วันเวลาปัจจุบัน 12 ส.ค. 2025, 01:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 114, 115, 116, 117, 118, 119, 120 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 18:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์ ที่หมู่บ้านในแคว้นกาสี
ตำบลหนึ่ง เติบโตแล้วได้เรียนศิลปะในเมืองตักกศิลา ต่อมาได้บวชเป็น
ฤๅษี เข้าไปอาศัยสระบัวแห่งหนึ่งอยู่ วันหนึ่งลงไปสระนั้น ได้ยืนดม
ดอกบัวที่บานงดงาม. ครั้งนั้นเทพธิดาตนหนึ่งสถิตอยู่ที่ลำต้นต้นไม้เมื่อ
จะให้ท่านสลดใจ จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า:-

ดูก่อนท่านผู้เช่นกับด้วยเรา ท่านดม
ดอกไม้ที่เกิดในน้ำ ดอกบัวที่เขาไม่ได้ให้นี้ใด
การดมนี้นั้นเป็นองค์ๆ หนึ่ง ของการขโมย
ท่านเป็นผู้ขโมยกลิ่น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอกงฺคเมตํ ความว่า นั่นเป็นส่วน

ส่วนหนึ่ง.
ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์ จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า:-
เราไม่ลัก เราไม่เด็ดดอกบัว แต่เรายืน
ดมอยู่ไกลๆ เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุไรหนอ ?
จึงกล่าวหาว่าเราเป็นผู้ขโมยกลิ่น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อารา สิงฺฆามิ ความว่า เรายืน
ดมอยู่ไกลๆ. บทว่า วณฺเณน ได้แก่เหตุ.


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ขณะนั้นชายคนหนึ่งขุดเหง้าบัวและเด็ดดอกบุณฑริก ในสระนั้น.
พระโพธิสัตว์เห็นเขาแล้ว เมื่อจะเจรจากับเทพธิดานั้นว่า ท่านกล่าวหา
เราผู้ยืนดมอยู่แต่ไกลว่าเป็นโจร แต่เหตุไร จึงไม่ว่าชายคนนั้น ? จึง
กล่าวคาถาที่ ๓ ว่า:-

ชายคนนี้ใด ขุดเหง้าบัว เด็ดดอกบุณฑ-
ริก ชายคนนี้นั้น ผู้มีการงานเลอะเทอะอย่างนี้
แต่เหตุไรจึงไม่มีใครว่า ?

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อากิณฺณกมฺมนฺโต ได้แก่มีการงาน
หยาบ คือมีการงานทารุณ.
ลำดับนั้นเทวดา เมื่อจะบอกเหตุแห่งการพูด แก่พระโพธิสัตว์
นั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ที่ ๕ ว่า:-

ชายผู้มีกรรมหยาบดาดดื่นแล้ว เปรอะ
เปื้อนบาป เหมือนผ้าอ้อม ข้าพเจ้าจึงไม่มีคำ
พูดอะไรในเรื่องนั้น แล้วข้าพเจ้าควรเพื่อจะว่า
กล่าวเขาได้ สำหรับคนผู้ไม่มีกิเลสดุจเนิน มี
ปกติแสวงหาความสะอาดเป็นนิจ บาปประ-
มาณเท่าปลายขนทราย จะปรากฏแก่เขาประ-
มาณเท่ากลีบเมฆทีเดียว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธาติโจลํว ความว่า คนนี้จะเป็น
ผู้เปื้อนไปด้วยบาปทีเดียว เหมือนกับผ้านุ่งของพี่เลี้ยง ที่เปื้อนน้ำลาย
น้ำมูก มูตรและคูถ เพราะเหตุนั้นข้าพเจ้าจึงไม่มีการว่าอะไรในเรื่องนั้น.
บทว่า ตฺจารหามิ ความว่า แต่สมณะทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รักเป็น
ผู้ใคร่ต่อโอวาท ข้าแต่สมณะ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงควรเพื่อจะ


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 18:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ว่ากล่าวเขาผู้ทำสิ่งที่ไม่สมควรแม้มีประมาณน้อย. บทว่า อนงฺคณสฺส ได้
แก่ ผู้เช่นกับท่านผู้หาโทษมิได้. บทว่า อพฺภามตฺตํว ขายติ ความว่า
บาปจะปรากฏเป็นสิ่งมีประมาณเท่าเมฆก้อนใหญ่. บัดนี้ เหตุไฉนท่าน
จึงจะทำโทษแบบนี้ให้เป็นอัพโภหาริก เป็นเหมือนไม่มีโทษไป.

ส่วนพระโพธิสัตว์ผู้ถูกเทวดาให้สลดใจ ได้ถึงความสังเวชแล้ว
จึงกล่าวคาถาที่ ๖ ว่า:-
ข้าแต่ท่านผู้ควรบูชายักษ์ ท่านรู้จักข้าพ-
เจ้าแน่นอน และท่านอนุเคราะห์ข้าพเจ้า ข้า
แต่ท่านผู้ควรบูชายักษ์ ท่านจงตำหนิอีก เมื่อ
ท่านเห็นโทษชนิดนี้ของเรา.

พึงทราบวินิจฉัยในคาถานั้นต่อไป พระโพธิสัตว์ร้องเรียกเทวดา
ว่ายักษ์. บทว่า วชฺชาสิ ความว่า ท่านพึงว่ากล่าว. บทว่า ยทา
ปสฺสสิ เอทิสํ ความว่า พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เมื่อใดท่านเห็นโทษ
แบบนี้ของข้าพเจ้า เมื่อนั้นท่านพึงว่ากล่าวอย่างนี้ทีเดียว.

ลำดับนั้นเทพธิดา จึงกล่าวคาถาที่ ๗ แก่พระโพธิสัตว์ว่า:-
ข้าพเจ้าไม่ได้อาศัยสิ่งนั้นเลี้ยงชีพเลย ทั้ง
เราไม่ได้เป็นลูกจ้างท่าน ข้าแต่ภิกษุ ตัวท่าน
เองควรรู้กรรมที่เป็นเหตุให้ไปสุคติ.


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 18:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภตฺติกมฺหเส ความว่า เทพธิดา
แสดงว่าข้าพเจ้าไม่เป็นลูกจ้างของท่าน คือไม่เป็นแม้ผู้ทำงานเพื่อสินจ้าง
ของท่าน ข้าพเจ้าจักเทียวพิทักษ์รักษาท่านทุกเวลาด้วยเหตุอะไร ?
บทว่า เยน คจฺเฉยฺย ความว่า ข้าแต่ภิกษุ ท่านจะพึงไปสู่สุคติด้วย
กรรมอันใด ท่านนั่นแหละพึงรู้.

เทวดาครั้นให้โอวาทแก่พระโพธิสัตว์อย่างนี้แล้ว ก็กลับเข้าสู่
วิมานของตน. ฝ่ายพระโพธิสัตว์ยังฌานให้เกิด แล้วได้เป็นผู้มีพรหม-
โลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ
สัจธรรมทั้งหลายแล้วทรงประชุมชาดกไว้. ในที่สุดแห่งสัจธรรม ภิกษุ
นั้นดำรงอยู่แล้วในโสดาปัตติผล. เทพธิดาในครั้งนั้น ได้แก่พระ-
อุบลวรรณาเถรีในบัดนี้ ส่วนดาบสได้แก่เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอุปสิงฆบุปผชาดกที่ ๗

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 20:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาวิฆาสาทชาดกที่ ๘

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ บุปผาราม ทรงปรารภภิกษุผู้มี
ศีลน่าเยาะเย้ย แล้วตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า สุสุขํ วต ชีวนฺติ
ดังนี้.

ความย่อว่า เมื่อภิกษุเหล่านั้นให้พระมหาโมคคัลลานเถระ
ยังปราสาทให้สั่นสะเทือนแล้วพากันสังเวชใจอยู่ ภิกษุทั้งหลายพากันนั่ง
กล่าวโทษที่ไม่ใช่คุณของภิกษุเหล่านั้น ในโรงธรรมสภา. พระศาสดา
เสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลายนั่งสนทนา

กันด้วยเรื่องอะไร ในบัดนี้ ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้
จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่ในแต่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน
ภิกษุเหล่านี้ก็เป็นผู้มีศีลเป็นที่เยาะเย้ยเหมือนกัน จึงทรงนำเอาเรื่องใน
อดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นท้าวสักกะ. ในครั้งนั้น พี่น้อง ๗ คน
ในหมู่บ้านกาสิกคาม ตำบลใดตำบลหนึ่ง เห็นโทษในกามทั้งหลาย
พากันออกบวชเป็นฤๅษีอยู่ท่ามกลางป่า ไม่ทำความเพียรในโยคะ เป็น

ผู้มากไปทางร่างกายแข็งแรง เที่ยวเล่นกีฬานานัปการ. ท้าวสักกะ
เทวราชทรงดำริว่า เราจักให้ภิกษุเหล่านี้สลดใจ แล้วทรงปลอมพระองค์
เป็นนกแก้ว เสด็จมาถึงที่อยู่ของภิกษุเหล่านั้น แอบอยู่ที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง
เมื่อจะให้ภิกษุเหล่านั้นสลดใจ จึงได้กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า:-

เหล่าชนผู้กินเดนทั้งหลายพากันอยู่อย่าง
สบายดีจริงหนอ ทั้งในปัจจุบันก็น่าสรรเสริญ
ทั้งในสัมปรายภพก็จะมีสุคติ.


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 20:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พึงทราบวินิจฉัยในคาถานั้นต่อไป นกแก้วกล่าวหมายถึงพวกคน
ที่กินอาหารที่เหลือจากผู้อื่นกินแล้ว. บทว่า ทิฏฺเ€ว ธมฺเม ความว่า
เหล่าชนแบบนี้ในปัจจุบันนี้ก็ควรสรรเสริญทีเดียว และในสัมปรายภพ
คนเหล่านั้นก็จะมีสุคติ คือนกแก้วกล่าวโดยอธิบายว่า เขาเหล่านั้นจะ
เกิดในสวรรค์.

ลำดับนั้น บรรดาฤๅษีเหล่านั้น ฤๅษีตนหนึ่งได้ยินคำของนกแก้ว
นั้นแล้ว จึงเรียกคนที่เหลือมา แล้วจึงได้กล่าวคาถาที่ ๒ ว่า:-

ดูก่อนท่านบัณฑิตทั้งหลาย เมื่อนกแก้ว
พูดอยู่ ท่านทั้งหลายก็ไม่สงบใจฟัง ดูก่อน
ท่านพี่น้องร่วมท้องทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลาย
จงฟังคำนี้ นกแก้วนี้กำลังสรรเสริญเราทีเดียว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภาสมานสฺส ความว่า เมื่อนกแก้ว
พูดอยู่ด้วยถ้อยคำของมนุษย์. บทว่า นิสาเมถ ได้แก่ไม่ฟัง. บทว่า
อิทํ สุณาถ ความว่า ขอท่านทั้งหลายจงฟังคำนี้ของนกแก้วนั้น.
เขาร้องเรียกคนเหล่านั้นว่าโสทริยา คือพี่น้องร่วมอุทร เพราะความ
เป็นผู้อยู่แล้วในอุทรเสมอกัน.

ครั้งนั้น นกแก้วเมื่อจะห้ามคนเหล่านั้น จึงได้กล่าวคาถาที่ ๓
ว่า:-
ดูก่อนท่านผู้กินซากศพทั้งหลาย ข้าพ-
เจ้าไม่สรรเสริญท่านทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลาย
จงฟังข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นผู้กินของเหลือ
เป็นปกติ แต่ท่านทั้งหลายไม่เป็นผู้กินเดน
เป็นปกติ.


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 20:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พึงทราบวินิจฉัยในคาถานั้นต่อไป นกแก้วร้องเรียกคนเหล่านั้น
ว่า กุณปาทา ความว่า ผู้กินซากศพ.
คนเหล่านั้นได้ยินคำนั้นแล้วทั่วทั้งหมด ได้พากันกล่าวคาถา
ที่ ๔ ว่า:-

พวกเราบวชได้ ๗ พรรษาแล้ว เป็น
เหมือนนกยูงอยู่กลางป่า เลี้ยงชีพด้วยอาหาร
ที่เป็นเดนเท่านั้น ถ้าหากจะเป็นผู้ที่ท่านผู้เจริญ
สรรเสริญ ?

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สิขณฺฑิโน ความว่า ประกอบ
ด้วยหงอน. บทว่า วิฆาเสเนว ความว่า พวกเราเมื่อเลี้ยงชีวิตด้วย
อาหารที่เป็นเดนของราชสีห์และเสือโคร่งอย่างเดียวถึง ๗ ปี ตลอดกาล
เท่านี้ ถ้าหากเป็นผู้ที่ท่านผู้เจริญพึงตำหนิไซร้ ก็ใครเล่าจะเป็นผู้ที่ท่าน
ผู้เจริญควรสรรเสริญ.

พระมหาสัตว์เมื่อให้คนเหล่านั้นสลดใจอยู่ จึงได้กล่าวคาถาที่ ๕
ว่า:-
ของที่เหลือของราชสีห์ เสือโคร่งและ
สัตว์ร้ายทั้งหลายมีอยู่ ท่านทั้งหลายเลี้ยงชีพ
ด้วยอาหารที่เหลือนั้นนั่นเอง พวกเราสำคัญว่า
ท่านทั้งหลายเป็นผู้กินเดนเป็นปกติ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พาลานฺจาวสิฏฺ€กํ ของที่เหลือ
คือโภชนะที่เหลือของสัตว์ร้ายทั้งหลายด้วย.
ดาบสทั้งหลายได้ฟังคำนั้นแล้ว จึงกล่าวว่า ถ้าหากพวกเราไม่
เป็นผู้กินเดนไซร้ ถ้าอย่างนั้นท่านตำหนิใครล่ะ ? ใครเป็นผู้กินเดน

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์นั้นเมื่อจะบอกข้อความนั้นแก่ดาบส
เหล่านั้น จึงได้กล่าวคาถาที่ ๖ ว่า:-


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 20:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ชนเหล่าใดให้ทานแก่สมณะพราหมณ์
และวณิพกอื่นแล้ว จึงบริโภคส่วนที่เหลือ
ชนเหล่านั้นเป็นผู้กินเดน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วณิพฺพิโน ได้แก่ผู้ขอสิ่งของนั้นๆ
พระมหาสัตว์ครั้นให้ดาบสเหล่านั้นสลดใจแล้ว จึงไปที่อยู่ของตนนั่น
เอง.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุม
ชาดกไว้ว่า พี่น้องชาย ๗ คน ในครั้งนั้น ได้แก่ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีล
น่าเยาะเย้ยเหล่านี้ในบัดนี้ ส่วนท้าวสักกะ ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาวิฆาสาทชาดกที่ ๘

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 20:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาวัฏฏกชาดกที่ ๙

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุเหลวไหลรูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ปณีตํ ดังนี้.

พระศาสดาตรัสถามเธอว่า ได้ทราบว่า เธอเป็นคนเหลวไหล
จริงหรือ ? เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า จริงพระพุทธเจ้าค่ะ จึงตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุ ไม่ใช่เฉพาะเวลานี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนเธอก็เป็นคนเหลว
ไหลเหมือนกัน ก็แหละเพราะเป็นผู้เหลวไหลนั่นเอง เธอไม่อิ่มใน
ซากศพช้าง ซากศพโค ซากศพม้า และซากศพคนทั้งหลายในเมือง
พาราณสี จึงเข้าไปสู่ป่า ด้วยคิดว่า เราจักได้ยิ่งๆ ขึ้นไป ดังนี้แล้ว
จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในกำเนิดนกกระจาบมีหญ้าและพืชที่หยาบๆ
เป็นอาหาร อาศัยอยู่ในป่า. ครั้งนั้น ในเมืองพาราณสีมีกาเหลวไหล
ตัวหนึ่ง ไม่อิ่มด้วยซากศพมีช้างเป็นต้น คิดว่า เราจักได้รับอาหารมาก

ยิ่งไปกว่านี้ จึงเข้าป่าไปกินผลไม้น้อยใหญ่ เห็นพระโพธิสัตว์ คิดว่า
นกกระจาบตัวนี้มีร่างอวบอ้วนเหลือเกิน เห็นจะกินเหยื่ออร่อย เราจัก
ถามถึงเหยื่อของนกกระจาบตัวนั้น กินเหยื่อนั้นแล้วจะได้อ้วน แล้ว
จึงเกาะอยู่ที่กิ่งไม้เบื้องบนพระโพธิสัตว์ แล้วถามพระโพธิสัตว์ว่า เจ้า

นกกระจาบผู้จำเริญ เจ้ากินอาหารที่ประณีตหรือไร จึงได้มีร่าง
อวบอ้วน ? พระโพธิสัตว์ถูกกาเหลวไหลถาม เมื่อจะทำปฏิสันถารกับ
กานั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า:-
พ่อลุงกา ลุงกินอาหารประณีตกับเนยใส
และน้ำมัน แต่เหตุไรเล่าหนอ ลุงจึงผอม ?


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 20:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภตฺตํ ได้แก่ ภัตที่เขาเตรียมไว้
ตามทำนองโภชนะของคนทั้งหลาย. พระโพธิสัตว์ร้องเรียกกานั้นว่า
มาตุละ ด้วยการร้องเรียกด้วยความรัก. บทว่า กิโส คือผอม ได้แก่
มีเนื้อและเลือดน้อย.

กาได้ฟังคำของนกกระจาบนั้นแล้ว จึงได้กล่าวคาถา ๓ คาถา
ว่า:-
นกกระจาบเมื่อกาอยู่ในท่ามกลางศัตรู
แสวงหาเหยื่อในหมู่มิตร มีจิตใจหวาดระแวง
เป็นนิตย์ จะมีความอ้วนมาจากไหน กาทั้ง
หลายหวาดระแวงอยู่เป็นนิตย์ ก่อนข้าวที่กา
ได้มาด้วยกรรมอันเลวทราม ไม่ยังกาให้เอิบอิ่ม
ด้วยเหตุนั้น เราจึงผอม.

ดูก่อนนกกระจาบ ส่วนเจ้ากินแต่หญ้า
และพืชที่หยาบๆ มีรสอร่อยน้อย แต่เหตุไร
เล่าหนอ เจ้าจึงอ้วน ?

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทฬฺหิยํ ความว่า สำหรับเราผู้
เป็นกาจะมีความมั่นคงมาจากไหน อธิบายว่า จะอ้วนมาจากไหน. บทว่า
อุพฺพิคฺคิโน ได้แก่ หวาดระแวงอยู่. คำว่า ธงฺโก เป็นชื่อของกา
ทั้งหลายนั่นเอง. บทว่า ปาเปน กมฺมุนา ลทฺโธ ความว่า ก้อนข้าว

ที่กาได้มาด้วยกรรมที่เลวทราม คือแย่งชิงเอาของผู้อื่นมา. บทว่า น
ปิเณติ ความว่า ไม่เอิบอิ่ม. บทว่า เตนสฺมิ ความว่า เพราะเหตุนั้น
ข้าพเจ้าจึงผอม. บทว่า อปฺปเสฺนหานิ ได้แก่ มีโอชะหย่อน. กา


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 20:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
แม้เป็นผู้สำคัญว่า นกกระจาบกินเหยื่อประณีต เมื่อจะถามถึงเหยื่อ
ตามปกติของนกกระจาบทั้งหลาย กะพระโพธิสัตว์ จึงกล่าวคำนี้.
พระโพธิสัตว์ได้ฟังคำนั้นแล้ว เมื่อจะบอกเหตุที่ตนอ้วน จึงได้
กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า:-

ลุงกา ข้าพเจ้ายังอัตภาพให้เป็นไป
เลี้ยงชีพด้วยเหยื่อนั้น ที่ได้ได้มาแล้ว เพราะ
มักน้อย คิดน้อย และไปหากินไม่ไกล จึง
อ้วน เพราะว่า คนผู้มักน้อย มีความสุขแบบ
พระอริยเจ้าผู้คิดน้อย มีประมาณอาหารที่รับ
พอดีแล้ว ย่อมมีพฤติกรรมที่ควรอวดอ้างได้ดี.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปฺปิจฺฉา ความว่า เพราะมีความ
มักน้อยในอาหารทั้งหลาย คือเพราะไม่มีตัณหา อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า
เพราะต้องการอาหาร โดยยังอัตภาพให้เป็นไปอย่างเดียว. บทว่า อปฺ-
ปจินฺตาย ความว่า เพราะไม่มีความคิดถึงอาหารอย่างนี้ว่า วันนี้เรา

จักได้อาหารที่ไหน พรุ่งนี้ที่ไหน. บทว่า อวิทูรคมเนน จ ความว่า
และเพราะการไปในที่ไม่ไกล โดยคิดว่า เราจักได้อาหารอร่อย ในที่
ชื่อโน้น. บทว่า ลทฺธาลทฺเธน ความว่า ด้วยอาหารที่ได้แล้วนั่น
แหละ จะเลวหรือประณีตก็ไม่ว่า. บทว่า ถูโล เตนสฺมิ ความว่า

ข้าพเจ้าอ้วนด้วย เพราะเหตุ ๔ อย่างนั้น. พระโพธิสัตว์ร้องเรียกกาว่า
วายสะ. บทว่า อปฺปจินฺตี มีวิเคราะห์ว่า ความสุขของพระอริยเจ้า
ทั้งหลาย ผู้เว้นจากความคิดมากเกินไปในอาหาร ชื่อว่า ผู้มีความคิดน้อย
มีอยู่แก่ผู้นั้น เหตุนั้นผู้นั้นจึงชื่อว่า มีความสุขแบบพระอริยเจ้าผู้คิดน้อย
ของผู้ประกอบด้วยความสุขเช่นนั้นนั้น. บทว่า สุสงฺคหิตปฺปมาณสฺส


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 20:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ความว่า ผู้มีประมาณแห่งอาหารที่รับไว้ด้วยดีแล้วอย่างนี้ว่า เรากินแล้ว
จักสามารถย่อยได้ตลอดเวลาเพียงเท่านี้. บทว่า วุตฺตี สุสมุทานิยา
ความว่า ความเป็นไปแห่งชีวิตของบุคคลนี้ สามารถเพื่อจะอวดอ้างได้
คือเป็นไปได้ด้วยดีทีเดียว หมายความว่า เพื่อเกิดขึ้นโดยง่ายดาย.

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ
สัจธรรมทั้งหลาย แล้วทรงประชุมชาดกไว้ ในที่สุดแห่งสัจธรรม
ภิกษุผู้เหลวไหลตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว. กาในครั้งนั้น ได้แก่ ภิกษุ
ผู้เหลวไหลในบัดนี้ ส่วนนกกระจาบ ได้แก่ เราตถาคตนั่นเอง.
จบ อรรถกถาวัฏฏกชาดกที่ ๙

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 20:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถามณิชาดกที่ ๑๐

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุผู้เหลวไหล จึงได้ตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า จิรสฺสํ วต
ปสฺสามิ ดังนี้. เรื่องปัจจุบันมีนัยดังกล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแหละ.
พระองค์ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์เป็นนกพิราบอาศัยอยู่ที่รังนก บนโรงครัวหลัง
ใหญ่ ของเศรษฐีเมืองพาราณสี. ฝ่ายกาทำความคุ้นเคยกับนกพิราบ
นั้นแล้วอยู่ ณ ที่นั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเรื่องทั้งหมดควรให้พิสดาร

เถิด. พ่อครัวถอนขนปีกของกาออกแล้วเอาแป้งทาปีกไว้ เจาะชิ้นกระ
เบื้องชิ้นหนึ่งสวมไว้ที่คอแล้วใส่ไว้ในรัง. พระโพธิสัตว์มาจากป่าเห็นมัน
แล้ว เมื่อจะทำการเยาะเย้ย จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า:-

เป็นเวลานานหนอ เราจึงจะเห็นสหาย
ทัดทรงแก้วมณี สหายของเรางามจริง เพราะ
การแต่งขนที่ช่างตกแต่งดีแล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มสฺสุกุตฺติยา ความว่า เพราะการ
ตกแต่งขนนี้.

กาได้ฟังคำนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า:-
เราเป็นผู้ขวนขวายในการงานทั้งหลาย จึง
มีขนแข็งคล้ายเล็บงอกขึ้นใต้ปีก นานๆ จึง
จะได้ช่างกัลบท วันนี้ได้ให้ช่างถอนแล้ว.


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 20:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กมฺเม สุพฺยาวโฏ ความว่า กา
กล่าวว่า ดูก่อนสหาย เราเป็นผู้ขวนขวายในงานราชการทั้งหลาย เมื่อไม่
ได้โอกาสถอน จึงได้มีขนแข็งเหมือนเล็บงอกขึ้นใต้ปีกคือรักแร้. บทว่า
อหารยิ ความว่า วันนี้เราได้ให้ช่างถอนขนออกแล้ว.

ในลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า:-
เธอได้ช่างกัลบกที่หาได้ยากแล้ว ได้ให้
เขาถอนขนออกไปโดยวิธีใดหนอ เธอจงให้
เขาถอนออกโดยวิธีนั้นเถิด สหาย เมื่อเป็น
เช่นนั้น อะไรเล่าห้อยย้อยอยู่ที่คอของเธอ ?

คาถานั้นมีเนื้อความว่า เจ้าได้ช่างกัลบกที่หาได้ยาก แล้วได้ให้
เขาถอนขนออกโดยวิธีใด เจ้าชอบใจวิธีนี้นั้น ฉันจักให้เขาทำการตก
แต่งขนเคราให้ เจ้าจงให้เขาถอนขนนั้นออกไปเถิด สหายเอ๋ย นี้อะไร
เล่าห้อยระย้าอยู่ที่คอของเจ้า ?

ลำดับนั้น กาได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า:-
แก้วมณีห้อยอยู่ที่คอของมนุษย์ พวก
สุขุมาลชาติทั้งหลาย เราเลียนแบบมนุษย์เหล่า
นั้น เธออย่าสำคัญว่าทำเล่น.

ดูก่อนสหาย ถ้าแม้ว่า เธอชอบใจการ
แต่งขนที่ตกแต่งดีแล้วนี้ไซร้ เราจะให้ช่างทำ
ให้เธอ และแม้แก้วมณีเราก็จะให้เธอ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มณี ความว่า รัตนมณีดวงหนึ่ง ห้อยอยู่
ที่คอของคนทั้งหลายแบบนั้น. บทว่า เตสาหํ ตัดบทเป็น เตสํ อหํ
แปลว่า ข้าเลียนแบบพวกเขา. บทว่า มา ตวํ มฺเ ความว่า แต่
เจ้าอย่าสำคัญว่า สิ่งนั่นข้าทำเล่น. บทว่า ปิหยสิ ความว่า ถ้าหากเจ้า
ต้องการแบบขน ที่ข้าแต่งดีแล้วไซร้.


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 20:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระโพธิสัตว์ได้ฟังคำนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๖ ว่า:-
เธอเท่านั้นแหละเหมาะกับแก้วมณี และ
ขนที่ตกแต่งดีแล้ว เราบอกเธอแล้วก็จะไปละ
การเห็นเธอเป็นที่รักของฉัน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มณินา ความว่า สำหรับแก้วมณี.
ปาฐะเป็นอย่างนี้ทีเดียวก็มี. มีคำอธิบายไว้ว่า สหายกาเอ๋ย เจ้าเท่านั้น
แหละเหมาะสำหรับแก้วมณีนี้ และขนที่ตกแต่งแล้วนี้. แต่การเห็นเธอ
นั่นเองเป็นที่รักของฉัน เพราะฉะนั้นฉันบอกเธอแล้วก็จะไป. ก็แหละ
นกพิราบครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็บินหนีเข้าป่าไป. ส่วนกาถึงการสิ้น
ชีวิต ณ ที่นั้นนั่นเอง.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ทรงประกาศสัจ-
ธรรมทั้งหลาย แล้วจึงทรงประชุมชาดกไว้ ในที่สุดแห่งสัจธรรม ภิกษุ
ผู้เหลวไหล ดำรงอยู่แล้วในอนาคามิผล. กาในครั้งนั้น ได้แก่ภิกษุผู้
เหลวไหลในบัดนี้ ส่วนนกพิราบ ได้แก่เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถามณิชาดกที่ ๑๐

รวมชาดกที่มีในขุรปุตวรรคนี้มี ๑๐ คือ:-
๑. ขุรปุตตชาดก ๒. สูจิชาดก ๓. ตุณฑิลชาดก ๔. สุวรรณ-
กักกฏกชาดก ๕. มัยหกสกุณชาดก ๖. ปัพพชิตวิเหฐกชาดก ๗. อุป-
สิงฆบุปผชาดก ๘. วิฆาสาทชาดก ๙. วัฏฏกชาดก ๑๐. มณิชาดก.
จบ ขุรปุตวรรคที่ ๒

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 114, 115, 116, 117, 118, 119, 120 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร