วันเวลาปัจจุบัน 14 ส.ค. 2025, 02:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 124, 125, 126, 127, 128, 129, 130 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 20:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ปาฐะว่า ป€มุคฺคโต โหสิ ดังนี้ก็มี. ปาฐะนั้นก็มีเนื้อความว่า หน่อ
ของไม้อ่อนแรกขึ้น น่าทัศนาฉันใด พระองค์ก็น่าทัศนาฉันนั้น. บทว่า
มมฺจ ปสฺส ความว่า ขอพระองค์จงทรงดูแลหม่อมฉันด้วยเถิด.
อธิบายว่า โปรดอย่าทรงกระทำให้หม่อมฉันเป็นหม้ายไม่มีที่พึ่งเลย.

บทว่า กาลิกํ ความว่า พระนางทูลว่า ธรรมดาการประพฤติพรหม-
จรรย์ ที่ชื่อว่าให้ผลตามกาลเวลา เพราะจะให้ผลในอัตภาพที่ ๒ ที่ ๓
ส่วนราชสมบัติ ชื่อว่า ให้ผลไม่เลือกกาลเวลา เพราะอำนวยความสุข
คือกามคุณในอัตภาพนี้ทีเดียว พระองค์นั้นอย่าทรงละราชสมบัติที่ให้ผล
ไม่เลือกกาลเวลา แล้วทรงโลดแล่นไปตามการประพฤติพรหมจรรย์ที่ให้
ผลตามกาลเวลาเลย.

พระโพธิสัตว์ ครั้นทรงสดับคำนั้น แล้วตรัสว่า ดูก่อนนางผู้เจริญ
เธอพูดถ้อยคำนั้นที่ควรเป็นไปได้ เพราะว่า เมื่อวัยของเราที่มีความ
เปลี่ยนแปลงเป็นที่สุด ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ผมสีดำทั้งหลายเหล่านี้
ก็ต้องเปลี่ยนเป็นสีขาวเหมือนใยป่านไปหมด. จริงอยู่ เมื่อวัยของกุมาร
ทั้งหลายที่เช่นกับพวงดอกไม้ มีดอกอุบลเขียวเป็นต้น และของขัตติย-

กัญญาเป็นต้น ผู้เปรียบปานกับด้วยรูปทอง อุดมสมบูรณ์ด้วยความ
หนุ่มสาวและความสง่างาม มีความเปลี่ยนแปลงเป็นที่สุด ได้เปลี่ยน
แปลงไปแล้ว เราจะเห็นทั้งสิ่งที่น่าตำหนิทั้งความชำรุดแห่งสรีระของ
คนทั้งหลาย ผู้ถึงความชราแล้ว ดูก่อนนางผู้เจริญ ก็เมื่อเป็นเช่นนี้

โลกของสัตว์ผู้มีชีวิตนั้น ก็มีความวิบัติเป็นจุดจบ ดังนี้แล้ว เมื่อทรง
แสดงธรรมด้วยพุทธลีลาในเบื้องสูง จึงได้กล่าวคาถาทั้ง ๒ ว่า:-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 20:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เราเห็นกุมารีรุ่นสาว ผู้มีรูปร่างสวยงาม
มีผิวพรรณเกลี้ยงเกลา มีทรวดทรงเฉิดฉาย
อ่อนละมุนละไมเหมือนเถากาลวัลลี ต้องลม
โชย เอนตัวเข้าใกล้ชายเหมือนยั่วยวนชายอยู่
ฉะนั้น ต่อมาเราได้เห็นนารีคนนั้น มีความชรา

มีอายุล่วงไป ๘๐ ปี ๙๐ ปี ถือไม้เท้าสั่นงกงัน
มีร่างกายโค้งค้อมลงเหมือนกลอนเรือนเดินไป.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โว เป็นเพียงนิบาต. บทว่า สา-
มฏฺ€ปสฺสํ ความว่า มีต้นแขนเกลี้ยงเกลา อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะก็เป็น
สมฏฺ€ปสฺสํ นั่นแหละ. อธิบายว่า มีผิวพรรณเกลี้ยงเกลาที่ต้นแขน
ทั้งหมด. บทว่า สุตนุํ ได้แก่ มีรูปร่างสวยงาม. บทว่า สุมชฺฌํ ได้แก่
มีลำตัวได้สัดส่วนทรวดทรงดี. บทว่า กาลปฺปลฺลวาว ปเวลฺลมานา

ความว่า อุปมาเสมือนหนึ่งว่า เถากาลวัลลี เถาหญ้านาง ที่ขึ้นดีๆ งามๆ
ในเวลายังเล็ก ยังเป็นยอดอ่อนอยู่ทีเดียว ต้องลมโชยเบาๆ ก็โอนเอน
ไปมาทางโน้นทางนี้ฉันใด หญิงสาวนั้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน เอนตัว
เข้าไปทำร้ายความสง่างามของหญิง. บทว่า ปโลภยนฺตีว นเรสุ คจฺฉติ

เป็นสัตตมีวิภัติลงในอรรถว่าใกล้. หญิงสาวนั้นไปใกล้สำนักชายทั้งหลาย
เป็นเหมือนยั่วยวนชายเหล่านั้นอยู่. บทว่า ตเมน ปสฺสามิ ปเรน นารึ
ความว่า สมัยต่อมาเราเห็นหญิงคนนี้นั้นถึงความชรา คือความสวยงาม
แห่งรูปที่หายไปแล้วหมดความสวยงาม. พระโพธิสัตว์กล่าวถึงคุณของ

รูปด้วยคาถาที่ ๑ บัดนี้ เมื่อจะแสดงถึงโทษ จึงได้กล่าวอย่างนี้. บทว่า
อาสีติกํ นาวุติกฺจ ชจฺจา ความว่า ๘๐ ปี หรือ ๙๐ ปี แต่เกิดมา-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 21:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บทว่า โคปาณสีภคฺคสมํ มีเนื้อความว่า มีร่างกายคดค้อมเหมือน
กลอนเรือน คือมีสรีระคดโค้งเหมือนกลอนเรือน เดินหลังค่อมเหมือน
กับหาเก็บเงินกากณึกหนึ่งที่หายไป. ก็ขึ้นชื่อว่า หญิงที่พระโพธิสัตว์
เคยเห็นเมื่อเวลายังสาว แล้วได้เห็นอีกในเวลาอายุ ๙๐ ปี ไม่มีก็จริงแล
แต่ว่า คำนี้ท่านกล่าวหมายเอาภาวะของหญิงที่เห็นได้ด้วยญาณ.

พระมหาสัตว์ ครั้นทรงแสดงโทษของรูปด้วยคาถานี้ โดย
ประการอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงประกาศความเบื่อหน่ายของตน
ในการครองเรือน จึงได้ตรัสคาถา ๒ คาถาไว้ว่า:-

เราครุ่นคิดถึงคุณและโทษของรูปนั้นอยู่
นั่นเอง จึงนอนอยู่กลางที่นอนแต่คนเดียว
เราเมื่อพิจารณาเห็นว่า ถึงเราก็จะเป็นอย่างนี้
จึงไม่ยินดีในเรือน เวลานี้เป็นเวลาแห่งการ
ประพฤติพรหมจรรย์ ความยินดีของผู้อยู่ครอง
เรือนนี้แหละ เป็นเหมือนเชือกผูกเหนี่ยวไว้
ธีรชนตัดเชือกนี้ได้แล้ว ไม่อาลัยใยดี จะละ
กามสุข แล้วหลีกเว้นหนี.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โสหํ ตัดบทเป็น โส อหํ ความว่า
เรานั้น. บทว่า ตเมวานุวิจินฺตยนฺโต ความว่า ครุ่นคิดถึงคุณและโทษ
ของรูปทั้งหลายนั้นนั่นเอง. บทว่า เอวํ อิติ เปกฺขมาโน ความว่า


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 21:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พิจารณาเห็นอยู่ว่า หญิงนี้เปลี่ยนแปลงไปแล้วฉันใด ถึงฉันก็เป็นฉัน
นั้น คือจักถึงความชรา มีสรีระคดค้อมลงไป. บทว่า เคเห น รเม
ความว่า เราไม่ยินดีในเรือน. บทว่า พฺรหฺมจริยสฺส กาโล ความว่า
พระโพธิสัตว์ทรงแสดงว่า ดูก่อนนางผู้เจริญ เวลานี้เป็นเวลาการ

ประพฤติพรหมจรรย์ของเรา เพราะฉะนั้น เราจักออกบวช. จ อักษร
ในคำว่า รชฺชุ วาลมฺพนี เจสา เป็นเพียงนิบาต อธิบายว่า สิ่งนี้
เป็นเสมือนเครื่องผูกเหนี่ยวไว้. สิ่งนี้คืออะไร คือความยินดีของผู้อยู่
ในเรือนใด. อธิบายว่า ความยินดีด้วยอำนาจของกามในอารมณ์ทั้งหลาย
มีรูปเป็นต้น ของผู้ครองเรือนใด. ด้วยบทนี้ พระโพธิสัตว์ทรงแสดง

ถึงความที่กามทั้งหลายมีคุณน้อย. ในข้อนี้มีอธิบายดังต่อไปนี้ บุรุษ
ผู้ป่วยไม่สามารถพลิกตัวได้ด้วยกำลังของตนเอง ผู้พยาบาลต้องผูกเชือก
สำหรับเหนี่ยวไว้ โดยบอกว่า จงเหนี่ยวเชือกนี้พลิกตัว. เมื่อเขาเหนี่ยว
เชือกนั้นพลิกตัว ก็คงมีความสุขกายและความสุขใจหาน้อยไม่ฉันใด

เมื่อสัตว์ทั้งหลายผู้เร่าร้อนเพราะกิเลส ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่สามารถ
จะพลิกใจได้ ด้วยสามารถแห่งความสุขเกิดแต่วิเวก ปรารภอารมณ์มีรูป
เป็นต้น ที่สถิตอยู่ท่ามกลางเรือน ด้วยอำนาจการซ่องเสพเมถุนธรรม
ในเวลาพวกเขาเร่าร้อนเพราะกิเลส พลิกไปพลิกมาอยู่ ความยินดีใน

กาม ได้แก่ ความสุขกาย สุขใจ เมื่อเกิดขึ้นชั่วครู่เท่านั้น ก็มีประมาณ
เพียงเล็กน้อย กามทั้งหลาย ชื่อว่า มีคุณมากอย่างนี้. บทว่า เอตํปิ
เฉตฺวาน ความว่า ก็เพราะเหตุที่กามทั้งหลาย มีทุกข์มาก มีความ
คับแค้นมาก. ในกามนี้ยิ่งมีโทษ ฉะนั้น บัณฑิตทั้งหลายเห็นโทษนั้น


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 21:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อยู่ จึงทอดทิ้งราชสมบัติ ไม่อาลัยใยดีเหมือนบุรุษจมหลุมคูถแล้วละทิ้ง
ไม่อาลัย ฉะนั้น ละกามสุขที่มีประมาณเพียงเล็กน้อย แต่มีทุกข์มาก
อย่างนี้ แล้วเว้นหนีไป. ครั้นออกไป แล้วก็ถือบวชอันเป็นที่รื่นรมย์ใจ.

พระมหาสัตว์ ครั้นทรงแสดงธรรมด้วยพุทธลีลา ชี้ให้เห็นคุณ
และโทษในกามทั้งหลายอย่างนี้ แล้วตรัสสั่งให้เรียกสหายมา ทรงมอบ
ราชสมบัติให้ เมื่อญาติมิตรและสหายผู้มีใจดีทั้งหลาย คร่ำครวญกลิ้ง
เกลือกไปมาอยู่นั่นเอง ทรงทอดทิ้งสิริราชสมบัติ แล้วบวชเป็นฤษี
ยังฌานและอภิญญาให้เกิดขึ้น ได้เป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก.

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา แล้วทรงประกาศ
สัจธรรมทั้งหลาย ในที่สุดแห่งสัจธรรมยังชนจำนวนมากให้ได้ดื่มน้ำ
อัมฤต แล้วทรงประชุมชาดกไว้ว่า พระอัครมเหสีในครั้งนั้น ได้แก่
มารดาพระราหุลในบัดนี้ พระราชาผู้เป็นพระสหาย ได้แก่ พระอานนท์
ส่วนพระเจ้าสุสีมะ ได้แก่ เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสุสีมชาดกที่ ๖

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 21:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาโกฏสิมพลิชาดกที่ ๗

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
การข่มกิเลสแล้ว จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า อหํ ทสสตพฺยามํ
ดังนี้. เรื่องจักมีแจ้งชัดในปัญญาสชาดก.

แต่ในที่นี้ พระศาสดาทรงเห็นภิกษุทั้งหลายประมาณ ๕๐๐ รูป
ถูกกามวิตกครอบงำ ภายในโกฏิสัณฐารกะ จึงทรงประชุมสงฆ์ ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า สิ่งที่ควรระแวง ก็ควรระแวง ขึ้นชื่อว่า
กิเลสทั้งหลาย เมื่อเจริญขึ้นก็ย่อมทำลายเรา เหมือนต้นไทรเป็นต้น

เมื่อเติบโตขึ้น ก็ทำลายต้นไม้ฉะนั้น ด้วยเหตุนั้น ในปางบรรพ์เทวดา
ผู้เกิดที่โกฎสิมพลิงิ้วใหญ่ เห็นนกตัว ๑ กินลูกนิโครธ ถ่ายอุจจาระรด
กิ่งต้นไม้ของตน ได้ประสบความกลัวว่า ต่อแต่นี้ไปวิมานของเราจักมี
ความพินาศ ดังนี้. แล้วได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์ ถือกำเนิดเป็นรุกขเทวดาที่โกฏสิมพลี
ภายหลังพญาครุฑตัวหนึ่งเนรมิตอัตภาพ ๑๕๐ โยชน์ ใช้ลม
ปีกพัดน้ำในทะเลแหวกออกเป็น ๒ ส่วน แล้วเฉี่ยวเอานาคราชตัวหนึ่ง

ยาวพันวาที่หางให้ขยอกเหยื่อที่พญานาคนั้นใช้ปากคาบไว้ทิ้ง บินไป
ทางยอดป่า มุ่งหมายโกฏสิมพลี. นาคราชเมื่อห้อยหัวลง จึงคิดว่า เรา
จักสลัดตัวให้หลุด จึงสอดขนดเข้าไปที่ต้นนิโครธต้น ๑ พันต้นนิโครธ
ยึดไว้. ต้นนิโครธก็ถอนขึ้น เพราะความแรงของพญาครุฑและพญา
นาคร่างใหญ่. พญานาคก็ไม่ปล่อยต้นไม้เลย. ครุฑจึงเฉี่ยวเอา


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 21:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พญานาคพร้อมกับต้นนิโครธไปถึงโกฏสิมพลี แล้วให้พญานาคนอนบน
ด้านหลังของลำต้นไม้ ฉีกท้องกินมันข้นของพญานาคแล้วทิ้งซากที่เหลือ
ลงทะเลไป. ก็บนต้นนิโครธนั้นมีนกตัวเมียตัวหนึ่ง เมื่อพญานาคทิ้ง
ต้นนิโครธแล้ว มันก็บินไปเกาะอยู่ระหว่างกิ่งของต้นโกฏสิมพลี. รุกข-
เทวดาเห็นมันแล้วสะดุ้งกลัวตัวสั่นไปโดยคิดว่า นกตัวเมียตัวนี้จักถ่าย

อุจจาระรดลำต้นไม้ของเรา ต่อนั้นไปพุ่มไทรหรือพุ่มไม้ป่า ก็จะขึ้นท่วม
ทับถมต้นไม้ทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นวิมานของเรา ก็จักพินาศ. เมื่อ
รุกขเทวดาสั่นสะท้านอยู่ โกฏสิมพลี ก็สั่นไปถึงโคน. พญาครุฑ
เห็นรุกขเทวดาสั่นสะท้านอยู่ เมื่อจะถามถึงเหตุ จึงได้กล่าวคาถาว่า:-

เราได้เอาพญานาคยาวตั้งพันวามาแล้ว
ท่านทรงพญานาคนั้น และเราอยู่ได้ไม่สั่น
สะท้าน. ดูก่อนโกฏสิมพลีเทพบุตร ก็เพราะ
เหตุอะไร ? ท่านเมื่อทรงนกตัวเล็กๆ นี้ ที่มีเนื้อ
น้อยกว่าเรา จึงกลัวตัวสั่นสะท้านไป.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทสสตพยามํ ความว่า ยาวพันวา
บทว่า อุรคมาทาย อาคโต ความว่า เราเอางูตัวใหญ่มา ณ ที่นี้อย่างนี้.
บทว่า ตฺจ มฺจ ความว่า ทั้งงูตัวใหญ่ทั้งฉัน. บทว่า ธารยํ
ได้แก่ ธารยมาโพ คือทรงไว้อยู่. บทว่า พฺยถสิ ความว่า สั่นเทิ้ม

อยู่. บทว่า กิมตฺถํ ความว่า พญาครุฑถามว่า ประโยชน์อะไร
คือเพราะเหตุอะไร ? พญาครุฑเรียกเทพบุตรตามนามของต้นไม้ว่า
โกฏสิมพลี. เพราะว่าต้นสิมพลี คือต้นงิ้วต้นนั้น ได้ชื่อว่า โกฏสิมพลี
เพราะมีลำต้นและกิ่งก้านใหญ่ แม้เทพบุตรผู้สิงอยู่บนต้นโกฏสิมพลีนั้น
ก็ได้ชื่ออย่างนั้นเหมือนกัน.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 21:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ลำดับนั้น เทพบุตรเมื่อจะกล่าวถึงเหตุแห่งการสั่นสะท้านนั้น
จึงได้กล่าวคาถา ๔ คาถาว่า:-
ดูก่อนพญาครุฑ ท่านมีเนื้อเป็นภัก-
ษาหาร นกตัวนี้มีผลไม้เป็นภักษาหาร นกตัวนี้
จักจิกกินลูกนิโครธ ลูกกร่าง ลูกมะเดื่อ และ
ลูกโพธิ์ แล้วมาถ่ายรดลำต้นไม้ของเรา. ต้น
ไม้เหล่านั้นจะเติบโตขึ้น พวกมันเกิดในที่อับ
ลมไม่มีอากาศที่ข้างเรา จักปกคลุมเรา ทาเรา
ไม่ให้เป็นต้นไม้. ต้นไม้ต้นอื่นๆ เป็นหมู่ไม้

มีรากมีลำต้นที่มีอยู่ ก็จะถูกสกุณชาติตัวนี้
ทำลายไป โดยการนำพืชผลมากิน. เพราะว่า
ต้นไม้ทั้งหลายที่งอกขึ้น จะเจริญเติบโตขึ้น
เลยต้นไม้เจ้าป่า ที่มีลำต้นใหญ่ไป ข้าแต่พญา
ครุฑ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้ามองเห็นภัยที่ยัง
ไม่มาถึง จึงสั่นสะท้านอยู่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โอทหิสฺสติ ความว่า จักถ่ายอุจ-
จาระรด. บทว่า เต รุกฺขา ความว่า ต้นไม้ทั้งหลายมีต้นไทรเป็นต้น
เกิดขึ้นแล้ว จากพืชผลเหล่านั้น. บทว่า สํวิรูหนฺติ ความว่า จัก
งอกงามขึ้น คือจักเจริญเติบโตขึ้น. บทว่า มม ปสฺเส ความว่า ใน

ระหว่างกิ่งเป็นต้นของเรา. บทว่า นิวาตชา ความว่า เกิดแล้วในที่อับ
ลม เพราะลมถูกบังไว้. บทว่า ปริโยนทฺธิสฺสนฺติ ความว่า ต้นไม้
เหล่านั้น เติบโตขึ้นอย่างนี้แล้วจักปกคลุมเราไว้. อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะ
ก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า กริสฺสเร ความว่า ภายหลังครั้น


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 21:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ปกคลุมอย่างนี้แล้ว ก็จักทำเราไม่ให้เป็นต้นไม้เลย คือจักทำลายโดย
ประการทั้งปวง. บทว่า รุกฺขาเส ได้แก่ต้นไม้. บทว่า มูลิโน ขนฺธิโน
ความว่า ทั้งมีรากสมบูรณ์ ทั้งมีกิ่งสมบูรณ์. คำว่า ทุมา เป็นคำที่เป็น
ไวพจน์ของคำว่า รุกขานั่นเอง. บทว่า วีชมาหริตฺวา ความว่า นำพืชผล
มาแล้ว. บทว่า หตา ความว่า ต้นไม้ในป่านี้แม้ต้นอื่นๆ ที่ถูกให้

พินาศไปแล้วมีอยู่. บทว่า อชฺฌารูหา หิ วฑฺฒนฺติ ความว่า รุกข-
เทพบุตรแสดงว่า เพราะว่า ต้นไม้ทั้งหลายมีต้นนิโครธเป็นต้น เป็น
ต้นไม้ขึ้นคลุมแล้วก็จักเติบโตเลยต้นไม้เจ้าป่า แม้ต้นใหญ่ๆ ต้นอื่น
ไป. ก็ในบทว่า วนปฺปตึ นี้มีปาฐะถึง ๓ อย่างทีเดียวคือ วเนปติ
วนสฺส ปติ วนปฺปติ. รุกขเทพบุตรเรียกครุฑว่า ราชา.

ครุฑครั้นได้ฟังคำของรุกขเทวดาแล้ว จึงกล่าวคาถาสุดท้ายว่า:-
ธีรชนควรระแวงภัยที่ควรระแวง ควร
ระวังภัยที่ยังไม่มาถึง ธีรชนย่อมพิจารณาเห็น
โลกทั้ง ๒ เพราะภัยในอนาคต.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนาคตํ ภยํ ความว่า ธีรชน
เมื่อเว้นจากปาณาติบาตเป็นต้น ชื่อว่าระวังรักษาภัยที่เป็นไปในปัจจุบัน
บ้าง ที่เป็นในภายภาคหน้า คืออนาคตบ้างไว้. และเมื่อไม่เข้าไป
คบหาบาปมิตร และคนที่เป็นคู่เวรกันก็ชื่อว่าระวังภัยที่ยังไม่มาถึง. ควร
ระวังภัยที่ยังไม่มาถึงอย่างนี้. บทว่า อนาคตภยา ความว่า เพราะเหตุ

แห่งภัยในอนาคต. ธีรชนเมื่อพิจารณาเห็นภัยนั้น ชื่อว่าเล็งเห็น คือ
มองเห็นทั้งโลกนี้และโลกหน้า.
ก็แล ครุฑครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงให้นกนั้นหนีไปจากต้นไม้
นั้นด้วยอานุภาพของตน.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า เธอ
ทั้งหลายควรระแวงสิ่งที่ควรระแวงดังนี้. ทรงประกาศสัจธรรมทั้งหลาย
แล้วทรงประชุมชาดกไว้. ในที่สุดแห่งสัจธรรม ภิกษุประมาณ ๕๐๐
รูป ดำรงอยู่แล้วในอรหัตผล. พญาครุฑ ในครั้งนั้น ได้แก่พระ
สารีบุตรในบัดนี้ ส่วนรุกขเทวดา ได้แก่เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาโกฏสิมพลิชาดกที่ ๗

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 21:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
การทรงสงเคราะห์อาคันตุกะของพระเจ้าโกศลแล้ว จึงตรัสเรื่องนี้มีคำ
เริ่มต้นว่า ราชา อปุจฺฉิ วิธูรํ ดังนี้.

ได้ยินว่า สมัยหนึ่งพระเจ้าโกศลนั้น ไม่ได้ทรงสงเคราะห์ทหาร
เก่าที่มาเฝ้าตามประเพณี แต่ได้ทรงทำสักการะสัมมานะ แก่ทหารผู้เข้า
มาใหม่ๆ ยังเป็นแขก ภายหลังเมื่อพระองค์เสด็จไปเพื่อทรงปราบปัจ-
จันตชนบทที่ก่อการร้าย ทหารเก่าก็ไม่สู้รบโดยคิดว่า ทหารใหม่ที่เป็น

แขกผู้ได้สักการะจักสู้รบ ส่วนทหารใหม่ที่เป็นแขกก็ไม่สู้รบโดยคิดว่า
ทหารเก่าจักสู้รบ. โจรเลยชนะพระราชา. พระราชาทรงปราชัยแล้ว
ทรงทราบความที่ตนปราชัย เพราะโทษคือการทรงสงเคราะห์ทหารใหม่
ที่เป็นแขก เสด็จกลับพระนครสาวัตถี ทรงดำริว่า เราคนเดียว
หรืออย่างไรทำอย่างนี้แล้วแพ้ หรือว่าพระราชาแม้เหล่าอื่น ก็เคยแพ้

ดังนี้ เสวยพระกระยาหารเช้าแล้วเสด็จไปยังพระเชตวัน ถวายนมัส-
การพระศาสดาแล้ว จึงทูลถามข้อความนั้น. พระศาสดาตรัสตอบว่า
ขอถวายพระพรมหาบพิตรมหาราช ใช่จะมีแต่มหาบพิตรพระองค์เดียว
เท่านั้นก็หาไม่ แม้พระราชาในสมัยโบราณ ทรงทำการสงเคราะห์ทหาร

ใหม่ ผู้เป็นแขกแล้วทรงปราชัยก็มี เป็นผู้อันพระราชาทูลอ้อนวอนแล้ว
ได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 21:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในอดีตกาล พระเจ้าโกรัพยะทรงพระนามว่า ธนญชัย ยุธิฏ-
ฐิลโคตร เสวยราชสมบัติในอินทปัตถนครในแคว้นกุรุ. ครั้งนั้น พระ-
โพธิสัตว์ถือกำเนิดในตระกูลปุโรหิตของพระเจ้าธนญชัย เติบใหญ่แล้ว
ได้รับการศึกษาศิลปทุกชนิดที่เมืองตักกศิลา กลับมาที่อินทปัตถนครแล้ว
ได้รับตำแหน่งปุโรหิตเป็นผู้ถวายอรรถธรรมแด่พระราชา แทนบิดาที่

ล่วงลับไปแล้ว. คนทั้งหลายได้ขนานนามท่านว่าวิธูรบัณฑิต. ครั้งนั้น
พระเจ้าธนญชัย ไม่ทรงคำนึงถึงทหารเก่า ได้ทรงทำการสงเคราะห์ทหาร
ที่เป็นแขกใหม่เท่านั้น. เมื่อพระองค์เสด็จไปปราบปัจจันตชนบทที่ก่อ
การร้าย ทหารเก่าไม่รบโดยคิดว่า ทหารใหม่ที่เป็นแขกจักรู้หน้าที่.

ทหารใหม่ที่เป็นแขกก็ไม่รบโดยคิดว่า ทหารเก่าจักรู้หน้าที่ ตกลงว่า
ทั้งทหารเก่าทั้งทหารใหม่ไม่รบเลย. พระราชาทรงปราชัยแล้ว เสด็จกลับ
อินทปัตถนครทันที ทรงดำริว่า เราปราชัยเพราะเราทำการสงเคราะห์
ทหารใหม่ที่เป็นแขก. อยู่มาวันหนึ่งพระองค์ทรงดำริว่า เราจักถาม

วิธูรบัณฑิตว่า มีเราคนเดียวหรืออย่างไร ทำการสงเคราะห์ทหารใหม่ที่
เป็นแขกแล้วปราชัย หรือพระราชาแม้องค์อื่นๆ ที่เคยปราชัยมาแล้ว
ก็มี แล้วตรัสถามข้อความนั้น กะวิธูรบัณฑิตผู้มาถึงที่เฝ้าพระราชาแล้ว
นั่ง. จึงพระศาสดาเมื่อจะทรงไขอาการที่ตรัสถามของพระราชานั้น ให้
แจ้งชัด ได้ตรัสกึ่งคาถาว่า:-

พระเจ้ายุธิฏฐิละผู้ทรงใคร่ในธรรม ได้
ตรัสถามวิธูรบัณฑิตแล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺมกาโม ได้แก่ ทรงมีสุจริต
ธรรมเป็นที่รัก.
ดูก่อนพราหมณ์ ท่านรู้บ้างไหม ? ใคร
คน ๑ กำลังเศร้าโศกมาก.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 21:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ส่วนกึ่งคาถาที่เหลือมีเนื้อความดังต่อไปนี้ ดูก่อนพราหมณ์
ธรรมดาท่านรู้บ้างไหม ว่า ใครคน ๑ ในโลกนี้เศร้าโศกมาก คือเศร้า
โศกโดยอาการต่างๆ.

พระโพธิสัตว์ครั้นสดับคำนั้นแล้ว เมื่อทรงนำอุทาหรณ์นี้มาแสดง
ว่า ข้าแต่มหาราช ความโศกของพระองค์ ชื่อว่าเป็นความโศกหรือ
ในกาลก่อนพราหมณ์เลี้ยงแพะคน ๑ ชื่อว่าธูมการี ต้อนแพะฝูงใหญ่
ไปทีเดียวสร้างคอกไว้ในป่า พักแพะไว้ในคอกนั้น ก่อไฟและควันปฏิ-
บัติฝูงแพะบริโภคนมเป็นต้นพักอยู่. แล้วเขาเห็นชะมดทั้งหลายที่มา ณ

ที่นั้นมีสีเหมือนสีทองแล้วทำความเสน่หาในชะมดเหล่านั้น กระทำ
สักการะแพะให้แก่ชะมดทั้งหลายโดยไม่คำนึงแพะ เมื่อเหล่าชะมดหนีไป
ป่าหิมพานต์ในสารทกาล และเมื่อแพะทั้งหลายหายไปแล้วไม่เห็นชะมด
จึงเป็นโรคผอมเหลือง เพราะความโศกถึงความสิ้นชีวิตแล้ว. พราหมณ์

คนนี้ทำการสงเคราะห์สัตว์ที่จรมา จึงเศร้าโศกลำบากถึงความพินาศ
มากกว่าพระองค์ร้อยเท่าพันเท่า ดังนี้ จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า:-
พราหมณ์วาเสฏฐะผู้มีฟืนมากอยู่ในป่า
กับฝูงแพะไม่เฉื่อยชา ได้ก่อไฟให้เกิดควัน
ทั้งกลางคืนทั้งกลางวัน. ชะมดทั้งหลายถูกยุง
รบกวน ได้พากันเข้าไปอาศัยอยู่ในสำนักของ

พราหมณ์นั้นตลอดฤดูฝน เพราะกลิ่นควันนั้น.
พราหมณ์นั้นเอาใจใส่ชะมด ไม่เอาใจใส่แพะ
ทั้งหลายว่า จะมาเข้าคอกหรือจะไปป่า แพะ
เหล่านั้นของเขาจึงหายไปแล้ว. แต่ในสารทกาล
ในป่าที่ยุงซาลงแล้ว ชะมดทั้งหลายก็ไปสู่ยอด


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 21:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เขาและที่ที่เป็นต้นน้ำลำธาร. พราหมณ์เห็น
ชะมดทั้งหลายไปแล้ว และแพะทั้งหลายถึง
ความวิบัติแล้ว ก็ซูบผอมมีผิวพรรณซีด และ
เป็นโรคผอมเหลือง. ผู้ใดละทิ้งคนของตน ทำ
คนที่มาใหม่ให้เป็นที่รักอย่างนี้ ผู้นั้นคนเดียว
จะเศร้าโศกมาก เหมือนพราหมณ์ธูมการีเศร้า
โศกอยู่ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พหุเตนฺโท ความว่า ผู้มีเชื้อเพลิง
เพียงพอ. บทว่า ธูมํ อกาสิ ความว่า ได้ก่อขึ้นทั้งไฟทั้งควัน เพื่อ
ประโยชน์แก่การนำไปซึ่งอันตรายคือแมลงวัน. คำว่า วาเสฏฺโ€ เป็น
โคตร คือนามสกุลของเขา. บทว่า อตนฺทิโต ได้แก่เป็นผู้ไม่เกียจคร้าน.
บทว่า ตํธูมคนฺเธน ความว่า เพราะกลิ่นควันนั้น. บทว่า สรภา ได้แก่

มฤคคือชะมด. บทว่า มกสทฺทิตา ความว่า ถูกยุงทั้งหลายรบกวน
คือเบียดเบียนแล้ว. แม้แมลงวันที่เหลือก็เป็นอันถือเอาแล้วด้วย มกส
ศัพท์นั่นเอง. บทว่า วสฺสาวาสํ ความว่า อยู่แล้วตลอดราตรีแห่งกาล
ฝน ในสำนักของพราหมณ์นั้น. บทว่า มนํ กตฺวา ความว่า ให้เกิด

ความเสน่หาขึ้น. บทว่า นาวพุชฺฌถ ความว่า ไม่รู้ว่าแพะทั้งหลาย
ออกจากป่ากำลังมาเข้าคอก ออกจากคอกกำลังไปป่า และมาแล้วจำนวน
เท่านี้ ยังไม่มาจำนวนเท่านี้. บทว่า ตสฺส ตา วิน สุํ ความว่า เมื่อ
เขาไม่ได้ตรวจตราดูแพะเหล่านั้นอยู่อย่างนี้ แพะทั้งหลาย ที่เขาไม่ได้
รักษาอยู่จากอันตรายมีสิงห์โตเป็นต้น พินาศไปแล้วเพราะอันตรายมี


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 21:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
สิงห์โตเป็นต้น หรือแพะทั้งหมดพินาศไปแล้ว. บทว่า นทีนํ ปภวานิ จ
ความว่า เข้าไปแล้วสู่ที่เป็นที่แรกเกิดของแม่น้ำทั้งหลายที่เกิดแต่ภูเขา
ด้วย. บทว่า วิภวํ ได้แก่ความไม่เจริญเห็น คือรู้แพะทั้งหลายที่ถึงความ
พินาศแล้วด้วย. บทว่า กีโสจวิวณฺโณ ความว่า พราหมณ์ละทิ้งแพะ
ทั้งที่ให้น้ำนมเป็นต้น แล้วสงเคราะห์ชะมดทั้งหลาย เมื่อไม่เห็นสัตว์

ทั้ง ๒ ชนิดนั้น ก็เป็นผู้เสื่อมจากสัตว์ทั้ง ๒ พวก ถูกความโศกครอบงำ
แล้วจึงได้เป็นคนซูบผอมและมีผิวพรรณซูบซีด. บทว่า เอวํ โย สนฺนิรงฺ
กตฺวา ความว่า เมื่อเป็นอย่างนี้นั่นแหละ ผู้ใดนำคนภายในของตน

ซึ่งเป็นคนเก่าแก่ออกไป คือละทิ้งแล้วทำความรักใคร่คนที่มาใหม่ โดย
ไม่คำนึงถึงใครๆ อีกเลย ผู้นั้นเป็นคนเดียวเช่นกับพระองค์ย่อมเศร้า
โศกมาก เหมือนพราหมณ์ธูมการีที่ข้าพระองค์ ทูลแสดงถวายพระองค์
แล้วฉะนั้น.

พระมหาสัตว์ ทูลพระราชาให้ทรงรู้สึกพระองค์อย่างนี้แล้ว. ฝ่าย
พระราชาทรงทำความรู้สึกพระองค์แล้ว ทรงเลื่อมใสแล้วได้พระราช-
ทานทรัพย์จำนวนมากแก่พระโพธิสัตว์นั้น. จำเดิมแต่นั้นมา พระองค์
ก็ทรงทำการสงเคราะห์คนภายในอยู่เท่านั้น ทรงบำเพ็ญบุญทั้งหลายมี
ทานเป็นต้นแล้ว ได้ทรงเป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในภายภาคหน้า.

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกไว้ว่า พระเจ้าโกรัพยะในครั้งนั้น ได้แก่พระอานนท์ ในบัดนี้
พราหมณ์ธูมการี ได้แก่พระเจ้าปเสนทิโกศล ส่วนวิธูรบัณฑิต ได้แก่
เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาธูมการิชาดกที่ ๘

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 21:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาชาครชาดกที่ ๙

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงปรารภ
อุบาสกคนใดคนหนึ่ง แล้วตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า โกธ ชาครตํ
สุตฺโต ดังนี้.

ความพิสดารว่า อุบาสกคนนั้น เป็นอริยสาวกผู้เป็นโสดาบัน
เดินทางกันดารไปกับพ่อค้าเกวียน. นายกองเกวียน คือหัวหน้าพ่อค้า
ปลดเกวียน ๕๐๐ เล่มไว้ ณ ที่แห่งหนึ่งในทางกันดารนั้น เป็นสถานที่
หาน้ำได้สะดวก จัดแจงเคี้ยวของกินแล้ว ก็เข้าที่พักผ่อน. คนเหล่านั้น
พากันนอน ณ ที่นั้นๆ แล้วก็หลับไป. ส่วนอุบาสกตั้งใจเดินจงกรม

ที่ควงต้นไม้ต้นหนึ่ง ใกล้ๆ นายกองเกวียน. ลำดับนั้น พวกโจร ๕๐๐
คน ผู้ต้องการจะปล้นพ่อค้านั้น ได้พากันถืออาวุธนานาชนิดมายืนล้อม
พ่อค้านั้นไว้. พวกเขาเห็นอุบาสกนั้นกำลังจงกรมอยู่ คิดว่า พวกเรา
จักปล้นเวลาอุบาสกคนนี้หลับ แล้วได้พากันอยู่ ณ ที่นั้นๆ. ฝ่ายอุบาสก
ก็ได้จงกรมอยู่ตลอดราตรี ๓ ยามทีเดียว. เวลาย่ำรุ่ง พวกโจรพากัน

ทิ้งก้อนหินและไม้ค้อนเป็นต้น ที่ถือมาแล้ว พูดว่า นายกองเกวียน
ผู้เจริญ ท่านได้ชีวิตแล้วเกิดเป็นเจ้าของของสิ่งที่มีอยู่ของท่าน เพราะ
อาศัยบุรุษคนนี้ผู้ตื่นอยู่ เพราะความไม่ประมาท ท่านควรทำสักการะ
บุรุษคนนี้ ดังนี้แล้ว จึงหลีกหนีไป. คนทั้งหลายลุกขึ้นตามเวลานั่นเอง
เห็นก้อนหินและไม้ค้อนเป็นต้น ที่พวกโจรเหล่านั้นทิ้งไว้ แล้วพูดว่า

พวกเราได้ชีวิตเพราะอาศัยอุบาสกคนนี้ แล้วได้พากันทำสักการะอุบาสก.
ฝ่ายอุบาสกไปสู่ที่ที่ตนต้องการทำกิจเสร็จแล้ว กลับมากรุงสาวัตถีอีกได้ไป
สู่พระวิหารเชตวัน บูชาพระตถาคต ถวายนมัสการแล้วนั่ง เมื่อพระองค์
ตรัสถามว่า ดูก่อนอุบาสก ท่านไม่ปรากฏตัวหรือ ? แล้วจึงกราบทูล

เนื้อความนั้น. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนอุบาสก ก็ท่านเองไม่หลับนอน
ปฏิบัติอยู่แต่ไม่ได้คุณพิเศษเลย ฝ่ายบัณฑิตในปางก่อน เมื่อปฏิบัติ
ก็ได้คุณพิเศษ ดังนี้ แล้วถูกอุบาสกทูลขอร้อง จึงทรงนำเอาเรื่องใน
อดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 124, 125, 126, 127, 128, 129, 130 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 0 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร