูตรเรย


และชนชาวกาละมะทุกคน ก็ประจักษ์แก่ใจเช่นกัน

ไม่มีใครสักคนเดียว ที่ยังมานั่งคิดนอนคิด แบบคุณ Love j
ว่า ที่พระพุทธองค์กล่าวมานั้น

จะเชื่อดีมั๊ยน้อ? จะน้อมมาปฎิบัติดีมั๊ยน้อ? เป็นกุศลมั๊ยน้อ? สมควรเอามาเป็นอาจารย์มั๊ยน้อ

แต่

ทั้งหมดในเมือง ได้กล่าวพร้อมเพรียงกัน ต่อหน้าพระพัตร์ ว่า
ขอพระองค์โปรดทรงจำพวกข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสก
ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ

คุณควรถามตัวเองว่า ที่ยังใช้กาละมสูตร กับพระพุทธองค์ นั้น
คุณ ปักใจเชื่อแค่ไหน

แต่คำพูดของคุณ นั้น ใครๆก็เห็นชัดแหละค่ะ ว่า
คุณไม่ปักใจ ค้างคาใจในคำสอนพระพุทธองค์ ค่ะ

tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 00:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ฝากเป็นการบ้านให้คุณ Love J ไปทำการบ้าน ด้วยน๊ะค๊ะ

ว่า

ผู้ที่ยังใช้ กาลามสูตร กับพระธรรมของพระพุทธองค์

นั่น เป็นคนฉลาดจริงแบบคุณว่าไว้หรือเปล่า

หรือเพิ่งจะเริ่มฉลาด

และถ้าฉลาดแล้ว จะยังใช้กาลามสูตร พิสูจน์พระธรรมพระพุทธองค์ อยู่เช่นนั้นหรือเปล่าว

tongue


แก้ไขล่าสุดโดย โลกสวย เมื่อ 03 มี.ค. 2019, 00:14, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 00:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ปริยัติก็ตามนั้น (ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ)

นี่ปฏิบัติ



นั่งสมาธิแล้วมีอาการหมุนเหวี่ยงจะอ้วก

ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สาม นั่งไปซักพัก ประมาณสิบนาที เริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัว จึงนั่งต่อไม่ได้ ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามา ก็เริ่มมาหาอ่านเอง จนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณา ว่า เป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปป ก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืน หมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ

ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนา ทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่าง มี เกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด

แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้ว จะทำไปเพื่ออะไร หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ
หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน



นี่เป้นตัวอย่าง ทีลุงกรัชกายยกมา คิดว่าเป็นปฎิบัติ

แต่ไม่ใช่ที่พระศาสดาสอนแน่นอน คนละเรื่องกะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเรย

แก้โดย ไปอ่านให้รู้เรื่องก่อนน๊ะค๊ะ

ว่า จะปฎิบัติยังไง ให้ตรง ตามอักรขระ และพยัญชนะ ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้

ไม่มีว่าพุทโธ ไม่มีว่าสมาธิเรย

น้อค๊ะ

พระพุทธองค์ทรงแสดง สติปัฎฐานน้อค๊ะ ไม่ใช่สมาธิปัฎฐาน ไม่ใช่พุทโธปัฎฐาน ค่ะ

tongue



ผู้ที่ไปปฏิบัติกรรมฐาน ไปภาวนามัยตามสำนักต่างๆ ดูตัวอย่างไว้นะ นั่นเขาคือผู้ทำจริงๆ ลงไม้ลงมือปฏิบัติกันจริงๆ แล้วทีนี้เจ้าตัวไปอยู่ไปพบเจ้าสำนักปฏิบัตินั้นๆ ซึ่งขาดภูมิปฏิบัติ ก็จะตอบจะพูดแนวๆเมโลกสวยนี่แหละ ซึ่งมิได้ช่วยแก้ปัญหาให้ผู้ปฏิบัติเลย

เมื่อเป็นดังว่านั้น ให้รีบเก็บข้าวของ กราบลาเจ้าสำนักกลับบ้านให้ไว แล้วหยุดภาวนาให้จิตคลายจากสภาวะนั้น นี่เป็นวิธีแก้เมื่อหาผู้รู้แนะนำไม่ได้

อ้างคำพูด:
ผมก็พิจารณา ว่า เป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปป ก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืน หมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีก ซักสิบห้านาที ค่อยดีขึ้น


นั่นแหละอาการคลายของสภาวธรรมที่ประสบ ต่อเมื่อหยุดภาวนา

แต่ขอบอกบอกว่า ผู้ที่เดินทางทางจิตมาถึงแถวๆนี้แล้ว การจะกลับไปจุดเดิมเหมือนก่อนยากแล้ว ตัวอย่าง เมื่อเราทำงานอะไรนิ่งๆเพ่งมองอะไรเฉยๆนิ่งๆ ก็เกิดสมาธิแล้ว



คนฉลาด เค้าก็จะหันกลับมาปฎิบัติ ให้ถูกต้อง ตรงตามอักขระและพยัญชนะ ที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ดีแล้วค่ะ

ตามพระสูตรข้างบนที่ เม ยกมาให้ น๊ะค๊ะ

แต่ ๆๆ

ใครจะไปทำตามแบบท่านอาจารย์สัญชัย หรือทำตามแบบ คุณลุงกรัชกาย
ไปทำ ที่ไม่เหมือนพระพุทธองค์ตรัสไว้้้ในพระสูตร

ไม่ว่าจะเป็นสมาธิปัฎฐาน พุทโธปัฎฐาน

อันนี้ เม คงไปห้ามไม่ได้หรอกค่ะ

tongue


คนฉลาดไม่เชื่อไม่ปฏิบัติตามเพราะอักขระพยัญชนะในตำรากล่าวว่าอย่างนี้ ๆ หรอกครับ คนฉลาดเค้าจะพิจารณาครับว่าอกุศลไม่ดี มีโทษ ไม่ฉลาดในธรรม เป็นไปเพื่อทุกข์ ส่วนกุศลดี มีประโยชน์ ฉลาดในธรรม เป็นไปเพื่อสุข การปฏิบัติแบบนี้เป็นไปเพื่อความเสื่อมสิ้นไปของอกุศลธรรม เพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม การปฏิบัติแบบนี้เป็นไปเพื่อความสงบแห่งจิตภายใน การปฏิบัติแบบนี้เป็นไปเพื่อความเห็นธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง พิจารณาดีแล้วจึงเชื่อจึงน้อมนำมาปฏิบัติ



คนนั้น คงเกือบฉลาดขึ้นมาบ้าง เนาะคะ

เพราะยังคงแสดง ความ ค้างคาใจ ในธรรมะของพระพุทธองค์ ตรัสไว้หลังจากปรินิพพานไปแล้ว

ว่า ธรรมที่แสดงไว้ จักเป็นศาสดาแทนพระองค์

เพราะยังไม่อาจปักใจเชื่อโดยสนิทใจได้
ว่า
ธรรมของพระพุทธองค์นั้น เป็นมหากุศลอันยิ่ง เนาะค๊ะ
ธรรมของพระพุทธองค์ มีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษ
และเป็นไปเพื่อความหมดทุกข์

ก็คงให้รอให้ถึงปัญญาอันยิ่ง อย่างที่คุณ love j กล่าวไว้
ว่า
"พิจารณาดีแล้วจึงเชื่อจึงน้อมนำมาปฏิบัติ"

ความฉลาด ก็คงต่างกัน ลิบๆๆ

ระหว่างผู้ที่เชื่อและศรัทธามี พระพุทธ พระอริยะสงฆ์ พระธรรมเป็นสรณะ แล้วอย่างเต็มที่แล้ว

กะ ผู้ที่ยังค้างคาใจ จะตรวจสอบธรรมพระพุทธองค์

ว่า ธรรมนั่น เป็นกุศล หรือ อกุศลอยู่หละเป่า เนาะค๊ะ

tongue


ที่ผมพูดอธิบายคือลักษณะของคนฉลาด ปกติของคนฉลาดที่จะพิจารณาโดยแยบคายก่อนจะเชื่อ
ก่อนจะน้อมนำมาปฏิบัติ เค้าไม่ได้เชื่อถือศรัทธาเพียงเพราะคำนี้เป็นคำของอาจารย์เรา ไม่ได้เชื่อ
เพราะอักขระ พยัญชนะตามตำราว่าไว้อย่างนี้ แม้พระพุทธเจ้าเองก็สอนไม่ให้เชื่อด้วยเหตุอย่างนี้
กล่าวไว้ใน กาลมสูตร ๑๐

ส่วนที่ผมกล่าวว่า " พิจารณาดีแล้วจึงเชื่อจึงน้อมนำมาปฏิบัติ " ก็สอดคล้องกับหลักกาลมสูตร ๑๐
เมื่อพิจารณาคำสอนของพระพุทธเจ้าดีแล้วจึงน้อมนำมาปฏิบัติด้วยความเคารพยำเกรง ด้วยความ
ยินดีในความสำรวมระวัง ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างไม่ค้างคาใจ

ส่วนที่กล่าวถึงผู้ที่เชื่อและศรัทธามีพระพุทธ พระอริยะสงฆ์ พระธรรมเป็นสรณะ แล้วอย่างเต็มที่นั้น
คุณโลกสวยเป็นแบบนั้นแล้วหรือยัง ศึกษาปฏิบัติด้วยความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยแล้วหรือยัง
ยอมรับในคำสอนด้วยความยินดีหรือเปล่า


เม คงไม่ต้อง แสดงความค้างคาใจ ที่จะมาตรวจสอบธรรมของพระองค์
ว่าธรรมพระองค์นี้ นี้ เป็นกุศล หรืออกุศล มีคุณมีโทษเช่นไร

เพราะกระจ่างแก่ใจค่ะ ไม่ต้องตรวจสอบใดๆ โดยกาลามสูตรเรย


และชนชาวกาละมะทุกคน ก็ประจักษ์แก่ใจเช่นกัน

ไม่มีใครสักคนเดียว ที่ยังมานั่งคิดนอนคิด แบบคุณ Love j
ว่า ที่พระพุทธองค์กล่าวมานั้น

จะเชื่อดีมั๊ยน้อ? จะน้อมมาปฎิบัติดีมั๊ยน้อ? เป็นกุศลมั๊ยน้อ? สมควรเอามาเป็นอาจารย์มั๊ยน้อ

แต่

ทั้งหมดในเมือง ได้กล่าวพร้อมเพรียงกัน ต่อหน้าพระพัตร์ ว่า
ขอพระองค์โปรดทรงจำพวกข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสก
ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ

คุณควรถามตัวเองว่า ที่ยังใช้กาละมสูตร กับพระพุทธองค์ นั้น
คุณ ปักใจเชื่อแค่ไหน

แต่คำพูดของคุณ นั้น ใครๆก็เห็นชัดแหละค่ะ ว่า
คุรยังไม่ปักใจ ยังค้างคาใจในคำสอนพระพุทธองค์ ค่ะ

tongue


พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่พวกชนกาลมโคตร ทรงแจกแจงธรรมเป็นอกุศล ธรรมเป็นกุศล
อกูศลเป็นธรรมมีโทษอย่างนี้ ๆ กุศลเป็นธรรมมีประโยชนอย่างนี้ ๆ อริยสาวกมีจิตอย่างนี้ ๆ

แล้วเตือนชนกาลมโคตรไม่ให้เชื่อโดยมิได้พิจารณาในธรรมที่พระองค์ทรงแสดงให้ดีก่อนด้วย
หลัก กาลมสูตร ๑๐ เมื่อชนกาลมโคตรพิจารณาแล้วก็เห็นตามคำของพระพุทธเจ้าว่าข้อนี้เป็น
อย่างนั้น อริยสาวกมีจิตอย่างนั้น ๆ ได้รับความอุ่นใจอย่างนั้น ๆ เป็นจริงอย่างนั้น ๆ

เมื่อชนกาลมโคตรเห็นดังนั้นแล้วจึงเชื่อถือศรัทธาในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสาวก
ชนกาลมโคตรฉันใด ผมก็ฉันนั้นเพราะพิจารณาเเห็นดังนั้นจึงไม่ค้างคาใจ ไม่ลังเลสงสัย
น้อมนำคำสั่งสอนมาศึกษาปฏิบัติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 00:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ปริยัติก็ตามนั้น (ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ)

นี่ปฏิบัติ



นั่งสมาธิแล้วมีอาการหมุนเหวี่ยงจะอ้วก

ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สาม นั่งไปซักพัก ประมาณสิบนาที เริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัว จึงนั่งต่อไม่ได้ ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามา ก็เริ่มมาหาอ่านเอง จนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณา ว่า เป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปป ก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืน หมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ

ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนา ทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่าง มี เกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด

แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้ว จะทำไปเพื่ออะไร หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ
หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน



นี่เป้นตัวอย่าง ทีลุงกรัชกายยกมา คิดว่าเป็นปฎิบัติ

แต่ไม่ใช่ที่พระศาสดาสอนแน่นอน คนละเรื่องกะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเรย

แก้โดย ไปอ่านให้รู้เรื่องก่อนน๊ะค๊ะ

ว่า จะปฎิบัติยังไง ให้ตรง ตามอักรขระ และพยัญชนะ ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้

ไม่มีว่าพุทโธ ไม่มีว่าสมาธิเรย

น้อค๊ะ

พระพุทธองค์ทรงแสดง สติปัฎฐานน้อค๊ะ ไม่ใช่สมาธิปัฎฐาน ไม่ใช่พุทโธปัฎฐาน ค่ะ

tongue



ผู้ที่ไปปฏิบัติกรรมฐาน ไปภาวนามัยตามสำนักต่างๆ ดูตัวอย่างไว้นะ นั่นเขาคือผู้ทำจริงๆ ลงไม้ลงมือปฏิบัติกันจริงๆ แล้วทีนี้เจ้าตัวไปอยู่ไปพบเจ้าสำนักปฏิบัตินั้นๆ ซึ่งขาดภูมิปฏิบัติ ก็จะตอบจะพูดแนวๆเมโลกสวยนี่แหละ ซึ่งมิได้ช่วยแก้ปัญหาให้ผู้ปฏิบัติเลย

เมื่อเป็นดังว่านั้น ให้รีบเก็บข้าวของ กราบลาเจ้าสำนักกลับบ้านให้ไว แล้วหยุดภาวนาให้จิตคลายจากสภาวะนั้น นี่เป็นวิธีแก้เมื่อหาผู้รู้แนะนำไม่ได้

อ้างคำพูด:
ผมก็พิจารณา ว่า เป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปป ก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืน หมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีก ซักสิบห้านาที ค่อยดีขึ้น


นั่นแหละอาการคลายของสภาวธรรมที่ประสบ ต่อเมื่อหยุดภาวนา

แต่ขอบอกบอกว่า ผู้ที่เดินทางทางจิตมาถึงแถวๆนี้แล้ว การจะกลับไปจุดเดิมเหมือนก่อนยากแล้ว ตัวอย่าง เมื่อเราทำงานอะไรนิ่งๆเพ่งมองอะไรเฉยๆนิ่งๆ ก็เกิดสมาธิแล้ว



คนฉลาด เค้าก็จะหันกลับมาปฎิบัติ ให้ถูกต้อง ตรงตามอักขระและพยัญชนะ ที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ดีแล้วค่ะ

ตามพระสูตรข้างบนที่ เม ยกมาให้ น๊ะค๊ะ

แต่ ๆๆ

ใครจะไปทำตามแบบท่านอาจารย์สัญชัย หรือทำตามแบบ คุณลุงกรัชกาย
ไปทำ ที่ไม่เหมือนพระพุทธองค์ตรัสไว้้้ในพระสูตร

ไม่ว่าจะเป็นสมาธิปัฎฐาน พุทโธปัฎฐาน

อันนี้ เม คงไปห้ามไม่ได้หรอกค่ะ

tongue


คนฉลาดไม่เชื่อไม่ปฏิบัติตามเพราะอักขระพยัญชนะในตำรากล่าวว่าอย่างนี้ ๆ หรอกครับ คนฉลาดเค้าจะพิจารณาครับว่าอกุศลไม่ดี มีโทษ ไม่ฉลาดในธรรม เป็นไปเพื่อทุกข์ ส่วนกุศลดี มีประโยชน์ ฉลาดในธรรม เป็นไปเพื่อสุข การปฏิบัติแบบนี้เป็นไปเพื่อความเสื่อมสิ้นไปของอกุศลธรรม เพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม การปฏิบัติแบบนี้เป็นไปเพื่อความสงบแห่งจิตภายใน การปฏิบัติแบบนี้เป็นไปเพื่อความเห็นธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง พิจารณาดีแล้วจึงเชื่อจึงน้อมนำมาปฏิบัติ



คนนั้น คงเกือบฉลาดขึ้นมาบ้าง เนาะคะ

เพราะยังคงแสดง ความ ค้างคาใจ ในธรรมะของพระพุทธองค์ ตรัสไว้หลังจากปรินิพพานไปแล้ว

ว่า ธรรมที่แสดงไว้ จักเป็นศาสดาแทนพระองค์

เพราะยังไม่อาจปักใจเชื่อโดยสนิทใจได้
ว่า
ธรรมของพระพุทธองค์นั้น เป็นมหากุศลอันยิ่ง เนาะค๊ะ
ธรรมของพระพุทธองค์ มีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษ
และเป็นไปเพื่อความหมดทุกข์

ก็คงให้รอให้ถึงปัญญาอันยิ่ง อย่างที่คุณ love j กล่าวไว้
ว่า
"พิจารณาดีแล้วจึงเชื่อจึงน้อมนำมาปฏิบัติ"

ความฉลาด ก็คงต่างกัน ลิบๆๆ

ระหว่างผู้ที่เชื่อและศรัทธามี พระพุทธ พระอริยะสงฆ์ พระธรรมเป็นสรณะ แล้วอย่างเต็มที่แล้ว

กะ ผู้ที่ยังค้างคาใจ จะตรวจสอบธรรมพระพุทธองค์

ว่า ธรรมนั่น เป็นกุศล หรือ อกุศลอยู่หละเป่า เนาะค๊ะ

tongue


ที่ผมพูดอธิบายคือลักษณะของคนฉลาด ปกติของคนฉลาดที่จะพิจารณาโดยแยบคายก่อนจะเชื่อ
ก่อนจะน้อมนำมาปฏิบัติ เค้าไม่ได้เชื่อถือศรัทธาเพียงเพราะคำนี้เป็นคำของอาจารย์เรา ไม่ได้เชื่อ
เพราะอักขระ พยัญชนะตามตำราว่าไว้อย่างนี้ แม้พระพุทธเจ้าเองก็สอนไม่ให้เชื่อด้วยเหตุอย่างนี้
กล่าวไว้ใน กาลมสูตร ๑๐

ส่วนที่ผมกล่าวว่า " พิจารณาดีแล้วจึงเชื่อจึงน้อมนำมาปฏิบัติ " ก็สอดคล้องกับหลักกาลมสูตร ๑๐
เมื่อพิจารณาคำสอนของพระพุทธเจ้าดีแล้วจึงน้อมนำมาปฏิบัติด้วยความเคารพยำเกรง ด้วยความ
ยินดีในความสำรวมระวัง ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างไม่ค้างคาใจ

ส่วนที่กล่าวถึงผู้ที่เชื่อและศรัทธามีพระพุทธ พระอริยะสงฆ์ พระธรรมเป็นสรณะ แล้วอย่างเต็มที่นั้น
คุณโลกสวยเป็นแบบนั้นแล้วหรือยัง ศึกษาปฏิบัติด้วยความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยแล้วหรือยัง
ยอมรับในคำสอนด้วยความยินดีหรือเปล่า


เม คงไม่ต้อง แสดงความค้างคาใจ ที่จะมาตรวจสอบธรรมของพระองค์
ว่าธรรมพระองค์นี้ นี้ เป็นกุศล หรืออกุศล มีคุณมีโทษเช่นไร

เพราะกระจ่างแก่ใจค่ะ ไม่ต้องตรวจสอบใดๆ โดยกาลามสูตรเรย


และชนชาวกาละมะทุกคน ก็ประจักษ์แก่ใจเช่นกัน

ไม่มีใครสักคนเดียว ที่ยังมานั่งคิดนอนคิด แบบคุณ Love j
ว่า ที่พระพุทธองค์กล่าวมานั้น

จะเชื่อดีมั๊ยน้อ? จะน้อมมาปฎิบัติดีมั๊ยน้อ? เป็นกุศลมั๊ยน้อ? สมควรเอามาเป็นอาจารย์มั๊ยน้อ

แต่

ทั้งหมดในเมือง ได้กล่าวพร้อมเพรียงกัน ต่อหน้าพระพัตร์ ว่า
ขอพระองค์โปรดทรงจำพวกข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสก
ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ

คุณควรถามตัวเองว่า ที่ยังใช้กาละมสูตร กับพระพุทธองค์ นั้น
คุณ ปักใจเชื่อแค่ไหน

แต่คำพูดของคุณ นั้น ใครๆก็เห็นชัดแหละค่ะ ว่า
คุรยังไม่ปักใจ ยังค้างคาใจในคำสอนพระพุทธองค์ ค่ะ

tongue


พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่พวกชนกาลมโคตร ทรงแจกแจงธรรมเป็นอกุศล ธรรมเป็นกุศล
อกูศลเป็นธรรมมีโทษอย่างนี้ ๆ กุศลเป็นธรรมมีประโยชนอย่างนี้ ๆ อริยสาวกมีจิตอย่างนี้ ๆ

แล้วเตือนชนกาลมโคตรไม่ให้เชื่อโดยมิได้พิจารณาในธรรมที่พระองค์ทรงแสดงให้ดีก่อนด้วย
หลัก กาลมสูตร ๑๐ เมื่อชนกาลมโคตรพิจารณาแล้วก็เห็นตามคำของพระพุทธเจ้าว่าข้อนี้เป็น
อย่างนั้น อริยสาวกมีจิตอย่างนั้น ๆ ได้รับความอุ่นใจอย่างนั้น ๆ เป็นจริงอย่างนั้น ๆ

เมื่อชนกาลมโคตรเห็นดังนั้นแล้วจึงเชื่อถือศรัทธาในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสาวก
ชนกาลมโคตรฉันใด ผมก็ฉันนั้นเพราะพิจารณาเเห็นดังนั้นจึงไม่ค้างคาใจ ไม่ลังเลสงสัย
น้อมนำคำสั่งสอนมาศึกษาปฏิบัติ


ก็อนุโมทนาด้วยค่ะ ที่เลิกใช้กาลามสูตร เพราะฉลาดขี้นแล้ว

เพราะขืนที่ใช้กับธรรมพระพุทธองค์อยู่ ยังไม่ฉลาด ค่ะ

tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 00:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ปริยัติก็ตามนั้น (ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ)

นี่ปฏิบัติ



นั่งสมาธิแล้วมีอาการหมุนเหวี่ยงจะอ้วก

ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สาม นั่งไปซักพัก ประมาณสิบนาที เริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัว จึงนั่งต่อไม่ได้ ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามา ก็เริ่มมาหาอ่านเอง จนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณา ว่า เป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปป ก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืน หมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ

ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนา ทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่าง มี เกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด

แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้ว จะทำไปเพื่ออะไร หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ
หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน



นี่เป้นตัวอย่าง ทีลุงกรัชกายยกมา คิดว่าเป็นปฎิบัติ

แต่ไม่ใช่ที่พระศาสดาสอนแน่นอน คนละเรื่องกะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเรย

แก้โดย ไปอ่านให้รู้เรื่องก่อนน๊ะค๊ะ

ว่า จะปฎิบัติยังไง ให้ตรง ตามอักรขระ และพยัญชนะ ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้

ไม่มีว่าพุทโธ ไม่มีว่าสมาธิเรย

น้อค๊ะ

พระพุทธองค์ทรงแสดง สติปัฎฐานน้อค๊ะ ไม่ใช่สมาธิปัฎฐาน ไม่ใช่พุทโธปัฎฐาน ค่ะ

tongue



ผู้ที่ไปปฏิบัติกรรมฐาน ไปภาวนามัยตามสำนักต่างๆ ดูตัวอย่างไว้นะ นั่นเขาคือผู้ทำจริงๆ ลงไม้ลงมือปฏิบัติกันจริงๆ แล้วทีนี้เจ้าตัวไปอยู่ไปพบเจ้าสำนักปฏิบัตินั้นๆ ซึ่งขาดภูมิปฏิบัติ ก็จะตอบจะพูดแนวๆเมโลกสวยนี่แหละ ซึ่งมิได้ช่วยแก้ปัญหาให้ผู้ปฏิบัติเลย

เมื่อเป็นดังว่านั้น ให้รีบเก็บข้าวของ กราบลาเจ้าสำนักกลับบ้านให้ไว แล้วหยุดภาวนาให้จิตคลายจากสภาวะนั้น นี่เป็นวิธีแก้เมื่อหาผู้รู้แนะนำไม่ได้

อ้างคำพูด:
ผมก็พิจารณา ว่า เป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปป ก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืน หมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีก ซักสิบห้านาที ค่อยดีขึ้น


นั่นแหละอาการคลายของสภาวธรรมที่ประสบ ต่อเมื่อหยุดภาวนา

แต่ขอบอกบอกว่า ผู้ที่เดินทางทางจิตมาถึงแถวๆนี้แล้ว การจะกลับไปจุดเดิมเหมือนก่อนยากแล้ว ตัวอย่าง เมื่อเราทำงานอะไรนิ่งๆเพ่งมองอะไรเฉยๆนิ่งๆ ก็เกิดสมาธิแล้ว



คนฉลาด เค้าก็จะหันกลับมาปฎิบัติ ให้ถูกต้อง ตรงตามอักขระและพยัญชนะ ที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ดีแล้วค่ะ

ตามพระสูตรข้างบนที่ เม ยกมาให้ น๊ะค๊ะ

แต่ ๆๆ

ใครจะไปทำตามแบบท่านอาจารย์สัญชัย หรือทำตามแบบ คุณลุงกรัชกาย
ไปทำ ที่ไม่เหมือนพระพุทธองค์ตรัสไว้้้ในพระสูตร

ไม่ว่าจะเป็นสมาธิปัฎฐาน พุทโธปัฎฐาน

อันนี้ เม คงไปห้ามไม่ได้หรอกค่ะ

tongue


คนฉลาดไม่เชื่อไม่ปฏิบัติตามเพราะอักขระพยัญชนะในตำรากล่าวว่าอย่างนี้ ๆ หรอกครับ คนฉลาดเค้าจะพิจารณาครับว่าอกุศลไม่ดี มีโทษ ไม่ฉลาดในธรรม เป็นไปเพื่อทุกข์ ส่วนกุศลดี มีประโยชน์ ฉลาดในธรรม เป็นไปเพื่อสุข การปฏิบัติแบบนี้เป็นไปเพื่อความเสื่อมสิ้นไปของอกุศลธรรม เพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม การปฏิบัติแบบนี้เป็นไปเพื่อความสงบแห่งจิตภายใน การปฏิบัติแบบนี้เป็นไปเพื่อความเห็นธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง พิจารณาดีแล้วจึงเชื่อจึงน้อมนำมาปฏิบัติ



คนนั้น คงเกือบฉลาดขึ้นมาบ้าง เนาะคะ

เพราะยังคงแสดง ความ ค้างคาใจ ในธรรมะของพระพุทธองค์ ตรัสไว้หลังจากปรินิพพานไปแล้ว

ว่า ธรรมที่แสดงไว้ จักเป็นศาสดาแทนพระองค์

เพราะยังไม่อาจปักใจเชื่อโดยสนิทใจได้
ว่า
ธรรมของพระพุทธองค์นั้น เป็นมหากุศลอันยิ่ง เนาะค๊ะ
ธรรมของพระพุทธองค์ มีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษ
และเป็นไปเพื่อความหมดทุกข์

ก็คงให้รอให้ถึงปัญญาอันยิ่ง อย่างที่คุณ love j กล่าวไว้
ว่า
"พิจารณาดีแล้วจึงเชื่อจึงน้อมนำมาปฏิบัติ"

ความฉลาด ก็คงต่างกัน ลิบๆๆ

ระหว่างผู้ที่เชื่อและศรัทธามี พระพุทธ พระอริยะสงฆ์ พระธรรมเป็นสรณะ แล้วอย่างเต็มที่แล้ว

กะ ผู้ที่ยังค้างคาใจ จะตรวจสอบธรรมพระพุทธองค์

ว่า ธรรมนั่น เป็นกุศล หรือ อกุศลอยู่หละเป่า เนาะค๊ะ

tongue


ที่ผมพูดอธิบายคือลักษณะของคนฉลาด ปกติของคนฉลาดที่จะพิจารณาโดยแยบคายก่อนจะเชื่อ
ก่อนจะน้อมนำมาปฏิบัติ เค้าไม่ได้เชื่อถือศรัทธาเพียงเพราะคำนี้เป็นคำของอาจารย์เรา ไม่ได้เชื่อ
เพราะอักขระ พยัญชนะตามตำราว่าไว้อย่างนี้ แม้พระพุทธเจ้าเองก็สอนไม่ให้เชื่อด้วยเหตุอย่างนี้
กล่าวไว้ใน กาลมสูตร ๑๐

ส่วนที่ผมกล่าวว่า " พิจารณาดีแล้วจึงเชื่อจึงน้อมนำมาปฏิบัติ " ก็สอดคล้องกับหลักกาลมสูตร ๑๐
เมื่อพิจารณาคำสอนของพระพุทธเจ้าดีแล้วจึงน้อมนำมาปฏิบัติด้วยความเคารพยำเกรง ด้วยความ
ยินดีในความสำรวมระวัง ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างไม่ค้างคาใจ

ส่วนที่กล่าวถึงผู้ที่เชื่อและศรัทธามีพระพุทธ พระอริยะสงฆ์ พระธรรมเป็นสรณะ แล้วอย่างเต็มที่นั้น
คุณโลกสวยเป็นแบบนั้นแล้วหรือยัง ศึกษาปฏิบัติด้วยความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยแล้วหรือยัง
ยอมรับในคำสอนด้วยความยินดีหรือเปล่า


เม คงไม่ต้อง แสดงความค้างคาใจ ที่จะมาตรวจสอบธรรมของพระองค์
ว่าธรรมพระองค์นี้ นี้ เป็นกุศล หรืออกุศล มีคุณมีโทษเช่นไร

เพราะกระจ่างแก่ใจค่ะ ไม่ต้องตรวจสอบใดๆ โดยกาลามสูตรเรย


และชนชาวกาละมะทุกคน ก็ประจักษ์แก่ใจเช่นกัน

ไม่มีใครสักคนเดียว ที่ยังมานั่งคิดนอนคิด แบบคุณ Love j
ว่า ที่พระพุทธองค์กล่าวมานั้น

จะเชื่อดีมั๊ยน้อ? จะน้อมมาปฎิบัติดีมั๊ยน้อ? เป็นกุศลมั๊ยน้อ? สมควรเอามาเป็นอาจารย์มั๊ยน้อ

แต่

ทั้งหมดในเมือง ได้กล่าวพร้อมเพรียงกัน ต่อหน้าพระพัตร์ ว่า
ขอพระองค์โปรดทรงจำพวกข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสก
ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ

คุณควรถามตัวเองว่า ที่ยังใช้กาละมสูตร กับพระพุทธองค์ นั้น
คุณ ปักใจเชื่อแค่ไหน

แต่คำพูดของคุณ นั้น ใครๆก็เห็นชัดแหละค่ะ ว่า
คุรยังไม่ปักใจ ยังค้างคาใจในคำสอนพระพุทธองค์ ค่ะ

tongue


พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่พวกชนกาลมโคตร ทรงแจกแจงธรรมเป็นอกุศล ธรรมเป็นกุศล
อกูศลเป็นธรรมมีโทษอย่างนี้ ๆ กุศลเป็นธรรมมีประโยชนอย่างนี้ ๆ อริยสาวกมีจิตอย่างนี้ ๆ

แล้วเตือนชนกาลมโคตรไม่ให้เชื่อโดยมิได้พิจารณาในธรรมที่พระองค์ทรงแสดงให้ดีก่อนด้วย
หลัก กาลมสูตร ๑๐ เมื่อชนกาลมโคตรพิจารณาแล้วก็เห็นตามคำของพระพุทธเจ้าว่าข้อนี้เป็น
อย่างนั้น อริยสาวกมีจิตอย่างนั้น ๆ ได้รับความอุ่นใจอย่างนั้น ๆ เป็นจริงอย่างนั้น ๆ

เมื่อชนกาลมโคตรเห็นดังนั้นแล้วจึงเชื่อถือศรัทธาในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสาวก
ชนกาลมโคตรฉันใด ผมก็ฉันนั้นเพราะพิจารณาเเห็นดังนั้นจึงไม่ค้างคาใจ ไม่ลังเลสงสัย
น้อมนำคำสั่งสอนมาศึกษาปฏิบัติ


ก็อนุโมทนาด้วยค่ะ ที่เลิกใช้กาลามสูตร เพราะฉลาดขี้นแล้ว

เพราะขืนที่ใช้กับธรรมพระพุทธองค์อยู่ ยังไม่ฉลาด ค่ะ

tongue


งั้นผมที่ยังไม่ฉลาดขอถามผู้ฉลาดแล้วในข้อที่ผมสงสัยหน่อยได้มั้ยครับ
การภาวนาด้วยการบริกรรมพุทโธ มีพุทโธเป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่อง
ระลึกของสติ อย่างนี้ถือว่าเป็นการปฏิบัติเพื่อมรรคผล เพื่อความหลุดพ้น
ถือเป็นการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้ามั้ย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 00:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ปริยัติก็ตามนั้น (ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ)

นี่ปฏิบัติ



นั่งสมาธิแล้วมีอาการหมุนเหวี่ยงจะอ้วก

ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สาม นั่งไปซักพัก ประมาณสิบนาที เริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัว จึงนั่งต่อไม่ได้ ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามา ก็เริ่มมาหาอ่านเอง จนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณา ว่า เป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปป ก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืน หมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ

ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนา ทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่าง มี เกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด

แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้ว จะทำไปเพื่ออะไร หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ
หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน



นี่เป้นตัวอย่าง ทีลุงกรัชกายยกมา คิดว่าเป็นปฎิบัติ

แต่ไม่ใช่ที่พระศาสดาสอนแน่นอน คนละเรื่องกะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเรย

แก้โดย ไปอ่านให้รู้เรื่องก่อนน๊ะค๊ะ

ว่า จะปฎิบัติยังไง ให้ตรง ตามอักรขระ และพยัญชนะ ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้

ไม่มีว่าพุทโธ ไม่มีว่าสมาธิเรย

น้อค๊ะ

พระพุทธองค์ทรงแสดง สติปัฎฐานน้อค๊ะ ไม่ใช่สมาธิปัฎฐาน ไม่ใช่พุทโธปัฎฐาน ค่ะ

tongue



ผู้ที่ไปปฏิบัติกรรมฐาน ไปภาวนามัยตามสำนักต่างๆ ดูตัวอย่างไว้นะ นั่นเขาคือผู้ทำจริงๆ ลงไม้ลงมือปฏิบัติกันจริงๆ แล้วทีนี้เจ้าตัวไปอยู่ไปพบเจ้าสำนักปฏิบัตินั้นๆ ซึ่งขาดภูมิปฏิบัติ ก็จะตอบจะพูดแนวๆเมโลกสวยนี่แหละ ซึ่งมิได้ช่วยแก้ปัญหาให้ผู้ปฏิบัติเลย

เมื่อเป็นดังว่านั้น ให้รีบเก็บข้าวของ กราบลาเจ้าสำนักกลับบ้านให้ไว แล้วหยุดภาวนาให้จิตคลายจากสภาวะนั้น นี่เป็นวิธีแก้เมื่อหาผู้รู้แนะนำไม่ได้

อ้างคำพูด:
ผมก็พิจารณา ว่า เป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปป ก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืน หมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีก ซักสิบห้านาที ค่อยดีขึ้น


นั่นแหละอาการคลายของสภาวธรรมที่ประสบ ต่อเมื่อหยุดภาวนา

แต่ขอบอกบอกว่า ผู้ที่เดินทางทางจิตมาถึงแถวๆนี้แล้ว การจะกลับไปจุดเดิมเหมือนก่อนยากแล้ว ตัวอย่าง เมื่อเราทำงานอะไรนิ่งๆเพ่งมองอะไรเฉยๆนิ่งๆ ก็เกิดสมาธิแล้ว



คนฉลาด เค้าก็จะหันกลับมาปฎิบัติ ให้ถูกต้อง ตรงตามอักขระและพยัญชนะ ที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ดีแล้วค่ะ

ตามพระสูตรข้างบนที่ เม ยกมาให้ น๊ะค๊ะ

แต่ ๆๆ

ใครจะไปทำตามแบบท่านอาจารย์สัญชัย หรือทำตามแบบ คุณลุงกรัชกาย
ไปทำ ที่ไม่เหมือนพระพุทธองค์ตรัสไว้้้ในพระสูตร

ไม่ว่าจะเป็นสมาธิปัฎฐาน พุทโธปัฎฐาน

อันนี้ เม คงไปห้ามไม่ได้หรอกค่ะ

tongue


คนฉลาดไม่เชื่อไม่ปฏิบัติตามเพราะอักขระพยัญชนะในตำรากล่าวว่าอย่างนี้ ๆ หรอกครับ คนฉลาดเค้าจะพิจารณาครับว่าอกุศลไม่ดี มีโทษ ไม่ฉลาดในธรรม เป็นไปเพื่อทุกข์ ส่วนกุศลดี มีประโยชน์ ฉลาดในธรรม เป็นไปเพื่อสุข การปฏิบัติแบบนี้เป็นไปเพื่อความเสื่อมสิ้นไปของอกุศลธรรม เพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม การปฏิบัติแบบนี้เป็นไปเพื่อความสงบแห่งจิตภายใน การปฏิบัติแบบนี้เป็นไปเพื่อความเห็นธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง พิจารณาดีแล้วจึงเชื่อจึงน้อมนำมาปฏิบัติ



คนนั้น คงเกือบฉลาดขึ้นมาบ้าง เนาะคะ

เพราะยังคงแสดง ความ ค้างคาใจ ในธรรมะของพระพุทธองค์ ตรัสไว้หลังจากปรินิพพานไปแล้ว

ว่า ธรรมที่แสดงไว้ จักเป็นศาสดาแทนพระองค์

เพราะยังไม่อาจปักใจเชื่อโดยสนิทใจได้
ว่า
ธรรมของพระพุทธองค์นั้น เป็นมหากุศลอันยิ่ง เนาะค๊ะ
ธรรมของพระพุทธองค์ มีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษ
และเป็นไปเพื่อความหมดทุกข์

ก็คงให้รอให้ถึงปัญญาอันยิ่ง อย่างที่คุณ love j กล่าวไว้
ว่า
"พิจารณาดีแล้วจึงเชื่อจึงน้อมนำมาปฏิบัติ"

ความฉลาด ก็คงต่างกัน ลิบๆๆ

ระหว่างผู้ที่เชื่อและศรัทธามี พระพุทธ พระอริยะสงฆ์ พระธรรมเป็นสรณะ แล้วอย่างเต็มที่แล้ว

กะ ผู้ที่ยังค้างคาใจ จะตรวจสอบธรรมพระพุทธองค์

ว่า ธรรมนั่น เป็นกุศล หรือ อกุศลอยู่หละเป่า เนาะค๊ะ

tongue


ที่ผมพูดอธิบายคือลักษณะของคนฉลาด ปกติของคนฉลาดที่จะพิจารณาโดยแยบคายก่อนจะเชื่อ
ก่อนจะน้อมนำมาปฏิบัติ เค้าไม่ได้เชื่อถือศรัทธาเพียงเพราะคำนี้เป็นคำของอาจารย์เรา ไม่ได้เชื่อ
เพราะอักขระ พยัญชนะตามตำราว่าไว้อย่างนี้ แม้พระพุทธเจ้าเองก็สอนไม่ให้เชื่อด้วยเหตุอย่างนี้
กล่าวไว้ใน กาลมสูตร ๑๐

ส่วนที่ผมกล่าวว่า " พิจารณาดีแล้วจึงเชื่อจึงน้อมนำมาปฏิบัติ " ก็สอดคล้องกับหลักกาลมสูตร ๑๐
เมื่อพิจารณาคำสอนของพระพุทธเจ้าดีแล้วจึงน้อมนำมาปฏิบัติด้วยความเคารพยำเกรง ด้วยความ
ยินดีในความสำรวมระวัง ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างไม่ค้างคาใจ

ส่วนที่กล่าวถึงผู้ที่เชื่อและศรัทธามีพระพุทธ พระอริยะสงฆ์ พระธรรมเป็นสรณะ แล้วอย่างเต็มที่นั้น
คุณโลกสวยเป็นแบบนั้นแล้วหรือยัง ศึกษาปฏิบัติด้วยความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยแล้วหรือยัง
ยอมรับในคำสอนด้วยความยินดีหรือเปล่า


เม คงไม่ต้อง แสดงความค้างคาใจ ที่จะมาตรวจสอบธรรมของพระองค์
ว่าธรรมพระองค์นี้ นี้ เป็นกุศล หรืออกุศล มีคุณมีโทษเช่นไร

เพราะกระจ่างแก่ใจค่ะ ไม่ต้องตรวจสอบใดๆ โดยกาลามสูตรเรย


และชนชาวกาละมะทุกคน ก็ประจักษ์แก่ใจเช่นกัน

ไม่มีใครสักคนเดียว ที่ยังมานั่งคิดนอนคิด แบบคุณ Love j
ว่า ที่พระพุทธองค์กล่าวมานั้น

จะเชื่อดีมั๊ยน้อ? จะน้อมมาปฎิบัติดีมั๊ยน้อ? เป็นกุศลมั๊ยน้อ? สมควรเอามาเป็นอาจารย์มั๊ยน้อ

แต่

ทั้งหมดในเมือง ได้กล่าวพร้อมเพรียงกัน ต่อหน้าพระพัตร์ ว่า
ขอพระองค์โปรดทรงจำพวกข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสก
ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ

คุณควรถามตัวเองว่า ที่ยังใช้กาละมสูตร กับพระพุทธองค์ นั้น
คุณ ปักใจเชื่อแค่ไหน

แต่คำพูดของคุณ นั้น ใครๆก็เห็นชัดแหละค่ะ ว่า
คุรยังไม่ปักใจ ยังค้างคาใจในคำสอนพระพุทธองค์ ค่ะ

tongue


พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่พวกชนกาลมโคตร ทรงแจกแจงธรรมเป็นอกุศล ธรรมเป็นกุศล
อกูศลเป็นธรรมมีโทษอย่างนี้ ๆ กุศลเป็นธรรมมีประโยชนอย่างนี้ ๆ อริยสาวกมีจิตอย่างนี้ ๆ

แล้วเตือนชนกาลมโคตรไม่ให้เชื่อโดยมิได้พิจารณาในธรรมที่พระองค์ทรงแสดงให้ดีก่อนด้วย
หลัก กาลมสูตร ๑๐ เมื่อชนกาลมโคตรพิจารณาแล้วก็เห็นตามคำของพระพุทธเจ้าว่าข้อนี้เป็น
อย่างนั้น อริยสาวกมีจิตอย่างนั้น ๆ ได้รับความอุ่นใจอย่างนั้น ๆ เป็นจริงอย่างนั้น ๆ

เมื่อชนกาลมโคตรเห็นดังนั้นแล้วจึงเชื่อถือศรัทธาในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสาวก
ชนกาลมโคตรฉันใด ผมก็ฉันนั้นเพราะพิจารณาเเห็นดังนั้นจึงไม่ค้างคาใจ ไม่ลังเลสงสัย
น้อมนำคำสั่งสอนมาศึกษาปฏิบัติ


ก็อนุโมทนาด้วยค่ะ ที่เลิกใช้กาลามสูตร เพราะฉลาดขี้นแล้ว

เพราะขืนที่ใช้กับธรรมพระพุทธองค์อยู่ ยังไม่ฉลาด ค่ะ

tongue


งั้นผมที่ยังไม่ฉลาดขอถามผู้ฉลาดแล้วในข้อที่ผมสงสัยหน่อยได้มั้ยครับ
การภาวนาด้วยการบริกรรมพุทโธ มีพุทโธเป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่อง
ระลึกของสติ อย่างนี้ถือว่าเป็นการปฏิบัติเพื่อมรรคผล เพื่อความหลุดพ้น
ถือเป็นการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้ามั้ย


ในพุทโธมีสองแบบ คือ ในการบริกรรม
อันนี้ไม่ใช่สติปัฎฐาน


ในสติปัฎฐาน พุทโธ ไม่ใช่การบริกรรม แต่หมายถึงผู้รู้

การบริกรรม กะสติปัฎฐาน เป็นคนละอารมณ์กัน
เครื่องรู้ของจิต ตามสติปัฎฐาน
สติปัฎฐานนั้น ต้องมี กาย เวทนา จิต ธรรม อย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นปรมัตถ์อารมณ์
ถ้าไม่ใช่ปรมัตถ์ ไม่เป็นสติปัฎฐาน

การเจริญสติปัญฐาน ทำด้วยการศึกษาสิ่งที่รู้ ที่ปรากฎอยู่เฉพาะหน้า

ไม่ใช่อยุ่ที่กำหนดพุทโธแบบบริกรรม
พระพุทธองค์ จึงไม่ได้บัญญัติ พุทโธไว้ ในสติปัฎฐานค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 01:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:

ในพุทโธมีสองแบบ คือ ในการบริกรรม
อันนี้ไม่ใช่สติปัฎฐาน


ในสติปัฎฐาน พุทโธ ไม่ใช่การบริกรรม แต่หมายถึงผู้รู้

การบริกรรม กะสติปัฎฐาน เป็นคนละอารมณ์กัน
เครื่องรู้ของจิต ตามสติปัฎฐาน
สติปัฎฐานนั้น ต้องมี กาย เวทนา จิต ธรรม อย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นปรมัตถ์อารมณ์
ถ้าไม่ใช่ปรมัตถ์ ไม่เป็นสติปัฎฐาน

การเจริญสติปัญฐาน ทำด้วยการศึกษาสิ่งที่รู้ ที่ปรากฎอยู่เฉพาะหน้า

ไม่ใช่อยุ่ที่กำหนดพุทโธแบบบริกรรม
พระพุทธองค์ จึงไม่ได้บัญญัติ พุทโธไว้ ในสติปัฎฐานค่ะ


Love j.

การบริกรรมพุทโธ มีพุทโธเป็นเครื่องรู้ของจิตกำกับจิตให้อยู่กับคำบริกรรมด้วยสติ
เผลอไปในอารมณ์อื่นที่เป็นอกุศลก็ระลึกด้วยสติกลับมาอยู่กับคำบริกรรมพุทโธ.

เมื่อเราปฏิบัติอยู่อย่างนี้ ไม่ทอดทิ้งท้อถอย คำพูด การกระทำข้างอกุศลย่อมไม่เกิด
เป็นอันว่าศีลบริสุทธิ์ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลกรรม

เมื่อศีลบริสุทธิ์สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลกรรมก็ไม่มีความเดือดร้อน ความปราโมทย์
ปิติ ปัสสัทธิ สุข สมาธิ ย่อมถึงความเจริญงอกงามไพบูรณ์

เมื่อมีศีลบริสุทธิ์สงัด มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว อาศัยศีลความตั้งมั่นแล้วเจริญสติปัฏฐาน ๔
มีสติเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม มีความเพียร มีสติ

สัมปชัญญะ กำจัดอภิชชาและโทรมนัสในโลกเสีย เมื่อศีลบริสุทธิ์ มีจิตตั้งมั่นเรา
อาศัยสิ่งนั้นเจริญสติปัฏฐานทั้ง 4 อย่างนี้ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 01:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:

ในพุทโธมีสองแบบ คือ ในการบริกรรม
อันนี้ไม่ใช่สติปัฎฐาน


ในสติปัฎฐาน พุทโธ ไม่ใช่การบริกรรม แต่หมายถึงผู้รู้

การบริกรรม กะสติปัฎฐาน เป็นคนละอารมณ์กัน
เครื่องรู้ของจิต ตามสติปัฎฐาน
สติปัฎฐานนั้น ต้องมี กาย เวทนา จิต ธรรม อย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นปรมัตถ์อารมณ์
ถ้าไม่ใช่ปรมัตถ์ ไม่เป็นสติปัฎฐาน

การเจริญสติปัญฐาน ทำด้วยการศึกษาสิ่งที่รู้ ที่ปรากฎอยู่เฉพาะหน้า

ไม่ใช่อยุ่ที่กำหนดพุทโธแบบบริกรรม
พระพุทธองค์ จึงไม่ได้บัญญัติ พุทโธไว้ ในสติปัฎฐานค่ะ


Love j.

การบริกรรมพุทโธ มีพุทโธเป็นเครื่องรู้ของจิตกำกับจิตให้อยู่กับคำบริกรรมด้วยสติ
เผลอไปในอารมณ์อื่นที่เป็นอกุศลก็ระลึกด้วยสติกลับมาอยู่กับคำบริกรรมพุทโธ.

เมื่อเราปฏิบัติอยู่อย่างนี้ ไม่ทอดทิ้งท้อถอย คำพูด การกระทำข้างอกุศลย่อมไม่เกิด
เป็นอันว่าศีลบริสุทธิ์ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลกรรม

เมื่อศีลบริสุทธิ์สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลกรรมก็ไม่มีความเดือดร้อน ความปราโมทย์
ปิติ ปัสสัทธิ สุข สมาธิ ย่อมถึงความเจริญงอกงามไพบูรณ์

เมื่อมีศีลบริสุทธิ์สงัด มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว อาศัยศีลความตั้งมั่นแล้วเจริญสติปัฏฐาน ๔
มีสติเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม มีความเพียร มีสติ

สัมปชัญญะ กำจัดอภิชชาและโทรมนัสในโลกเสีย เมื่อศีลบริสุทธิ์ มีจิตตั้งมั่นเรา
อาศัยสิ่งนั้นเจริญสติปัฏฐานทั้ง 4 อย่างนี้ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ได้


การบริกรรม ใช้บัญญัติ เป็นอารมณ์ ค่ะ
ไม่ใช่ปรมัตถ์อารมณ์
เป็นสมถะค่ะ ไม่ใช่สติปัฎฐาน

คำพุทโธที่บริกรรมสังเกตุกัน ให้ดูว่า เกิดขึ้นที่ไหน ชัดเจน ภายนอก ภายใน หรือไม่นอกไม่ใน
สังเกตุจนคำบริกรรมจะหายไป
เมื่อจิตตั้งมั่น มีสติระลึกพอควรคู่แก่งาน
คือการเตรียมความพร้อม
และมักต่อด้วยสมถะกัมฐาน สมาธิ

แต่นั้นก็ยังไม่ไช่ สติปัฎฐานที่มีปรมัตถ์ที่เกิดเฉพาะหน้า
ในกาย เวทนา จิต และธรรม เป็นอารมณ์ค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 02:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:

ในพุทโธมีสองแบบ คือ ในการบริกรรม
อันนี้ไม่ใช่สติปัฎฐาน


ในสติปัฎฐาน พุทโธ ไม่ใช่การบริกรรม แต่หมายถึงผู้รู้

การบริกรรม กะสติปัฎฐาน เป็นคนละอารมณ์กัน
เครื่องรู้ของจิต ตามสติปัฎฐาน
สติปัฎฐานนั้น ต้องมี กาย เวทนา จิต ธรรม อย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นปรมัตถ์อารมณ์
ถ้าไม่ใช่ปรมัตถ์ ไม่เป็นสติปัฎฐาน

การเจริญสติปัญฐาน ทำด้วยการศึกษาสิ่งที่รู้ ที่ปรากฎอยู่เฉพาะหน้า

ไม่ใช่อยุ่ที่กำหนดพุทโธแบบบริกรรม
พระพุทธองค์ จึงไม่ได้บัญญัติ พุทโธไว้ ในสติปัฎฐานค่ะ


Love j.

การบริกรรมพุทโธ มีพุทโธเป็นเครื่องรู้ของจิตกำกับจิตให้อยู่กับคำบริกรรมด้วยสติ
เผลอไปในอารมณ์อื่นที่เป็นอกุศลก็ระลึกด้วยสติกลับมาอยู่กับคำบริกรรมพุทโธ.

เมื่อเราปฏิบัติอยู่อย่างนี้ ไม่ทอดทิ้งท้อถอย คำพูด การกระทำข้างอกุศลย่อมไม่เกิด
เป็นอันว่าศีลบริสุทธิ์ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลกรรม

เมื่อศีลบริสุทธิ์สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลกรรมก็ไม่มีความเดือดร้อน ความปราโมทย์
ปิติ ปัสสัทธิ สุข สมาธิ ย่อมถึงความเจริญงอกงามไพบูรณ์

เมื่อมีศีลบริสุทธิ์สงัด มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว อาศัยศีลความตั้งมั่นแล้วเจริญสติปัฏฐาน ๔
มีสติเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม มีความเพียร มีสติ

สัมปชัญญะ กำจัดอภิชชาและโทรมนัสในโลกเสีย เมื่อศีลบริสุทธิ์ มีจิตตั้งมั่นเรา
อาศัยสิ่งนั้นเจริญสติปัฏฐานทั้ง 4 อย่างนี้ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ได้


การบริกรรม ใช้บัญญัติ เป็นอารมณ์ ค่ะ
ไม่ใช่ปรมัตถ์อารมณ์
เป็นสมถะค่ะ ไม่ใช่สติปัฎฐาน

คำพุทโธที่บริกรรมสังเกตุกัน ให้ดูว่า เกิดขึ้นที่ไหน ชัดเจน ภายนอก ภายใน หรือไม่นอกไม่ใน
สังเกตุจนคำบริกรรมจะหายไป
เมื่อจิตตั้งมั่น มีสติระลึกพอควรคู่แก่งาน
คือการเตรียมความพร้อม
และมักต่อด้วยสมถะกัมฐาน สมาธิ

แต่นั้นก็ยังไม่ไช่ สติปัฎฐานที่มีปรมัตถ์ที่เกิดเฉพาะหน้า
ในกาย เวทนา จิต และธรรม เป็นอารมณ์ค่ะ


ลองไปฟังหลวงตามหาบัวน้อมจิตที่เป็นสมาธิ
แยกธาตุแยกขันธ์พิจารณาสติปัฏฐาน ๔ กาย
เวทนา จิต ธรรม ได้พิศดารมากท่านก็บริกรรม
พุทโธ เป็นหลักในการปฏิบัติ

บริกรรมพุทโธรู้อยู่กับพุทโธด้วยความวิริยะบากบั่นอย่างนี้
จะเรียกว่าเป็นการคุ้มครองทวารก็ได้
จะเรียกว่าเป็นการสังวรอินทรีย์ก็ได้
จะเรียกว่าอบรมศีลให้บริสุทธิ์ก็ได้
จะเรียกว่าอบรมจิตให้ผ่องใสตั้งมั่นก็ได้
จะเรียกเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้าก็ได้
แต่อุบายวิธีนี้ไม่ได้มีในอักขระ พยัญชนะ ตามตำรา
อย่างนี้แล้วจะเรียกว่าการบริกรรมพุทโธเป็นการปฏิบัติ
ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 02:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:

ในพุทโธมีสองแบบ คือ ในการบริกรรม
อันนี้ไม่ใช่สติปัฎฐาน


ในสติปัฎฐาน พุทโธ ไม่ใช่การบริกรรม แต่หมายถึงผู้รู้

การบริกรรม กะสติปัฎฐาน เป็นคนละอารมณ์กัน
เครื่องรู้ของจิต ตามสติปัฎฐาน
สติปัฎฐานนั้น ต้องมี กาย เวทนา จิต ธรรม อย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นปรมัตถ์อารมณ์
ถ้าไม่ใช่ปรมัตถ์ ไม่เป็นสติปัฎฐาน

การเจริญสติปัญฐาน ทำด้วยการศึกษาสิ่งที่รู้ ที่ปรากฎอยู่เฉพาะหน้า

ไม่ใช่อยุ่ที่กำหนดพุทโธแบบบริกรรม
พระพุทธองค์ จึงไม่ได้บัญญัติ พุทโธไว้ ในสติปัฎฐานค่ะ


Love j.

การบริกรรมพุทโธ มีพุทโธเป็นเครื่องรู้ของจิตกำกับจิตให้อยู่กับคำบริกรรมด้วยสติ
เผลอไปในอารมณ์อื่นที่เป็นอกุศลก็ระลึกด้วยสติกลับมาอยู่กับคำบริกรรมพุทโธ.

เมื่อเราปฏิบัติอยู่อย่างนี้ ไม่ทอดทิ้งท้อถอย คำพูด การกระทำข้างอกุศลย่อมไม่เกิด
เป็นอันว่าศีลบริสุทธิ์ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลกรรม

เมื่อศีลบริสุทธิ์สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลกรรมก็ไม่มีความเดือดร้อน ความปราโมทย์
ปิติ ปัสสัทธิ สุข สมาธิ ย่อมถึงความเจริญงอกงามไพบูรณ์

เมื่อมีศีลบริสุทธิ์สงัด มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว อาศัยศีลความตั้งมั่นแล้วเจริญสติปัฏฐาน ๔
มีสติเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม มีความเพียร มีสติ

สัมปชัญญะ กำจัดอภิชชาและโทรมนัสในโลกเสีย เมื่อศีลบริสุทธิ์ มีจิตตั้งมั่นเรา
อาศัยสิ่งนั้นเจริญสติปัฏฐานทั้ง 4 อย่างนี้ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ได้


การบริกรรม ใช้บัญญัติ เป็นอารมณ์ ค่ะ
ไม่ใช่ปรมัตถ์อารมณ์
เป็นสมถะค่ะ ไม่ใช่สติปัฎฐาน

คำพุทโธที่บริกรรมสังเกตุกัน ให้ดูว่า เกิดขึ้นที่ไหน ชัดเจน ภายนอก ภายใน หรือไม่นอกไม่ใน
สังเกตุจนคำบริกรรมจะหายไป
เมื่อจิตตั้งมั่น มีสติระลึกพอควรคู่แก่งาน
คือการเตรียมความพร้อม
และมักต่อด้วยสมถะกัมฐาน สมาธิ

แต่นั้นก็ยังไม่ไช่ สติปัฎฐานที่มีปรมัตถ์ที่เกิดเฉพาะหน้า
ในกาย เวทนา จิต และธรรม เป็นอารมณ์ค่ะ


ลองไปฟังหลวงตามหาบัวน้อมจิตที่เป็นสมาธิ
แยกธาตุแยกขันธ์พิจารณาสติปัฏฐาน ๔ กาย
เวทนา จิต ธรรม ได้พิศดารมากท่านก็บริกรรม
พุทโธ เป็นหลักในการปฏิบัติ

บริกรรมพุทโธรู้อยู่กับพุทโธด้วยความวิริยะบากบั่นอย่างนี้
จะเรียกว่าเป็นการคุ้มครองทวารก็ได้
จะเรียกว่าเป็นการสังวรอินทรีย์ก็ได้
จะเรียกว่าอบรมศีลให้บริสุทธิ์ก็ได้
จะเรียกว่าอบรมจิตให้ผ่องใสตั้งมั่นก็ได้
จะเรียกเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้าก็ได้
แต่อุบายวิธีนี้ไม่ได้มีในอักขระ พยัญชนะ ตามตำรา
อย่างนี้แล้วจะเรียกว่าการบริกรรมพุทโธเป็นการปฏิบัติ
ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า


บริกรรมพุทโธ เป็นสมถะค่ะ ไม่ใช่สติปัฎฐาน
และสมถะ 40 กอง ก็ไม่ได้เรียกว่าพุทธวิชชา
สมถะ และฌาน ไม่อาจทำให้ถึงอนาคามีบุคคลได้
สติปัฎฐานจึงเป็นสายเอก ที่ทรงรับรอง

คนโดยมาก มักเข้าใจผิด ว่า สมถะ คือ สติปัฎฐาน และวิปัสสนา
ที่จริง เป็นคนละอารมณ์
อารัมณูปนิชฌานในสมถะ จึงสามารถเห็นความพิศดารได้

พระพุทธองค์ ทรงตรัสรู้ ทรงบัญญัติพุทธวิชชา
ด้วยสัพพัญญุตาญาน
ทุกอรรถะ ทุกๆพยัญชนะ ที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดง
เป็นปัจจัยให้เข้าถึงสภาวะธรรมที่ถูกต้องค่ะ

การศึกษาปริยัติ ตามอักขระและพญัญชนะ ตามที่พระศาสดาสอน
เป็นเหตุให้เกิดปริยัติญาณ ตามที่พระพุทธองค์ดำริ
และอาศัยปริยัติญาน เพื่อปฎิบัติ ตรงคำสอนพระพุทธองค์
จึงสามารถปฎิบัติ ได้ปฎิบัติญาณ ตรงตามคำสอน
และเพื่อถึงปฎิเวธธรรม จน ถึงปฎิเวธญาณ ค่ะ

ถ้าคุณ มีปริยัติญาน จากพระธรรมที่แสดงไว้แล้ว
จะทราบได้เอง ว่า
ใครปฎิบัติ ถูกต้องตรงตามพุทธวิชชา จริงๆค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 03:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:

ในพุทโธมีสองแบบ คือ ในการบริกรรม
อันนี้ไม่ใช่สติปัฎฐาน


ในสติปัฎฐาน พุทโธ ไม่ใช่การบริกรรม แต่หมายถึงผู้รู้

การบริกรรม กะสติปัฎฐาน เป็นคนละอารมณ์กัน
เครื่องรู้ของจิต ตามสติปัฎฐาน
สติปัฎฐานนั้น ต้องมี กาย เวทนา จิต ธรรม อย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นปรมัตถ์อารมณ์
ถ้าไม่ใช่ปรมัตถ์ ไม่เป็นสติปัฎฐาน

การเจริญสติปัญฐาน ทำด้วยการศึกษาสิ่งที่รู้ ที่ปรากฎอยู่เฉพาะหน้า

ไม่ใช่อยุ่ที่กำหนดพุทโธแบบบริกรรม
พระพุทธองค์ จึงไม่ได้บัญญัติ พุทโธไว้ ในสติปัฎฐานค่ะ


Love j.

การบริกรรมพุทโธ มีพุทโธเป็นเครื่องรู้ของจิตกำกับจิตให้อยู่กับคำบริกรรมด้วยสติ
เผลอไปในอารมณ์อื่นที่เป็นอกุศลก็ระลึกด้วยสติกลับมาอยู่กับคำบริกรรมพุทโธ.

เมื่อเราปฏิบัติอยู่อย่างนี้ ไม่ทอดทิ้งท้อถอย คำพูด การกระทำข้างอกุศลย่อมไม่เกิด
เป็นอันว่าศีลบริสุทธิ์ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลกรรม

เมื่อศีลบริสุทธิ์สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลกรรมก็ไม่มีความเดือดร้อน ความปราโมทย์
ปิติ ปัสสัทธิ สุข สมาธิ ย่อมถึงความเจริญงอกงามไพบูรณ์

เมื่อมีศีลบริสุทธิ์สงัด มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว อาศัยศีลความตั้งมั่นแล้วเจริญสติปัฏฐาน ๔
มีสติเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม มีความเพียร มีสติ

สัมปชัญญะ กำจัดอภิชชาและโทรมนัสในโลกเสีย เมื่อศีลบริสุทธิ์ มีจิตตั้งมั่นเรา
อาศัยสิ่งนั้นเจริญสติปัฏฐานทั้ง 4 อย่างนี้ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ได้


การบริกรรม ใช้บัญญัติ เป็นอารมณ์ ค่ะ
ไม่ใช่ปรมัตถ์อารมณ์
เป็นสมถะค่ะ ไม่ใช่สติปัฎฐาน

คำพุทโธที่บริกรรมสังเกตุกัน ให้ดูว่า เกิดขึ้นที่ไหน ชัดเจน ภายนอก ภายใน หรือไม่นอกไม่ใน
สังเกตุจนคำบริกรรมจะหายไป
เมื่อจิตตั้งมั่น มีสติระลึกพอควรคู่แก่งาน
คือการเตรียมความพร้อม
และมักต่อด้วยสมถะกัมฐาน สมาธิ

แต่นั้นก็ยังไม่ไช่ สติปัฎฐานที่มีปรมัตถ์ที่เกิดเฉพาะหน้า
ในกาย เวทนา จิต และธรรม เป็นอารมณ์ค่ะ


ลองไปฟังหลวงตามหาบัวน้อมจิตที่เป็นสมาธิ
แยกธาตุแยกขันธ์พิจารณาสติปัฏฐาน ๔ กาย
เวทนา จิต ธรรม ได้พิศดารมากท่านก็บริกรรม
พุทโธ เป็นหลักในการปฏิบัติ

บริกรรมพุทโธรู้อยู่กับพุทโธด้วยความวิริยะบากบั่นอย่างนี้
จะเรียกว่าเป็นการคุ้มครองทวารก็ได้
จะเรียกว่าเป็นการสังวรอินทรีย์ก็ได้
จะเรียกว่าอบรมศีลให้บริสุทธิ์ก็ได้
จะเรียกว่าอบรมจิตให้ผ่องใสตั้งมั่นก็ได้
จะเรียกเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้าก็ได้
แต่อุบายวิธีนี้ไม่ได้มีในอักขระ พยัญชนะ ตามตำรา
อย่างนี้แล้วจะเรียกว่าการบริกรรมพุทโธเป็นการปฏิบัติ
ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า


บริกรรมพุทโธ เป็นสมถะค่ะ ไม่ใช่สติปัฎฐาน
และสมถะ 40 กอง ก็ไม่ได้เรียกว่าพุทธวิชชา
สมถะ และฌาน ไม่อาจทำให้ถึงอนาคามีบุคคลได้
สติปัฎฐานจึงเป็นสายเอก ที่ทรงรับรอง

คนโดยมาก มักเข้าใจผิด ว่า สมถะ คือ สติปัฎฐาน และวิปัสสนา
ที่จริง เป็นคนละอารมณ์

พระพุทธองค์ ทรงตรัสรู้ ทรงบัญญัติพุทธวิชชา
ด้วยสัพพัญญุตาญาน
ทุกอรรถะ ทุกๆพยัญชนะ ที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดง
เป็นปัจจัยให้เข้าถึงสภาวะธรรมที่ถูกต้องค่ะ

การศึกษาปริยัติ ตามอักขระและพญัญชนะ ตามที่พระศาสดาสอน
เป็นเหตุให้เกิดปริยัติญาณ ตามที่พระพุทธองค์ดำริ
และอาศัยปริยัติญาน เพื่อปฎิบัติ ตรงคำสอนพระพุทธองค์
จึงสามารถปฎิบัติ ได้ปฎิบัติญาณ ตรงตามคำสอน
และเพื่อถึงปฎิเวธธรรม จน ถึงปฎิเวธญาณ ค่ะ

ถ้าคุณ มีปริยัติญาน จากพระธรรมที่แสดงไว้แล้ว
จะทราบได้เอง ว่า
ใครปฎิบัติ ถูกต้องตรงตามพุทธวิชชา จริงๆค่ะ


ที่คุณพูดนั้นมีส่วนถูก หลายคนก็แยกไม่ออกว่าอะไรคือสมถะ
อะไรคือวิปัสสนา อะไรคือการเจริญสติปัฏฐาน ๔ อะไรคือการ
เจริญอิทธิบาท ๔ และปธาณสังขารแล้วก็นั่งภาวนาไปทั้งไม่รู้
อย่างนั้นตามคำสอนของครูอาจารย์แล้วก็ลูบคลำกันไป

เมื่อเกิดความเห็นผิดพลาดคลาดเคลื่อนแสดงธรรมที่ขัดแย้ง
กับพระธรรมคำสอน เรายกปริยัติมาอ้างอิงเพื่อชี้บอกให้เห็น
ความเห็นผิดก็ไม่พอใจ ดูหมิ่นให้ว่าเป็นพวกท่องจำตำราไม่
ได้ปฏิบัติเหมือนเค้า

ที่จริงแล้วที่เค้าปฏิบัติไม่ได้มีที่เกินจากปริยัติหรอก เค้าแค่
เทียบเคียงเข้าไม่ได้ กำหนดตามไม่ถูก พอมาแสดงก็ขัดแย้ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 03:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะคนมากมาย ไม่เข้าใจว่า พระสาวก จะต้องปฎิบัติ ตามคำสั่ง คำสอน ของพระบรมศาสดา
พระสงฆ์ เป็นผู้ที่เกิดมาโดย พระสัทธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงตรัสไว้ดีแล้ว

หากคำสอนใด ไม่ตรง กับคำสอน ของพระพุทธองค์
คำสอนนั้น เป็นของพระสงฆ์องค์นั้น

ไม่ใช่คำสอนพระบรมศาสดา

ไม่ใช่พระธรรมวินัย ตามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ
และหากคำสอนใด เทียบไม่ตรงกับอรรถ พยัญชนะ ที่พระผุ้มีพระภาคเจ้า
ได้ทรงตรัสไว้ดีแล้ว

คำสอนนั้น ไม่ใช่คำสอนของพระบรมศาสดาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

สิ่งเหล่านี้ สามารถสอบลงในความสมบูรณ์
ยินยันได้ ด้วยทั้งพระปริยัติ พระอภิธรรม พระสูตร พระธรรมวินัย ของพระบรมศาสดา ค่ะ

พระธรรมที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงแสดง
มีความสมบูรณ์ที่สุด พร้อมทั้งอรรถะ พยัญชนะ บริสุทธสูงสุด สมบูรณ์สูงสุด โดยสิ้นเชิง

และพระพุทธองค์ ทรงกำหนดพระธรรม ด้วยอสาธารณญาณ 6
อันมีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่มีในสาวกองค์ใดๆ


ความขัดแย้ง กล่าวแย้ง ทั้งๆที่ปฎิบัติไม่ลงรอย ขัดต่อ คำสอนพระบรมศาสดา
สอบลงพระธรรมไม่ได้
ไม่ตรงตามพระพุทธองค์สอน แล้วคิดไปจะดีกว่า ถูกต้องกว่า ตรงกว่า แน่นอนกว่า
กว่าสิ่งที่พระพุทธองค์บัญัติไว้

เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ Impossible



tongue


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 134 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร