วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ย. 2025, 15:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 274 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 19  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2019, 06:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
ลองฟัง คห. ผมบ้างนะครับ
จิตรู้สมมุติ เป็นได้ทั้งฝ่ายสมุทัย และ ฝ่ายมรรค

ฝ่ายสมุทัย คือ จิตรู้สมมุติ อโยนิโสมนสิการ ทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความยินดี ยินร้าย เช่นรูปสวย รูปทราบ รสอร่อย รสไม่อร่อย

ฝ่ายมรรค คือ จิตรู้สมมุติ โยนิโสมนสิการ ทำไว้ในโดยแยบคายในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งสติเช่น รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น

จิตไม่รู้ทุกข์ เป็นทุกขสัจ
จิตไม่กำหนดรู้ทุกข์ เป็นสมุทัยสัจ
จิตรู้แจ้งแทงตลอดทุกข์ เป็นนิโรธสัจ
จิตกำหนดรู้ทุกข์ เป็นมรรคสัจ


:b17: :b17: :b17:

เล่นบ้าง....เล่นบ้าง...

จิตหลงสมมุติยึดสมมุติ...เป็นสมุทัย...มีผลเป็นทุกข์
จิตทันสมมุติละสมมุติ..เป็นมรรค..มีผลเป็นนิโรธ

:b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2019, 07:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
ลองฟัง คห. ผมบ้างนะครับ
จิตรู้สมมุติ เป็นได้ทั้งฝ่ายสมุทัย และ ฝ่ายมรรค

ฝ่ายสมุทัย คือ จิตรู้สมมุติ อโยนิโสมนสิการ ทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความยินดี ยินร้าย เช่นรูปสวย รูปทราบ รสอร่อย รสไม่อร่อย

ฝ่ายมรรค คือ จิตรู้สมมุติ โยนิโสมนสิการ ทำไว้ในโดยแยบคายในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งสติเช่น รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น

จิตไม่รู้ทุกข์ เป็นทุกขสัจ
จิตไม่กำหนดรู้ทุกข์ เป็นสมุทัยสัจ
จิตรู้แจ้งแทงตลอดทุกข์ เป็นนิโรธสัจ
จิตกำหนดรู้ทุกข์ เป็นมรรคสัจ


:b17: :b17: :b17:

เล่นบ้าง....เล่นบ้าง...

จิตหลงสมมุติยึดสมมุติ...เป็นสมุทัย...มีผลเป็นทุกข์
จิตทันสมมุติละสมมุติ..เป็นมรรค..มีผลเป็นนิโรธ

:b9: :b9: :b9:

ทบทวนและไตร่ตรองด้วยปัญญานะ
จิตเห็นสีตรงขณะมีแค่สีล้วน1สีดับทันที
เดี๋ยวนี้คุณคิดนึกจำทุกอย่างที่เป็นอดีตสัญญา
ปัญญาขณะใหม่ตรงปัจจุบันขณะคือสติ+ปัญญาเจตสิก
ไม่มีอะไรเกิดต่อเนื่องติดกันยาวๆเพราะจิตเกิดดับสลับกันครบ6ทางเดี๋ยวนี้
คิดนึกจำแต่อดีตปนกันทั้ง6ทางคือเงาของสัจจะเงาน่ะมีตัวคุณไหมสัจจะดับไปนานแล้ว
จำแต่ความคิดนึกตามตัวอักษรเข้าไม่ถึงสัจจะเพราะไม่มีปัญญา/บอกว่าอ่านคือตีความจากสัญญาจำตัวอักษร
:b12:
:b16: :b16:
https://youtu.be/HvCuvu_fRL8


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2019, 14:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
สาธุครับท่านกรัซกาย สิ่งที่ท่านกรัซกายพูดมา ผมขอแจ้งก่อนว่ามันคนละเรื่อง มันคนละอย่างกับที่ผมคุยกับท่านเจน่ะครับ แต่หากท่านเห็นว่าเรื่องสังขารผมมีปัญญาน้อย ถึงน้อย รู้น้อย ก็คงตอบตามที่ตนเคยพบเจอและแก้ไขได้แล้วตามนี้ครับ

เรื่องผู้หญิงที่ท่านยกมา ไม่ว่าจะปิติอาการไรๆ มันไม่ใช่การเห็นจริงในสังขาร มันแค่สภาวะของสมาธิ ..ทางแก้คือ ทำแค่รู้ดูอาการมันไป เมื่อเข้าถึงความวิเวกได้มันจะรวมเป็นองค์เดียวในสมาธิ แล้วรวมจิตไว้ที่ฐานจิต เช่น ท้องน้อย หน้าอก ปลายจมูก
.. คนเราผ่านจุดนี้ไม่ได้เพราะกลัว ดั้งนั้นให้ตั้งจิตมั่นทิ้งกายไปเสีย ภาวนาอบรมจิตเราทำที่ฝจไม่ใช่ทำที่กาย ทิ้งกายไปเสียตั้งมะ้นรวมไว้ที่ใจอย่างเดียว รวมจิตลงเป็นจุดเดียวไม่ได้ให้เปิดกว่าออก ระลึกว่าจิตเดิมแท้มีหน้าที่ทำแค่รู้ไม่ได้มีหน้าที้สั่งยึด แล้วเปิดใจปล่อยแผ่ขยายไปแค่รู้แต่ไม่จับ เอาความรู้เป็นเครื่องยึดสติให้ตั้งมั่น ทำอุบายว่าดจริญแบบนี้นี่เข้าวิญญาณกสินได้เลยนะ
..หรือ ทำอุบายระลึกรู้ว่าสิ่งที่เกิดมันเป็นปรกติของขันธ์ คนมีขันธ์ ๕ มันก็มีเป็นธรรมดา เรื่องปกติ แล้วก็ปล่อยมันไป สิ่งนี้เกิดขึ้นเราไม่ตายนะ แต่ไม่มีลมหายใจนี่ตายเลย รู้ลมดีกว่าปล่อยขันธ์มันไป ตราบที่ยังใีความรู้ทรงสภาพอยู่นั่นคือเรายังไม่ตาย
..หรือ เมื่อรู้ก็ทำแค่รู้ว่ามันเกิดขึ้นแล้วก็ปล่อยมันไปเพราะมันเป็นแค่อาการหนึ่งๆของกายกับจิตที่เกิดมีขึ้นตามเหตุปัจจัย ซึ่งมีอยู่นับล้านแบบเท่านั้นเอง ที่รู้ความเป็นตัวตนว่าเป็นแบบนั้นแบบนี้ มีสิ่งนั้นสิ่งนี้เกิดขึ้นมันสมมติความคิดทั้งนั้น นี่ใจไปรู้สมมติตัวตนให้สมมติกิเลสนิวรชักนำทางสฬายตนะ ละสมมติความคิดไปก็จะเหลือเพียงจิตที่รู้แค่อาการ เมื่อใจนิ่งขึ้นก็จะไม่มีชื่อในอาการ ไม่มีอะไร มีแต่ใจทำแค่รู้ไม่เข้าไปจับจ้องผลักไสใคร่เสพย์ ก็จะผ่านไปได้ด้วยดี
.. การที่ไปจำจดจำจ้องพอมีสิ่งไรๆเกิดขึ้นแล้วไปจำบ้าง พยายามจะได้รู้บ้าง หรือตกใจในอาการ มันทำให้จิตตื่น เช่น..อาการ น้ำลายไหลยืดก็น้ำลายไหล สักพักเลอะแล้ว ซู๊ดกินคืน ..หรือขนลุกขนพองน้ำหูน้ำตาไหล, ตัวเบาหวิวเหมือนลอยได้, คันยุยยิบๆบ้าง, ขนลุกซู่ตามรูขุมขนบ้าง เมื่อจิตจำจดจำจ้องเพ่งเล็งจนจิตตื่นซึ่งไม่ใช่สติมีมาก นี่ทำให้หลุดสมาธิแล้ว พลาดของดีไปแล้ว ..แทนที่อาการที่เหมือนมีกำลังหรือเหมือนหนักแน่นมีสมาธิห้อหุ้มจิตไว้อยู่จะเดินต่อไปได้ ก็กลับหลุดเสีย เพราะใจไม่มีกำลังทานกิเลสให้ใจทำแค่รู้แล้วปล่อยมันไปได้

..ส่วนสิ่งที่ผมคุยกันกับท่านเจ คือ เข้าไปเดินสติปัฏฐานแล้ว จิตทำกิจแล้ว มันคนละอย่างกัน ถ้ายังอยู่แค่นั้นก็เป็นแค่การสะสมบารมีแก่ขันธ์ ได้ไม่เกินอุปจาระสมาธิ ถ้าเป็นฌาณความหวั่นไหวไม่มีแล้วมะนรู้แล้วเฉยองค์ธรรมอื่นรวมเป็นหนึ่งเข้าเอกัคคตา

ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคที่ท่านกรัซกายกล่าวนี้ดีครับ เป็นแบบสาสวะที่เป็นเหตุสะสมบารมี แต่ว่ายังไม่ใช่องค์มรรคที่สามัคคีกัน มรรคยังแยกกันอยู่
แต่สิ่งที่ผมคุยกับท่านเจคือ ผลที่เกิดจากองค์มรรคแท้สามัคคีกันเกิดขั้นครับ เข้ามรรคญาณ เข้าปัญญาญาณน่ะครับ

ส่วนถามว่าใครถึงใครไม่ถึง ผมไม่มีสิทธิ์ไปพยากรณ์ใครครับ คนไหนเห็นได้แค่ไหนอยู่ที่คนนั้นทำมามากแค่แค่ไหน คนเราไม่เท่ากัน
.. บางคนให้รู้ท่องจบพระไตรแต่ไม่เคยปฏิบัติจรองจังติดคิดอยู่นึกตามอยู่ก็ไม่ไปไหน รู้ได้แต่ความคิด
.. บางคนไม่เคยอ่านอะไร รู้แค่พุทโธ กลับบรรลุธรรมใดธรรมหนึ่งได้ก็มี

ซึ่งใครจะได้มากเราก็เรียนรู้กับเขา ส่วนใครได้น้อยเราก็แบ่งปันเท่าที่จะทำได้ เพราะทั้งสองสิ่งไม่ใช่เราได้ เราทำเราได้ จะมากหรือน้อยเราก็เป็นคนได้ มันเป็นของเรา การเอาของเขามาพูดมันก็ไม่ใช่ของเราได้ แต่เป็นของเขา เขาได้

การคุยธรรมต้องคุยแบบทางธรรม อย่าเอาความเป็นโลกมาถมธรรม มันก็จะเปิดความรู้ที่เพิ่มขึ้นครับ อย่างบอกว่าตนรู้ธรรมแต่แสดงแต่ความเป็นโลกออกมามันขัดกันมาก ดังนี้จะว่าตนเห็นธรรมได้อย่างไร

- สิ่งที่เป็นโลกคือ ทำด้วยใจ รัก โลภ โกรธ หลง
- สิ่งที่เป็นทำธรรมคือ ทำด้วยใจผ่องใส เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน เว้นจากความเบียดเบียน



เห็นว่าปฏิบัติมา สั้นๆคุณปฏิบัติแบบไหนขอรับ สั้นๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2019, 14:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คุณว่า นี่เขามีพลธรรมไหม ดูก่อน

https://www.facebook.com/10000810930913 ... 482697007/


https://www.facebook.com/vietfunnyvideo ... 622995266/

ให้ดูหลายๆตัวอย่าง ไม่ต้องพิมพ์มาก บอกมี ไม่มีแค่นั้นพอ


อ้างคำพูด:
พุทธธรรมในการดำรงชีพ (แลกเปลี่ยนธรรมในการใช้ดำรงชีพ)


อยากฟังคำตอบตัวอย่างนี้ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2019, 15:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
ลองฟัง คห. ผมบ้างนะครับ
จิตรู้สมมุติ เป็นได้ทั้งฝ่ายสมุทัย และ ฝ่ายมรรค

ฝ่ายสมุทัย คือ จิตรู้สมมุติ อโยนิโสมนสิการ ทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความยินดี ยินร้าย เช่นรูปสวย รูปทราบ รสอร่อย รสไม่อร่อย

ฝ่ายมรรค คือ จิตรู้สมมุติ โยนิโสมนสิการ ทำไว้ในโดยแยบคายในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งสติเช่น รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น

จิตไม่รู้ทุกข์ เป็นทุกขสัจ
จิตไม่กำหนดรู้ทุกข์ เป็นสมุทัยสัจ
จิตรู้แจ้งแทงตลอดทุกข์ เป็นนิโรธสัจ
จิตกำหนดรู้ทุกข์ เป็นมรรคสัจ


:b17: :b17: :b17:

เล่นบ้าง....เล่นบ้าง...

จิตหลงสมมุติยึดสมมุติ...เป็นสมุทัย...มีผลเป็นทุกข์
จิตทันสมมุติละสมมุติ..เป็นมรรค..มีผลเป็นนิโรธ

:b9: :b9: :b9:


โอ้วเฉียบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2019, 15:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สมมติ การรู้ร่วมกัน, การตกลงกัน, การมีมติร่วมกัน หรือยอมรับร่วมกัน

สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ คือ โดยความตกลงหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ เช่น นาย ก. นาย ข. ช้าง ม้า มด โต๊ะ หนังสือ พ่อ แม่ ลูก เพื่อน ลานธรรมจักร ลานธรรมเสวนา พันทิพ พลังจิต เป็นต้น ซึ่งเมื่อกล่าวตามสภาวะ หรือโดยปรมัตถ์แล้วก็เป็นเพียงสังขาร หรือนามรูป หรือขันธ์ ๕ เท่านั้น

บัญญัติ การตั้งขึ้น, ข้อที่ตั้งขึ้น, การกำหนดเรียก, การเรียกชื่อ, การวางเป็นกฎไว้, ข้อบังคับ


:b1:

รู้จักสมมติแล้วใช้ให้เป็น ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็ใช้สมมติกันอยู่ แต่มากคนไม่รู้จักสมมติ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2019, 15:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
สมมติ การรู้ร่วมกัน, การตกลงกัน, การมีมติร่วมกัน หรือยอมรับร่วมกัน

สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ คือ โดยความตกลงหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ เช่น นาย ก. นาย ข. ช้าง ม้า มด โต๊ะ หนังสือ พ่อ แม่ ลูก เพื่อน ลานธรรมจักร ลานธรรมเสวนา พันทิพ พลังจิต เป็นต้น ซึ่งเมื่อกล่าวตามสภาวะ หรือโดยปรมัตถ์แล้วก็เป็นเพียงสังขาร หรือนามรูป หรือขันธ์ ๕ เท่านั้น

บัญญัติ การตั้งขึ้น, ข้อที่ตั้งขึ้น, การกำหนดเรียก, การเรียกชื่อ, การวางเป็นกฎไว้, ข้อบังคับ


:b1:

รู้จักสมมติแล้วใช้ให้เป็น ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็ใช้สมมติกันอยู่ แต่มากคนไม่รู้จักสมมติ


ความหมายของคำว่าสมมุติ ของคุณกบนอกกะลา
น่าจะหมายถึงการปรุงแต่งเวทนาของสัญญาสังขาร
อันนี้ผมเคยเห็น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2019, 21:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
ลองฟัง คห. ผมบ้างนะครับ
จิตรู้สมมุติ เป็นได้ทั้งฝ่ายสมุทัย และ ฝ่ายมรรค

ฝ่ายสมุทัย คือ จิตรู้สมมุติ อโยนิโสมนสิการ ทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความยินดี ยินร้าย เช่นรูปสวย รูปทราบ รสอร่อย รสไม่อร่อย

ฝ่ายมรรค คือ จิตรู้สมมุติ โยนิโสมนสิการ ทำไว้ในโดยแยบคายในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งสติเช่น รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น

จิตไม่รู้ทุกข์ เป็นทุกขสัจ
จิตไม่กำหนดรู้ทุกข์ เป็นสมุทัยสัจ
จิตรู้แจ้งแทงตลอดทุกข์ เป็นนิโรธสัจ
จิตกำหนดรู้ทุกข์ เป็นมรรคสัจ


:b17: :b17: :b17:

เล่นบ้าง....เล่นบ้าง...

จิตหลงสมมุติยึดสมมุติ...เป็นสมุทัย...มีผลเป็นทุกข์
จิตทันสมมุติละสมมุติ..เป็นมรรค..มีผลเป็นนิโรธ

:b9: :b9: :b9:


โอ้วเฉียบ

:b12:
ความจริงตรงสัจจะตรงขณะได้ทีละ1อย่าง
ไม่รู้ก็คือไม่รู้ รู้คือรู้ ไม่ใช่คิดนึกเอาว่ารู้หมด
การคิดว่ารู้หมดแบบอ่านจำคำมาล่วงหน้าไม่ใช่รู้
เพราะรู้คือรู้ตรงทีละ1สัจจะตรงทางตรงความหมาย
ถ้าไม่รู้ความหมายของสัจจะตรงทีละ1นั่นแหละไม่รู้ไง
แม้แต่ชื่อของสัจจะที่ท่องได้ก็ไม่ใช่การรู้จริงจำแต่สมมุติคำ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2019, 21:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สมมติ การรู้ร่วมกัน, การตกลงกัน, การมีมติร่วมกัน หรือยอมรับร่วมกัน

สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ คือ โดยความตกลงหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ เช่น นาย ก. นาย ข. ช้าง ม้า มด โต๊ะ หนังสือ พ่อ แม่ ลูก เพื่อน ลานธรรมจักร ลานธรรมเสวนา พันทิพ พลังจิต เป็นต้น ซึ่งเมื่อกล่าวตามสภาวะ หรือโดยปรมัตถ์แล้วก็เป็นเพียงสังขาร หรือนามรูป หรือขันธ์ ๕ เท่านั้น

บัญญัติ การตั้งขึ้น, ข้อที่ตั้งขึ้น, การกำหนดเรียก, การเรียกชื่อ, การวางเป็นกฎไว้, ข้อบังคับ


:b1:

รู้จักสมมติแล้วใช้ให้เป็น ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็ใช้สมมติกันอยู่ แต่มากคนไม่รู้จักสมมติ


ความหมายของคำว่าสมมุติ ของคุณกบนอกกะลา
น่าจะหมายถึงการปรุงแต่งเวทนาของสัญญาสังขาร
อันนี้ผมเคยเห็น

:b12:
สมมุติมีไว้ให้ละไม่ใช่มีไว้ให้แบกที่ยึดเพราะไม่รู้ก็ถ้ารู้จึงจะละวางอัตตาลงได้น๊าแม้ตำราก็ยึดอยู่คือไม่รู้ทุกข์
:b13:
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2019, 22:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
สมมติ การรู้ร่วมกัน, การตกลงกัน, การมีมติร่วมกัน หรือยอมรับร่วมกัน

สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ คือ โดยความตกลงหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ เช่น นาย ก. นาย ข. ช้าง ม้า มด โต๊ะ หนังสือ พ่อ แม่ ลูก เพื่อน ลานธรรมจักร ลานธรรมเสวนา พันทิพ พลังจิต เป็นต้น ซึ่งเมื่อกล่าวตามสภาวะ หรือโดยปรมัตถ์แล้วก็เป็นเพียงสังขาร หรือนามรูป หรือขันธ์ ๕ เท่านั้น

บัญญัติ การตั้งขึ้น, ข้อที่ตั้งขึ้น, การกำหนดเรียก, การเรียกชื่อ, การวางเป็นกฎไว้, ข้อบังคับ


:b1:

รู้จักสมมติแล้วใช้ให้เป็น ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็ใช้สมมติกันอยู่ แต่มากคนไม่รู้จักสมมติ



สาธุตามนั้นแหละครับท่าน ข้อนั้นในส่วนของสมมติสัจจ์

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แก้ไขล่าสุดโดย แค่อากาศ เมื่อ 01 ก.พ. 2019, 22:51, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2019, 22:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

ผู้ใดศิลมีธรรมประจำใจ ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
... ศึกษาเล่าเรียนแม่นยำ ทรงจำสัทธรรมขึ้นใจ
ผู้นั้นแกล้วกล้าสามารถ ปราศจากความกลัวเวรภัย
... ปัญญาคล่องแคล่วว่องไว ดำรงชีพได้อย่างดี

คุณแค่อากาศ สาธยาธรรม บทที่ว่า
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)
ให้ผมฟังเพิ่มอีกหน่อยได้มั้ยครับ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ


จิตรู้สมมติเป็น สมุทัย มีหลายระดับครับ

- ขั้นต้นพื้นฐานเลย คือ..ไม่รู้ปัจจุบัน เป็นกิริยาที่จิตติดหลงอยู่กับสมมติความคิดที่เกิดจากกิเลสในใจปรุงแต่งเรื่องราวความรู้สึกสร้างขึ้นมา จากความสำคัญมั่นหมายของใจไว้ต่ออารมณ์ต่างๆที่รับรู้ จากสิ่งที่ผ่านมาแล้วบ้าง จากสิ่งยังไม่เกิดขึ้นบ้าง

- ขั้นกลาง คือ..ไม่เห็นของจริงแท้ เป็นกิริยาที่จิตรับรู้เพียงความจำได้หมายรู้ เป็นตัวตน บุคคล สิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยไม่เข้าไปเห็นของจริงในความเป็นสิ่งนั้นๆ กล่าวคือ จิตไม่เดินในสติปัฏฐาน ๔ จนรู้เห็นจริงในสิ่งนั้นๆ เช่น คนศึกษาธรรมโดยมากทุกคนรู้หมดสติปัฏฐาน ๔ รู้อภิธรรมจำได้หมด รู้รูป รู้นาม ท่องจำขึ้นใจรู้หมดมีอะไรบ้าง รู้วิธีเจริญ แต่ยังสะสมเหตุไม่พอให้จิตเดินในมหาสติปัฏฐานจนเกิดรู้เห็นของจริง เช่น กายนี้ไม่ว่าส่วนใดก็ไม่ใช่ตัวตนของใคร ไม่มีตัวตนบุคคลใดในนั้น แค่ธาตุที่มีทั่วไปกอปรกันขึ้นให้ใจเข้ายึดครองอาศัยชั่วคราว แล้วก็เปลี่ยน เสื่อม พัง, ไม่เห็นจริงในกามคุณ ๕ ความรู้สึกของปลอมที่เนื่องด้วยอายตนะ ๕ สืบต่อสมมติมาให้ใจรู้ แล้วหลงยึดว่าเป็นสุขหรือทุกข์ทั้งๆที่แท้จริงแล้วความรู้สึกนั้นไม่ได้เนื่องด้วยใจแท้จริง, สิ่งที่ปรุงแต่งให้ใจรู้เป็นแค่ธัมมารมณ์ภายนอก, ไม่เห็นไตรลักษณ์ของแท้จริงที่ไม่ใช่การท่องจำ หรือตรึกนึกคิดตามเอา

- ขั้นสุด คือ..ความไม่รู้อริยะสัจ ๔ ข้อนี้คืออะไร อวิชชาคือความไม่รู้ของจริง คือ ไม่เห็นของแท้จริงในสังขารุเปกขา ทำให้เอาใจเข้ายึดครองทุกสิ่งทั้งหมดที่ใจได้รับรู้ ..ถึงแม้จะท่องจำอริยะสัจ ๔ ได้ขึ้นใจรู้หมดทั้งวิธีเจริญ แต่จิตไม่ทำกิจในพระอริยะสัจ ๔ คือ ตราบที่จิตไม่เดินรอบ ๓ อาการ ๑๒ ก็ยังไม่รู้ของจริง ไม่ถึงวิชชาอยู่อย่างนั้น ได้มากสุดก็แค่สะสมเป็นบุญแก่ขันธ์ คือ สาสวะ

ทุกข์ คือ ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติตามนี้

มรรค คือ คือจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติด้วยประการดังนี้

นิโรธ คือ ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติดังนี้

ผมมีปัญญาน้อยก็กล่าวสาธยายธรรมนั้นให้กระชับสุดได้ดังนี้ครับ


ลองฟัง คห. ผมบ้างนะครับ
จิตรู้สมมุติ เป็นได้ทั้งฝ่ายสมุทัย และ ฝ่ายมรรค

ฝ่ายสมุทัย คือ จิตรู้สมมุติ อโยนิโสมนสิการ ทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความยินดี ยินร้าย เช่นรูปสวย รูปทราบ รสอร่อย รสไม่อร่อย

ฝ่ายมรรค คือ จิตรู้สมมุติ โยนิโสมนสิการ ทำไว้ในโดยแยบคายในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งสติเช่น รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น

จิตไม่รู้ทุกข์ เป็นทุกขสัจ
จิตไม่กำหนดรู้ทุกข์ เป็นสมุทัยสัจ
จิตรู้แจ้งแทงตลอดทุกข์ เป็นนิโรธสัจ
จิตกำหนดรู้ทุกข์ เป็นมรรคสัจ


สาธุครับ เป็นอย่างท่านว่าดีแล้ว

ดังที่กล่าวว่าถึงรู้ตัวสมมติ แต่จิตไม่เดิน ไม่ทำกิจ ก็คือความไม่โยนิโสหรือแม้โยนิโสแต่ไม่แยบคาบก็ยังปุถุชนอยู่ฉันนั้น เพราะปัญญาไม่แทงตลอด มันก็กลับกรอกไปมาตามนั้นครับ

ดังที่จะเห็นว่าหลายท่านเข้าไปเห็นของจริงแล้ว แรกทีจะมุ่งแต่บรรลุเท่านั้นเพราะยังมรรคอยู่ แต่เพราะไม่แยบคายก็กลับกลอกยังปุถุชนอยู่ดังเดิม ซึ่งเชื่อว่าหลายท่านในเวบก็เคยผ่านจุดนี้กันมาแล้ว

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แก้ไขล่าสุดโดย แค่อากาศ เมื่อ 01 ก.พ. 2019, 22:37, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2019, 22:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
ลองฟัง คห. ผมบ้างนะครับ
จิตรู้สมมุติ เป็นได้ทั้งฝ่ายสมุทัย และ ฝ่ายมรรค

ฝ่ายสมุทัย คือ จิตรู้สมมุติ อโยนิโสมนสิการ ทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความยินดี ยินร้าย เช่นรูปสวย รูปทราบ รสอร่อย รสไม่อร่อย

ฝ่ายมรรค คือ จิตรู้สมมุติ โยนิโสมนสิการ ทำไว้ในโดยแยบคายในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งสติเช่น รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น

จิตไม่รู้ทุกข์ เป็นทุกขสัจ
จิตไม่กำหนดรู้ทุกข์ เป็นสมุทัยสัจ
จิตรู้แจ้งแทงตลอดทุกข์ เป็นนิโรธสัจ
จิตกำหนดรู้ทุกข์ เป็นมรรคสัจ


:b17: :b17: :b17:

เล่นบ้าง....เล่นบ้าง...

จิตหลงสมมุติยึดสมมุติ...เป็นสมุทัย...มีผลเป็นทุกข์
จิตทันสมมุติละสมมุติ..เป็นมรรค..มีผลเป็นนิโรธ

:b9: :b9: :b9:



สาธุ สาธุ สาธุ ก็ถูกจริงตามนั้นครับท่านอ๊บ เพราะรู้แต่สมมติ จึงยึดสมมติหลงสมมติ ผลก็คือทุกข์ จิตแยบคาย จิตเดิน จิตทำกิจ ก็จึงละสมมติได้ ให้ผลเป็นนิโรธ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2019, 22:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สมมติ การรู้ร่วมกัน, การตกลงกัน, การมีมติร่วมกัน หรือยอมรับร่วมกัน

สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ คือ โดยความตกลงหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ เช่น นาย ก. นาย ข. ช้าง ม้า มด โต๊ะ หนังสือ พ่อ แม่ ลูก เพื่อน ลานธรรมจักร ลานธรรมเสวนา พันทิพ พลังจิต เป็นต้น ซึ่งเมื่อกล่าวตามสภาวะ หรือโดยปรมัตถ์แล้วก็เป็นเพียงสังขาร หรือนามรูป หรือขันธ์ ๕ เท่านั้น

บัญญัติ การตั้งขึ้น, ข้อที่ตั้งขึ้น, การกำหนดเรียก, การเรียกชื่อ, การวางเป็นกฎไว้, ข้อบังคับ


:b1:

รู้จักสมมติแล้วใช้ให้เป็น ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็ใช้สมมติกันอยู่ แต่มากคนไม่รู้จักสมมติ


ความหมายของคำว่าสมมุติ ของคุณกบนอกกะลา
น่าจะหมายถึงการปรุงแต่งเวทนาของสัญญาสังขาร
อันนี้ผมเคยเห็น



สาธุคครับท่านเจ ถูกแล้วดีแล้วครับท่าน :b8: :b8:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2019, 23:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

ผู้ใดศิลมีธรรมประจำใจ ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
... ศึกษาเล่าเรียนแม่นยำ ทรงจำสัทธรรมขึ้นใจ
ผู้นั้นแกล้วกล้าสามารถ ปราศจากความกลัวเวรภัย
... ปัญญาคล่องแคล่วว่องไว ดำรงชีพได้อย่างดี

คุณแค่อากาศ สาธยาธรรม บทที่ว่า
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)
ให้ผมฟังเพิ่มอีกหน่อยได้มั้ยครับ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ


จิตรู้สมมติเป็น สมุทัย มีหลายระดับครับ

- ขั้นต้นพื้นฐานเลย คือ..ไม่รู้ปัจจุบัน เป็นกิริยาที่จิตติดหลงอยู่กับสมมติความคิดที่เกิดจากกิเลสในใจปรุงแต่งเรื่องราวความรู้สึกสร้างขึ้นมา จากความสำคัญมั่นหมายของใจไว้ต่ออารมณ์ต่างๆที่รับรู้ จากสิ่งที่ผ่านมาแล้วบ้าง จากสิ่งยังไม่เกิดขึ้นบ้าง

- ขั้นกลาง คือ..ไม่เห็นของจริงแท้ เป็นกิริยาที่จิตรับรู้เพียงความจำได้หมายรู้ เป็นตัวตน บุคคล สิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยไม่เข้าไปเห็นของจริงในความเป็นสิ่งนั้นๆ กล่าวคือ จิตไม่เดินในสติปัฏฐาน ๔ จนรู้เห็นจริงในสิ่งนั้นๆ เช่น คนศึกษาธรรมโดยมากทุกคนรู้หมดสติปัฏฐาน ๔ รู้อภิธรรมจำได้หมด รู้รูป รู้นาม ท่องจำขึ้นใจรู้หมดมีอะไรบ้าง รู้วิธีเจริญ แต่ยังสะสมเหตุไม่พอให้จิตเดินในมหาสติปัฏฐานจนเกิดรู้เห็นของจริง เช่น กายนี้ไม่ว่าส่วนใดก็ไม่ใช่ตัวตนของใคร ไม่มีตัวตนบุคคลใดในนั้น แค่ธาตุที่มีทั่วไปกอปรกันขึ้นให้ใจเข้ายึดครองอาศัยชั่วคราว แล้วก็เปลี่ยน เสื่อม พัง, ไม่เห็นจริงในกามคุณ ๕ ความรู้สึกของปลอมที่เนื่องด้วยอายตนะ ๕ สืบต่อสมมติมาให้ใจรู้ แล้วหลงยึดว่าเป็นสุขหรือทุกข์ทั้งๆที่แท้จริงแล้วความรู้สึกนั้นไม่ได้เนื่องด้วยใจแท้จริง, สิ่งที่ปรุงแต่งให้ใจรู้เป็นแค่ธัมมารมณ์ภายนอก, ไม่เห็นไตรลักษณ์ของแท้จริงที่ไม่ใช่การท่องจำ หรือตรึกนึกคิดตามเอา

- ขั้นสุด คือ..ความไม่รู้อริยะสัจ ๔ ข้อนี้คืออะไร อวิชชาคือความไม่รู้ของจริง คือ ไม่เห็นของแท้จริงในสังขารุเปกขา ทำให้เอาใจเข้ายึดครองทุกสิ่งทั้งหมดที่ใจได้รับรู้ ..ถึงแม้จะท่องจำอริยะสัจ ๔ ได้ขึ้นใจรู้หมดทั้งวิธีเจริญ แต่จิตไม่ทำกิจในพระอริยะสัจ ๔ คือ ตราบที่จิตไม่เดินรอบ ๓ อาการ ๑๒ ก็ยังไม่รู้ของจริง ไม่ถึงวิชชาอยู่อย่างนั้น ได้มากสุดก็แค่สะสมเป็นบุญแก่ขันธ์ คือ สาสวะ

ทุกข์ คือ ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติตามนี้

มรรค คือ คือจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติด้วยประการดังนี้

นิโรธ คือ ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติดังนี้

ผมมีปัญญาน้อยก็กล่าวสาธยายธรรมนั้นให้กระชับสุดได้ดังนี้ครับ


ลองฟัง คห. ผมบ้างนะครับ
จิตรู้สมมุติ เป็นได้ทั้งฝ่ายสมุทัย และ ฝ่ายมรรค

ฝ่ายสมุทัย คือ จิตรู้สมมุติ อโยนิโสมนสิการ ทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความยินดี ยินร้าย เช่นรูปสวย รูปทราบ รสอร่อย รสไม่อร่อย

ฝ่ายมรรค คือ จิตรู้สมมุติ โยนิโสมนสิการ ทำไว้ในโดยแยบคายในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งสติเช่น รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น

จิตไม่รู้ทุกข์ เป็นทุกขสัจ
จิตไม่กำหนดรู้ทุกข์ เป็นสมุทัยสัจ
จิตรู้แจ้งแทงตลอดทุกข์ เป็นนิโรธสัจ
จิตกำหนดรู้ทุกข์ เป็นมรรคสัจ


สาธุครับ เป็นอย่างท่านว่าดีแล้ว

ดังที่กล่าวว่าถึงรู้ตัวสมมติ แต่จิตไม่เดิน ไม่ทำกิจ ก็คือความไม่โยนิโสหรือแม้โยนิโสแต่ไม่แยบคาบก็ยังปุถุชนอยู่ฉันนั้น เพราะปัญญาไม่แทงตลอด มันก็กลับกรอกไปมาตามนั้นครับ

ดังที่จะเห็นว่าหลายท่านเข้าไปเห็นของจริงแล้ว แรกทีจะมุ่งแต่บรรลุเท่านั้นเพราะยังมรรคอยู่ แต่เพราะไม่แยบคายก็กลับกลอกยังปุถุชนอยู่ดังเดิม ซึ่งเชื่อว่าหลายท่านในเวบก็เคยผ่านจุดนี้กันมาแล้ว

:b8: :b8: :b8:


ครับผมเพียงแต่แสดงความคิดเห็น เผื่อว่าส่วนใดเห็นผิดจะได้รับคำชี้แนะตักเตือน
ถ้าคุณแค่อากาศเห็นความเห็นผมส่วนใดยังผิดอยู่ ช่วยชี้แนะตักเตือนอย่าได้เกรงใจครับ
ผมจะรับฟังแล้วเก็บไปพิจารณา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2019, 23:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สมมติ การรู้ร่วมกัน, การตกลงกัน, การมีมติร่วมกัน หรือยอมรับร่วมกัน

สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ คือ โดยความตกลงหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ เช่น นาย ก. นาย ข. ช้าง ม้า มด โต๊ะ หนังสือ พ่อ แม่ ลูก เพื่อน ลานธรรมจักร ลานธรรมเสวนา พันทิพ พลังจิต เป็นต้น ซึ่งเมื่อกล่าวตามสภาวะ หรือโดยปรมัตถ์แล้วก็เป็นเพียงสังขาร หรือนามรูป หรือขันธ์ ๕ เท่านั้น

บัญญัติ การตั้งขึ้น, ข้อที่ตั้งขึ้น, การกำหนดเรียก, การเรียกชื่อ, การวางเป็นกฎไว้, ข้อบังคับ


:b1:

รู้จักสมมติแล้วใช้ให้เป็น ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็ใช้สมมติกันอยู่ แต่มากคนไม่รู้จักสมมติ


ความหมายของคำว่าสมมุติ ของคุณกบนอกกะลา
น่าจะหมายถึงการปรุงแต่งเวทนาของสัญญาสังขาร
อันนี้ผมเคยเห็น



สาธุคครับท่านเจ ถูกแล้วดีแล้วครับท่าน :b8: :b8:


นั่นเอาคำศัพท์และความหมายไปคิดเอาเอง :b1: สมมติ (สํ+มติ เป็นบาลี) ความเห็นร่วมกัน,ข้อที่ตกลงร่วมกัน ตัวอย่างง่ายๆ ทางม้าลาย สังคมสมมติ คือ ตกลงร่วมกันว่า ใช้เป็นทางสำหรับคนเดินข้าม นี่แหละข้อตกลง นี่แหละสมมติ

ไฟเขียวไฟแดงก็ทำนองเดียวกัน ไฟแดง ตกลงกันว่าหยุด ไฟเขียวไปได้ นี่แหละสมมติ ไม่ใช่ปรมัตถ์ ถ้าว่าโดยปรมัตถ์ไฟเขียวไฟเหลืองไฟแดงไม่มี มีแต่รูป, รูปธรรม มันเป็นรูปธรรม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 274 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 19  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร