วันเวลาปัจจุบัน 12 ส.ค. 2025, 04:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 115, 116, 117, 118, 119, 120, 121 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาชาดกนี้ ชื่อว่า อรรถกถาฉักกนิบาต ประดับด้วย
ชาดก ๒๐ ชาดก จบบริบูรณ์แล้ว ด้วยประการฉะนี้. ปกรณ์นี้ที่พระ-
โอรสองค์เล็กของพระเจ้าอภัยสังคหะ ผู้มีพระทัยน้อมไปในการบรรพชา
ตั้งแต่เวลามีพระชนม์ ๗ พรรษา มีพระหฤทัยผ่องใส ทรงผนวชแล้ว

โดยพระนามฉายาว่า อคฺคาณะ ทรงมีพรรษา ๒ ตั้งแต่ทรงผนวช
มาสมมุติกันว่าเป็นศิษย์เอกของพระเถระ ชาวบ้านมณีหริตคิรีคาม ผู้
เป็นพระราชาคณะพระนามว่า พระสีลสัมบันตรีปิฎกธร อรรถธรรม
โกศลสาสน์ ทรงลิขิตไว้สำเร็จเสร็จสิ้นในเวลาบ่ายวันที่ ๗ ขึ้น ๑๐ ค่ำ
ศุกรปักษ์ เดือนอ้าย.
รวมวรรคที่มีอยู่ในฉักกนิบาตมี ๒ วรรค คือ:-
๑. อาวาริยวรรค ๒. ขุรปุตวรรค
จบ ฉักกนิบาตชาดก

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 20:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาสัตตกนิบาตชาดก
อรรถกถากุกกุวรรคที่ ๑
อรรถกถากุกกุชาดกที่ ๑


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
พระราโชวาท ตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า ทิยฑฺฒกุกฺกุ ดังนี้. เรื่อง
ปัจจุบันจักมีแจ้งในเตสกุณชาดก.

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นอำมาตย์ ผู้ถวายอรรถธรรมแด่พระองค์
พระราชาทรงดำรงอยู่ในการลุอำนาจอคติ ทรงครองราชย์โดยไม่เป็น
ธรรม รีดนาทาเร้นชนบทเก็บทรัพย์อย่างเดียว. พระโพธิสัตว์ประสงค์
จะถวายพระโอวาทพระราชา เดินพิจารณาหาอุบายข้อหนึ่งไป. อนึ่ง

ในพระราชอุทยานมีพระตำหนักประทับผิดปกติ มุงหลังคายังไม่เสร็จ
เพียงแต่ยกยอดโดมไม้ขึ้น แล้วเอาจันทันสอดพาดไว้. พระราชาเสด็จ
ไปพระราชอุทยาน เพื่อต้องการทรงกรีฑา เสด็จดำเนินไปทั่วทุกแห่ง
ในพระราชอุทยานนั้นแล้วเสด็จเข้าพระตำหนักนั้น เมื่อทอดพระเนตร
เห็นยอดโดม จึงเสด็จออกมาประทับยืนข้างนอก เพราะทรงกลัว

จะตกลงเบื้องบนพระองค์ ทรงตรวจดูอีก ทรงดำริว่า ยอดโดม
วางอยู่ได้เพราะอาศัยอะไรหนอ จันทันวางอยู่ได้เพราะอาศัยอะไร
เมื่อจะตรัสถามพระโพธิสัตว์ จึงได้กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า:-

ยอดโดมสูงศอกครึ่ง จันทันประมาณ
๘ คืบ ยันยอดโดมนั้นไว้ ยอดโดมนั้น ทำด้วย
ไม้แก่นไม่มีกระพี้ ทรงตัวอยู่ได้อย่างไร จึง
ไม่ตกลงจากข้างบน.


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 21:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิยฑฺฒกุกฺกุ ความว่า ศอกครึ่ง.
บทว่า อุทเยน ความว่า โดยส่วนสูงกว่า. บทว่า ปริกฺขิปนฺติ
ความว่า จันทัน คือ ๘ คืบ ยันยอดโดมนี้นั้นไว้ อธิบายว่า ประมาณ
๘ คืบ โดยใช้ยันไว้. บทว่า กุหึ €ิตา ความว่า เป็นสิ่งที่ถูกวางไว้
ที่ไหน. บทว่า น ธํสติ ความว่า ไม่ตกไป.

พระโพธิสัตว์ได้ฟังพระราชดำรัสนั้นแล้ว คิดว่า บัดนี้เราได้
อุบายเพื่อจะถวายพระโอวาทพระราชาแล้ว จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ถวาย
ว่า:-

จันทัน ๓๐ ตัว ทำด้วยไม้แก่น ไม่มี
กระพี้เหล่าใดวางเรียงยันกันไว้ ยอดโดมที่
จันทันเหล่านั้นยึดไว้ดีแล้ว และถูกกำลัง
บีบบังคับวางขนาบไว้ จึงไม่ตกไปจากข้างบน
ฉันใด. แม้พระราชาผู้ทรงเป็นบัณฑิต ก็
ฉันนั้น ที่เหล่าองคมนตรีผู้เป็นมิตรมั่นคง มี

รูปแบบไม่แตกกัน มีความสะอาด ยึด
เหนี่ยวกันไว้ดีแล้ว ก็ไม่ทรงพลาดไปจากสิริ
เหมือนกับยอดโดมที่แบกภาระของจันทันไว้
ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยา ตึสติ สารมยา ความว่า
จันทัน ๓๐ ตัวเหล่าใดทำด้วยไม้แก่น. บทว่า ปฏิกิริย ความว่า
พยุงไว้. บทว่า สมฏฺ€ิตา ความว่า วางเรียงไว้เสมอกัน. บทว่า
พลสา จ ปีฬิตา ความว่า ที่จันทันเหล่านั้น ๆ และกำลังของมันบีบ

บังคับยึดกันไว้อย่างดี คือติดเนื่องเป็นอันเดียวกัน. บทว่า ปณฺฑิโต
ได้แก่พระราชาผู้ทรงปรีชา. บทว่า สุจีหิ ความว่า อันกัลยาณมิตร
ทั้งหลาย ผู้มีความประพฤติสะอาดเสมอ. บทว่า มนฺติภิ ความว่า


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 21:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ผู้ฉลาดเพราะความรู้ บทว่า โคปาณสีภารวหาว กณฺณิกา ความว่า
ยอดโดมแบกภาระจันทันทั้งหลายไว้ไม่ตกฉันใด แม้พระราชาก็ฉันนั้น
เป็นผู้ที่องค์มนตรีทั้งหลายมีประการดังที่กล่าวแล้ว มีจิตใจไม่แตกแยก
กัน จะไม่ทรงพลาด คือไม่ตกไปได้แก่ไม่ขาดหายไปจากสิริ.

พระราชา เมื่อพระโพธิสัตว์กล่าวอยู่นั่นแหละ ทรงกำหนดดู
พระราชกิริยาของพระองค์แล้ว จึงทรงทราบว่า เมื่อยอดโดมไม่มี จันทัน
ทั้งหลายก็วางอยู่ไม่ได้. ยอดโดมที่จันทันไม่ยึดรั้งไว้ก็ตั้งอยู่ไม่ได้. เมื่อ
จันทันแยกกันยอดโดมก็หล่นฉันใด พระราชาผู้ไม่ทรงธรรมก็ฉันนั้น
เหมือนกัน เมื่อไม่ทรงยึดเหนี่ยวใจมิตรอำมาตย์ กำลังพลของตนและ

พราหมณ์คหบดีทั้งหลายไว้ เมื่อคนเหล่านั้นแตกแยกกัน ไม่พากัน
ยึดเหนี่ยวพระทัยพระองค์ไว้ก็จะเสื่อมจากอิสริยยศ ธรรมดาพระราชา
ควรจะเป็นผู้ทรงธรรม ดังนี้. จึงในขณะนั้น คนทั้งหลายได้นำผลมะงั่ว
มา เพื่อต้องการเป็นบรรณาการทูลเกล้าถวายพระองค์. พระราชา
จึงตรัสกะพระโพธิสัตว์ว่า สหายเอ๋ย เชิญรับประทานผลมะงั่วนี้เถิด.

พระโพธิสัตว์รับเอาผลมะงั่วนั้นแล้ว เมื่อทูลแสดงอุบายรวบรวมทรัพย์
คือการเก็บภาษีถวายพระราชาด้วยอุปมานี้ว่า ข้าแต่มหาราช คนทั้งหลาย
ไม่รู้การกินผลมะงั่วนี้จะทำให้มีแต่รสขม ส่วนผู้ฉลาดรู้รสเปรี้ยวนำแต่
รสขมออกไป ไม่นำรสเปรี้ยวออก ไม่ให้รสมะงั่วเสีย ภายหลังจึงรับ
ประทานดังนี้แล้ว จึงกล่าวคาถา ๒ คาถาความว่า:-

ผู้มีมีด แม้เมื่อไม่ปอกเปลือกผลมะงั่วที่
มีเปลือกแข็งออกจะทำให้มีรสขม ข้าแต่
พระราชา บุคคลเมื่อปอกเปลือกเป็น จะทำ
ให้มีรสอร่อย เมื่อปอกแต่เปลือกบางๆ ออก
ก็คงทำให้รสไม่อร่อยฉันใด. ฝ่ายพระราชา

ผู้ทรงพระปรีชา ก็ฉันนั้น ไม่ทรงเร่งรัดเก็บ
ทรัพย์ที่ควรตำหนิ คือขูดรีดภาษี ควรทรง
ปฏิบัติคล้อยตามธรรมะ ทำความสุขสำราญ
แก่ราษฎร ไม่ทรงเบียดเบียนผู้อื่น.


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 21:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ขรตฺตจํ ได้แก่มีเปลือกแข็ง. บทว่า
เพลฺลํ ได้แก่ผลมะงั่ว. ปาฐะว่า พาลํ ก็มี. ความหมายก็เป็นอย่างนี้
เหมือนกัน. บทว่า สตฺถวา ความว่า ผู้มีศัสตราเล็ก คือมีดในมือ.
บทว่า อโนมสนฺโต ความว่า เมื่อปอกเปลือกเป็น คือเมื่อเฉือน

เปลือกนอกออกและไม่นำรสเปรี้ยวออกไปทำให้รสอร่อย. พระโพธิสัตว์
เรียกพระราชาว่า ปตฺถวา บทว่า ตนุพนฺธมุทฺธรํ ความว่า แต่ว่า
ปอกแต่เปลือกบางๆ ออกไป คงทำให้ผลมะงั่วนั้นอร่อยไม่ได้เลย เพราะ
ไม่ได้นำรสขมออกไปให้หมดสิ้น. บทว่า เอวํ ความว่า ฝ่ายพระราชา

ผู้ทรงพระปรีชาพระองค์นั้นก็ฉันนั้น ไม่ทรงเร่งรัด คือไม่ลุอำนาจตัณหา
ที่ผลุนผลัน ทรงละการลุอำนาจอคติ ไม่ทรงเบียดเบียนราษฎร ทรง
เก็บเงินภาษีโดยทำนองปลวกทั้งหลายพัฒนา คือก่อจอมปลวก และ
โดยทำนองผึ้งทั้งหลายที่เคล้าเอาเกษรมาทำน้ำผึ้ง เป็นผู้ทรงคล้อยตาม
ธรรมะปฏิบัติอยู่โดยการคล้อยตามราชธรรม ๑๐ ประการเหล่านี้ คือ:-

ทาน ๑ ศีล ๑ การบริจาค ๑ ความ
ซื่อตรง ๑ ความอ่อนโยน ๑ ความเคร่งครัด ๑
ความไม่โกรธ ๑ ความไม่เบียดเบียน ๑
ความอดทน ๑ ความไม่ผิด ๑.

ควรทรงทำความสำราญ คือความเจริญให้ตนเองและผู้อื่น
ไม่เบียดเบียนผู้อื่นเลย.
พระราชาทรงปรึกษากับพระโพธิสัตว์ไปพลาง เสด็จดำเนินไป
พลางถึงฝั่งสระโบกขรณี ทอดพระเนตรเห็นดอกบัวที่บานงามอยู่ในสระ
นั้น แต่ไม่เปียกน้ำมีสีเหมือนแสงพระอาทิตย์อ่อนๆ จึงตรัสว่า สหาย
ดอกบัวนี้เกิดในน้ำนั่นแหละ แต่อยู่ได้ไม่เปียกน้ำ. ลำดับนั้น


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 09:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระโพธิสัตว์ เมื่อทูลโอวาทพระราชานั้นว่า ถึงพระราชาก็ควรเป็น
แบบนี้เหมือนกัน จึงได้ทูลคาถาว่า:-
ดอกบัวหลวงมีเง่าขาว ผุดขึ้นจากน้ำที่
สะอาด เกิดในสระโบกขรณี บานเพราะ
พระอาทิตย์ มีแสงเหมือนแสงไฟ โคลนตม
ก็ไม่เปื้อน ผงธุลีก็ไม่เลอะ น้ำก็ไม่เปียกมัน
ฉันใด. พระราชาผู้เช่นนั้น ก็ฉันนั้น กรรม
กิเลสจะไม่เปรอะเปื้อนพระองค์ ผู้มีพระราช
วินิจฉัยสะอาด ไม่ทรงผลุนผลัน มีพระราชกิจ
บริสุทธิ์ ทรงปราศจากกรรมที่เป็นบาป เหมือน
ดอกบัวที่เกิดในสระโบกขรณีทั้งหลายฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โอทาตมูลํ ได้แก่มีเง่าขาว. คำว่า
อัมพุช เป็นไวพจน์ของดอกบัวนั่นเอง. บทว่า อคฺคินิภาสิผาลิมํ
ความว่า บานแล้ว อธิบายว่า แย้มบานแล้ว เพราะพระอาทิตย์มีแสง
เหมือนแสงไฟ. บทว่า น กทโม น รโช น วาริ ลิปฺปติ ความว่า
โคลนตม ก็ไม่เปื้อน ผงธุลีก็ไม่เลอะ น้ำก็ไม่เปียก อธิบายว่า ไม่

เปรอะเปื้อน. ปาฐะ บาลีว่า ลิมปติ ก็มี. อีกอย่างหนึ่ง บทเหล่านั้น
เป็นปฐมาวิภัติใช้ในความหมายสัตมีวิภัติ. ความหมายก็ว่า ไม่แปดเปื้อน
คือไม่ติดอยู่ในโคลนตมเป็นต้นเหล่านั้น. บทว่า โวหารสุจึ ความว่า
ทรงเป็นผู้สะอาดในเพราะการทรงตัดสินคดีตามกฎหมาย ที่พระราชา

ทั้งหลายผู้ทรงธรรมเก่าก่อนทรงตราไว้ อธิบายว่า ผู้ทรงละการลุอำนาจ
อคติทำการวินิจฉัยโดยธรรม. บทว่า อสาหสํ ความว่า ชื่อว่าทรง


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 09:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เว้นจากพระราชกิริยาที่หุนหันพลันแล่น เพราะเหตุที่ทรงดำรงอยู่ใน
พระราชวินิจฉัยที่ชอบธรรมนั่นเอง. บทว่า วิสุทฺธกมฺมํ ความว่า
ชื่อว่า ทรงมีพระราชกิจบริสุทธิ์ คือมีปกติตรัสคำจริง ได้แก่ไม่ทรง
พิโรธ หมายความว่า ทรงเป็นกลาง เท่ากับว่าทรงเป็นเหมือนตราชู

เพราะเหตุที่พระองค์ไม่ทรงผลุนผลันนั้นนั่นเอง. บทว่า อเปตปาปกํ
ได้แก่ทรงปราศจากบาปกรรม. บทว่า น ลิมฺปติ กมฺมกิเลส ความว่า
กรรมกิเลสนี้ คือ ปาณาติบาต ๑ อทินนาทาน ๑ กาเมสุมิจฉาจาร ๑
มุสาวาท ๑ ไม่ติดเปื้อนพระราชานั้น. เพราะเหตุไร ? เพราะพระราชา

ผู้เช่นนั้นก็เหมือนดอกบัวที่เกิดแล้วในสระโบกขรณี. อธิบายว่า ข้าแต่
มหาราช พระราชาผู้เช่นนั้นทรงเป็นผู้ชื่อว่าอันอะไร ไม่เปื้อนเปรอะ
แล้ว เหมือนดอกปทุมที่เกิดแล้วในสระโบกขรณี อันอะไรไม่เปื้อน
เปรอะแล้ว.

พระราชาทรงดำรงอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์แล้ว จำเดิม
แต่นั้นมา ก็ทรงครองราชย์โดยธรรม ทรงบำเพ็ญบุญทั้งหลายมีทาน
เป็นต้น แล้วได้ทรงเป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ได้ทรงประชุม
ชาดกไว้ว่า พระราชาในครั้งนั้น ได้แก่พระอานนท์ในบัดนี้ ส่วนอำมาตย์
ผู้เป็นบัณฑิต คือเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถากุกกุชาดกที่ ๑

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 09:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถามโนชชาดกที่ ๒

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน ทรงปรารภภิกษุ
ผู้คบหาสมาคมฝ่ายที่ผิดแล้ว จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ยถา จาโป
นินฺนมติ ดังนี้.

ความพิสดารว่า ในมหิฬามุขชาดกในหนหลัง. แต่ครั้งนั้น
พระศาสดาตรัสว่า ไม่ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในปางบรรพ์ภิกษุนั้น
ก็เป็นผู้ซ่องเสพฝ่ายที่ผิดเหมือนกัน แล้วได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมา
สาธก ดังต่อไปนี้:-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์เป็นสิงห์โตตัวผู้ อยู่กับสิงห์โตตัวเมีย ได้ลูก
๒ ตัว คือลูกตัวผู้ ๑ ตัว ตัวเมีย ๑ ตัว. ลูกตัวผู้ได้มีชื่อว่า มโนชะ.
มันเติบโตแล้ว รับเอาลูกสิงห์โตตัวหนึ่งมาเป็นเมีย. ดังนั้นสิงห์โต

เหล่านั้น จึงมีรวมกัน ๕ ตัว. สิงห์โตมโนชะ ได้ฆ่ากระบือเป็นต้น
ในป่า นำเนื้อมาเลี้ยงพ่อแม่น้องสาวและเมีย. อยู่มาวันหนึ่งมันเห็น
สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง ชื่อคิริยะที่ถิ่นหากินเหยื่อหนีไม่ทัน ได้นอนหมอบ
ลง จึงถามว่า สหายเอ๋ยอะไรกัน เมื่อสุนัขจิ้งจอกบอกว่า ข้าแต่นาย

ฉันประสงค์จะปรนนิบัตินาย จึงรับมันไว้แล้วนำมายังถ้ำซึ่งเป็นที่อยู่
ของตน. พระโพธิสัตว์เห็นพฤติการณ์นั้นแล้ว แม้ห้ามอยู่ว่า ลูกมโนชะ
เอ๋ย ธรรมดาสุนัขจิ้งจอกทั้งหลาย ทุศีล มีบาปธรรม ประกอบสิ่งที่
ไม่ใช่กิจ เจ้าอย่าเอาสุนัขจิ้งจอกนั้นไว้ในสำนักของตน ดังนี้ ก็ไม่อาจ

จะห้ามได้. อยู่มาวันหนึ่งสุนัขจิ้งจอกอยากจะกินเนื้อม้า จึงพูดกะมโนชะ
ว่า ข้าแต่นาย ขึ้นชื่อว่าเนื้ออย่างอื่นเว้นไว้แต่เนื้อม้า ที่พวกเราไม่


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 09:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เคยกินไม่มี พวกเราจักตระครุบม้ากันเถอะ. มโนชะถามว่า ม้ามีที่ไหน
นะ ? สุนัขจิ้งจอกตอบว่า ที่ฝั่งแม่น้ำเมืองพาราณสี. มโนชะรับคำ
สุนัขจิ้งจอกแล้ว ไปกับมันในเวลาที่ม้าทั้งหลายพากันอาบน้ำในแม่น้ำ
ตะครุบม้าได้ตัวหนึ่ง ยกขึ้นหลังมาถึงประตูถ้ำของตนทีเดียว ด้วยกำลัง

สิงห์โต. ลำดับนั้น พ่อของเขากัดกินเนื้อม้าแล้ว จึงพูดว่า ธรรมดา
ม้าเป็นสัตว์สำหรับใช้สอยของหลวง. และพระราชาทั้งหลาย ก็ทรงมี
มายามากมาย ตรัสสั่งให้พวกนายขมังธนูผู้ฉลาด คือแม่นธนูยิง. ขึ้น
ชื่อว่าสิงห์โตที่กินเนื้อม้า ที่จะอายุยืนไม่มี ต่อแต่นี้ไปเจ้าอย่าตะครุบ

ม้ามากิน. มโนชะไม่ทำตามคำพ่อยังตะครุบอยู่นั่นแหละ. พระราชา
ทรงสดับว่า สิงห์โตตะครุบม้ากิน จึงทรงให้สร้างสระโบกขรณี สำหรับ
ม้าไว้ภายในพระนครนั่นเอง. แม้จากสระโบกขรณีนั้น สิงห์โตก็ยังมา
ตะครุบเอาเหมือนกัน. พระราชาจึงทรงให้สร้างโรงม้า แล้วให้หญ้าและ

น้ำแก่ม้า ในภายในโรงนั้นเอง. สิงห์โตก็ไปทางด้านบนกำแพง ตะครุบ
เอาจากภายในโรงนั่นแหละ. พระราชาตรัสสั่งนายขมังธนูยิงเร็ว คือยิง
ไม่ขาดระยะ คนหนึ่งมา แล้วตรัสว่า ดูก่อนพ่อ เจ้าจักอาจยิงสิงห์โต
ได้ไหม ? เขาทูลว่า ได้พระพุทธเจ้าข้า แล้วได้ให้คนสร้างป้อมไว้ชิด

กำแพงใกล้ทางสิงห์โตมาแล้วได้ยืนบนนั้น. สิงห์โตมาแล้วให้สุนัขจิ้งจอก
ยืนอยู่นอกป่าช้า แล้ววิ่งเข้าพระนคร เพื่อจะตะครุบม้า. ฝ่ายนายขมัง
ธนู เวลาสิงห์โตมา คิดว่า สิงห์โตมีความรวดเร็วมาก จึงยังไม่ยิง
แต่เวลามันตะครุบม้าแล้วเดินไป จึงยิงสิงห์โต ที่ลดความเร็วลงแล้ว
เพราะแบกหนัก ด้วยลูกศรที่แหลมคมที่ด้านหลัง. ลูกศรทะลุออกทาง

ด้านหน้าแล้ว วิ่งไปในอากาศ. สิงห์โตร้องว่า ข้าถูกยิงแล้ว. นาย
ขมังธนูยิงสิงห์โตนั้น สะบัดสายดังเหมือนสายฟ้า สุนัขจิ้งจอกได้ยิน


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 09:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เสียงสิงห์โตและเสียงสายธนูแล้ว คิดว่า สหายของเราจักถูกนายขมัง-
ธนูยิงให้ตายแล้ว ธรรมดาว่าความคุ้นเคยกับสัตว์ทั้งหลายที่ตายแล้ว
ย่อมไม่มี บัดนี้ เราจักไปที่อยู่ของเราตามปกตินั่นแหละ. เมื่อจะเจรจา
กับตัวเอง จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า:-

เพราะเหตุที่ธนูโก่ง และสายธนูสะบัด
ฉะนั้น มโนชะมฤคราชสหายของเรา ถูกฆ่า
แน่นอน. ช่างเถอะ วันนี้เราจะหลีกเข้าป่าที่
เร้นลับไปตามสบาย เพื่อนเช่นนี้จะไม่มี เรา
ยังมีชีวิตอยู่ คงได้เพื่อนอีก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยถา ความว่า ธนูโก่ง เพราะ
เหตุใด. บทว่า หฺเต นูน ความว่า ถูกฆ่าแน่. บทว่า เนตาทิสา
ความว่า ธรรมดาสหายแบบนี้ คือผู้ตายแล้ว จะไม่มี. บทว่า ลพฺภา
ความว่า ธรรมดาว่าสหาย เรามีชีวิตอยู่อาจหาได้อีก.

ฝ่ายสิงห์โตวิ่งไปด้วยความเร็วอย่างเอกทีเดียว สลัดให้ม้าตกลง
ที่ประตูถ้ำ แล้วตนเองก็ล้มลงตาย. ภายหลังญาติของมันพากันออกไปดู
ได้เห็นมันเปื้อนเลือด มีเลือดไหลออกจากปากแผลที่ถูกยิง ถึงความสิ้น
ชีวิต เพราะคบสัตว์เลว. พ่อ แม่ น้องสาวและเมียของมัน ได้พากัน
กล่าวคาถา ๔ คาถา ตามลำดับว่า:-


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 09:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ผู้คบสัตว์เลวตามปกติ จะไม่ประสบ
ความสุขโดยส่วนเดียว จงดูมโนชะผู้นอนอยู่
เถิด ผู้เชื่อฟังอนุสาสนี ของสุนัขจิ้งจอกชื่อ
คิริยะ. แม่จะไม่บันเทิงใจ เพราะลูกมีเพื่อน
ที่เลวทราม จงดูมโนชะผู้นอนจมกองเลือด

ของตนอยู่เถิด. คนผู้ที่ไม่ทำตามถ้อยคำคนที่
เกื้อกูล ผู้ชี้ประโยชน์ให้ จะประสบอย่างนี้
และจะพบเพื่อนที่เลวทรามกว่า. เมื่อเป็นเช่น
นั้น คนผู้ที่สูงส่ง แต่คบพาคนที่ต่ำทราม จะ
เป็นคนเลวกว่าคนนั้นทีเดียว. จงดูพระยาเนื้อ

คือมโนชะผู้สูงส่ง แต่คบหาสัตว์ต่ำช้า คือ
สุนัขจิ้งจอก ถูกกำจัดด้วยกำลังลูกศร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อจฺจนฺตํ สุขเมธติ ความว่า ไม่
ได้ความสุขตลอดกาลนาน. บทว่า คิริยสฺสานุสาสนี ความว่า พระ
โพธิสัตว์ผู้เป็นพ่อ กล่าวตำหนิว่า นี้เป็นอนุสาสนีของสุนัขจิ้งจอก
คิริยะมีรูปอย่างนี้. บทว่า ปาปสมฺปวงฺเกน ความว่า มีเพื่อนที่เลว

ทราม. บทว่า อจฺฉนฺตํ ได้แก่จมลง. บทว่า ปาปิโย จ นิคจฺฉติ
ความว่า จะพบเพื่อนที่เลวทราม. บทว่า หิตานํ ความว่า ผู้มุ่งประ-
โยชน์เกื้อกูล. บทว่า อตฺถทสฺสินํ ความว่า ผู้ชี้แนะประโยชน์อนาคต
บทว่า ปาปิโย ได้แก่เลวกว่า. บทว่า อธมชนูปเสวี ความว่า คบ

หาคนชั่วช้า. บทว่า อุตฺตมํ ความว่า ผู้เจริญที่สุด ด้วยกำลังร่างกาย.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสอภิสัมพุทธคาถาหลังสุดว่า:-


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 13:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
คนผู้คบหาคนเลวทรามเป็นปกติ จะ
เสื่อมเสีย แต่ผู้คบหาคนเสมอกันเป็นปกติ
จะไม่เสื่อมเสียในกาลไหนๆ ส่วนผู้คบหาคนที่
ประเสริฐที่สุดอยู่ จะเข้าถึงเขาโดยเร็ว. เพราะ
ฉะนั้น คนควรคบแต่คนที่สูงกว่าตน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิหียติ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง-
หลาย ธรรมดาว่าผู้คบคนเลว ย่อมเสื่อมไป คือเสียหาย ได้แก่ถึงความ
พินาศ. บทว่า ตุลฺยเสวี ความว่า ผู้คบหาคนผู้เช่นกับด้วยตน ด้วย
คุณความดีทั้งหลาย มีศีลเป็นต้นอยู่ จะไม่เสื่อมเสีย. แต่เขาจะมีความ
เจริญอย่างเดียว. บทว่า เสฏฺ€มุปคมํ ความว่า เมื่อเข้าไปหาคนที่สูงๆ
ความว่า จะเข้าถึงเขาด้วยคุณความดีมีศีลเป็นต้น โดยเร็วทีเดียว.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ
สัจธรรมทั้งหลาย แล้วทรงประชุมชาดกไว้ ในที่สุดแห่งสัจจะ ภิกษุ
ผู้คบหาฝ่ายผิด ได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. หมาจิ้งจอกในครั้งนั้น ได้
แก่พระเทวทัตในบัดนี้ มโนชะ ได้แก่ภิกษุผู้คบฝ่ายผิด น้องสาว ได้แก่

พระอุบลวรรณาเถรี เมีย ได้แก่พระเขมาภิกษุณี แม่ ได้แก่มารดา
พระราหุล ส่วนพ่อ ได้แก่เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถามโนชชาดกที่ ๒

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 13:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาสุตนชาดกที่ ๓

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุผู้เลี้ยงมารดา จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ราชา เต ภตฺตํ ดังนี้.
เรื่องจักมีชัดใน ๓ ชาดก. แต่ในที่นี้มีดังต่อไปนี้.

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลคหบดีผู้ตกยาก. ญาติทั้งหลาย
ได้ขนานนามให้ท่านว่า สุตนะ. ท่านเติบโตแล้วได้รับจ้างเลี้ยงบิดา
มารดา เมื่อบิดาถึงแก่กรรมแล้ว ก็เลี้ยงมารดา. แต่ในเวลานั้น พระเจ้า-

พาราณสีได้ทรงเป็นผู้มีพระทัยฝักใฝ่ในการล่าเนื้อ. อยู่มาวันหนึ่ง
พระองค์เสด็จไปป่าไกลประมาณ ๑ โยชน์ พร้อมด้วยบริวารจำนวนมาก
ตรัสสั่งให้บอกแก่ทุกคนว่า ถ้าเนื้อหนีออกไปทางที่ผู้ใดยืนอยู่ ผู้นั้น
ถูกปรับสินไหม ชื่อนี้. อำมาตย์ทั้งหลายได้พากันกั้นซุ้มถวายพระราชา

ในที่ที่เป็นทางเดิน. บรรดาเนื้อทั้งหลายที่ถูกพวกมนุษย์ล้อมที่อยู่ของ
เนื้อ ไล่ให้ลุกออกไปด้วยก้อนดินและท่อนไม้ ละมั่งตัวหนึ่ง วิ่งไปที่ที่
พระราชาประทับยืน. พระราชาหมายพระทัยว่า เราจักยิงมัน แล้วได้
ทรงยิงลูกศรไป. แต่เนื้อได้ศึกษามารยามาแล้ว รู้ลูกศรที่บ่ายหน้ามา

อย่างสบายมาก. จึงทำเป็นเหมือนต้องลูกศรล้มกลิ้งลง. พระราชาทรง
เข้าพระทัยว่า เนื้อถูกเรายิงแล้ว จึงทรงวิ่งไปเพื่อต้องการจับ. แต่เนื้อ
ลุกขึ้นวิ่งหนีไปโดยเร็วเหมือนลม. พวกอำมาตย์เป็นต้น ได้พากัน
เยาะเย้ยพระราชา. พระองค์จึงทรงติดตามเนื้อไปทัน ในเวลามันล้า

ทรงใช้พระขรรค์ฟันออกเป็น ๒ ท่อน คล้องไว้ที่ท่อนไม้ท่อนหนึ่ง
เป็นเหมือนคานหามเสด็จมา ทรงแวะเข้าไปต้นไทรที่อยู่ใกล้ทาง ด้วย
พระดำริว่า เราจักพักผ่อนหน่อยหนึ่ง แล้วทรงม่อยหลับไป. ก็ยักษ์
ชื่อมรรคเทพเกิดที่ต้นไทรนั้น ได้สิทธิที่จะกินสัตว์ตัวที่เข้าไปใต้ต้นไม้

นั้น จากสำนักท้าวเวสสุวัณ. มันจับพระหัตถ์พระราชาผู้ทรงลุกขึ้น
แล้วกำลังจะเสด็จไปไว้ โดยขู่ว่า หยุด หยุด ท่านเป็นภักษาหารของ
เราแล้ว.


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 13:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระราชาตรัสถามว่า ท่านเป็นใคร ?
เราเป็นยักษ์ผู้เกิดขึ้นที่นี้ ได้สิทธิกินคนและสัตว์ผู้เข้ามาในที่นี้
ยักษ์ตอบ.
พระราชาทรงตั้งพระสติ แล้วตรัสถามว่า เจ้าจักกินเฉพาะวันนี้
หรือๆ จักกินเป็นประจำ.
เมื่อได้ก็จักกินเป็นประจำ มันตอบ.

พระราชาตรัสว่า วันนี้เจ้าจงกินเนื้อนี้ แล้วปล่อยเราไป ตั้งแต่
พรุ่งนี้ไป เราจะส่งคนมาให้ท่าน ๑ คน พร้อมกับสำรับอาหาร ๑ สำรับ.
ถ้าอย่างนั้นท่านอย่าลืมในวันที่ท่านไม่ได้ส่งคนมา ข้าพเจ้าจะ
กินตัวท่านเอง ยักษ์พูดย้ำ เราเป็นราชาเมืองพาราณสี ขึ้นชื่อว่า สิ่งไม่มี
ไม่มีสำหรับเรา พระราชาตรัสรับรอง.

ยักษ์รับปฏิญญา แล้วได้ปล่อยพระองค์ไป. พระองค์เสด็จเข้า
พระนคร แล้วตรัสบอกข้อความนั้นแก่อำมาตย์ ผู้แจ้งความ คือโฆษก
คนหนึ่ง แล้วตรัสถามว่า บัดนี้ เราควรจะทำอย่างไร ?
อำ. ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ทรงทำการกำหนดวันหรือไม่ ?
รา. ไม่ได้ทำ.

อำ. พระองค์ทรงทำสิ่งที่ไม่สมควร แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น
พระองค์อย่าได้ทรงคิด คนในเรือนจำมีอยู่มาก.
รา. ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงทำงานนั่น เจ้าจงให้ชีวิตฉันไว้.

อำมาตย์รับใส่เกล้าใส่กระหม่อมว่า สาธุ แล้วเบิกคนจากเรือนจำ
ให้แบกกับข้าวไปส่งยักษ์ทุกวัน โดยไม่ให้รู้เรื่องอะไรเลย. ยักษ์กิน
ภัตตาหาร แล้วก็กินคนด้วย. ต่อมาเรือนจำทั้งหลายเกิดไม่มีคน คือ
นักโทษ. พระราชา เมื่อไม่ได้คนนำสำรับกับข้าวไป ก็ทรงหวาดหวั่น
เพราะทรงกลัวความตาย. ลำดับนั้น อำมาตย์เมื่อจะทรงปลอบพระทัย

พระองค์ จึงทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ คนมีความหวังในทรัพย์มีมากกว่า
คนมีความหวังชีวิต ข้าพระองค์จักให้วางห่อเงินพันกหาปณะไว้บนคอ
ช้าง แล้วให้เที่ยวตีกลองประกาศว่า ใครจักรับเอาทรัพย์นี้ แล้วถือเอา
ภัตตาหารไปให้ยักษ์ แล้วก็ให้ทำอย่างนั้น. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 29 ธ.ค. 2018, 13:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ได้ยินคำนั้นแล้ว คิดว่า เราเก็บรวบรวมเงินจากค่าจ้างได้มาสก ๑ บ้าง
ครึ่งมาสกบ้าง เลี้ยงมารดาโดยยากลำบาก เราจักรับเอาทรัพย์นี้ให้มารดา
แล้วจักไปสำนักของยักษ์ ถ้าหากเราจักอาจทรมานยักษ์ได้ไซร้ ข้อนี้
จะเป็นกุศล แต่ถ้าจักไม่อาจไซร้ มารดาของเราก็จักมีชีวิตอยู่อย่างสบาย.

เขาทำความตกลงใจ แล้วจึงบอกข้อความนั้นให้มารดาทราบ ถูกมารดา
ห้ามถึง ๒ ครั้งว่า อย่าเลยลูก แม่ไม่ต้องการทรัพย์ ครั้งที่ ๓ ไม่บอก
กล่าวมารดาเลย บอกอำมาตย์ว่า นำมาเถิดพอมหาจำเริญทรัพย์ ๑ พัน
ข้าพเจ้าจักนำภัตตาหารไปให้ยักษ์ ให้ทรัพย์แก่มารดา แล้วพูดว่า แม่

แม่อย่าคิดอะไร. ผมจะทรมานยักษ์ ทำความสวัสดีแก่มหาชน แล้วจัก
กลับมา. ให้ดวงหน้าของคุณแม่ที่เปียกน้ำตา ยิ้มแย้ม ในวันนี้ทีเดียว
ไหว้แม่ให้เบาใจ แล้วไปราชสำนักกับราชบุรุษ ถวายบังคมแล้ว ได้ยืน
อยู่. ต่อแต่นั้น ตัวเขา เมื่อพระราชาตรัสถามว่า ดูก่อนพ่อ เจ้าหรือ
จักนำภัตตาหารไป ? จึงทูลว่า ใช่แล้ว พระพุทธเจ้าข้า.

รา. เธอควรจะได้อะไร ?
โพ. ข้าแต่สมมติเทพ ฉลองพระบาททองคำของใต้ฝ่าละออง
ธุลีพระบาท.
รา. เพราะเหตุไร ?

โพ. ข้าแต่สมมติเทพ ยักษ์นั้น จะได้กินเฉพาะคนที่ยืนอยู่บน
พื้นที่ภายใต้ควงไม้ของตน ข้าพระพุทธเจ้าจะไม่ยืนบนพื้นที่ที่เป็นของ
ยักษ์นั้น แต่จักยืนอยู่บนฉลองพระบาท.
รา. ควรจะได้อะไร อย่างอื่นอีก ?
โพ. ฉัตรพระพุทธเจ้าข้า.
รา. ฉัตรนี้ เพื่อประโยชน์อะไร ?


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
* ชีวิตจะปลอดภัย เพราะใจปลอดจากบาปอกุศล
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 115, 116, 117, 118, 119, 120, 121 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร