วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ย. 2025, 12:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 274 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 19  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 01 ก.พ. 2019, 23:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สมมติ การรู้ร่วมกัน, การตกลงกัน, การมีมติร่วมกัน หรือยอมรับร่วมกัน

สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ คือ โดยความตกลงหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ เช่น นาย ก. นาย ข. ช้าง ม้า มด โต๊ะ หนังสือ พ่อ แม่ ลูก เพื่อน ลานธรรมจักร ลานธรรมเสวนา พันทิพ พลังจิต เป็นต้น ซึ่งเมื่อกล่าวตามสภาวะ หรือโดยปรมัตถ์แล้วก็เป็นเพียงสังขาร หรือนามรูป หรือขันธ์ ๕ เท่านั้น

บัญญัติ การตั้งขึ้น, ข้อที่ตั้งขึ้น, การกำหนดเรียก, การเรียกชื่อ, การวางเป็นกฎไว้, ข้อบังคับ


:b1:

รู้จักสมมติแล้วใช้ให้เป็น ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็ใช้สมมติกันอยู่ แต่มากคนไม่รู้จักสมมติ


ความหมายของคำว่าสมมุติ ของคุณกบนอกกะลา
น่าจะหมายถึงการปรุงแต่งเวทนาของสัญญาสังขาร
อันนี้ผมเคยเห็น



สาธุคครับท่านเจ ถูกแล้วดีแล้วครับท่าน :b8: :b8:


นั่นเอาคำศัพท์และความหมายไปคิดเอาเอง :b1: สมมติ (สํ+มติ เป็นบาลี) ความเห็นร่วมกัน,ข้อที่ตกลงร่วมกัน ตัวอย่างง่ายๆ ทางม้าลาย สังคมสมมติ คือ ตกลงร่วมกันว่า ใช้เป็นทางสำหรับคนเดินข้าม นี่แหละข้อตกลง นี่แหละสมมติ

ไฟเขียวไฟแดงก็ทำนองเดียวกัน ไฟแดง ตกลงกันว่าหยุด ไฟเขียวไปได้ นี่แหละสมมติ ไม่ใช่ปรมัตถ์ ถ้าว่าโดยปรมัตถ์ไฟเขียวไฟเหลืองไฟแดงไม่มี มีแต่รูป, รูปธรรม มันเป็นรูปธรรม


คืออย่างนี้ครับ เรากำลังสนทนาในเรื่องเกี่ยวกับจิตรู้สมมุติ
เราเข้าใจกันว่าที่กล่าวว่าจิตรู้สมมุติ สมมุติที่ว่านั้นหมายถึงอะไร
ผมเห็นคุณ กรัชกาย ร่วมสนทนาด้วยในเรื่องเกี่ยวกับคำว่า สมมุติ
ผมจึงอธิบายความหมายของคำว่าสมมุติที่เราเข้าใจกัน ให้คุณกรัชกายเข้าใจด้วย
จะได้สนทนากันเข้าใจ ประมาณนี้ครับ

ส่วนคำว่าสมมุติก็มีความหมายตามที่คุณกรัชกายกล่าวนั้นแหละ


โพสต์ เมื่อ: 02 ก.พ. 2019, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อให้เห็นความหมาย สมมติ ชัดขึ้นอีก เอาอีกสักศัพท์หนึ่ง

สมมติเทพ (สํ+ มติ+ เทพ) เทวดาโดยสมมติ คือ โดยความตกลงหรือยอมรับร่วมกันของมนุษย์ ได้แก่ พระราชา พระราชเทวี พระราชกุมาร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 04 ก.พ. 2019, 14:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สมมติ การรู้ร่วมกัน, การตกลงกัน, การมีมติร่วมกัน หรือยอมรับร่วมกัน

สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ คือ โดยความตกลงหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ เช่น นาย ก. นาย ข. ช้าง ม้า มด โต๊ะ หนังสือ พ่อ แม่ ลูก เพื่อน ลานธรรมจักร ลานธรรมเสวนา พันทิพ พลังจิต เป็นต้น ซึ่งเมื่อกล่าวตามสภาวะ หรือโดยปรมัตถ์แล้วก็เป็นเพียงสังขาร หรือนามรูป หรือขันธ์ ๕ เท่านั้น

บัญญัติ การตั้งขึ้น, ข้อที่ตั้งขึ้น, การกำหนดเรียก, การเรียกชื่อ, การวางเป็นกฎไว้, ข้อบังคับ


:b1:

รู้จักสมมติแล้วใช้ให้เป็น ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็ใช้สมมติกันอยู่ แต่มากคนไม่รู้จักสมมติ


ความหมายของคำว่าสมมุติ ของคุณกบนอกกะลา
น่าจะหมายถึงการปรุงแต่งเวทนาของสัญญาสังขาร
อันนี้ผมเคยเห็น



สาธุคครับท่านเจ ถูกแล้วดีแล้วครับท่าน :b8: :b8:


นั่นเอาคำศัพท์และความหมายไปคิดเอาเอง :b1: สมมติ (สํ+มติ เป็นบาลี) ความเห็นร่วมกัน,ข้อที่ตกลงร่วมกัน ตัวอย่างง่ายๆ ทางม้าลาย สังคมสมมติ คือ ตกลงร่วมกันว่า ใช้เป็นทางสำหรับคนเดินข้าม นี่แหละข้อตกลง นี่แหละสมมติ

ไฟเขียวไฟแดงก็ทำนองเดียวกัน ไฟแดง ตกลงกันว่าหยุด ไฟเขียวไปได้ นี่แหละสมมติ ไม่ใช่ปรมัตถ์ ถ้าว่าโดยปรมัตถ์ไฟเขียวไฟเหลืองไฟแดงไม่มี มีแต่รูป, รูปธรรม มันเป็นรูปธรรม


คืออย่างนี้ครับ เรากำลังสนทนาในเรื่องเกี่ยวกับจิตรู้สมมุติ
เราเข้าใจกันว่าที่กล่าวว่าจิตรู้สมมุติ สมมุติที่ว่านั้นหมายถึงอะไร
ผมเห็นคุณ กรัชกาย ร่วมสนทนาด้วยในเรื่องเกี่ยวกับคำว่า สมมุติ
ผมจึงอธิบายความหมายของคำว่าสมมุติที่เราเข้าใจกัน ให้คุณกรัชกายเข้าใจด้วย
จะได้สนทนากันเข้าใจ ประมาณนี้ครับ

ส่วนคำว่าสมมุติก็มีความหมายตามที่คุณกรัชกายกล่าวนั้นแหละ



คือ สมมติของ ผม ท่านเจ ท่านอ๊บ คืออันเดียวกันซึ่งเป็น ธัมมารมณ์

ส่วนที่ท่านกรัซกายยกมาคือ สมมติสัจจ์ที่เป็นการบัญญัติ คือคำนาม Noun ที่ใช้เรียกของลักษณะอาการความรู้สึก การกระทำต่างๆ ที่เป็นกริยา Verb รวามไปถึงคุณศัพทฺ หรือคุณสมยัติของสิ่งนั้นๆ Adjective

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แก้ไขล่าสุดโดย แค่อากาศ เมื่อ 04 ก.พ. 2019, 14:58, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 04 ก.พ. 2019, 14:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

ผู้ใดศิลมีธรรมประจำใจ ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
... ศึกษาเล่าเรียนแม่นยำ ทรงจำสัทธรรมขึ้นใจ
ผู้นั้นแกล้วกล้าสามารถ ปราศจากความกลัวเวรภัย
... ปัญญาคล่องแคล่วว่องไว ดำรงชีพได้อย่างดี

คุณแค่อากาศ สาธยาธรรม บทที่ว่า
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)
ให้ผมฟังเพิ่มอีกหน่อยได้มั้ยครับ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ


จิตรู้สมมติเป็น สมุทัย มีหลายระดับครับ

- ขั้นต้นพื้นฐานเลย คือ..ไม่รู้ปัจจุบัน เป็นกิริยาที่จิตติดหลงอยู่กับสมมติความคิดที่เกิดจากกิเลสในใจปรุงแต่งเรื่องราวความรู้สึกสร้างขึ้นมา จากความสำคัญมั่นหมายของใจไว้ต่ออารมณ์ต่างๆที่รับรู้ จากสิ่งที่ผ่านมาแล้วบ้าง จากสิ่งยังไม่เกิดขึ้นบ้าง

- ขั้นกลาง คือ..ไม่เห็นของจริงแท้ เป็นกิริยาที่จิตรับรู้เพียงความจำได้หมายรู้ เป็นตัวตน บุคคล สิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยไม่เข้าไปเห็นของจริงในความเป็นสิ่งนั้นๆ กล่าวคือ จิตไม่เดินในสติปัฏฐาน ๔ จนรู้เห็นจริงในสิ่งนั้นๆ เช่น คนศึกษาธรรมโดยมากทุกคนรู้หมดสติปัฏฐาน ๔ รู้อภิธรรมจำได้หมด รู้รูป รู้นาม ท่องจำขึ้นใจรู้หมดมีอะไรบ้าง รู้วิธีเจริญ แต่ยังสะสมเหตุไม่พอให้จิตเดินในมหาสติปัฏฐานจนเกิดรู้เห็นของจริง เช่น กายนี้ไม่ว่าส่วนใดก็ไม่ใช่ตัวตนของใคร ไม่มีตัวตนบุคคลใดในนั้น แค่ธาตุที่มีทั่วไปกอปรกันขึ้นให้ใจเข้ายึดครองอาศัยชั่วคราว แล้วก็เปลี่ยน เสื่อม พัง, ไม่เห็นจริงในกามคุณ ๕ ความรู้สึกของปลอมที่เนื่องด้วยอายตนะ ๕ สืบต่อสมมติมาให้ใจรู้ แล้วหลงยึดว่าเป็นสุขหรือทุกข์ทั้งๆที่แท้จริงแล้วความรู้สึกนั้นไม่ได้เนื่องด้วยใจแท้จริง, สิ่งที่ปรุงแต่งให้ใจรู้เป็นแค่ธัมมารมณ์ภายนอก, ไม่เห็นไตรลักษณ์ของแท้จริงที่ไม่ใช่การท่องจำ หรือตรึกนึกคิดตามเอา

- ขั้นสุด คือ..ความไม่รู้อริยะสัจ ๔ ข้อนี้คืออะไร อวิชชาคือความไม่รู้ของจริง คือ ไม่เห็นของแท้จริงในสังขารุเปกขา ทำให้เอาใจเข้ายึดครองทุกสิ่งทั้งหมดที่ใจได้รับรู้ ..ถึงแม้จะท่องจำอริยะสัจ ๔ ได้ขึ้นใจรู้หมดทั้งวิธีเจริญ แต่จิตไม่ทำกิจในพระอริยะสัจ ๔ คือ ตราบที่จิตไม่เดินรอบ ๓ อาการ ๑๒ ก็ยังไม่รู้ของจริง ไม่ถึงวิชชาอยู่อย่างนั้น ได้มากสุดก็แค่สะสมเป็นบุญแก่ขันธ์ คือ สาสวะ

ทุกข์ คือ ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติตามนี้

มรรค คือ คือจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติด้วยประการดังนี้

นิโรธ คือ ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติดังนี้

ผมมีปัญญาน้อยก็กล่าวสาธยายธรรมนั้นให้กระชับสุดได้ดังนี้ครับ


ลองฟัง คห. ผมบ้างนะครับ
จิตรู้สมมุติ เป็นได้ทั้งฝ่ายสมุทัย และ ฝ่ายมรรค

ฝ่ายสมุทัย คือ จิตรู้สมมุติ อโยนิโสมนสิการ ทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความยินดี ยินร้าย เช่นรูปสวย รูปทราบ รสอร่อย รสไม่อร่อย

ฝ่ายมรรค คือ จิตรู้สมมุติ โยนิโสมนสิการ ทำไว้ในโดยแยบคายในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งสติเช่น รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น

จิตไม่รู้ทุกข์ เป็นทุกขสัจ
จิตไม่กำหนดรู้ทุกข์ เป็นสมุทัยสัจ
จิตรู้แจ้งแทงตลอดทุกข์ เป็นนิโรธสัจ
จิตกำหนดรู้ทุกข์ เป็นมรรคสัจ


สาธุครับ เป็นอย่างท่านว่าดีแล้ว

ดังที่กล่าวว่าถึงรู้ตัวสมมติ แต่จิตไม่เดิน ไม่ทำกิจ ก็คือความไม่โยนิโสหรือแม้โยนิโสแต่ไม่แยบคาบก็ยังปุถุชนอยู่ฉันนั้น เพราะปัญญาไม่แทงตลอด มันก็กลับกรอกไปมาตามนั้นครับ

ดังที่จะเห็นว่าหลายท่านเข้าไปเห็นของจริงแล้ว แรกทีจะมุ่งแต่บรรลุเท่านั้นเพราะยังมรรคอยู่ แต่เพราะไม่แยบคายก็กลับกลอกยังปุถุชนอยู่ดังเดิม ซึ่งเชื่อว่าหลายท่านในเวบก็เคยผ่านจุดนี้กันมาแล้ว

:b8: :b8: :b8:


ครับผมเพียงแต่แสดงความคิดเห็น เผื่อว่าส่วนใดเห็นผิดจะได้รับคำชี้แนะตักเตือน
ถ้าคุณแค่อากาศเห็นความเห็นผมส่วนใดยังผิดอยู่ ช่วยชี้แนะตักเตือนอย่าได้เกรงใจครับ
ผมจะรับฟังแล้วเก็บไปพิจารณา



ผมยังไม่ถึงก็ไม่อาจจะแนะนำได้ ทำได้แค่แสดงความคิดเห็นครับท่าน ในส่วนที่ท่านกล่าวมาก็ดีแล้วถูกแล้วครับ เรื่องความแยบคายหรือไม่แยบคายนั้น ทุกอย่างบางทีมันเห็นของจริงแค่ครั้งสองครั้งมันไปสามารถตัดได้เพราะบารมียังแต่เต็ม แต่บางคนเขาสะสมม่ดีแล้ว บางท่านว่าเขาเห็นมาหลายชาตินับไม่ถ้วนจนมันเต็ม มาชาตินี้แค่สัมผัสรู้สึกนิดหน่อยมันเดินมรรคตัดผลเลย ครูบาอารจารย์ท่านจึงสอนเราให้สะสมเหตุ ทาน ศีล ภาวนาให้ดี นี่บารมี ๑๐ ทัศ มีในนั้นครับ หรือบางทีบางคนเมื่อจิตเข้สไปเห็นจริง ขณะที่จิตมันมีกำลังพอเกิดปัญญาขึ้นพิจารณาทำกิจ แต่กลับทำอุเบกขาสัมโพชฌงค์ไม่ได้ เพราะกำลังใจยังไม่เต็ม จึงพยายามไปจดจำบ้างเพราะขณะนั้นคือสิ่งที่ตนไม่เคยรู้เห็น หรือพยายามเข้าไปโฟกัสจับจุดมันมากไป แม้จะเกิดกำลังมหาสติ กำลังจิตตัดวูบสมมติเจตนานั้นๆให้วูปดับแล้วทำแค่นิ่งแช่รู้แต่ใจเรามันก็ยังพยายามจะเข้าไปดูไปจำ เลยไม่เป็นสังขารุเปกขา หลุดออกมาไม่มีโอกาสอีกเพราะกำลังใจที่เข้าถึงสภาวะนั้นไม่เพัยงพอแล้ว นั่นพอจิตมันตื่นตัวรู้มากไป นี่ก็ทำให้แยบคายไม่ได้ แม้จะเข้สไปสู่การทำความโยนิโสแล้วก็ตามครับ

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสต์ เมื่อ: 04 ก.พ. 2019, 16:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สมมติ การรู้ร่วมกัน, การตกลงกัน, การมีมติร่วมกัน หรือยอมรับร่วมกัน

สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ คือ โดยความตกลงหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ เช่น นาย ก. นาย ข. ช้าง ม้า มด โต๊ะ หนังสือ พ่อ แม่ ลูก เพื่อน ลานธรรมจักร ลานธรรมเสวนา พันทิพ พลังจิต เป็นต้น ซึ่งเมื่อกล่าวตามสภาวะ หรือโดยปรมัตถ์แล้วก็เป็นเพียงสังขาร หรือนามรูป หรือขันธ์ ๕ เท่านั้น

บัญญัติ การตั้งขึ้น, ข้อที่ตั้งขึ้น, การกำหนดเรียก, การเรียกชื่อ, การวางเป็นกฎไว้, ข้อบังคับ


:b1:

รู้จักสมมติแล้วใช้ให้เป็น ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็ใช้สมมติกันอยู่ แต่มากคนไม่รู้จักสมมติ


ความหมายของคำว่าสมมุติ ของคุณกบนอกกะลา
น่าจะหมายถึงการปรุงแต่งเวทนาของสัญญาสังขาร
อันนี้ผมเคยเห็น



สาธุคครับท่านเจ ถูกแล้วดีแล้วครับท่าน :b8: :b8:


นั่นเอาคำศัพท์และความหมายไปคิดเอาเอง :b1: สมมติ (สํ+มติ เป็นบาลี) ความเห็นร่วมกัน,ข้อที่ตกลงร่วมกัน ตัวอย่างง่ายๆ ทางม้าลาย สังคมสมมติ คือ ตกลงร่วมกันว่า ใช้เป็นทางสำหรับคนเดินข้าม นี่แหละข้อตกลง นี่แหละสมมติ

ไฟเขียวไฟแดงก็ทำนองเดียวกัน ไฟแดง ตกลงกันว่าหยุด ไฟเขียวไปได้ นี่แหละสมมติ ไม่ใช่ปรมัตถ์ ถ้าว่าโดยปรมัตถ์ไฟเขียวไฟเหลืองไฟแดงไม่มี มีแต่รูป, รูปธรรม มันเป็นรูปธรรม


คืออย่างนี้ครับ เรากำลังสนทนาในเรื่องเกี่ยวกับจิตรู้สมมุติ
เราเข้าใจกันว่าที่กล่าวว่าจิตรู้สมมุติ สมมุติที่ว่านั้นหมายถึงอะไร
ผมเห็นคุณ กรัชกาย ร่วมสนทนาด้วยในเรื่องเกี่ยวกับคำว่า สมมุติ
ผมจึงอธิบายความหมายของคำว่าสมมุติที่เราเข้าใจกัน ให้คุณกรัชกายเข้าใจด้วย
จะได้สนทนากันเข้าใจ ประมาณนี้ครับ

ส่วนคำว่าสมมุติก็มีความหมายตามที่คุณกรัชกายกล่าวนั้นแหละ



คือ สมมติของ ผม ท่านเจ ท่านอ๊บ คืออันเดียวกันซึ่งเป็น ธัมมารมณ์

ส่วนที่ท่านกรัซกายยกมาคือ สมมติสัจจ์ที่เป็นการบัญญัติ คือคำนาม Noun ที่ใช้เรียกของลักษณะอาการความรู้สึก การกระทำต่างๆ ที่เป็นกริยา Verb รวามไปถึงคุณศัพทฺ หรือคุณสมยัติของสิ่งนั้นๆ Adjective


อ้างคำพูด:
คือ สมมติของ ผม ท่านเจ ท่านอ๊บ คืออันเดียวกันซึ่งเป็น ธัมมารมณ์


คุณทั้งสาม นำศัพท์และความหมาย (สมมติ) ของเขาไปตีความเอาเอง

ธรรมารมณ์ อารมณ์คือธรรม, สิ่งที่ถูกรับรู้ทางใจ, สิ่งที่รู้ด้วยใจ, สิ่งที่ใจรู้สึกนึกคิด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 04 ก.พ. 2019, 18:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สมมติ การรู้ร่วมกัน, การตกลงกัน, การมีมติร่วมกัน หรือยอมรับร่วมกัน

สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ คือ โดยความตกลงหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ เช่น นาย ก. นาย ข. ช้าง ม้า มด โต๊ะ หนังสือ พ่อ แม่ ลูก เพื่อน ลานธรรมจักร ลานธรรมเสวนา พันทิพ พลังจิต เป็นต้น ซึ่งเมื่อกล่าวตามสภาวะ หรือโดยปรมัตถ์แล้วก็เป็นเพียงสังขาร หรือนามรูป หรือขันธ์ ๕ เท่านั้น

บัญญัติ การตั้งขึ้น, ข้อที่ตั้งขึ้น, การกำหนดเรียก, การเรียกชื่อ, การวางเป็นกฎไว้, ข้อบังคับ


:b1:

รู้จักสมมติแล้วใช้ให้เป็น ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็ใช้สมมติกันอยู่ แต่มากคนไม่รู้จักสมมติ


ความหมายของคำว่าสมมุติ ของคุณกบนอกกะลา
น่าจะหมายถึงการปรุงแต่งเวทนาของสัญญาสังขาร
อันนี้ผมเคยเห็น



สาธุคครับท่านเจ ถูกแล้วดีแล้วครับท่าน :b8: :b8:


นั่นเอาคำศัพท์และความหมายไปคิดเอาเอง :b1: สมมติ (สํ+มติ เป็นบาลี) ความเห็นร่วมกัน,ข้อที่ตกลงร่วมกัน ตัวอย่างง่ายๆ ทางม้าลาย สังคมสมมติ คือ ตกลงร่วมกันว่า ใช้เป็นทางสำหรับคนเดินข้าม นี่แหละข้อตกลง นี่แหละสมมติ

ไฟเขียวไฟแดงก็ทำนองเดียวกัน ไฟแดง ตกลงกันว่าหยุด ไฟเขียวไปได้ นี่แหละสมมติ ไม่ใช่ปรมัตถ์ ถ้าว่าโดยปรมัตถ์ไฟเขียวไฟเหลืองไฟแดงไม่มี มีแต่รูป, รูปธรรม มันเป็นรูปธรรม


คืออย่างนี้ครับ เรากำลังสนทนาในเรื่องเกี่ยวกับจิตรู้สมมุติ
เราเข้าใจกันว่าที่กล่าวว่าจิตรู้สมมุติ สมมุติที่ว่านั้นหมายถึงอะไร
ผมเห็นคุณ กรัชกาย ร่วมสนทนาด้วยในเรื่องเกี่ยวกับคำว่า สมมุติ
ผมจึงอธิบายความหมายของคำว่าสมมุติที่เราเข้าใจกัน ให้คุณกรัชกายเข้าใจด้วย
จะได้สนทนากันเข้าใจ ประมาณนี้ครับ

ส่วนคำว่าสมมุติก็มีความหมายตามที่คุณกรัชกายกล่าวนั้นแหละ



คือ สมมติของ ผม ท่านเจ ท่านอ๊บ คืออันเดียวกันซึ่งเป็น ธัมมารมณ์

ส่วนที่ท่านกรัซกายยกมาคือ สมมติสัจจ์ที่เป็นการบัญญัติ คือคำนาม Noun ที่ใช้เรียกของลักษณะอาการความรู้สึก การกระทำต่างๆ ที่เป็นกริยา Verb รวามไปถึงคุณศัพทฺ หรือคุณสมยัติของสิ่งนั้นๆ Adjective


อ้างคำพูด:
คือ สมมติของ ผม ท่านเจ ท่านอ๊บ คืออันเดียวกันซึ่งเป็น ธัมมารมณ์


คุณทั้งสาม นำศัพท์และความหมาย (สมมติ) ของเขาไปตีความเอาเอง

ธรรมารมณ์ อารมณ์คือธรรม, สิ่งที่ถูกรับรู้ทางใจ, สิ่งที่รู้ด้วยใจ, สิ่งที่ใจรู้สึกนึกคิด




อะไรเป็นตัวรู้ครับ สมมติคืออะไรรู้ จริงคืออะไรรู้ ครับ
:b1: :b1: :b1:

ผม ขน เล็บ ฟันหนังหรอครับเป็นตัวรู้สิ่งที่จำ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังหรอครับเป็นตัวรู้คิด ผม ขน เล็บ ฟัน หนังหรอครับที่รู้สึกเสวยอารมณ์
ผม ขน เล็บ ฟัน หนังหรอครับที่รู้ธัมมารมณ์ :b1: :b1: มันก็เป็นธรรมชาติคนที่อ่านมามากเคยจะอัตตาสมมติสัจจ์ครับ

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แก้ไขล่าสุดโดย แค่อากาศ เมื่อ 04 ก.พ. 2019, 18:32, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 04 ก.พ. 2019, 18:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สมมติ การรู้ร่วมกัน, การตกลงกัน, การมีมติร่วมกัน หรือยอมรับร่วมกัน

สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ คือ โดยความตกลงหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ เช่น นาย ก. นาย ข. ช้าง ม้า มด โต๊ะ หนังสือ พ่อ แม่ ลูก เพื่อน ลานธรรมจักร ลานธรรมเสวนา พันทิพ พลังจิต เป็นต้น ซึ่งเมื่อกล่าวตามสภาวะ หรือโดยปรมัตถ์แล้วก็เป็นเพียงสังขาร หรือนามรูป หรือขันธ์ ๕ เท่านั้น

บัญญัติ การตั้งขึ้น, ข้อที่ตั้งขึ้น, การกำหนดเรียก, การเรียกชื่อ, การวางเป็นกฎไว้, ข้อบังคับ


:b1:

รู้จักสมมติแล้วใช้ให้เป็น ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็ใช้สมมติกันอยู่ แต่มากคนไม่รู้จักสมมติ


ความหมายของคำว่าสมมุติ ของคุณกบนอกกะลา
น่าจะหมายถึงการปรุงแต่งเวทนาของสัญญาสังขาร
อันนี้ผมเคยเห็น



สาธุคครับท่านเจ ถูกแล้วดีแล้วครับท่าน :b8: :b8:


นั่นเอาคำศัพท์และความหมายไปคิดเอาเอง :b1: สมมติ (สํ+มติ เป็นบาลี) ความเห็นร่วมกัน,ข้อที่ตกลงร่วมกัน ตัวอย่างง่ายๆ ทางม้าลาย สังคมสมมติ คือ ตกลงร่วมกันว่า ใช้เป็นทางสำหรับคนเดินข้าม นี่แหละข้อตกลง นี่แหละสมมติ

ไฟเขียวไฟแดงก็ทำนองเดียวกัน ไฟแดง ตกลงกันว่าหยุด ไฟเขียวไปได้ นี่แหละสมมติ ไม่ใช่ปรมัตถ์ ถ้าว่าโดยปรมัตถ์ไฟเขียวไฟเหลืองไฟแดงไม่มี มีแต่รูป, รูปธรรม มันเป็นรูปธรรม


คืออย่างนี้ครับ เรากำลังสนทนาในเรื่องเกี่ยวกับจิตรู้สมมุติ
เราเข้าใจกันว่าที่กล่าวว่าจิตรู้สมมุติ สมมุติที่ว่านั้นหมายถึงอะไร
ผมเห็นคุณ กรัชกาย ร่วมสนทนาด้วยในเรื่องเกี่ยวกับคำว่า สมมุติ
ผมจึงอธิบายความหมายของคำว่าสมมุติที่เราเข้าใจกัน ให้คุณกรัชกายเข้าใจด้วย
จะได้สนทนากันเข้าใจ ประมาณนี้ครับ

ส่วนคำว่าสมมุติก็มีความหมายตามที่คุณกรัชกายกล่าวนั้นแหละ



คือ สมมติของ ผม ท่านเจ ท่านอ๊บ คืออันเดียวกันซึ่งเป็น ธัมมารมณ์

ส่วนที่ท่านกรัซกายยกมาคือ สมมติสัจจ์ที่เป็นการบัญญัติ คือคำนาม Noun ที่ใช้เรียกของลักษณะอาการความรู้สึก การกระทำต่างๆ ที่เป็นกริยา Verb รวามไปถึงคุณศัพทฺ หรือคุณสมยัติของสิ่งนั้นๆ Adjective


อ้างคำพูด:
คือ สมมติของ ผม ท่านเจ ท่านอ๊บ คืออันเดียวกันซึ่งเป็น ธัมมารมณ์


คุณทั้งสาม นำศัพท์และความหมาย (สมมติ) ของเขาไปตีความเอาเอง

ธรรมารมณ์ อารมณ์คือธรรม, สิ่งที่ถูกรับรู้ทางใจ, สิ่งที่รู้ด้วยใจ, สิ่งที่ใจรู้สึกนึกคิด




อะไรเป็นตัวรู้ครับ สมมติคืออะไรรู้ จริงคืออะไรรู้ ครับ
:b1: :b1: :b1:

ผม ขน เล็บ ฟันหนังหรอครับเป็นตัวรู้สิ่งที่จำ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังหรอครับเป็นตัวรู้คิด ผม ขน เล็บ ฟัน หนังหรอครับที่รู้สึกเสวยอารมณ์
ผมหรอครับที่รู้ธัมมารมณ์ :b1: :b1: มันก็เปธรรมชาตอคนไม้เคยเห็นจริงจะอัตตาสมมติสัจจ์ครับ


ธรรมารมณ์ เป็นสมมติอะไรของคุณขอรับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 04 ก.พ. 2019, 19:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สมมติ การรู้ร่วมกัน, การตกลงกัน, การมีมติร่วมกัน หรือยอมรับร่วมกัน

สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ คือ โดยความตกลงหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ เช่น นาย ก. นาย ข. ช้าง ม้า มด โต๊ะ หนังสือ พ่อ แม่ ลูก เพื่อน ลานธรรมจักร ลานธรรมเสวนา พันทิพ พลังจิต เป็นต้น ซึ่งเมื่อกล่าวตามสภาวะ หรือโดยปรมัตถ์แล้วก็เป็นเพียงสังขาร หรือนามรูป หรือขันธ์ ๕ เท่านั้น

บัญญัติ การตั้งขึ้น, ข้อที่ตั้งขึ้น, การกำหนดเรียก, การเรียกชื่อ, การวางเป็นกฎไว้, ข้อบังคับ


:b1:

รู้จักสมมติแล้วใช้ให้เป็น ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็ใช้สมมติกันอยู่ แต่มากคนไม่รู้จักสมมติ


ความหมายของคำว่าสมมุติ ของคุณกบนอกกะลา
น่าจะหมายถึงการปรุงแต่งเวทนาของสัญญาสังขาร
อันนี้ผมเคยเห็น



สาธุคครับท่านเจ ถูกแล้วดีแล้วครับท่าน :b8: :b8:


นั่นเอาคำศัพท์และความหมายไปคิดเอาเอง :b1: สมมติ (สํ+มติ เป็นบาลี) ความเห็นร่วมกัน,ข้อที่ตกลงร่วมกัน ตัวอย่างง่ายๆ ทางม้าลาย สังคมสมมติ คือ ตกลงร่วมกันว่า ใช้เป็นทางสำหรับคนเดินข้าม นี่แหละข้อตกลง นี่แหละสมมติ

ไฟเขียวไฟแดงก็ทำนองเดียวกัน ไฟแดง ตกลงกันว่าหยุด ไฟเขียวไปได้ นี่แหละสมมติ ไม่ใช่ปรมัตถ์ ถ้าว่าโดยปรมัตถ์ไฟเขียวไฟเหลืองไฟแดงไม่มี มีแต่รูป, รูปธรรม มันเป็นรูปธรรม


คืออย่างนี้ครับ เรากำลังสนทนาในเรื่องเกี่ยวกับจิตรู้สมมุติ
เราเข้าใจกันว่าที่กล่าวว่าจิตรู้สมมุติ สมมุติที่ว่านั้นหมายถึงอะไร
ผมเห็นคุณ กรัชกาย ร่วมสนทนาด้วยในเรื่องเกี่ยวกับคำว่า สมมุติ
ผมจึงอธิบายความหมายของคำว่าสมมุติที่เราเข้าใจกัน ให้คุณกรัชกายเข้าใจด้วย
จะได้สนทนากันเข้าใจ ประมาณนี้ครับ

ส่วนคำว่าสมมุติก็มีความหมายตามที่คุณกรัชกายกล่าวนั้นแหละ



คือ สมมติของ ผม ท่านเจ ท่านอ๊บ คืออันเดียวกันซึ่งเป็น ธัมมารมณ์

ส่วนที่ท่านกรัซกายยกมาคือ สมมติสัจจ์ที่เป็นการบัญญัติ คือคำนาม Noun ที่ใช้เรียกของลักษณะอาการความรู้สึก การกระทำต่างๆ ที่เป็นกริยา Verb รวามไปถึงคุณศัพทฺ หรือคุณสมยัติของสิ่งนั้นๆ Adjective


อ้างคำพูด:
คือ สมมติของ ผม ท่านเจ ท่านอ๊บ คืออันเดียวกันซึ่งเป็น ธัมมารมณ์


คุณทั้งสาม นำศัพท์และความหมาย (สมมติ) ของเขาไปตีความเอาเอง

ธรรมารมณ์ อารมณ์คือธรรม, สิ่งที่ถูกรับรู้ทางใจ, สิ่งที่รู้ด้วยใจ, สิ่งที่ใจรู้สึกนึกคิด




อะไรเป็นตัวรู้ครับ สมมติคืออะไรรู้ จริงคืออะไรรู้ ครับ
:b1: :b1: :b1:

ผม ขน เล็บ ฟันหนังหรอครับเป็นตัวรู้สิ่งที่จำ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังหรอครับเป็นตัวรู้คิด ผม ขน เล็บ ฟัน หนังหรอครับที่รู้สึกเสวยอารมณ์
ผมหรอครับที่รู้ธัมมารมณ์ :b1: :b1: มันก็เปธรรมชาตอคนไม้เคยเห็นจริงจะอัตตาสมมติสัจจ์ครับ


ธรรมารมณ์ เป็นสมมติอะไรของคุณขอรับ


สิ่งใดที่ใจรู้โดยความไม่จริงทางใจ คือสมมติทั้งหมด เช่น ความคิด เมื่อ ๓ ปีก่อนมีคนทำให้คุณโกรธเแค้นใจมากจนผูกแค้นผูกพยาบาท จนถึงวันนี้คุณก็ยังคิดถึงเรื่องนั้น ทั้งๆที่มันจบไปแล้วตั้ง ๓ ปี คุณยังเอามาคิดจนร้อนรุ่มเหมือนว่ามันกำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ถามว่าวิตกมีจริงไหม ย่อมมีจริง แต่สิ่งที้คิดนั้นไม่มีอยู่จริงในปัจจุบัน วิตกความตรึก สิ่งที่มันตรึกไม่มีอยู่จริงในปัจจุบัน มโนภาพ มโนกรรม เจตนา มีจริง แต่สิ่งที่หวนระลึกถึงไม่มีอยู่จริงในปัจจุบัน นี่เป็นสมมติไหมเล่า แล้ว มโนภาพ สอ่งมี้ตรึก ที่ใจรู้นั้นเป็นธัมมารมณ์ หรือ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟกันเล่า

ความสุขกามคุณ ๕ มันเกิดขึ้นที่ใจโดยตรงหรือไม่ หรือสุขที่เกิดจากเม็ดสีที่เรียงกันเป็นสีสันฐานต่างๆ ที่รู้ทางตา มีความจำได้หมายรู้ว่าเป็นรูปที่เจริญใจ ก็สุข สุขนั้นมันเกิดที่ใจโดยตรงหรือสังขารซ้ำจากเม็ดสีจนรู้ตัวตนเป็นสอ้งที่เจริยใจ จึงสุขที่เห็น

เสพย์เมถุนจริงๆแล้วเวลาที่องคชาติมันรูดเข้าออกช่องคลอด เสียวที่องค์ชาติ ก็ติดใจเสียวเพราะเสัยบเข้าช่องคลอด ก็ติดใจ หลง
..ซึ่งจริงๆแล้วอาการที่มันรับรู้ได้ทางกายหรืององคชาติมันมีแค่อาการที่อ่อน นุ่ม แข็ง เสียดสี เคลื่อนไหวสัมผัส อุ่นๆ เอิบอาบเกาะกุม ไม่มีเกินนี้
..ก็แล้วที่ว่าเสียว มันเสียโดยตรง สุขที่ใจโดยตรง หรือเพราะสมมติว่าสุขจากสัมผัสมี่อ่อนแข็งเสียดสี ไหวเคลื่อน อบอุ่น เอิบอาบ ที่เจริญใจนั้นเล่ามันสุขทั่เนื่องด้วยกายเกิดที่กาย หรือเกิดที่ใจ ก็ถ้าสุขที่ใจโดยตรงแล้วเราไม่ต้องไปทำไรๆกับองคชาติไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์ ใัจก็สุขแล้วสิ สิ่งที่ใจรู้ว่าสุขนี้มันเป็นของจริงหรือของสมมติกันเล่า เป็นสุขที่เนื่องด้วยกายหรือเนื่องด้วยใจเล่า มันสุขได้ด้วยตัวมันเองกรืออาศัยสิ่งอิ่นมาทำให้มันสุขกันเล่า เป็นสุขที่อิงอามิส หรือไม่อิงอามิสเล่า แล้วความรู้สึกสุขนี้เป็นธัมมารมณ์ หรือเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นสิ่งที่ใจรู้สืบต่อสมมติทางกายหรือเกิดขึ้นที่ใจโดยตรง หากเป็นธัมมารมณ์ ดังนั้นธัมมารมณ์นี้เป็นสมมติหรือไม่เล่า

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสต์ เมื่อ: 04 ก.พ. 2019, 21:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2218

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


ต่อให้ค่ะ


ผลจากจิตเห็นนิโรธ เป็นสมุทัย 555


โพสต์ เมื่อ: 04 ก.พ. 2019, 22:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2218

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สมมติ การรู้ร่วมกัน, การตกลงกัน, การมีมติร่วมกัน หรือยอมรับร่วมกัน

สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ คือ โดยความตกลงหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ เช่น นาย ก. นาย ข. ช้าง ม้า มด โต๊ะ หนังสือ พ่อ แม่ ลูก เพื่อน ลานธรรมจักร ลานธรรมเสวนา พันทิพ พลังจิต เป็นต้น ซึ่งเมื่อกล่าวตามสภาวะ หรือโดยปรมัตถ์แล้วก็เป็นเพียงสังขาร หรือนามรูป หรือขันธ์ ๕ เท่านั้น

บัญญัติ การตั้งขึ้น, ข้อที่ตั้งขึ้น, การกำหนดเรียก, การเรียกชื่อ, การวางเป็นกฎไว้, ข้อบังคับ


:b1:

รู้จักสมมติแล้วใช้ให้เป็น ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็ใช้สมมติกันอยู่ แต่มากคนไม่รู้จักสมมติ


ความหมายของคำว่าสมมุติ ของคุณกบนอกกะลา
น่าจะหมายถึงการปรุงแต่งเวทนาของสัญญาสังขาร
อันนี้ผมเคยเห็น



สาธุคครับท่านเจ ถูกแล้วดีแล้วครับท่าน :b8: :b8:


นั่นเอาคำศัพท์และความหมายไปคิดเอาเอง :b1: สมมติ (สํ+มติ เป็นบาลี) ความเห็นร่วมกัน,ข้อที่ตกลงร่วมกัน ตัวอย่างง่ายๆ ทางม้าลาย สังคมสมมติ คือ ตกลงร่วมกันว่า ใช้เป็นทางสำหรับคนเดินข้าม นี่แหละข้อตกลง นี่แหละสมมติ

ไฟเขียวไฟแดงก็ทำนองเดียวกัน ไฟแดง ตกลงกันว่าหยุด ไฟเขียวไปได้ นี่แหละสมมติ ไม่ใช่ปรมัตถ์ ถ้าว่าโดยปรมัตถ์ไฟเขียวไฟเหลืองไฟแดงไม่มี มีแต่รูป, รูปธรรม มันเป็นรูปธรรม


คืออย่างนี้ครับ เรากำลังสนทนาในเรื่องเกี่ยวกับจิตรู้สมมุติ
เราเข้าใจกันว่าที่กล่าวว่าจิตรู้สมมุติ สมมุติที่ว่านั้นหมายถึงอะไร
ผมเห็นคุณ กรัชกาย ร่วมสนทนาด้วยในเรื่องเกี่ยวกับคำว่า สมมุติ
ผมจึงอธิบายความหมายของคำว่าสมมุติที่เราเข้าใจกัน ให้คุณกรัชกายเข้าใจด้วย
จะได้สนทนากันเข้าใจ ประมาณนี้ครับ

ส่วนคำว่าสมมุติก็มีความหมายตามที่คุณกรัชกายกล่าวนั้นแหละ



คือ สมมติของ ผม ท่านเจ ท่านอ๊บ คืออันเดียวกันซึ่งเป็น ธัมมารมณ์

ส่วนที่ท่านกรัซกายยกมาคือ สมมติสัจจ์ที่เป็นการบัญญัติ คือคำนาม Noun ที่ใช้เรียกของลักษณะอาการความรู้สึก การกระทำต่างๆ ที่เป็นกริยา Verb รวามไปถึงคุณศัพทฺ หรือคุณสมยัติของสิ่งนั้นๆ Adjective


อ้างคำพูด:
คือ สมมติของ ผม ท่านเจ ท่านอ๊บ คืออันเดียวกันซึ่งเป็น ธัมมารมณ์


คุณทั้งสาม นำศัพท์และความหมาย (สมมติ) ของเขาไปตีความเอาเอง

ธรรมารมณ์ อารมณ์คือธรรม, สิ่งที่ถูกรับรู้ทางใจ, สิ่งที่รู้ด้วยใจ, สิ่งที่ใจรู้สึกนึกคิด




อะไรเป็นตัวรู้ครับ สมมติคืออะไรรู้ จริงคืออะไรรู้ ครับ
:b1: :b1: :b1:

ผม ขน เล็บ ฟันหนังหรอครับเป็นตัวรู้สิ่งที่จำ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังหรอครับเป็นตัวรู้คิด ผม ขน เล็บ ฟัน หนังหรอครับที่รู้สึกเสวยอารมณ์
ผมหรอครับที่รู้ธัมมารมณ์ :b1: :b1: มันก็เปธรรมชาตอคนไม้เคยเห็นจริงจะอัตตาสมมติสัจจ์ครับ


ธรรมารมณ์ เป็นสมมติอะไรของคุณขอรับ


สิ่งใดที่ใจรู้โดยความไม่จริงทางใจ คือสมมติทั้งหมด เช่น ความคิด เมื่อ ๓ ปีก่อนมีคนทำให้คุณโกรธเแค้นใจมากจนผูกแค้นผูกพยาบาท จนถึงวันนี้คุณก็ยังคิดถึงเรื่องนั้น ทั้งๆที่มันจบไปแล้วตั้ง ๓ ปี คุณยังเอามาคิดจนร้อนรุ่มเหมือนว่ามันกำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ถามว่าวิตกมีจริงไหม ย่อมมีจริง แต่สิ่งที้คิดนั้นไม่มีอยู่จริงในปัจจุบัน วิตกความตรึก สิ่งที่มันตรึกไม่มีอยู่จริงในปัจจุบัน มโนภาพ มโนกรรม เจตนา มีจริง แต่สิ่งที่หวนระลึกถึงไม่มีอยู่จริงในปัจจุบัน นี่เป็นสมมติไหมเล่า แล้ว มโนภาพ สอ่งมี้ตรึก ที่ใจรู้นั้นเป็นธัมมารมณ์ หรือ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟกันเล่า

ความสุขกามคุณ ๕ มันเกิดขึ้นที่ใจโดยตรงหรือไม่ หรือสุขที่เกิดจากเม็ดสีที่เรียงกันเป็นสีสันฐานต่างๆ ที่รู้ทางตา มีความจำได้หมายรู้ว่าเป็นรูปที่เจริญใจ ก็สุข สุขนั้นมันเกิดที่ใจโดยตรงหรือสังขารซ้ำจากเม็ดสีจนรู้ตัวตนเป็นสอ้งที่เจริยใจ จึงสุขที่เห็น

เสพย์เมถุนจริงๆแล้วเวลาที่องคชาติมันรูดเข้าออกช่องคลอด เสียวที่องค์ชาติ ก็ติดใจเสียวเพราะเสัยบเข้าช่องคลอด ก็ติดใจ หลง
..ซึ่งจริงๆแล้วอาการที่มันรับรู้ได้ทางกายหรืององคชาติมันมีแค่อาการที่อ่อน นุ่ม แข็ง เสียดสี เคลื่อนไหวสัมผัส อุ่นๆ เอิบอาบเกาะกุม ไม่มีเกินนี้
..ก็แล้วที่ว่าเสียว มันเสียโดยตรง สุขที่ใจโดยตรง หรือเพราะสมมติว่าสุขจากสัมผัสมี่อ่อนแข็งเสียดสี ไหวเคลื่อน อบอุ่น เอิบอาบ ที่เจริญใจนั้นเล่ามันสุขทั่เนื่องด้วยกายเกิดที่กาย หรือเกิดที่ใจ ก็ถ้าสุขที่ใจโดยตรงแล้วเราไม่ต้องไปทำไรๆกับองคชาติไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์ ใัจก็สุขแล้วสิ สิ่งที่ใจรู้ว่าสุขนี้มันเป็นของจริงหรือของสมมติกันเล่า เป็นสุขที่เนื่องด้วยกายหรือเนื่องด้วยใจเล่า มันสุขได้ด้วยตัวมันเองกรืออาศัยสิ่งอิ่นมาทำให้มันสุขกันเล่า เป็นสุขที่อิงอามิส หรือไม่อิงอามิสเล่า แล้วความรู้สึกสุขนี้เป็นธัมมารมณ์ หรือเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นสิ่งที่ใจรู้สืบต่อสมมติทางกายหรือเกิดขึ้นที่ใจโดยตรง หากเป็นธัมมารมณ์ ดังนั้นธัมมารมณ์นี้เป็นสมมติหรือไม่เล่า


คริคริ

เพราะคุณแค่อากาศไม่ได้เรียนพระอภิธรรม
เรยไม่รู้ว่า สุขใจสุขกาย
เป็นวิปลาสธรรม

เพราะไม่รู้จัก สุภสัญญา สุขสัญญา นิจจสัญญา และอัตตสัญญา

เรยเห็นวิปลาสคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงอ่ะค่ะ


โพสต์ เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 11:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สมมติ การรู้ร่วมกัน, การตกลงกัน, การมีมติร่วมกัน หรือยอมรับร่วมกัน

สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ คือ โดยความตกลงหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ เช่น นาย ก. นาย ข. ช้าง ม้า มด โต๊ะ หนังสือ พ่อ แม่ ลูก เพื่อน ลานธรรมจักร ลานธรรมเสวนา พันทิพ พลังจิต เป็นต้น ซึ่งเมื่อกล่าวตามสภาวะ หรือโดยปรมัตถ์แล้วก็เป็นเพียงสังขาร หรือนามรูป หรือขันธ์ ๕ เท่านั้น

บัญญัติ การตั้งขึ้น, ข้อที่ตั้งขึ้น, การกำหนดเรียก, การเรียกชื่อ, การวางเป็นกฎไว้, ข้อบังคับ


:b1:

รู้จักสมมติแล้วใช้ให้เป็น ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็ใช้สมมติกันอยู่ แต่มากคนไม่รู้จักสมมติ


ความหมายของคำว่าสมมุติ ของคุณกบนอกกะลา
น่าจะหมายถึงการปรุงแต่งเวทนาของสัญญาสังขาร
อันนี้ผมเคยเห็น



สาธุคครับท่านเจ ถูกแล้วดีแล้วครับท่าน :b8: :b8:


นั่นเอาคำศัพท์และความหมายไปคิดเอาเอง :b1: สมมติ (สํ+มติ เป็นบาลี) ความเห็นร่วมกัน,ข้อที่ตกลงร่วมกัน ตัวอย่างง่ายๆ ทางม้าลาย สังคมสมมติ คือ ตกลงร่วมกันว่า ใช้เป็นทางสำหรับคนเดินข้าม นี่แหละข้อตกลง นี่แหละสมมติ

ไฟเขียวไฟแดงก็ทำนองเดียวกัน ไฟแดง ตกลงกันว่าหยุด ไฟเขียวไปได้ นี่แหละสมมติ ไม่ใช่ปรมัตถ์ ถ้าว่าโดยปรมัตถ์ไฟเขียวไฟเหลืองไฟแดงไม่มี มีแต่รูป, รูปธรรม มันเป็นรูปธรรม


คืออย่างนี้ครับ เรากำลังสนทนาในเรื่องเกี่ยวกับจิตรู้สมมุติ
เราเข้าใจกันว่าที่กล่าวว่าจิตรู้สมมุติ สมมุติที่ว่านั้นหมายถึงอะไร
ผมเห็นคุณ กรัชกาย ร่วมสนทนาด้วยในเรื่องเกี่ยวกับคำว่า สมมุติ
ผมจึงอธิบายความหมายของคำว่าสมมุติที่เราเข้าใจกัน ให้คุณกรัชกายเข้าใจด้วย
จะได้สนทนากันเข้าใจ ประมาณนี้ครับ

ส่วนคำว่าสมมุติก็มีความหมายตามที่คุณกรัชกายกล่าวนั้นแหละ



คือ สมมติของ ผม ท่านเจ ท่านอ๊บ คืออันเดียวกันซึ่งเป็น ธัมมารมณ์

ส่วนที่ท่านกรัซกายยกมาคือ สมมติสัจจ์ที่เป็นการบัญญัติ คือคำนาม Noun ที่ใช้เรียกของลักษณะอาการความรู้สึก การกระทำต่างๆ ที่เป็นกริยา Verb รวามไปถึงคุณศัพทฺ หรือคุณสมยัติของสิ่งนั้นๆ Adjective


อ้างคำพูด:
คือ สมมติของ ผม ท่านเจ ท่านอ๊บ คืออันเดียวกันซึ่งเป็น ธัมมารมณ์


คุณทั้งสาม นำศัพท์และความหมาย (สมมติ) ของเขาไปตีความเอาเอง

ธรรมารมณ์ อารมณ์คือธรรม, สิ่งที่ถูกรับรู้ทางใจ, สิ่งที่รู้ด้วยใจ, สิ่งที่ใจรู้สึกนึกคิด




อะไรเป็นตัวรู้ครับ สมมติคืออะไรรู้ จริงคืออะไรรู้ ครับ
:b1: :b1: :b1:

ผม ขน เล็บ ฟันหนังหรอครับเป็นตัวรู้สิ่งที่จำ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังหรอครับเป็นตัวรู้คิด ผม ขน เล็บ ฟัน หนังหรอครับที่รู้สึกเสวยอารมณ์
ผมหรอครับที่รู้ธัมมารมณ์ :b1: :b1: มันก็เปธรรมชาตอคนไม้เคยเห็นจริงจะอัตตาสมมติสัจจ์ครับ


ธรรมารมณ์ เป็นสมมติอะไรของคุณขอรับ


สิ่งใดที่ใจรู้โดยความไม่จริงทางใจ คือสมมติทั้งหมด เช่น ความคิด เมื่อ ๓ ปีก่อนมีคนทำให้คุณโกรธเแค้นใจมากจนผูกแค้นผูกพยาบาท จนถึงวันนี้คุณก็ยังคิดถึงเรื่องนั้น ทั้งๆที่มันจบไปแล้วตั้ง ๓ ปี คุณยังเอามาคิดจนร้อนรุ่มเหมือนว่ามันกำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ถามว่าวิตกมีจริงไหม ย่อมมีจริง แต่สิ่งที้คิดนั้นไม่มีอยู่จริงในปัจจุบัน วิตกความตรึก สิ่งที่มันตรึกไม่มีอยู่จริงในปัจจุบัน มโนภาพ มโนกรรม เจตนา มีจริง แต่สิ่งที่หวนระลึกถึงไม่มีอยู่จริงในปัจจุบัน นี่เป็นสมมติไหมเล่า แล้ว มโนภาพ สอ่งมี้ตรึก ที่ใจรู้นั้นเป็นธัมมารมณ์ หรือ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟกันเล่า

ความสุขกามคุณ ๕ มันเกิดขึ้นที่ใจโดยตรงหรือไม่ หรือสุขที่เกิดจากเม็ดสีที่เรียงกันเป็นสีสันฐานต่างๆ ที่รู้ทางตา มีความจำได้หมายรู้ว่าเป็นรูปที่เจริญใจ ก็สุข สุขนั้นมันเกิดที่ใจโดยตรงหรือสังขารซ้ำจากเม็ดสีจนรู้ตัวตนเป็นสอ้งที่เจริยใจ จึงสุขที่เห็น

เสพย์เมถุนจริงๆแล้วเวลาที่องคชาติมันรูดเข้าออกช่องคลอด เสียวที่องค์ชาติ ก็ติดใจเสียวเพราะเสัยบเข้าช่องคลอด ก็ติดใจ หลง
..ซึ่งจริงๆแล้วอาการที่มันรับรู้ได้ทางกายหรืององคชาติมันมีแค่อาการที่อ่อน นุ่ม แข็ง เสียดสี เคลื่อนไหวสัมผัส อุ่นๆ เอิบอาบเกาะกุม ไม่มีเกินนี้
..ก็แล้วที่ว่าเสียว มันเสียโดยตรง สุขที่ใจโดยตรง หรือเพราะสมมติว่าสุขจากสัมผัสมี่อ่อนแข็งเสียดสี ไหวเคลื่อน อบอุ่น เอิบอาบ ที่เจริญใจนั้นเล่ามันสุขทั่เนื่องด้วยกายเกิดที่กาย หรือเกิดที่ใจ ก็ถ้าสุขที่ใจโดยตรงแล้วเราไม่ต้องไปทำไรๆกับองคชาติไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์ ใัจก็สุขแล้วสิ สิ่งที่ใจรู้ว่าสุขนี้มันเป็นของจริงหรือของสมมติกันเล่า เป็นสุขที่เนื่องด้วยกายหรือเนื่องด้วยใจเล่า มันสุขได้ด้วยตัวมันเองกรืออาศัยสิ่งอิ่นมาทำให้มันสุขกันเล่า เป็นสุขที่อิงอามิส หรือไม่อิงอามิสเล่า แล้วความรู้สึกสุขนี้เป็นธัมมารมณ์ หรือเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นสิ่งที่ใจรู้สืบต่อสมมติทางกายหรือเกิดขึ้นที่ใจโดยตรง หากเป็นธัมมารมณ์ ดังนั้นธัมมารมณ์นี้เป็นสมมติหรือไม่เล่า


คุณนำศัพท์ทางธรรม มามโนด้นเดาเอาตามความคิดของตนเองทั้งเพเบย :b1: นี่แหละเขาเรียกธรรมปฏิรูป :b13:

ให้ดูหลักของเขานิดหนึ่ง

- รูปารมณ์

-สัททารมณ์

-คันธารมณ์

- รสารมณ์

- โผฏฐัพพารมณ์

- ธัมมารมณ์

มันไม่เป็นสมมติอย่างที่จับไปใส่ให้มันหรอก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 14:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สมมติ การรู้ร่วมกัน, การตกลงกัน, การมีมติร่วมกัน หรือยอมรับร่วมกัน

สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ คือ โดยความตกลงหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ เช่น นาย ก. นาย ข. ช้าง ม้า มด โต๊ะ หนังสือ พ่อ แม่ ลูก เพื่อน ลานธรรมจักร ลานธรรมเสวนา พันทิพ พลังจิต เป็นต้น ซึ่งเมื่อกล่าวตามสภาวะ หรือโดยปรมัตถ์แล้วก็เป็นเพียงสังขาร หรือนามรูป หรือขันธ์ ๕ เท่านั้น

บัญญัติ การตั้งขึ้น, ข้อที่ตั้งขึ้น, การกำหนดเรียก, การเรียกชื่อ, การวางเป็นกฎไว้, ข้อบังคับ


:b1:

รู้จักสมมติแล้วใช้ให้เป็น ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็ใช้สมมติกันอยู่ แต่มากคนไม่รู้จักสมมติ


ความหมายของคำว่าสมมุติ ของคุณกบนอกกะลา
น่าจะหมายถึงการปรุงแต่งเวทนาของสัญญาสังขาร
อันนี้ผมเคยเห็น



สาธุคครับท่านเจ ถูกแล้วดีแล้วครับท่าน :b8: :b8:


นั่นเอาคำศัพท์และความหมายไปคิดเอาเอง :b1: สมมติ (สํ+มติ เป็นบาลี) ความเห็นร่วมกัน,ข้อที่ตกลงร่วมกัน ตัวอย่างง่ายๆ ทางม้าลาย สังคมสมมติ คือ ตกลงร่วมกันว่า ใช้เป็นทางสำหรับคนเดินข้าม นี่แหละข้อตกลง นี่แหละสมมติ

ไฟเขียวไฟแดงก็ทำนองเดียวกัน ไฟแดง ตกลงกันว่าหยุด ไฟเขียวไปได้ นี่แหละสมมติ ไม่ใช่ปรมัตถ์ ถ้าว่าโดยปรมัตถ์ไฟเขียวไฟเหลืองไฟแดงไม่มี มีแต่รูป, รูปธรรม มันเป็นรูปธรรม


คืออย่างนี้ครับ เรากำลังสนทนาในเรื่องเกี่ยวกับจิตรู้สมมุติ
เราเข้าใจกันว่าที่กล่าวว่าจิตรู้สมมุติ สมมุติที่ว่านั้นหมายถึงอะไร
ผมเห็นคุณ กรัชกาย ร่วมสนทนาด้วยในเรื่องเกี่ยวกับคำว่า สมมุติ
ผมจึงอธิบายความหมายของคำว่าสมมุติที่เราเข้าใจกัน ให้คุณกรัชกายเข้าใจด้วย
จะได้สนทนากันเข้าใจ ประมาณนี้ครับ

ส่วนคำว่าสมมุติก็มีความหมายตามที่คุณกรัชกายกล่าวนั้นแหละ



คือ สมมติของ ผม ท่านเจ ท่านอ๊บ คืออันเดียวกันซึ่งเป็น ธัมมารมณ์

ส่วนที่ท่านกรัซกายยกมาคือ สมมติสัจจ์ที่เป็นการบัญญัติ คือคำนาม Noun ที่ใช้เรียกของลักษณะอาการความรู้สึก การกระทำต่างๆ ที่เป็นกริยา Verb รวามไปถึงคุณศัพทฺ หรือคุณสมยัติของสิ่งนั้นๆ Adjective


อ้างคำพูด:
คือ สมมติของ ผม ท่านเจ ท่านอ๊บ คืออันเดียวกันซึ่งเป็น ธัมมารมณ์


คุณทั้งสาม นำศัพท์และความหมาย (สมมติ) ของเขาไปตีความเอาเอง

ธรรมารมณ์ อารมณ์คือธรรม, สิ่งที่ถูกรับรู้ทางใจ, สิ่งที่รู้ด้วยใจ, สิ่งที่ใจรู้สึกนึกคิด




อะไรเป็นตัวรู้ครับ สมมติคืออะไรรู้ จริงคืออะไรรู้ ครับ
:b1: :b1: :b1:

ผม ขน เล็บ ฟันหนังหรอครับเป็นตัวรู้สิ่งที่จำ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังหรอครับเป็นตัวรู้คิด ผม ขน เล็บ ฟัน หนังหรอครับที่รู้สึกเสวยอารมณ์
ผมหรอครับที่รู้ธัมมารมณ์ :b1: :b1: มันก็เปธรรมชาตอคนไม้เคยเห็นจริงจะอัตตาสมมติสัจจ์ครับ


ธรรมารมณ์ เป็นสมมติอะไรของคุณขอรับ


สิ่งใดที่ใจรู้โดยความไม่จริงทางใจ คือสมมติทั้งหมด เช่น ความคิด เมื่อ ๓ ปีก่อนมีคนทำให้คุณโกรธเแค้นใจมากจนผูกแค้นผูกพยาบาท จนถึงวันนี้คุณก็ยังคิดถึงเรื่องนั้น ทั้งๆที่มันจบไปแล้วตั้ง ๓ ปี คุณยังเอามาคิดจนร้อนรุ่มเหมือนว่ามันกำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ถามว่าวิตกมีจริงไหม ย่อมมีจริง แต่สิ่งที้คิดนั้นไม่มีอยู่จริงในปัจจุบัน วิตกความตรึก สิ่งที่มันตรึกไม่มีอยู่จริงในปัจจุบัน มโนภาพ มโนกรรม เจตนา มีจริง แต่สิ่งที่หวนระลึกถึงไม่มีอยู่จริงในปัจจุบัน นี่เป็นสมมติไหมเล่า แล้ว มโนภาพ สอ่งมี้ตรึก ที่ใจรู้นั้นเป็นธัมมารมณ์ หรือ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟกันเล่า

ความสุขกามคุณ ๕ มันเกิดขึ้นที่ใจโดยตรงหรือไม่ หรือสุขที่เกิดจากเม็ดสีที่เรียงกันเป็นสีสันฐานต่างๆ ที่รู้ทางตา มีความจำได้หมายรู้ว่าเป็นรูปที่เจริญใจ ก็สุข สุขนั้นมันเกิดที่ใจโดยตรงหรือสังขารซ้ำจากเม็ดสีจนรู้ตัวตนเป็นสอ้งที่เจริยใจ จึงสุขที่เห็น

เสพย์เมถุนจริงๆแล้วเวลาที่องคชาติมันรูดเข้าออกช่องคลอด เสียวที่องค์ชาติ ก็ติดใจเสียวเพราะเสัยบเข้าช่องคลอด ก็ติดใจ หลง
..ซึ่งจริงๆแล้วอาการที่มันรับรู้ได้ทางกายหรืององคชาติมันมีแค่อาการที่อ่อน นุ่ม แข็ง เสียดสี เคลื่อนไหวสัมผัส อุ่นๆ เอิบอาบเกาะกุม ไม่มีเกินนี้
..ก็แล้วที่ว่าเสียว มันเสียโดยตรง สุขที่ใจโดยตรง หรือเพราะสมมติว่าสุขจากสัมผัสมี่อ่อนแข็งเสียดสี ไหวเคลื่อน อบอุ่น เอิบอาบ ที่เจริญใจนั้นเล่ามันสุขทั่เนื่องด้วยกายเกิดที่กาย หรือเกิดที่ใจ ก็ถ้าสุขที่ใจโดยตรงแล้วเราไม่ต้องไปทำไรๆกับองคชาติไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์ ใัจก็สุขแล้วสิ สิ่งที่ใจรู้ว่าสุขนี้มันเป็นของจริงหรือของสมมติกันเล่า เป็นสุขที่เนื่องด้วยกายหรือเนื่องด้วยใจเล่า มันสุขได้ด้วยตัวมันเองกรืออาศัยสิ่งอิ่นมาทำให้มันสุขกันเล่า เป็นสุขที่อิงอามิส หรือไม่อิงอามิสเล่า แล้วความรู้สึกสุขนี้เป็นธัมมารมณ์ หรือเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นสิ่งที่ใจรู้สืบต่อสมมติทางกายหรือเกิดขึ้นที่ใจโดยตรง หากเป็นธัมมารมณ์ ดังนั้นธัมมารมณ์นี้เป็นสมมติหรือไม่เล่า


คุณนำศัพท์ทางธรรม มามโนด้นเดาเอาตามความคิดของตนเองทั้งเพเบย :b1: นี่แหละเขาเรียกธรรมปฏิรูป :b13:

ให้ดูหลักของเขานิดหนึ่ง

- รูปารมณ์

-สัททารมณ์

-คันธารมณ์

- รสารมณ์

- โผฏฐัพพารมณ์

- ธัมมารมณ์

มันไม่เป็นสมมติอย่างที่จับไปใส่ให้มันหรอก



ครับตามแต่ปัญญาสะสมมาของแต่ละคนจะเข้าเห็นได้ ลองดูว่าธรรมมารมณ์มีอะไรบ้าง ไม่ได้บอกว่าเป็นของสมมติทั้งหมด มันมีทั้งจริงและไม่จริงตามที่อธิบาย..สิ่งใดจริงก็บอก สิ่งใดสมมติก็บอกไว้แล้วครับ แล้วอธิบายเรื่องกามคุณ ๕ ก็แยกไว้ชัดเจนในผัสายตนะแล้ว ตั้งแต่โผฐัพพายตนะ มาจนถึงมนายตนะ เวทนาทางกายที่ส่งมาให้ใจรู้ อุปาทาน อยู่ที่..ปัญญา คือ..ความรู้ความเข้าใจของแต่ละคนต่างกัน และการเห็นจริงกับคิดตามเอามันคนละอย่างกันครับ

ลองไปหาดูนะครับ ธัมมารมณ์มีอะไรบ้าง เห็นได้มากน้อยก็ไม่ผิด แต่ไม่เห็นไม่รู้จริงแล้วอัตตานี่ผิด หรือเห็นแค่นิดหน่อยแต่อัตตาหลงก็ผิด ..และผมอาจจะผิดก็ได้

.. เรื่องสมมติสัจจ์ผมก็เรียนรู้จึงไม่ว่ากระไรและไม่ขัดท่าน มันถูกตามตำราสมมติสัจจ์ ที่เป็นคำอธิบายถึงบัญญัติ กับความรู้สึกจริง ที่สัตว์โลกมี แต่บัญญัติขึ้นมาเพื่อใช้เรียกใช้กล่าวเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันต่างๆกันไปตามแต่ละชุมชน พื้นที่ ประเทศ

.. ส่วนเรื่องที่คุยกันระหว่างผม ท่านเจ ท่านกบ คือการเห็นจากการปฏิบัติ การเห็นรู้ได้จากการปฏิบัติตามจริง

.. ตรงนี้คือจุดต่างระหว่างคนทำกับคนเรียนปริยัติแต่ยังไม่ปฏิบัติทำให้เห็นจริงครับ

.. สมมติ มีความหมายคือ สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงในขณะนั้นๆ สิ้งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นเลย ความคาดคะเน จินตนาการ รวมไปถึง การตั้ง การกำหนดให้เกิดมีขึ้นโดยที่เรื่องนั้นยังไม่เกิดขึ้น หรือไม่มีอยู่ในขณะนั้นๆ หรือไม่ใช่ความจริง เพื่อจำลองเหตุการณ์ สถานะ สภาวะให้เข้าใจตรงกันบ้าง เพื่อสืบต่อเรื่องราวเสมือนจริงบ้าง

ขออนุโมทนาครับท่านกรัซกาย

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสต์ เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 15:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สมมติ การรู้ร่วมกัน, การตกลงกัน, การมีมติร่วมกัน หรือยอมรับร่วมกัน

สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ คือ โดยความตกลงหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ เช่น นาย ก. นาย ข. ช้าง ม้า มด โต๊ะ หนังสือ พ่อ แม่ ลูก เพื่อน ลานธรรมจักร ลานธรรมเสวนา พันทิพ พลังจิต เป็นต้น ซึ่งเมื่อกล่าวตามสภาวะ หรือโดยปรมัตถ์แล้วก็เป็นเพียงสังขาร หรือนามรูป หรือขันธ์ ๕ เท่านั้น

บัญญัติ การตั้งขึ้น, ข้อที่ตั้งขึ้น, การกำหนดเรียก, การเรียกชื่อ, การวางเป็นกฎไว้, ข้อบังคับ


:b1:

รู้จักสมมติแล้วใช้ให้เป็น ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็ใช้สมมติกันอยู่ แต่มากคนไม่รู้จักสมมติ


ความหมายของคำว่าสมมุติ ของคุณกบนอกกะลา
น่าจะหมายถึงการปรุงแต่งเวทนาของสัญญาสังขาร
อันนี้ผมเคยเห็น



สาธุคครับท่านเจ ถูกแล้วดีแล้วครับท่าน :b8: :b8:


นั่นเอาคำศัพท์และความหมายไปคิดเอาเอง :b1: สมมติ (สํ+มติ เป็นบาลี) ความเห็นร่วมกัน,ข้อที่ตกลงร่วมกัน ตัวอย่างง่ายๆ ทางม้าลาย สังคมสมมติ คือ ตกลงร่วมกันว่า ใช้เป็นทางสำหรับคนเดินข้าม นี่แหละข้อตกลง นี่แหละสมมติ

ไฟเขียวไฟแดงก็ทำนองเดียวกัน ไฟแดง ตกลงกันว่าหยุด ไฟเขียวไปได้ นี่แหละสมมติ ไม่ใช่ปรมัตถ์ ถ้าว่าโดยปรมัตถ์ไฟเขียวไฟเหลืองไฟแดงไม่มี มีแต่รูป, รูปธรรม มันเป็นรูปธรรม


คืออย่างนี้ครับ เรากำลังสนทนาในเรื่องเกี่ยวกับจิตรู้สมมุติ
เราเข้าใจกันว่าที่กล่าวว่าจิตรู้สมมุติ สมมุติที่ว่านั้นหมายถึงอะไร
ผมเห็นคุณ กรัชกาย ร่วมสนทนาด้วยในเรื่องเกี่ยวกับคำว่า สมมุติ
ผมจึงอธิบายความหมายของคำว่าสมมุติที่เราเข้าใจกัน ให้คุณกรัชกายเข้าใจด้วย
จะได้สนทนากันเข้าใจ ประมาณนี้ครับ

ส่วนคำว่าสมมุติก็มีความหมายตามที่คุณกรัชกายกล่าวนั้นแหละ



คือ สมมติของ ผม ท่านเจ ท่านอ๊บ คืออันเดียวกันซึ่งเป็น ธัมมารมณ์

ส่วนที่ท่านกรัซกายยกมาคือ สมมติสัจจ์ที่เป็นการบัญญัติ คือคำนาม Noun ที่ใช้เรียกของลักษณะอาการความรู้สึก การกระทำต่างๆ ที่เป็นกริยา Verb รวามไปถึงคุณศัพทฺ หรือคุณสมยัติของสิ่งนั้นๆ Adjective


อ้างคำพูด:
คือ สมมติของ ผม ท่านเจ ท่านอ๊บ คืออันเดียวกันซึ่งเป็น ธัมมารมณ์


คุณทั้งสาม นำศัพท์และความหมาย (สมมติ) ของเขาไปตีความเอาเอง

ธรรมารมณ์ อารมณ์คือธรรม, สิ่งที่ถูกรับรู้ทางใจ, สิ่งที่รู้ด้วยใจ, สิ่งที่ใจรู้สึกนึกคิด




อะไรเป็นตัวรู้ครับ สมมติคืออะไรรู้ จริงคืออะไรรู้ ครับ
:b1: :b1: :b1:

ผม ขน เล็บ ฟันหนังหรอครับเป็นตัวรู้สิ่งที่จำ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังหรอครับเป็นตัวรู้คิด ผม ขน เล็บ ฟัน หนังหรอครับที่รู้สึกเสวยอารมณ์
ผมหรอครับที่รู้ธัมมารมณ์ :b1: :b1: มันก็เปธรรมชาตอคนไม้เคยเห็นจริงจะอัตตาสมมติสัจจ์ครับ


ธรรมารมณ์ เป็นสมมติอะไรของคุณขอรับ


สิ่งใดที่ใจรู้โดยความไม่จริงทางใจ คือสมมติทั้งหมด เช่น ความคิด เมื่อ ๓ ปีก่อนมีคนทำให้คุณโกรธเแค้นใจมากจนผูกแค้นผูกพยาบาท จนถึงวันนี้คุณก็ยังคิดถึงเรื่องนั้น ทั้งๆที่มันจบไปแล้วตั้ง ๓ ปี คุณยังเอามาคิดจนร้อนรุ่มเหมือนว่ามันกำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ถามว่าวิตกมีจริงไหม ย่อมมีจริง แต่สิ่งที้คิดนั้นไม่มีอยู่จริงในปัจจุบัน วิตกความตรึก สิ่งที่มันตรึกไม่มีอยู่จริงในปัจจุบัน มโนภาพ มโนกรรม เจตนา มีจริง แต่สิ่งที่หวนระลึกถึงไม่มีอยู่จริงในปัจจุบัน นี่เป็นสมมติไหมเล่า แล้ว มโนภาพ สอ่งมี้ตรึก ที่ใจรู้นั้นเป็นธัมมารมณ์ หรือ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟกันเล่า

ความสุขกามคุณ ๕ มันเกิดขึ้นที่ใจโดยตรงหรือไม่ หรือสุขที่เกิดจากเม็ดสีที่เรียงกันเป็นสีสันฐานต่างๆ ที่รู้ทางตา มีความจำได้หมายรู้ว่าเป็นรูปที่เจริญใจ ก็สุข สุขนั้นมันเกิดที่ใจโดยตรงหรือสังขารซ้ำจากเม็ดสีจนรู้ตัวตนเป็นสอ้งที่เจริยใจ จึงสุขที่เห็น

เสพย์เมถุนจริงๆแล้วเวลาที่องคชาติมันรูดเข้าออกช่องคลอด เสียวที่องค์ชาติ ก็ติดใจเสียวเพราะเสัยบเข้าช่องคลอด ก็ติดใจ หลง
..ซึ่งจริงๆแล้วอาการที่มันรับรู้ได้ทางกายหรืององคชาติมันมีแค่อาการที่อ่อน นุ่ม แข็ง เสียดสี เคลื่อนไหวสัมผัส อุ่นๆ เอิบอาบเกาะกุม ไม่มีเกินนี้
..ก็แล้วที่ว่าเสียว มันเสียโดยตรง สุขที่ใจโดยตรง หรือเพราะสมมติว่าสุขจากสัมผัสมี่อ่อนแข็งเสียดสี ไหวเคลื่อน อบอุ่น เอิบอาบ ที่เจริญใจนั้นเล่ามันสุขทั่เนื่องด้วยกายเกิดที่กาย หรือเกิดที่ใจ ก็ถ้าสุขที่ใจโดยตรงแล้วเราไม่ต้องไปทำไรๆกับองคชาติไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์ ใัจก็สุขแล้วสิ สิ่งที่ใจรู้ว่าสุขนี้มันเป็นของจริงหรือของสมมติกันเล่า เป็นสุขที่เนื่องด้วยกายหรือเนื่องด้วยใจเล่า มันสุขได้ด้วยตัวมันเองกรืออาศัยสิ่งอิ่นมาทำให้มันสุขกันเล่า เป็นสุขที่อิงอามิส หรือไม่อิงอามิสเล่า แล้วความรู้สึกสุขนี้เป็นธัมมารมณ์ หรือเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นสิ่งที่ใจรู้สืบต่อสมมติทางกายหรือเกิดขึ้นที่ใจโดยตรง หากเป็นธัมมารมณ์ ดังนั้นธัมมารมณ์นี้เป็นสมมติหรือไม่เล่า


คุณนำศัพท์ทางธรรม มามโนด้นเดาเอาตามความคิดของตนเองทั้งเพเบย :b1: นี่แหละเขาเรียกธรรมปฏิรูป :b13:

ให้ดูหลักของเขานิดหนึ่ง

- รูปารมณ์

-สัททารมณ์

-คันธารมณ์

- รสารมณ์

- โผฏฐัพพารมณ์

- ธัมมารมณ์

มันไม่เป็นสมมติอย่างที่จับไปใส่ให้มันหรอก



ครับตามแต่ปัญญาสะสมมาของแต่ละคนจะเข้าเห็นได้ ลองดูว่าธรรมมารมณ์มีอะไรบ้าง ไม่ได้บอกว่าเป็นของสมมติทั้งหมด มันมีทั้งจริงและไม่จริงตามที่อธิบาย..สิ่งใดจริงก็บอก สิ่งใดสมมติก็บอกไว้แล้วครับ แล้วอธิบายเรื่องกามคุณ ๕ ก็แยกไว้ชัดเจนในผัสายตนะแล้ว ตั้งแต่โผฐัพพายตนะ มาจนถึงมนายตนะ เวทนาทางกายที่ส่งมาให้ใจรู้ อุปาทาน อยู่ที่..ปัญญา คือ..ความรู้ความเข้าใจของแต่ละคนต่างกัน และการเห็นจริงกับคิดตามเอามันคนละอย่างกันครับ

ลองไปหาดูนะครับ ธัมมารมณ์มีอะไรบ้าง เห็นได้มากน้อยก็ไม่ผิด แต่ไม่เห็นไม่รู้จริงแล้วอัตตานี่ผิด หรือเห็นแค่นิดหน่อยแต่อัตตาหลงก็ผิด ..และผมอาจจะผิดก็ได้

.. เรื่องสมมติสัจจ์ผมก็เรียนรู้จึงไม่ว่ากระไรและไม่ขัดท่าน มันถูกตามตำราสมมติสัจจ์ ที่เป็นคำอธิบายถึงบัญญัติ กับความรู้สึกจริง ที่สัตว์โลกมี แต่บัญญัติขึ้นมาเพื่อใช้เรียกใช้กล่าวเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันต่างๆกันไปตามแต่ละชุมชน พื้นที่ ประเทศ

.. ส่วนเรื่องที่คุยกันระหว่างผม ท่านเจ ท่านกบ คือการเห็นจากการปฏิบัติ การเห็นรู้ได้จากการปฏิบัติตามจริง

.. ตรงนี้คือจุดต่างระหว่างคนทำกับคนเรียนปริยัติแต่ยังไม่ปฏิบัติทำให้เห็นจริงครับ

.. สมมติ มีความหมายคือ สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงในขณะนั้นๆ สิ้งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นเลย ความคาดคะเน จินตนาการ รวมไปถึง การตั้ง การกำหนดให้เกิดมีขึ้นโดยที่เรื่องนั้นยังไม่เกิดขึ้น หรือไม่มีอยู่ในขณะนั้นๆ หรือไม่ใช่ความจริง เพื่อจำลองเหตุการณ์ สถานะ สภาวะให้เข้าใจตรงกันบ้าง เพื่อสืบต่อเรื่องราวเสมือนจริงบ้าง

ขออนุโมทนาครับท่านกรัซกาย



อ้างคำพูด:
สมมติ มีความหมายคือ สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงในขณะนั้นๆ


นี่แหละครับที่บอกว่า เอาศัพท์ของเขามา "สมมติ" แล้วมาพูดมาอธิบายเอาเองว่านั่นๆนี่ๆดังว่านั้นแหละ นี่แหละธรรมปฏิรูป

คำว่า "คน" เป็นสมมติไหม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 21:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2218

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สมมติ การรู้ร่วมกัน, การตกลงกัน, การมีมติร่วมกัน หรือยอมรับร่วมกัน

สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ คือ โดยความตกลงหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ เช่น นาย ก. นาย ข. ช้าง ม้า มด โต๊ะ หนังสือ พ่อ แม่ ลูก เพื่อน ลานธรรมจักร ลานธรรมเสวนา พันทิพ พลังจิต เป็นต้น ซึ่งเมื่อกล่าวตามสภาวะ หรือโดยปรมัตถ์แล้วก็เป็นเพียงสังขาร หรือนามรูป หรือขันธ์ ๕ เท่านั้น

บัญญัติ การตั้งขึ้น, ข้อที่ตั้งขึ้น, การกำหนดเรียก, การเรียกชื่อ, การวางเป็นกฎไว้, ข้อบังคับ


:b1:

รู้จักสมมติแล้วใช้ให้เป็น ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็ใช้สมมติกันอยู่ แต่มากคนไม่รู้จักสมมติ


ความหมายของคำว่าสมมุติ ของคุณกบนอกกะลา
น่าจะหมายถึงการปรุงแต่งเวทนาของสัญญาสังขาร
อันนี้ผมเคยเห็น



สาธุคครับท่านเจ ถูกแล้วดีแล้วครับท่าน :b8: :b8:


นั่นเอาคำศัพท์และความหมายไปคิดเอาเอง :b1: สมมติ (สํ+มติ เป็นบาลี) ความเห็นร่วมกัน,ข้อที่ตกลงร่วมกัน ตัวอย่างง่ายๆ ทางม้าลาย สังคมสมมติ คือ ตกลงร่วมกันว่า ใช้เป็นทางสำหรับคนเดินข้าม นี่แหละข้อตกลง นี่แหละสมมติ

ไฟเขียวไฟแดงก็ทำนองเดียวกัน ไฟแดง ตกลงกันว่าหยุด ไฟเขียวไปได้ นี่แหละสมมติ ไม่ใช่ปรมัตถ์ ถ้าว่าโดยปรมัตถ์ไฟเขียวไฟเหลืองไฟแดงไม่มี มีแต่รูป, รูปธรรม มันเป็นรูปธรรม


คืออย่างนี้ครับ เรากำลังสนทนาในเรื่องเกี่ยวกับจิตรู้สมมุติ
เราเข้าใจกันว่าที่กล่าวว่าจิตรู้สมมุติ สมมุติที่ว่านั้นหมายถึงอะไร
ผมเห็นคุณ กรัชกาย ร่วมสนทนาด้วยในเรื่องเกี่ยวกับคำว่า สมมุติ
ผมจึงอธิบายความหมายของคำว่าสมมุติที่เราเข้าใจกัน ให้คุณกรัชกายเข้าใจด้วย
จะได้สนทนากันเข้าใจ ประมาณนี้ครับ

ส่วนคำว่าสมมุติก็มีความหมายตามที่คุณกรัชกายกล่าวนั้นแหละ



คือ สมมติของ ผม ท่านเจ ท่านอ๊บ คืออันเดียวกันซึ่งเป็น ธัมมารมณ์

ส่วนที่ท่านกรัซกายยกมาคือ สมมติสัจจ์ที่เป็นการบัญญัติ คือคำนาม Noun ที่ใช้เรียกของลักษณะอาการความรู้สึก การกระทำต่างๆ ที่เป็นกริยา Verb รวามไปถึงคุณศัพทฺ หรือคุณสมยัติของสิ่งนั้นๆ Adjective


อ้างคำพูด:
คือ สมมติของ ผม ท่านเจ ท่านอ๊บ คืออันเดียวกันซึ่งเป็น ธัมมารมณ์


คุณทั้งสาม นำศัพท์และความหมาย (สมมติ) ของเขาไปตีความเอาเอง

ธรรมารมณ์ อารมณ์คือธรรม, สิ่งที่ถูกรับรู้ทางใจ, สิ่งที่รู้ด้วยใจ, สิ่งที่ใจรู้สึกนึกคิด




อะไรเป็นตัวรู้ครับ สมมติคืออะไรรู้ จริงคืออะไรรู้ ครับ
:b1: :b1: :b1:

ผม ขน เล็บ ฟันหนังหรอครับเป็นตัวรู้สิ่งที่จำ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังหรอครับเป็นตัวรู้คิด ผม ขน เล็บ ฟัน หนังหรอครับที่รู้สึกเสวยอารมณ์
ผมหรอครับที่รู้ธัมมารมณ์ :b1: :b1: มันก็เปธรรมชาตอคนไม้เคยเห็นจริงจะอัตตาสมมติสัจจ์ครับ


ธรรมารมณ์ เป็นสมมติอะไรของคุณขอรับ


สิ่งใดที่ใจรู้โดยความไม่จริงทางใจ คือสมมติทั้งหมด เช่น ความคิด เมื่อ ๓ ปีก่อนมีคนทำให้คุณโกรธเแค้นใจมากจนผูกแค้นผูกพยาบาท จนถึงวันนี้คุณก็ยังคิดถึงเรื่องนั้น ทั้งๆที่มันจบไปแล้วตั้ง ๓ ปี คุณยังเอามาคิดจนร้อนรุ่มเหมือนว่ามันกำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ถามว่าวิตกมีจริงไหม ย่อมมีจริง แต่สิ่งที้คิดนั้นไม่มีอยู่จริงในปัจจุบัน วิตกความตรึก สิ่งที่มันตรึกไม่มีอยู่จริงในปัจจุบัน มโนภาพ มโนกรรม เจตนา มีจริง แต่สิ่งที่หวนระลึกถึงไม่มีอยู่จริงในปัจจุบัน นี่เป็นสมมติไหมเล่า แล้ว มโนภาพ สอ่งมี้ตรึก ที่ใจรู้นั้นเป็นธัมมารมณ์ หรือ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟกันเล่า

ความสุขกามคุณ ๕ มันเกิดขึ้นที่ใจโดยตรงหรือไม่ หรือสุขที่เกิดจากเม็ดสีที่เรียงกันเป็นสีสันฐานต่างๆ ที่รู้ทางตา มีความจำได้หมายรู้ว่าเป็นรูปที่เจริญใจ ก็สุข สุขนั้นมันเกิดที่ใจโดยตรงหรือสังขารซ้ำจากเม็ดสีจนรู้ตัวตนเป็นสอ้งที่เจริยใจ จึงสุขที่เห็น

เสพย์เมถุนจริงๆแล้วเวลาที่องคชาติมันรูดเข้าออกช่องคลอด เสียวที่องค์ชาติ ก็ติดใจเสียวเพราะเสัยบเข้าช่องคลอด ก็ติดใจ หลง
..ซึ่งจริงๆแล้วอาการที่มันรับรู้ได้ทางกายหรืององคชาติมันมีแค่อาการที่อ่อน นุ่ม แข็ง เสียดสี เคลื่อนไหวสัมผัส อุ่นๆ เอิบอาบเกาะกุม ไม่มีเกินนี้
..ก็แล้วที่ว่าเสียว มันเสียโดยตรง สุขที่ใจโดยตรง หรือเพราะสมมติว่าสุขจากสัมผัสมี่อ่อนแข็งเสียดสี ไหวเคลื่อน อบอุ่น เอิบอาบ ที่เจริญใจนั้นเล่ามันสุขทั่เนื่องด้วยกายเกิดที่กาย หรือเกิดที่ใจ ก็ถ้าสุขที่ใจโดยตรงแล้วเราไม่ต้องไปทำไรๆกับองคชาติไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์ ใัจก็สุขแล้วสิ สิ่งที่ใจรู้ว่าสุขนี้มันเป็นของจริงหรือของสมมติกันเล่า เป็นสุขที่เนื่องด้วยกายหรือเนื่องด้วยใจเล่า มันสุขได้ด้วยตัวมันเองกรืออาศัยสิ่งอิ่นมาทำให้มันสุขกันเล่า เป็นสุขที่อิงอามิส หรือไม่อิงอามิสเล่า แล้วความรู้สึกสุขนี้เป็นธัมมารมณ์ หรือเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นสิ่งที่ใจรู้สืบต่อสมมติทางกายหรือเกิดขึ้นที่ใจโดยตรง หากเป็นธัมมารมณ์ ดังนั้นธัมมารมณ์นี้เป็นสมมติหรือไม่เล่า


คุณนำศัพท์ทางธรรม มามโนด้นเดาเอาตามความคิดของตนเองทั้งเพเบย :b1: นี่แหละเขาเรียกธรรมปฏิรูป :b13:

ให้ดูหลักของเขานิดหนึ่ง

- รูปารมณ์

-สัททารมณ์

-คันธารมณ์

- รสารมณ์

- โผฏฐัพพารมณ์

- ธัมมารมณ์

มันไม่เป็นสมมติอย่างที่จับไปใส่ให้มันหรอก



ครับตามแต่ปัญญาสะสมมาของแต่ละคนจะเข้าเห็นได้ ลองดูว่าธรรมมารมณ์มีอะไรบ้าง ไม่ได้บอกว่าเป็นของสมมติทั้งหมด มันมีทั้งจริงและไม่จริงตามที่อธิบาย..สิ่งใดจริงก็บอก สิ่งใดสมมติก็บอกไว้แล้วครับ แล้วอธิบายเรื่องกามคุณ ๕ ก็แยกไว้ชัดเจนในผัสายตนะแล้ว ตั้งแต่โผฐัพพายตนะ มาจนถึงมนายตนะ เวทนาทางกายที่ส่งมาให้ใจรู้ อุปาทาน อยู่ที่..ปัญญา คือ..ความรู้ความเข้าใจของแต่ละคนต่างกัน และการเห็นจริงกับคิดตามเอามันคนละอย่างกันครับ

ลองไปหาดูนะครับ ธัมมารมณ์มีอะไรบ้าง เห็นได้มากน้อยก็ไม่ผิด แต่ไม่เห็นไม่รู้จริงแล้วอัตตานี่ผิด หรือเห็นแค่นิดหน่อยแต่อัตตาหลงก็ผิด ..และผมอาจจะผิดก็ได้

.. เรื่องสมมติสัจจ์ผมก็เรียนรู้จึงไม่ว่ากระไรและไม่ขัดท่าน มันถูกตามตำราสมมติสัจจ์ ที่เป็นคำอธิบายถึงบัญญัติ กับความรู้สึกจริง ที่สัตว์โลกมี แต่บัญญัติขึ้นมาเพื่อใช้เรียกใช้กล่าวเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันต่างๆกันไปตามแต่ละชุมชน พื้นที่ ประเทศ

.. ส่วนเรื่องที่คุยกันระหว่างผม ท่านเจ ท่านกบ คือการเห็นจากการปฏิบัติ การเห็นรู้ได้จากการปฏิบัติตามจริง

.. ตรงนี้คือจุดต่างระหว่างคนทำกับคนเรียนปริยัติแต่ยังไม่ปฏิบัติทำให้เห็นจริงครับ

.. สมมติ มีความหมายคือ สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงในขณะนั้นๆ สิ้งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นเลย ความคาดคะเน จินตนาการ รวมไปถึง การตั้ง การกำหนดให้เกิดมีขึ้นโดยที่เรื่องนั้นยังไม่เกิดขึ้น หรือไม่มีอยู่ในขณะนั้นๆ หรือไม่ใช่ความจริง เพื่อจำลองเหตุการณ์ สถานะ สภาวะให้เข้าใจตรงกันบ้าง เพื่อสืบต่อเรื่องราวเสมือนจริงบ้าง

ขออนุโมทนาครับท่านกรัซกาย



อ้างคำพูด:
สมมติ มีความหมายคือ สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงในขณะนั้นๆ


นี่แหละครับที่บอกว่า เอาศัพท์ของเขามา "สมมติ" แล้วมาพูดมาอธิบายเอาเองว่านั่นๆนี่ๆดังว่านั้นแหละ นี่แหละธรรมปฏิรูป

คำว่า "คน" เป็นสมมติไหม


คริคริ
นี่และจุดต่างของคนปฎิบัติส่งเดช คิดเอง เออเอง

ปฎิบัติส่งเดช ไม่มีปริยัติรับรอง

สมมุติบัญญัติ สมมุติสัจจะ ตามที่พระพุทธองค์แสดง เรยไม่เข้าใจ

ดันเข้าใจเป็นเรื่อง " ตี๊ต่าง " แทน ว่าสมมุติไม่มีจริงขนะนั้น
แบบนั้นพวก เด็กๆเค้าสมมุติกัน เค้าเรียกกันว่าตี๊ต่าง หรือสมมุติ น่ะ 5555
มันคนละเรื่องกะที่พระพุทธองค์แสดงเรย

เด็กๆสะบัดฝุ่นไว้ แล้ว คิดว่า การสะบัดฝุ่นฝุ้งอยู่นี่ นั้นคือการแสดงปฎิบัติที่เห็นสมมุติจริง


เหนื่อยหน่อยนะคะลุงกรัชกาย ที่ต้องคอยปัดฝุ่น
แวะมาให้กำลังใจค่ะ


โพสต์ เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 22:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2218

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)

ยกสโลแกน ของคนที่โอ้อวดผ้าจีวรสีสวยๆให้ลุงกรัชกายดูนะคะ

นั่นมันวิญญาน โด่เด่เรย เป็นจิตเจตสิก

แต่ เอามาแต่งสโลแกนเลียนแบบหลวงปู่ดูลย์

ที่ว่า

" จิตส่งออก เป็นสมุทัย "ไงคะ
ความหมายห่างกันลิบลับ ไปคนละเรื่องเรย


เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนปริยัติ ปฎิบัติส่งเดช คิดเองเออเองไป
เรยแยกไม่ออก ไม่รู้ว่าอะไรคือจิต อะไรคือจิตเจตสิกที่พระอภิธรรมอธิบาย

สมแล้วที่ตั้งชื่อว่า แค่อากาศ

คริคริ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 274 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 19  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร