วันเวลาปัจจุบัน 13 ส.ค. 2025, 22:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 122, 123, 124, 125, 126, 127, 128 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 08:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อเสด็จเข้าไปอาศัยเมืองโกสัมพี ประทับอยู่ ณ
โฆสิตาราม ทรงปรารภช้างพังต้นชื่อภัททวดีของพระเจ้าอุเทน แล้วจึง
ตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า อหฺจ ทฬฺหธมฺมสฺส ดังนี้. ส่วนวิธี
ที่พระเจ้าอุเทนทรงได้ช้างพังต้นตัวนั้นก็ดี ราชวงศ์ของพระเจ้าอุเทนก็ดี
จักมีแจ้งในมาตังคชาดก.

ก็วันหนึ่ง ช้างพังต้นเดินออกจากพระนครไป ได้เห็น
พระผู้มีพระภาคเจ้า มีหมู่พระอริยห้อมล้อม เสด็จเข้าไปในพระนคร
ด้วยพุทธสิริ หาที่เปรียบมิได้เพื่อบิณฑบาตแต่เช้า จึงหมอบลงแทบบาท
มูลของ พระพุทธเจ้า ทูลขอ พระผู้มีพระภาคเจ้า โอดครวญไปพลาง
ว่า ข้าแต่พระสรรเพชญผู้ทรงภาคยธรรม ผู้ทรงช่วยเหลือสัตวโลกทั้ง

มวล. พระเจ้าอุเทนทรงโปรดปรานหม่อมฉัน ในเวลาที่หม่อมฉันยัง
สามารถช่วยราชการได้ ในเวลายังรุ่นโดยทรงเห็นว่า ตนเองได้ชีวิตได้
ราชสมบัติและพระราชเทวีมา โดยอาศัยหม่อมฉัน จึงได้พระราชทาน
การเลี้ยงดูมากมาย ทรงตกแต่งที่อยู่ประดับประดาด้วยเครื่องอลังการ

ทั้งหลาย รับสั่งให้ทำการประพรมด้วยของหอม ทรงให้ติดเพดานประ-
ดับดาวทองไว้เบื้องบนให้กั้นม่านที่วิจิตรไว้โดยรอบ ให้ตามประทีปด้วย
น้ำมันเจือด้วยของหอม ให้ตั้งกระถางอบควันไว้ ให้วางกระถางทองไว้
ในที่สำหรับเทคูถแล้วให้หม่อมฉันยืนอยู่บนแท่นที่มีเครื่องลาดอันวิจิตร

และได้พระราชทาน เครื่องกินที่มีรสเลิศนานาชนิดแก่หม่อมฉัน. แต่
บัดนี้เวลาหม่อมฉันไม่สามารถช่วยราชการได้ในเวลาแก่ พระองค์ทรง
งดการบำรุงนั้นทุกอย่าง. หม่อมฉันไม่มีที่พึ่ง เป็นผู้ไม่มีปัจจัยเครื่อง
อาศัย หากินต้นลำเจียกในป่าเลี้ยงชีพ หม่อมฉันไม่มีที่พึ่งอย่างอื่น ข้า


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 08:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
แต่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์จงทรงให้พระเจ้าอุเทนทรงรำลึก
ถึงคุณความดีของหม่อมฉัน แล้วทรงกระทำการบำรุงอย่างเดิม กลับ
เป็นปกติแก่หม่อมฉัน. พระศาสดาตรัสว่า เจ้าจงไปเถิด เราตถาคต
จักทูลพระราชาแล้วแต่งตั้งยศให้กลับเป็นปกติ แล้วได้เสด็จไปประตู
พระราชนิเวศน์. พระราชาได้ให้พระตถาคตเจ้าเสด็จเข้าไปในพระราช-

นิเวศน์ของพระองค์แล้ว ทรงถวายมหาทาน แด่พระสงฆ์มี พระพุทธ-
เจ้า เป็นประมุข. พระศาสดา เมื่อทรงทำอนุโมทนาในเวลาเสร็จภัตกิจ
แล้วได้ตรัสถามว่า ดูก่อนบพิตรมหาราช พังต้นภัททวดีอยู่ที่ไหน พระ-
ราชาทูลว่า ไม่ทราบพระพุทธเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสถึงคุณความดีของ
พังภัททวดี ว่า ดูก่อนบพิตรมหาราช ขึ้นชื่อว่าการพระราชทานยศแก่ผู้

มีอุปการคุณแล้วทรงทอดทิ้งในเวลาแก่ ย่อมไม่ควร ควรจะเป็นผู้มี
กตัญญูกตเวที. พังต้นภัททวดี บัดนี้แก่ทรุดโทรมมาก เป็นสัตว์อนาถา
หากินต้นลำเจียกในป่าประทังชีวิตอยู่ การทำให้เขาไร้ที่พึ่งในเวลาแก่
ไม่เหมาะสมแก่พระองค์แล้วตรัสว่า ขอพระองค์จงทรงทำการบำรุงอย่าง
เดิมทุกอย่างให้เป็นปกติ ดังนี้แล้วจึงเสด็จหลีกไป. พระราชาได้ทรง

กระทำอย่างนั้น. เสียงเล่าลือได้กระจายไปทั่วพระนครว่า ได้ทราบว่า
พระตถาคตเจ้าตรัสถึงคุณความดีของพังต้นภัททวดีแล้วทรงให้พระราชา
แต่งตั้งยศเก่าให้กลับคืนตามปกติ. แม้ในหมู่พระสงฆ์ประวัตินั้นก็ปรากฏ
ขึ้น. จึงภิกษุทั้งหลายพากันตั้งเรื่องสนทนากันในธรรมสภาว่า ท่านผู้

มีอายุได้ทราบว่า พระศาสดาตรัสถึงคุณความดีของพังต้นภัททวดี แล้ว
ทรงให้พระเจ้าอุเทนทรงแต่งตั้งยศเก่าให้กลับคืนตามปกติ. พระศาสดา
เสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลายนั่งสน-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 08:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ด้วยเรื่อง
ชื่อนี้ แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายไม่ใช่ในเวลานี้เท่านั้น แม้ใน
กาลก่อนตถาคต ก็กล่าวถึงคุณความดีของพังต้นภัททวดีนี้ แล้วให้พระ-
ราชาทรงแต่งตั้งยศตามปกติเหมือนกัน ดังนี้. แล้วได้ทรงนำเอาเรื่อง
ในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.

ในอดีตกาล พระราชาทรงพระนามว่า ทัฬหธรรม เสวยราช-
สมบัติในนครพาราณสี. ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์ ถือกำเนิดในตระกูล
อำมาตย์เติบโตแล้วได้รับใช้เป็นมหาดเล็ก พระราชาพระองค์นั้น. ท่าน
ได้ยศสูง ได้ดำรงอยู่ในตำแหน่งรัตนอำมาตย์ จากราชสำนักนั้น. กาล
ครั้งนั้น พระราชาพระองค์นั้นทรงมีช้างพังต้นเชือกหนึ่ง ชื่อโอฏฐิพยาธิ

มีกำลังวังชามาก. วันหนึ่งเดินทางได้ร้อยโยชน์. ทำหน้าที่นำสิ่งของที่
ต้องส่งไปถวายพระราชา คือสื่อสาร. ในสงครามทำยุทธหัตถี ทำการ
ย่ำยีศัตรู. พระราชาทรงดำริว่า ช้างพังเชือกนี้มีอุปการะแก่เรามาก จึง
พระราชทานเครื่องอลังการ คือคชาภรณ์ทุกอย่าง แก่พังต้นเชือกนั้น

แล้วได้พระราชทานการบำรุงทุกอย่าง เช่นกับที่พระเจ้าอุเทนพระราช-
ทานแก่พังต้นภัททวดี. ภายหลังเวลาพังต้นโอฎฐิพยาธินั้นแก่แล้วหมด
กำลัง ทรงยึดยศทุกอย่างคืน. ต่อแต่นั้นมา มันก็กลายเป็นช้างอนาถา
หากินหญ้าและใบไม้ในป่าประทังชีวิตอยู่. อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อภาชนะ

ไม่พอใช้ในราชตระกูล จึงรับสั่งให้หาช่างหม้อเข้าเฝ้าแล้วตรัสว่า ได้
ทราบว่าภาชนะไม่พอใช้ ช่างจึงทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์
หาโคเทียมเกวียนเข็นโคมัยไม่ได้ พระพุทธเจ้าข้า. พระราชาทรงสะดับ
คำของช่างแล้ว จึงตรัสถามว่า พังต้นโอฏฐิพยาธิของเราอยู่ที่ไหน ?


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 08:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อำมาตย์จึงทูลว่า เที่ยวไปตามธรรมดาของตนพระพุทธเจ้าข้า. พระ-
ราชาได้พระราชทานพังต้นเชือกนั้น แก่ช่างหม้อด้วยพระดำรัสว่า ต่อ
แต่นี้ไปจงเทียมพังต้นเชือกนั้นเข็นโคมัย. ช่างหม้อรับพระดำรัสว่า ดี
แล้ว พระพุทธเจ้าข้า แล้วได้ทำอย่างนั้น. อยู่มาวันหนึ่ง มันออกจาก
พระนครไปเห็นพระโพธิสัตว์กำลังเข้าพระนคร จบแล้วหมอบแทบเท้า

ของท่าน โอดครวญพลางกล่าวว่า ข้าแต่นาย พระราชาทรงกำหนดรู้
ฉันว่ามีอุปการะมาก ในเวลายังรุ่น ได้พระราชทานยศสูง แต่บัดนี้ เวลา
ฉันแก่ งดหมดทุกอย่าง ไม่ทรงทำแม้แต่การคิดถึงฉัน ฉันไม่มีที่พึ่ง
จึงเที่ยวหากินหญ้าและใบไม้ประทังชีวิตอยู่ บัดนี้ได้พระราชทานฉันผู้

ตกยากอย่างนี้ให้ช่างหม้อ เพื่อเทียมยานน้อย. เว้นท่านแล้วผู้อื่นที่
จะเป็นที่พึ่งของฉันไม่มี ท่านรู้อุปการะที่ฉันทำแก่พระราชาแล้ว ได้
โปรดเถิด ขอท่านจงทำยศของฉันที่เสื่อมไปแล้วให้กลับคืนมาตามปกติ
เถิด แล้วได้กล่าวคาถา ๓ คาถาว่า:-

ก็ฉันเมื่อนำพาราชกิจของพระเจ้าทัฬห-
ธรรม ได้คาดลูกศรไว้ที่หน้าอก มีปกติประ-
พฤติความกล้าหาญในการรบ ก็ไม่ยังพระองค์
ให้โปรดปรานได้. พระราชาไม่ทรงทราบความ

เพียรของลูกผู้ชายของฉัน และการสื่อสาร ที่
ฉันทำได้อย่างดีในสงคราม เป็นแน่. ฉันนั้น
ไม่มีพวกพ้อง ไม่มีที่พึ่ง จักตายแน่ๆ มิหนำซ้ำ
พระราชายังได้พระราชทานฉันแก่ช่างหม้อ ให้
เป็นผู้ขนมูลสัตว์โคมัย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วหนฺตี ความว่า เมื่อทำลายการ
นำสาร คือคลังแห่งกำลังในสงคราม ชื่อว่านำพาคือช่วยเหลือราชกิจ
นั้นๆ บทว่า นุทนฺตี อุรสิ สลฺลํ ความว่า นำดาบหรือหอกที่ผูก
ไว้ที่หน้าอกไปเฉพาะเบื้องบนศัตรูทั้งหลายในเวลารบ. บทว่า วิกฺกนฺต-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 08:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
จารินี ความว่า ถึงความเป็นผู้กล้าหาญในการรบเป็นปกติด้วยการทำ
ความกล้าหาญ แล้วพิชิตกำลังของฝ่ายปรปักษ์. มีคำอธิบายว่า ข้าแต่
นาย ถ้าหากฉันทำราชกิจเหล่านี้อยู่ ก็ไม่ยังพระราชหฤทัยของพระเจ้า
ทัฬหธรรมให้ยินดีได้ คือไม่ให้พระองค์พอพระราชหฤทัยแล้วไซร้ บัดนี้
ใครคนอื่นจักยังพระราชหฤทัยของพระองค์ให้ทรงยินดี. บทว่า มม

วิกฺกมโปริสํ ได้แก่ความบากบั่นของบุรุษที่ฉันได้ทำแล้ว. บทว่า สุก-
ตนฺตานิ ความว่า ทำเรียบร้อยแล้ว. ราชกิจทั้งหลายที่ทำเรียบร้อย
แล้วนั่นแหละ ที่เรียก สุกตนฺตานิ คือทำดีแล้ว ในที่นี้เหมือนงาน
ทั้งหลายนั่นแหละ เขาเรียกว่า กมฺมนฺตานิ คือการงานและเหมือน

ป่านั่นแหละ เขาเรียกว่า วนนฺตานิ. บทว่า ทูตวิปฺปหิตานิ จ
ความว่า การส่งสารที่ฉันผู้ที่เขาผูกหนังสือไว้ที่คอแล้วส่งไปโดยบอกว่า
จงถวายแก่พระราชาชื่อโน้น แล้วก็เดินไปวันเดียวเท่านั้นตั้งร้อยโยชน์
บทว่า น นูน ราชา ชานาติ ความว่า พระราชานั้นไม่ทรงทราบ
ราชกิจทั้งหลายเหล่านั้นที่ฉันทำถวายพระองค์แน่นอน. บทว่า อปรายินี

ความว่า ไม่มีที่พึ่งที่ระลึก. บทว่า ตทา หิ ได้แก่ ตถา หิ คือจริง
อย่างนั้น. อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะว่าตถา หิ นี้เหมือนกัน. บทว่า ทินฺนา
ความว่า เพราะฉันเป็นผู้ที่พระราชาพระราชทานแก่ช่างหม้อ ทำให้
เป็นผู้ขนมูลสัตว์แล้ว.

พระโพธิสัตว์สดับถ้อยคำของเขาแล้วจึงปลอบใจว่า เจ้าอย่าโศก
เศร้าไปเลย ฉันจักทูลพระราชาแล้วให้พระราชทานยศตามปกติ แล้วเข้า
ไปพระนคร รับประทานอาหารเข้าแล้วไปราชสำนักยกเรื่องขึ้นทูลถาม
ว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์ทรงมีช้างพังต้นชื่อโอฏฐิพยาธิ มิใช่หรือ ?

เขาผูกหลาวไว้ที่หน้าอกแล้วช่วยสงครามในที่โน้นและในที่โน้น วันโน้น
ถูกผูกหนังสือ คือสารที่คอแล้วส่งไปสื่อสาร ได้เดินทางไปร้อยโยชน์.
ฝ่ายพระองค์ก็ได้พระราชทานยศแก่เขามาก บัดนี้ เขาอยู่ที่ไหน ? พระ-

ราชาตรัสตอบว่า เราได้ให้เขาแก่ช้างหม้อ เพื่อเข็นโคมัยแล้ว. ลำดับนั้น
พระโพธิสัตว์จึงทูลพระองค์ว่า ข้าแต่มหาราช การพระราชทานแก่ช่าง
หม้อ เพื่อให้เทียมล้อ ที่พระองค์ทรงทำแล้วไม่สมควรเลย. แล้วได้
ภาษิตคาถา ๔ คาถา โดยการถวายโอวาทพระราชาว่า:-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 08:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
คนยังมีหวังอยู่ตราบใด ตราบนั้นก็ยัง
คบหากันอยู่ เมื่อเขาเสื่อมจากประโยชน์ คน
โง่ทั้งหลาย ก็จะทอดทิ้งเขา เหมือนขัตติยราช
ทรงทอดทิ้งช้างพังต้นฉะนั้น. ผู้ใดที่ผู้อื่นทำ
ความดีให้ก่อน สำเร็จประโยชน์ที่ต้องการแล้ว
ย่อมไม่รู้คุณ ประโยชน์ทั้งหลายที่เขาปรารถนา

แล้วของผู้นั้นจะเสื่อมสลายไป. ส่วนผู้ใด ที่
คนอื่นทำความดีให้แล้ว สำเร็จประโยชน์ที่
ต้องการแล้ว ก็ยังรู้คุณ ประโยชน์ทั้งหลาย
ที่เขาปรารถนาแล้ว ของผู้นั้นจะเพิ่มพูนขึ้น.

เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอบอกท่านทั้งหลาย
ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย มีจำนวน
ที่มาประชุมกัน ณ ที่นี้. ขอท่านทุกคนจงเป็น
ผู้รู้คุณที่ผู้อื่นทำแล้วแก่ตน ท่านทั้งหลายจัก
สถิตอยู่ในสวรรค์ ตลอดกาลนาน.

บรรดาคาถาเหล่านั้น คาถาที่ ๑ มีเนื้อความว่า คนบางคนใน
โลกนี้เป็นชาติแห่งผู้ไม่รู้ คือโง่ก่อน. บทว่า ยาวตาสึสตี ความว่า
ตราบใดเขายังหวังอยู่ว่า คนนี้จักอาจกระทำสิ่งนี้แก่เรา ตราบนั้นเขา
ก็ยังคบหาสมาคมคนคนนั้นอยู่ แต่ในเวลาเขาเสื่อมประโยชน์แล้ว คือ

ในเวลาไม่ถึงความเจริญแล้ว ได้แก่เวลาเสื่อมเสียแล้ว คนโง่บางจำพวก
ก็จะละทิ้งคนๆ นั้น ผู้ดำรงอยู่แล้วในกิจนานาชนิด เหมือนขัตติยราช-
พระองค์นี้ ทรงละทิ้งช้างพังโอฏฐิพยาธิตัวนี้ ฉะนั้น. บทว่า กตกลฺ-
ยาโณ ความว่า ผู้มีกัลยาณธรรมที่ผู้อื่นทำแล้วแก่ตน. บทว่า กตตฺโถ
ความว่า ผู้สำเร็จกิจแล้ว. บทว่า นาวพุชฺฌติ ความว่า ไม่ระลึกถึง


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อุปการะนั้น ที่คนอื่นทำแล้ว ในเวลาเขาแก่แล้ว คือยึดเอายศแม้ที่ตน
ให้แล้วอีกคืน. บทว่า ปลุชฺชนฺติ ความว่า หักสะบั้นไปคือพินาศไป.
ด้วยบทว่า เย โหนฺติ อภิปตฺถิตา พระโพธิสัตว์แสดงว่า ขึ้นชื่อว่าคน
โง่บางพวกที่ปรารถนาแล้ว จะพินาศทั้งหมด. เพราะว่า ความปรารถนา
นั้นของบุคคลผู้ประทุษร้ายต่อมิตรจะพินาศไป เหมือนพืชที่วางไว้ใกล้

ไฟฉะนั้น. บทว่า กตตฺโถ มนุพุชฺฌติ ท่านรับเอาแล้วด้วยสามารถ
แห่งพยัญชนะสนธิ. บทว่า ตํ โว วทามิ ความว่า เพราะเหตุนั้น
ข้าพเจ้าขอกล่าวกะท่านทั้งหลาย. บทว่า €สฺสถ ความว่า ท่านทั้งหลาย
เป็นคนกตัญญูจักเสวยทิพยสมบัติสถิตอยู่ในสวรรค์ตลอดกาลนาน.

พระมหาสัตว์ได้ให้โอวาทแก่คนทั้งหมด ตั้งต้นแต่พระราชาที่
มาประชุมกันแล้ว. พระราชาทรงสดับโอวาทนั้นแล้ว ได้ทรงแต่งตั้งยศ
ให้ช้างพังต้นโอฏฐิพยาธิ ตามปกติ. พระองค์ทรงดำรงอยู่ในโอวาทของ
พระโพธิสัตว์แล้ว ทรงบำเพ็ญบุญมีทานเป็นต้น ตลอดกาลนานแล้ว
ได้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกไว้ว่า ช้างพังต้นชื่อโอฏฐิพยาธิในครั้งนั้น ได้แก่พังภัททวดีในบัดนี้
พระราชา ได้แก่พระอานนท์ ส่วนอำมาตย์ ได้แก่เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาทัฬหธัมมชาดกที่ ๔

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 08:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาโสมทัตตชาดกที่ ๕

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
หลวงตารูปหนึ่ง แล้วจึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า โย มํ ปุเร
ปจฺจุเทติ ดังนี้.

ได้ยินว่า หลวงตานั้นบวชสามเณรรูปหนึ่ง. สามเณรนั้นเป็น
ผู้อุปัฏฐากท่าน ได้มรณภาพ ด้วยโรคชนิดนั้น. เมื่อสามเณรนั้น
มรณภาพหลวงตาเดินร้องไห้คร่ำครวญไปพลาง. ภิกษุทั้งหลายเห็นท่าน
แล้วตั้งเรื่องขึ้นสนทนากันในธรรมสภาว่า ดูก่อนอาวุโส หลวงตารูป
โน้นเดินร้องไห้คร่ำครวญไปพลาง เพราะการมรณภาพของสามเณร

ท่านเห็นจะเว้นจากรรมฐาน ข้อมรณานุสสติ. พระศาสดาเสด็จมาถึงตรัส
ถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร
หรือ ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ แล้วได้ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่เฉพาะแต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน เมื่อ
สามเณรมรณภาพแล้ว หลวงตานั้นก็ร้องไห้เหมือนกัน. เป็นผู้ที่ภิกษุ

ทั้งหลายทูลอ้อนวอนแล้ว จึงได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อ
ไปนี้:-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติอยู่ในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์ เสวยชาติเป็นท้าวสักกะ. ครั้งนั้น พราหมณ์
มหาศาล ชาวกาสีนิคมคนหนึ่ง ละทิ้งกามทั้งหลายออกไปป่าหิมพานต์
บวชเป็นฤๅษี มีหัวมันและผลไม้ในป่าเป็นอาหาร อยู่โดยการประพฤติ

ด้วยการแสวงหา. วันหนึ่ง ท่านไปเพื่อต้องการผลไม้น้อยใหญ่ เห็น
ลูกช้างเชือกหนึ่ง จึงนำมาอาศรมของตน ให้ดำรงอยู่ในฐานเป็นบุตร
ตั้งชื่อมันว่า โสมทัตตะเลี้ยงดูไว้ให้กินหญ้าและใบไม้. มันเติบโตขึ้นมี
ร่างกายใหญ่ วันหนึ่ง กินเหยื่อมากไปได้อ่อนกำลังลง เพราะไม่ย่อย

ดาบสให้มันอยู่ใกล้อาศรม แล้วไปเพื่อต้องการผลไม้น้อยใหญ่. เมื่อท่าน
ยังไม่มานั่นเอง ลูกช้างได้ล้ม. ดาบสถือเอาผลไม้น้อยใหญ่มา สงสัยว่า
ในวันอื่นๆ ลูกของเราทำการต้อนรับ วันนี้ไม่เห็นไปไหนหนอ ? เมื่อ
คร่ำครวญได้กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า:-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 13:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
โสมทัตตมาตังคะ ซึ่งในวันก่อนมาต้อน
รับเราไกลถึงในป่าเป็นเวลานาน เราไม่เห็น
ไปที่ไหนเสียแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุเร ความว่า ก่อนแต่วันนี้. บทว่า
ปจฺจุเทติ ความว่า ออกมาต้อนรับ. บทว่า อรฺเ ทูรํ ความว่า
ต้อนรับเราไกลถึงในป่า ที่ไม่มีคนนี้. บทว่า อายติ ความว่า ถึงพร้อม
ด้วยกาลที่ยาวนาน.

ดาบสเดินมาพลางคร่ำครวญไปพลางอย่างนี้ เห็นลูกช้างนั้นล้ม
อยู่ที่จงกรมแล้ว เมื่อจักคอคร่ำครวญอยู่ จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า:-

นี้เองคือช้างโสมทัตตเชือกนั้น นอนตาย
แล้ว มันนอนตายอยู่ที่พื้นดิน เหมือนยอด
เถาย่านทราย ที่ถูกเด็ดทิ้งแล้ว โสมทัตตกุญชร
ได้ตายไปแล้วหนอ.

วา ศัพท์ ในคำว่า อยํ วา ในคาถานั้น มีความหมายว่า ทำ
ให้แจ่มชัด. ดาบสเมื่อจะให้เรื่องนั้นชัดแจ้งว่า ช้างเชือกนี้เอง คือช้าง
โสมทัตตนั้น ไม่ใช่เชือกอื่น. บทว่า อลฺลปิตํ ได้แก่ปลายหน่อของเถา
ย่านทราย. บทว่า วิจฺฉิโต ความว่า เด็ดขาดแล้ว มีอธิบายว่า เหมือน

หน่อเถาย่านทราย ที่เขาเอาเล็บเด็ดทิ้งลงที่เนินทรายร้อนๆ ในกลางฤดู
ร้อน. บทว่า ภุมฺยา ได้แก่ ภูมิยํ คือบนพื้นดิน. บทว่า อมรา วต
ความว่า ตายแล้วหนอ. ปาฐะว่า อมรี ก็มี.

ในขณะนั้น ท้าวสักกะกำลังตรวจดูสัตว์โลก ทรงเห็นเหตุการณ์
นั้น ทรงดำริว่า ดาบสนี้ละทิ้งลูกเมียไปบวชแล้ว บัดนี้ยังมาสร้างความ
สำคัญในลูกช้างว่าเป็นลูกคร่ำครวญอยู่ เราจักให้ท่านสลดใจแล้วได้สติ
ดังนี้แล้ว จึงมายังอาศรมบทของท่านสถิตอยู่ที่อากาศนั่นเอง กล่าวคาถา
ที่ ๓ ว่า:-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 13:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เมื่อท่านเป็นอนาคาริก หลุดพ้นไปแล้ว
การที่ท่านโศกเศร้าถึงสัตว์ที่ตายไปแล้ว ไม่
เป็นการดีสำหรับท่านผู้เป็นสมณะ.

ดาบสครั้นได้ฟังคำนั้นแล้ว จึงได้กล่าวคาถาที่ ๔ ว่า:-
ข้าแต่ท้าวสักกะ ความรักใคร่ย่อมเกิด
ขึ้นในดวงใจของมนุษย์หรือมฤค เพราะการ
อยู่ร่วมกันโดยแท้ อาตมภาพจึงไม่อาจจะไม่
เศร้าโศกถึงสัตว์ที่เป็นที่รักได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มิคสฺสวา ความว่า ในที่นี้ท่าน
เรียกสัตว์เดียรฉานทั้งหมดว่า มฤค. บทว่า ตํ โยค ปิยายิตํ สตฺตํ
คือสัตว์ที่เป็นที่รัก.
ลำดับนั้น ท้าวสักกะเมื่อจะโอวาท ท่านได้ภาษิตคาถา ๒ คาถา
ว่า:-

เหล่าสัตว์ผู้ร้องไห้คร่ำครวญ ก็ร้องไห้
ถึงสัตว์ผู้ตายไปแล้วและจักตาย เพราะฉะนั้น
ท่านฤษี ท่านอย่าได้ร้องไห้เลย เพราะสัต-
บุรุษทั้งหลายเรียกการร้องไห้ว่าเป็นโมฆะ ข้า
แต่ท่านผู้ประเสริฐ ถ้าคนที่ตายแล้ว ล่วงลับ
ไปแล้ว พึงกลับฟื้นขึ้นมาไซร้ พวกเราทุกคน
ก็จงมาชุมนุมกันร้องไห้ถึงญาติของกันและกัน
เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เย รุทนฺติ ลปนฺติ จ ความว่า
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ เหล่าชนผู้ร้องไห้คร่ำครวญทุกคน ย่อมร้องไห้ถึง
คนที่ตายไปแล้วนั่นแหละและจักตาย. เมื่อพวกเขาพากันร้องไห้อยู่อย่าง
นี้ ก็ไม่มีเวลาน้ำตาจะเหือดหน้า เพราะฉะนั้น ท่านฤษี ท่านอย่า


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 13:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ร้องไห้ไปเลย. เพราะเหตุไร ? บทว่า โรทิตํ โมฆมาหุ สนฺโต
ความว่า เพราะบัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า การร้องไห้เป็นสิ่งไร้ผล. บทว่า
มโต เปโต ความว่า ถ้าหากคนที่ตายแล้วนั้นถึงการนับว่า เป็นผู้
ล่วงลับไปแล้ว จะพึงฟื้นขึ้นมาเพราะการร้องไห้ไซร้. เมื่อเป็นเช่นนั้น
พวกเราแม้ทุกคน ก็จงไปชุมนุมกันร้องไห้ถึงญาติของกันและกันเถิด.
พวกเราจงออกไปเถิดเฝ้ากันอยู่ทำไม.

ดาบสได้ฟังคำนั้นแล้ว กลับได้สติ ปราศจากความเศร้าโศกเช็ด
น้ำตาแล้วได้กล่าวคาถาที่เหลือ ด้วยการสดุดีท้าวสักกะว่า:-

อาตมภาพถูกไฟ คือความโศกแผดเผา
แล้วหนอ. มหาบพิตรทรงช่วยดับความร้อนรน
ทุกอย่างให้หายไป เหมือนเอาน้ำดับไฟที่ไหม้
เปรียงก็ปานกัน มหาบพิตร ได้ทรงถอนลูกศร
คือความโศก อันปักอยู่ที่หัวอกของอาตมภาพ
ออกไปแล้ว เมื่ออาตมภาพถูกความโศก

ครอบงำ มหาบพิตรได้ทรงบรรเทาความโศก
ถึงบุตรนั้นเสียได้ ข้าแต่ท้าวสักกะ อาตมภาพ
นั้นเป็นผู้มีลูกศรคือความโศก อันมหาบพิตร
ทรงถอนออกแล้ว หายโศกแล้ว ใจก็ไม่ขุ่น
มัว ทั้งจะไม่เศร้าโศก ไม่ร้องไห้ต่อไป เพราะ
ได้ฟังเทพดำรัสของมหาบพิตรแล้ว.

ท้าวสักกะครั้นทรงโอวาทดาบสอย่างนี้แล้ว ได้เสด็จไปสู่ที่ประ-
ทับของพระองค์นั่นเอง.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาประกาศสัจธรรมทั้ง
๔ แล้ว ทรงประชุมชาดกไว้ว่า ลูกช้างในครั้งนั้น ได้แก่สามเณรใน
บัดนี้ ดาบส ได้แก่หลวงตา ส่วนท้าวสักกะ ได้แก่เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาโสมทัตตชาดกที่ ๕

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 13:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาสุสีมชาดกที่ ๖

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
มหาภิเนษกรมณ์ แล้วตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า กาฬานิ เกสานิ ปุเร
อเหสุํ ดังนี้.

ในสมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายพากันนั่งที่ธรรมสภา พรรณนาถึง
การเสด็จออกอภิเนษกรมณ์ของพระทศพล. พระศาสดาเสด็จมาถึง แล้ว
ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายนั่งสนทนากันด้วยเรื่อง
อะไรหนอ ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ แล้วตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่เราตถาคตผู้บำเพ็ญบารมีเต็มแล้วมากมาย

หลายแสนโกฏิกัปป์ออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ในบัดนี้ ไม่น่าอัศจรรย์ แม้
ในกาลก่อนเราตถาคตก็ทอดทิ้งราชสมบัติ ในกาสิกรัฐประมาณสาม-
ร้อยโยชน์ออกสู่อภิเนษกรมณ์เหมือนกัน แล้วได้ทรงนำเอาเรื่องใน
อดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดในท้องของภรรยาหลวงของปุโรหิต
ของพระองค์. ในวันที่พระโพธิสัตว์เกิดนั่นเอง ฝ่ายพระราชโอรสของ
พระเจ้าพาราณสีก็ประสูติ. ในวันขนานนามและพระนามของกุมาร

และพระราชกุมารเหล่านั้น พวกปุโรหิตขนานนามพระมหาสัตว์นั้นว่า
สุสีมกุมาร ส่วนพระนามของพระราชบุตรว่า พรหมทัตกุมาร. พระเจ้า-
พาราณสีทรงดำริว่า สุสีมกุมารเกิดวันเดียวกันกับบุตรของเรา จึงมี


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 13:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระบรมราชโองการไปยังพระโพธิสัตว์ พระราชทานพี่เลี้ยง ทรงให้
เจริญวัยพร้อมกับพระราชกุมารนั้น. กุมารแม้ทั้ง ๒ นั้น จำเริญวัยแล้ว
เป็นผู้มีรูปร่างสวยงาม มีผิวพรรณเหมือนเทพกุมาร เรียนศิลปะทุกอย่าง
ที่เมืองตักกสิลา สำเร็จแล้วก็กลับมา. พระราชบุตรทรงเป็นอุปราช
ทรงเสวย ทรงดื่ม ประทับนั่ง ประทับบรรทมอยู่ร่วมกับพระโพธิสัตว์

โดยสิ้นรัชกาลพระชนก ก็เสวยราชย์แทน พระราชทานยศสูงแก่
พระมหาสัตว์ ทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งปุโรหิต วันหนึ่งรับสั่งให้เตรียม
พระนคร แล้วทรงแต่งพระองค์เหมือนท้าวสักกเทวราช ประทับนั่งบน
คอช้างต้นที่เมามัน มีส่วนเปรียบด้วยช้างเอฬาวรรณที่ตบแต่ง แล้ว
ทรงให้มหาสัตว์นั่งบนหลังช้าง ณ ที่นั่งด้านหลัง ทรงทำปทักษิณ

พระนคร. ฝ่ายสมเด็จพระราชชนนีประทับยืนที่ช่องพระแกล ด้วย
พระดำริว่า เราจักมองดูลูก ทอดพระเนตรเห็นปุโรหิตนั่งอยู่เบื้อง
พระปฤษฎางค์ของพระราชานั้นผู้ทรงทำปทักษิณพระนครแล้วเสด็จมา
ทรงมีพระทัยปฏิพัทธ์ จึงเสด็จเข้าห้องบรรทม ทรงงดพระกระยาหาร

แล้วเสด็จบรรทมด้วยหมายพระทัยว่า เราเมื่อไม่ได้ปุโรหิตนี้ก็จักตาย
ณ ที่นี้นั่นเอง. พระราชาเมื่อไม่ทรงเห็นพระราชชนนี จึงตรัสถามว่า
แม่ของฉันไปไหน ? ทรงสดับว่า ประชวร จึงเสด็จไปถึงที่ประทับ
ของพระราชชนนี ทรงถวายบังคม แล้วตรัสถามว่า เสด็จแม่พระเจ้าข้า

เสด็จแม่ประชวรเป็นอะไร ? พระนางไม่ตรัสบอกพระองค์ เพราะทรง
ละอาย. พระองค์จึงเสด็จไปประทับนั่งบนพระราชบัลลังก์ รับสั่งให้
เรียกพระมเหสีของพระองค์มา ทรงส่งไปด้วยพระดำรัสว่า เธอจงไป
แล้วทราบการประชวรของเสด็จแม่. พระนางเสด็จไป แล้วทรงนวด

พระปฤษฎางค์ไปพลางทูลถามไปพลาง. ธรรมดาผู้หญิงทั้งหลายจะไม่
ซ่อนความลับต่อผู้หญิงด้วยกัน. พระราชชนนีนั้น ตรัสบอกเนื้อความ
นั้น. ฝ่ายพระราชินีทรงสดับคำนั้น แล้วจึงเสด็จไปทูลพระราชา-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 14:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระราชารับสั่งว่า เรื่องนั้นยกไว้เถอะ เธอจงไป จงให้เสด็จแม่เบา
พระทัย ฉันจักตั้งปุโรหิตให้เป็นพระราชา แล้วตั้งเสด็จแม่ให้เป็น
อัครมเหสี. พระนางจึงได้เสด็จไป แล้วทรงให้พระราชชนนีเบาพระทัย.
ฝ่ายพระราชารับสั่งให้ปุโรหิตเข้าเฝ้า แล้วตรัสบอกเนื้อความนั้น แล้ว
รับสั่งว่า สหายเอ๋ย ขอสหายจงให้ชีวิตแก่เสด็จแม่ สหายจงเป็น

พระราชา เสด็จแม่จะเป็นพระมเหสี เราจะเป็นอุปราช. ปุโรหิตนั้น
ทูลคัดค้านว่า ข้าพระองค์ไม่อาจทำอย่างนั้นได้ แต่เมื่อพระองค์ทรง
รบเร้าบ่อยๆ ก็รับ. พระราชาได้ทรงอภิเษกปุโรหิตให้เป็นพระราชา
พระราชชนนีให้เป็นอัครมเหสี ส่วนพระองค์ทรงเป็นอุปราช. เมื่อ

ทั้ง ๒ พระองค์นั้น ทรงประทับอยู่สมัครสมานกัน ในกาลต่อมาพระ-
โพธิสัตว์ ทรงระอาพระทัยในท่ามกลางเรือน การครองเรือน ทรง
ละกามทั้งหลาย แล้วทรงมีพระทัยน้อมไปในการบรรพชา ไม่ทรงอาลัย
ไยดีถึงความยินดีด้วยอำนาจกิเลส ประทับยืน ประทับนั่ง เสด็จบรรทม
แต่ลำพังพระองค์เดียวได้เป็นเสมือนถูกจองจำอยู่ที่เรือนจำ และเป็น

เสมือนไก่ถูกขังไว้ในกรง. ลำดับนั้น พระมเหสีของพระองค์ ทรงดำริ
ว่า พระราชาพระองค์นี้ ไม่ทรงอภิรมย์กับเรา ประทับยืน ประทับนั่ง
และทรงบรรทมแต่ลำพังพระองค์เดียว แต่พระราชาพระองค์นี้ เป็นคน
หนุ่ม ส่วนเราเป็นคนแก่ผมหงอกปรากฏบนศีรษะของเรา ถ้ากระไรแล้ว

เราควรจะสร้างความเท็จขึ้นว่า ข้าแต่สมมติเทพ บนพระเศียรของ
พระองค์ปรากฏพระเกษาหงอก ดังนี้ ให้พระราชาทรงยอมรับ แล้ว
ทรงอภิรมย์กับเราด้วยอุบายนั้น วันหนึ่ง จึงทรงทำเป็นเสมือนหาเหา
บนพระเศียรของพระราชา ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรง

ชราแล้ว บนพระเศียรของพระองค์ปรากฏพระเกษาหงอกเส้นหนึ่ง
เพคะ. พระราชาตรัสว่า ข้าแต่นางผู้เจริญ ถ้ากระนั้น ขอเธอจงถอน


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 14:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ผมหงอกเส้นนั้นมาวางไว้บนมือของฉัน. พระนางจึงทรงถอนพระเกษา
เส้น ๑ จากพระเศียรของพระราชาทิ้งมันไป แล้วทรงหยิบเอาพระ-
เกษาหงอกเส้น ๑ จากพระเศียรของตน แล้ววางบนพระหัตถ์ของพระ-
ราชานั้น โดยทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ นี้พระเกษาหงอกของพระองค์.
พระเสโทไหลออกจากพระนลาฏ ที่เสมือนกับแผ่นทองของพระโพธิสัตว์

ผู้ทรงสะดุ้ง เพราะทรงเห็นพระเกษาหงอกเท่านั้น แล้วก็ทรงกลัว.
พระองค์เมื่อทรงโอวาทตน ทรงดำริว่า ดูก่อนสุสีมะ เจ้าเป็นคนหนุ่ม
แต่กลายเป็นคนแก่ไปแล้ว เจ้าจมอยู่ในเปือกตม คือกาม เหมือนหมู

บ้านจมอยู่แล้วในเปือกตม คือคูถ ฉะนั้น ไม่สามารถถอนตนขึ้นได้
บัดนี้เป็นเวลาของเจ้าที่จะละกามทั้งหลายเข้าสู่ป่าหิมพานต์บวช แล้ว
ประพฤติพรหมจรรย์มิใช่หรือ ? ดังนี้ แล้วจึงได้กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า:-

เมื่อก่อนผมสีดำ เกิดบนศีรษะของเจ้า
ตามที่ของมันแล้ว สุสีมะเจ้า วันนี้เจ้าเห็น
เส้นผมเหล่านั้นมีสีขาว แล้วจงประพฤติธรรม
เถิด เวลานี้เป็นเวลาแห่งการประพฤติพรหม-
จรรย์แล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยถาปเทเส ความว่า พระโพธิสัตว์
ตรัสว่า ก่อนแต่นี้ ผมทั้งหลายมีสีเหมือนแมลงภู่และดอกอัญชัญ ได้
เกิดแล้วบนศีรษะของเจ้า ซึ่งเป็นถิ่นที่เหมาะแก่ผมทั้งหลายในที่นั้นๆ
บทว่า ธมฺมํ จร ความว่า พระโพธิสัตว์ทรงบังคับตนเองว่า เจ้าจง
ประพฤติธรรม คือกุศลกรรมบถ ๑๐. บทว่า พฺรหฺมจริยสฺส มีเนื้อ
ความว่า เป็นเวลาแห่งเมถุนวิรัติของเจ้าแล้ว. เมื่อพระโพธิสัตว์พรรณนา

คุณการประพฤติพรหมจรรย์อย่างนี้แล้ว พระราชินีทรงสะดุ้งพระทัย
เพราะทรงกลัวว่า เราตั้งใจว่าจะทำการมัดพระทัยพระราชาไว้ แต่กลาย
เป็นทำการสละไปเสีย จึงทรงดำริว่า เราจักสรรเสริญพระฉวีวรรณ
แห่งพระสรีระ เพื่อต้องการไม่ให้พระราชาพระองค์นี้เสด็จออกผนวช
จึงได้ตรัสพระคาถา ๒ คาถาว่า:-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 122, 123, 124, 125, 126, 127, 128 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร