วันเวลาปัจจุบัน 10 ส.ค. 2025, 16:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 112, 113, 114, 115, 116, 117, 118 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 08:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุผู้กลัวตายรูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า นวจฺฉทฺทเก ดังนี้.

ได้ยินว่า กุลบุตรชาวเมืองสาวัตถีนั้น บวชในพระศาสนาแต่ได้
เป็นผู้กลัวตาย. เธอได้ยินเสียงกิ่งไม้สั่นไหว. ท่อนไม้ตก. เสียงนก
หรือสัตว์สี่เท้า แม้เพียงเล็กน้อย คือเบาๆ หรือเสียงอย่างอื่นแบบนั้น
ก็จะเป็นผู้ถูกภัยคือความตายขู่ เดินตัวสั่นไปเหมือนกระต่ายถูกแทงที่
ท้องฉะนั้น. ภิกษุทั้งหลายพากันตั้งคาถา คือเรื่องสนทนา ขึ้นในธรรม

สภาว่า ดูก่อนอาวุโส ภิกษุชื่อโน้นกลัวตาย ได้ยินเสียงแม้เพียง
เล็กน้อย ก็ร้องพลางวิ่งพลางหนีไป ควรจะมนสิการว่า ก็ความตาย
ของสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้เท่านั้นเป็นของเที่ยง แต่ชีวิตไม่เที่ยง ดังนี้.
พระศาสดาเสด็จมาถึง ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นั่งสนทนากัน
ด้วยเรื่องอะไรนะ เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ ดังนี้แล้ว

ตรัสสั่งให้หาภิกษุนั้นมา แล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ทราบว่า เธอ
กลัวตายจริงหรือ ? เมื่อภิกษุนั้นทูลรับว่า ถูกแล้วพระเจ้าข้า ดังนี้ จึง
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่เฉพาะในปัจจุบันนี้เท่านั้น แม้ในชาติ
ก่อน ภิกษุนี้ก็กลัวตายเหมือนกัน แล้วได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมา
สาธก ดังต่อไปนี้.

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์ ได้ถือปฏิสนธิในท้องของแม่สุกร. แม่สุกร
ท้องแก่ครบกำหนดแล้ว คลอดลูก ๒ ตัว. อยู่มาวันหนึ่งมันพาลูก
๒ ตัวนั้นไปนอนที่หลุมแห่งหนึ่ง. กาละครั้งนั้น หญิงชราคนหนึ่ง มี

ปกติอยู่บ้านใกล้ประตูนครพาราณสี เก็บฝ้ายได้เต็มกระบุงจากไร่ฝ้าย
เดินเอาไม้เท้ายันดินมา. แม่สุกรได้ยินเสียงนั้นแล้ว ทิ้งลูกน้อยหนีไป
เพราะกลัวตาย. หญิงชราเห็นลูกสุกรกลับได้ความสำคัญว่าเป็นลูก จึง
เอาใส่กระบุงไปถึงเรือน แล้วตั้งชื่อตัวพี่ว่า มหาตุณฑิละ ตัวน้องว่า


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 08:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
จุลตัณฑิละ เลี้ยงมันเหมือนลูก. ในเวลาต่อมามันเติบโตขึ้น ได้มีร่าง
กายอ้วน. หญิงชราถึงจะถูกทาบทามว่า จงขายหมูเหล่านี้ให้พวกฉัน
เถิด ก็บอกว่า ลูกของฉัน แล้วไม่ให้ใคร. ภายหลังในวันมหรสพ
วันหนึ่งพวกนักเลงดื่มสุรา เมื่อเนื้อหมดก็หารือกันว่า พวกเราจะได้
เนื้อจากที่ไหนหนอ ทราบว่า ที่บ้านหญิงชรามีสุกร จึงพากันถือเหล้า

ไปที่นั้น พูดว่า คุณยายครับ ขอให้คุณยายรับเอาราคาสุกรแล้วให้สุกร
ตัวหนึ่งแก่พวกผมเถิด. หญิงชรานั้น แม้จะปฏิเสธว่า อย่าเลยหลาน
เอ๋ย สุกรนั่นเป็นลูกฉัน ธรรมดาคนจะให้ลูกแก่คนที่ต้องการจะกิน
เนื้อไม่มีหรอก. พวกนักเลงแม้จะอ้อนวอนแล้วอ้อนวอนเล่าว่า ขึ้นชื่อ

ว่าหมูจะเป็นลูกของคนไม่มีน่ะ ให้มันแก่พวกผมเถิด ก็ไม่ได้สุกร จึง
ให้หญิงชราดื่มสุรา เวลาแกเมาแล้วก็พูดว่า ยาย ยาย จะทำอะไรกับหมู ?
ยายเอาราคาหมูนี้ไปไว้ทำเป็นค่าใช้จ่ายเถิด. แล้ววางเหรียญกระษาปณ์
ไว้ในมือหญิงชรา. หญิงชรารับเอาเหรียญกระษาปณ์ พูดว่า หลานเอ๋ย
ยายไม่อาจจะให้สุกรชื่อมหาตุณฑิกะได้ แก่จงพากันเอาจุลตุณฑิละไป.

มันอยู่ที่ไหน ? นักเลงถาม.
ที่กอไม้กอโน้น หญิงชราตอบ.
ยายให้เสียง เรียกมันสิ นักเลงสั่ง.
ฉันไม่เห็นอาหาร หญิงชราตอบ.


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 08:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
นักเลงทั้งหลายจึงให้ค่าอาหารให้ไปนำข้าวมา ๑ ถาด. หญิงชรา
รับเอาค่าอาหารนั้น จัดซื้อข้าว เทให้เต็มรางหมูที่วางไว้ใกล้ประตูแล้ว
ได้ยืนอยู่ใกล้ๆ ราง. นักเลงประมาณ ๓๐ คน มีบ่วงในมือ ได้ยืน
อยู่ ณ ที่นั้นนั่นเอง. หญิงชราได้ให้เสียงร้องเรียกหมูว่า ลูกจุลตุณ-

ฑิละมาโว้ย. มหาตุณฑิละได้ยินเสียงนั้นแล้วรู้แล้วว่า ตลอดเวลา
ประมาณเท่านี้ แม่เราไม่เคยให้เสียงแก่จุลตุณฑิละ ส่งเสียงถึงเราก่อน
ทั้งนั้น วันนี้คงจักมีภัยเกิดขึ้นแก่พวกเราแน่แท้. มหาตุณฑิละ จึง
เรียกจุลตุณฑิละมาแล้วบอกว่า น้องเอ๋ย แม่ของเราเรียกเจ้า เจ้าลงไป

ให้รู้เรื่องก่อน. จุลตุณฑิละ ก็ออกจากกอไม้ไปเห็นว่านักเลงเหล่านั้น
ยืนอยู่ใกล้รางข้าวก็รู้ว่า วันนี้ความตายจะเกิดขึ้นแก่เราแล้ว ถูกมรณภัย
คุกคามอยู่ จึงหันกลับตัวสั่นไปหาพี่ชายไม่อาจจะยืนอยู่ได้ ตัวสั่นหมุนไป
รอบๆ. มหาตุณฑิละเห็นเขาแล้วจึงถามว่า น้องเอ๋ย ก็วันนี้เจ้าสั่นเทา
ไป เห็นสถานที่เป็นที่เข้าไปแล้ว เจ้าทำอะไรนั่น. มันเมื่อจะบอกเหตุ
ที่ตนได้เห็นมา จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า:-

บัดนี้ วันนี้แม่เราให้อาหารสำหรับขุนใหม่
วางอาหารนี้เต็ม นายแม่ยืนใกล้รางอาหาร คน
หลายคนมีมือถือบ่วง อาหารนั้นไม่แจ่มชัด
สำหรับฉัน เพื่อกินอาหาร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นวจฺฉทฺทเก ทานิ ทิยฺยติ ความว่า
พี่ เมื่อก่อนแม่ให้ข้าวต้มที่ปรุงด้วยรำหรือข้าวสวย ที่ปรุงด้วยข้าว
ตังแก่พวกเรา แต่วันนี้ให้อาหารสำหรับขุนใหม่ คือทานมีอาหารใหม่.
บทว่า ปุณฺณายํ โทณิ ความว่า รางอาหารของพวกเรานี้ เต็มไป
ด้วยข้าวสวยล้วนๆ. บทว่า สุวามินี €ิตา ความว่า ฝ่ายนายแม่ของ
พวกเรา ก็ได้ยืนอยู่ใกล้ๆ รางอาหารนั้น. บทว่า พหุโก ชโน ความ


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 08:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ว่า มิใช่แต่นายแม่ยืนอย่างเดียวเท่านั้น แม้คนอื่นอีกหลายคน ได้ยืน
มีมือถือบ่วงอยู่. บทว่า โน จ โข เม ปฏิภาติ ความว่า แม้ภาวะที่คน
เหล่านี้ยืนอยู่แล้วอย่างนี้ ไม่แจ่มกระจ่างสำหรับฉัน อธิบายว่า ฉันไม่
ชอบใจ แม้เพื่อจะกินข้าวนี้.

มหาสัตว์ได้ฟังดังนั้นแล้ว พูดว่า น้องจุลตุณฑิละเอ๋ย ได้ทราบว่า
ธรรมดาแม่ของเรา เมื่อเลี้ยงสุกรไว้ในที่นี้นั่นเอง ย่อมเลี้ยงเพื่อ
ประโยชน์อันใด ประโยชน์อันนั้นของท่านถึงที่สุดแล้วในวันนี้ น้อง
อย่าคิดเลย เมื่อจะแสดงธรรมโดยลีลาพระพุทธเจ้า ด้วยเสียงที่ไพเราะ
จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า:-

เจ้าสะดุ้ง เจ้าหัวหมุนไปไย ? เจ้าประสงค์
จะหลีกหนีไป เจ้าไม่มีผู้ต้านทานจักไปไหน ?
น้องตุณฑิละเอ๋ยเจ้าจงเป็นผู้ขวนขวายแต่น้อย
กินไปเถิด พวกเราถูกเขาขุนเพื่อต้องการเนื้อ
เจ้าจงลงสู่ห้วงน้ำที่ไม่มีโคลนตม ชำระล้าง

เหงื่อไคลทั้งหมด แล้วถือเอาเครื่องลูบไล้ใหม่
ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมา มีกลิ่นหอมไม่ขาดสาย.

เมื่อมหาตุณฑิละมหาสัตว์นั้น รำลึกถึงบารมีทั้งหลาย แล้วทำ
เมตตาบารมีให้เป็นปุเรจาริก ออกหน้า ยกบทแรกมาเป็นตัวอย่างอยู่
นั่นเอง เสียงได้ดังไปท่วมนครพาราณสี ที่กว้างยาวทั้งสิ้น ๑๒ โยชน์.
ในขณะที่คนทั้งหลายได้ยินๆ นั่นแหละ ชาวนครพาราณสี ตั้งต้นแต่

พระราชา และพระอุปราชเป็นต้น ได้พากันมาตามเสียง. ฝ่ายผู้ไม่
ได้มาอยู่ที่บ้านนั่นเองก็ได้ยิน. ราชบุรุษทั้งหลายพากันถางพุ่มไม้ ปราบ
พื้นที่ให้เสมอแล้วเกลี่ยทรายลง. ผู้ให้สุราแก่นักเลงทั้งหลายก็งดให้.
พวกนักเลงพากันทิ้งบ่วงแล้วได้ยืนฟังธรรมกันทั้งนั้น. ฝ่ายหญิงชราก็
หายเมา. มหาสัตว์ได้กล่าวปรารภเทศนาแก่จุลตุณฑิละท่ามกลางมหาชน.


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 13:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตสสิ ภมสิ ความว่า หวาดสะดุ้ง
เพราะกลัวตาย เมื่อลำบากด้วยความหวาดสะดุ้ง เพราะความกลัวตาย
นั้นนั่นแหละ เธอจึงหัวหมุน. บทว่า เลณมิจฺฉสิ ได้แก่มองหาที่พึ่ง.
บทว่า อตาโณสิ ความว่า น้องเอ๋ย เมื่อก่อนมารดาของเราเป็นที่พึ่ง

ที่ระลึกได้ แต่วันนี้ท่านหมดอาลัยทอดทิ้งเราแล้ว บัดนี้เจ้าจักไปไหน ?
บทว่า โอคาห ได้แก่ลงไปอยู่. อีกอย่างหนึ่งปาฐะว่าอย่างนี้เหมือนกัน.
บทว่า ปวาหย ได้แก่ให้เหงื่อไคลทั้งหมดลอยไป. บทว่า น ฉิชฺชติ

ได้แก่ไม่หายไป. มีอธิบายว่า ถ้าหากเจ้าสะดุ้งกลัวความตายไซร้
ก็จงลงสู่สระโบกขรณีที่ไม่มีโคลนตม ชำระล้างเหงื่อและไคลทั้งหมด
ในตัวของเจ้า แล้วลูบไล้ด้วยเครื่องลูบไล้ที่หอมฟุ้งอยู่เป็นนิตย์.

จุลตุณฑิละได้ยินคำนั้นแล้วคิดว่า พี่ชายของเราพูดอย่างนี้ วงศ์
ของพวกเราไม่มีการลงสระโบกขรณี แล้วอาบน้ำชำระล้างเหงื่อไคล
ออกจากสรีระร่าง การนำเอาเครื่องลูบไล้เก่าออกไปแล้วเอาเครื่องลูบไล้
ใหม่ที่มีกลิ่นหอมฟุ้งลูบไล้ไม่มีในกาลไหนเลย พี่ชายของเราพูดอย่าง
นี้ หมายถึงอะไรกันหนอ ดังนี้แล้ว เมื่อจะถามจึงกล่าวคาถาที่ ๘ ว่า:-

ห้วงน้ำอะไรหนอที่ไม่มีโคลนตม ? อะไร
หนอ เรียกว่าเหงื่อไคล ? อะไรเรียกว่าเครื่อง
ลูบไล้ใหม่ ? กลิ่นอะไรไม่ขาดหายมาแต่ไหน
แต่ไร ?


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 13:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระมหาสัตว์ได้ยินคำตอบนั้นแล้ว จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นเธอจง
เงี่ยโสตฟัง เมื่อจะแสดงธรรมด้วยพุทธลีลา ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า:-
ห้วงน้ำคือพระธรรมไม่มีโคลนตม บาป
เรียกว่าเหงื่อไคล และศีลเรียกว่าเครื่องลูบไล้
ใหม่ แต่ไหนแต่ไรมา กลิ่นของศีลนั้นไม่ขาด
หายไป เหล่าชน ผู้ไม่รู้ ผู้ฆ่าสัตว์กิน เป็น

ปกติ จะเพลิดเพลินใจ ส่วนผู้รักษาชีวิตสัตว์
ไม่ฆ่าสัตว์ เป็นปกติ จะไม่เพลิดเพลินใจ เมื่อ
วันเดือนเพ็ญ มีพระจันทร์เต็มดวงแล้ว เหล่า
ชนผู้รื่นเริงใจอยู่เท่านั้น จึงจะสละชีพได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺโม ความว่า ธรรมะแม้ทั้งหมด
นี้ คือศีล ๕ ศีล ๑๐ สุจริต ๓ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ และ
อมตมหานิพพาน ชื่อว่าธรรม. บทว่า อกทฺทโม ความว่า ชื่อว่าไม่
มีโคลนตม เพราะไม่มีโคลนตมคือกิเลส ได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ

มานะ และทิฐิ. ด้วยบทนี้ มหาตุณฑิละ งดธรรมที่เหลือไว้แสดงพระ-
นิพพานเท่านั้น เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ธรรมทั้งหลายมีปัจจัยปรุงแต่งก็ตาม ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งก็ตาม มี


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 13:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ประมาณเท่าใด วิราคธรรมท่านกล่าวว่าล้ำเลิศกว่าธรรมเหล่านั้น ได้
แก่ธรรมให้สร่างเมา. ปราศจากความหิวระหาย. ถอนอาลัยออกได้
ตัดวัฏฏะได้ เป็นที่สิ้นตัณหา วิราคะ คือคลายกำหนัด นิโรธ คือดับ
ตัณหาไม่มีเหลือ นิพพาน คือดับกิเลสและทุกข์หมด. นัยว่าพระโพธิ-
สัตว์ เมื่อจะแสดงพระนิพพานนั้นนั่นแหละ จึงกล่าวอย่างนี้ ด้วย

อำนาจอุปนิสสัยปัจจัยว่า น้องจุลตุณฑิละเอ๋ย เราเรียกสระคือพระ
นิพพานว่า ห้วงน้ำ เพราะในพระนิพพานนั้นนั่นเอง ไม่มีชาติ ชรา
พยาธิ และมรณทุกข์เป็นต้น แม้ว่าหากจะมีผู้ประสงค์จะพ้นจากมรณะ
ก็จงเรียนข้อปฏิบัติที่จะให้ถึงพระนิพพาน. บทว่า ปาปํ เสทมลํ ความ

ว่า น้องจุลตุณฑิละเอ๋ย บัณฑิตในสมัยก่อนทั้งหลายเรียกบาปว่าเป็น
เหงื่อไคล เพราะเป็นเช่นกับเหงื่อไคล. ก็บาปนี้นั้นมีอย่างเดียวคือ
กิเลสเครื่องประทุษร้ายใจ บาปมี ๒ อย่างคือ ศีลที่เลวทรามกับทิฐิที่
เลวทราม. บาปมี ๓ อย่าง คือ ทุจริต ๓. บาปมี ๔ อย่าง คือ การลุ
อำนาจอคติ ๔ อย่าง. บาปมี ๕ อย่าง คือ สลักใจ ๕ อย่าง. บาปมี

๖ อย่าง คือ อคารวะ ๖ อย่าง. บาปมี ๗ อย่าง คือ อสัทธรรม ๗
ประการ บาปมี ๘ อย่าง คือ ความเป็นผิด ๘ ประการ. บาปมี ๙ อย่าง
คือ เหตุเป็นที่ตั้งแห่งความอาฆาต ๙ อย่าง. บาปมี ๑๐ อย่าง คือ
อกุศลกรรมบถ ๑๐. บาปมีมากอย่าง คือ อกุศลธรรมทั้งหลายที่ทรงจำ-
แนกออกไป โดยเป็นธรรมหมวด ๑ หมวด ๒ และหมวด ๓ เป็นต้น

อย่างนี้ คือ ราคะ โทสะ โมหะ. บทว่า ศีลได้แก่ศีล ๕ ศีล ๑๐ และ
ปาริสุทธศีล ๔. น้องเอ๋ย บัณฑิตทั้งหลาย เรียกศีลนี้ว่าเป็นเสมือน
เครื่องลูบไล้ใหม่. บทว่า ตสฺส ความว่า กลิ่นของศีลนั้น แต่ไหน
แต่ไรมา ไม่ขาดหายไปในวัยทั้ง ๓ คือไม่แผ่ไปทั่วโลก.


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 13:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
กลิ่นดอกไม้จะไม่หอมทวนลมไป กลิ่น
จันทน์กฤษณา หรือดอกมะลิก็ไม่หอมทวนลม
ไป แต่กลิ่นของสัตบุรุษหอมทวนลมไป สัต-
บุรุษฟุ้งขจรไปทั่วทุกทิศ. กลิ่นศีลหอมยิ่งกว่า
คันธชาติเหล่านี้ คือจันทน์กฤษณะ ดอกอุบล
หรือดอกมะลิ. เพราะกลิ่นกฤษณาและจันทน์
นี้หอมน้อย ส่วนกลิ่นของผู้มีศีลทั้งหลาย
หอมมากฟุ้งขจรไปในเทวโลกและมนุษย์โลก.

บทว่า นนฺทนฺติ สรีรฆาติโน ความว่า น้องจุลตุณฑิละเอ๋ย คน
ผู้ไม่มีความรู้ทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อทำปาณาติบาต จะเพลิดเพลินคือพอ
ใจว่า พวกเราจักกินเนื้ออร่อยบ้าง จักให้ลูกเมียกินบ้าง คือไม่รู้โทษ
ของปาณาติบาตเป็นต้นนี้ว่า ปาณาติบาตที่ประพฤติจนชินอบรมมาทำ

ให้มากแล้ว จะเป็นเพื่อให้เกิดในนรก จะเป็นไปเพื่อให้เกิดในกำเนิด
เดียรัจฉาน ฯลฯ จะเป็นไปเพื่อให้เกิดในเปรตวิสัย วิบากของปาณาติ-
บาตที่เบากว่าวิบากทั้งหมด จะเป็นไปเพื่อให้ผู้เกิดเป็นมนุษย์มีอายุน้อย
ดังนี้ เมื่อไม่รู้ก็จะเป็นผู้สำคัญบาปว่าเป็นน้ำผึ้ง ตามพระพุทธภาษิตว่า:-

คนโง่ย่อมสำคัญบาปว่าเป็นเหมือนน้ำผึ้ง
ตลอดเวลาที่บาปยังไม่ให้ผล แต่เมื่อใดบาป
ให้ผล เมื่อนั้นคนโง่ก็จะเข้าถึงทุกข์.
ไม่รู้แม้เหตุมีประมาณเท่านี้ว่า:-

คนเขลา เบาปัญญา เที่ยวทำบาปกรรม
ซึ่งมีผลเผ็ดร้อนด้วยตนเอง ที่เป็นเหมือนศัตรู
กรรมที่มีผลเผ็ดร้อน ทำให้ตนมีน้ำตานองหน้า
ร้องไห้ไปพลางเสวยผลกรรมไปพลาง ทำแล้ว
ไม่ดี.


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 13:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บทว่า น จ นนฺทนฺติ สรีรธาริโน ความว่า น้องจุลตุณฑิละ
เอ๋ย สัตว์เหล่านี้ใด ผู้รักษาชีวิตสัตว์ไว้ ไม่ฆ่าสัตว์เป็นปกติ สัตว์
เหล่านั้นที่เหลือ ตั้งต้นแต่พระโพธิสัตว์ไป เว้นไว้แต่มฤคราชสีห์ ช้าง
อาชาไนย ม้าอาชาไนยและพระขีณาสพ เมื่อความตายมาถึงตน ชื่อว่า
ไม่กลับไม่มี.

สัตว์ทั้งหลายสะดุ้งต่ออาชญากันหมด
เพราะชีวิตเป็นที่รักของสัตว์ทั้งหลาย ฉะนั้น
คนควรเอาตนเป็นเครื่องเปรียบเทียบแล้ว ไม่
เบียดเบียน ไม่ฆ่ากัน.

บทว่า ปุณฺณาย ความว่า เต็มด้วยคุณค่า. บทว่า ปุณฺณมาสิยา
ความว่า เมื่อเดือนประกอบด้วยจันทร์เพ็ญ สถิตอยู่เต็มดวงแล้ว. ได้
ทราบว่า เมื่อนั้นเป็นวันอุโบสถที่มีพระจันทร์เต็มดวง. บทว่า รมมานา-
ว ชหนฺติ ชีวิตํ ความว่า น้องจุลตุณฑิละเอ๋ย เธออย่าเศร้าโศก อย่า

ร้องไห้ ขึ้นชื่อว่าความตายไม่ใช่เฉพาะเราเท่านั้น แม้สัตว์ที่เหลือทั้ง
หลายก็มีความตาย สัตว์ผู้ไม่มีคุณมีศีลเป็นต้น อยู่ในภายในย่อมจะกลัว
แต่พวกเราผู้สมบูรณ์ด้วยศีลและอาจาระ เป็นผู้มีบุญ คือจะไม่กลัว
เพราะฉะนั้นสัตว์ที่เช่นกับเรา จะยินดีสละชีวิตทีเดียว.

มหาสัตว์แสดงด้วยเสียงอันไพเราะ ด้วยพุทธลีลาอย่างนี้แล้ว.
ชุมนุมชนมีการปรบมือและการชูผ้าจำนวนพันเป็นไปแล้ว. ท้องฟ้าได้
เต็มไปด้วยเสียงสาธุการ. พระเจ้าพาราณสี ทรงบูชาพระโพธิสัตว์ด้วย
ราชสมบัติ ประทานยศแก่หญิงชรา ทรงรับเอาสุกรทั้ง ๒ ตัวไว้ ทรง
ให้อาบด้วยน้ำหอม ให้ห่มผ้า ให้ไล้ทาด้วยของหอมเป็นต้น ให้ประดับ
แก้วมณีที่คอ แล้วทรงนำเข้าไปสู่พระนคร สถาปนาไว้ในตำแหน่ง


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 13:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ราชบุตร ทรงประคับประคองด้วยบริวารมาก. พระโพธิสัตว์ได้ให้ศีล ๕
แก่ข้าราชบริพาร. ชาวนครพาราณสีและชาวกาสิกรัฐพากันรักษาศีล ๕
ศีล ๑๐ ทุกคน. ฝ่ายมหาสัตว์ได้แสดงธรรมแก่ชนเหล่านั้นทุกวันปักษ์
นั่งในที่วินิจฉัยศาลพิจารณาคดี เมื่อมหาสัตว์นั้นยังมีชีวิตอยู่ ขึ้นชื่อ
ว่าการโกงไม่มีแล้ว. ในกาลต่อมาพระราชาสวรรคต. ฝ่ายมหา-

สัตว์ให้ประชาชนถวายพระเพลิงพระสรีระพระองค์ แล้วให้จารึก
คัมภีร์วินิจฉัยคดีไว้แล้วบอกว่า ท่านทั้งหลายต้องดูคัมภีร์นี้พิจารณา
คดี แล้วแสดงธรรมแก่มหาชน โอวาทด้วยความไม่ประมาทแล้วเข้า
ป่าไปพร้อมกับจุลตุณฑิละทั้งๆ ที่คนทั้งหมดพากันร้องไห้และคร่ำครวญ
อยู่นั่นเอง. โอวาทของพระโพธิสัตว์ครั้งนั้น เป็นไปถึง ๖ หมื่นปี.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ
สัจจะแล้วทรงประชุมชาดกไว้ ในที่สุดแห่งสัจจธรรมภิกษุผู้กลัวตายนั้น
ดำรงอยู่แล้วในโสดาปัตติผล. พระราชาในครั้งนั้นได้แก่พระอานนท์ใน
บัดนี้ จุลตุณฑิละ ได้แก่ภิกษุผู้กลัวตาย บริษัทได้แก่พุทธบริษัท
ส่วนมหาตุณฑิละ คือเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาตุณฑิลชาดกที่ ๓

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 14:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาสุวรรณกักกฏกชาดกที่ ๔

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภการ
เสียสละชีพของพระอานนทเถระเพื่อพระองค์ จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่ม
ต้นว่า สิงฺคมิโค ดังนี้.

เรื่องแต่ต้นจนถึงการประกอบนายขมังธนู ตรัสแล้วในกัณ-
ฑหาลชาดก การปล่อยช้างธนบาล ตรัสไว้แล้วในจุลลหังสชาดก.

ความย่อว่า ในครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายตั้งเรื่องกันขึ้นในธรรมสภา
ว่า พระอานนทเถระผู้เป็นคลังพระธรรม เป็นผู้บรรลุเสขปฏิสัมภิทา
เมื่อช้างธนบาลกำลังวิ่งมา ก็ได้สละชีวิตถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
พระศาสดาเสด็จมาถึงแล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวก

เธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า
ด้วยเรื่องชื่อนี้. จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่แต่บัดนี้เท่านั้น
แม้ในชาติก่อนพระอานนท์ก็สละชีวิตเพื่อเราเหมือนกัน ดังนี้แล้ว จึง
ได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.

ในอดีตกาล ด้านทิศอิสาณของกรุงราชคฤห์ ได้มีบ้านพราหมณ์
ชื่อว่า หลินทิยะ. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลกาสิกพราหมณ์
ในหมู่บ้านนั้น เติบโตแล้วดำรงทรัพย์สมบัติไว้ให้คนทำกสิกรรม ประ-
มาณ ๘ หมื่น ในนามคธแห่งหนึ่ง ด้านทิศอิสาณของหมู่บ้านนั้น.

วันหนึ่ง เขาไปนาพร้อมกับคนทั้งหลายผู้เป็นบริวาร สั่งบังคับกรรมกร
ทั้งหลายว่า สูเจ้าทั้งหลายจงพากันทำงานเถิด แล้วเข้าไปหนองน้ำใหญ่
ปลายนา เพื่อต้องการล้างหน้า. ก็แหละในหนองน้ำนั้น มีปูตัวหนึ่ง


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 14:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
มีสีเหมือนสีทอง มีรูปงามน่าเลื่อมใสอาศัยอยู่. พระโพธิสัตว์เคี้ยวไม้
ชำระฟันแล้ว จึงลงไปหนองน้ำนั้น ในเวลาพระโพธิสัตว์นั้นล้างหน้า
ปูได้มาใกล้พระโพธิสัตว์. ครั้งนั้น ท่านได้ยกมันขึ้นมาจับให้นอนอยู่
ในระหว่างผ้าห่มของตนแล้ว เมื่อไปทำกิจที่ตนจะต้องทำในนา จึงวาง
มันลงไปในหนองนั้นแล้วได้ไปบ้าน. ต่อแต่นั้นมาพระโพธิสัตว์ เมื่อ

มาถึงนาจะไปหนองน้ำนั้นก่อน ให้ปูนอนในระหว่างผ้าห่มแล้ว จึง
ตรวจดูการงานภายหลัง. ด้วยประการดังนี้ ความคุ้นเคยกันระหว่าง
พระโพธิสัตว์กับปูนั้นจึงได้มั่นคง. พระโพธิสัตว์ก็มานาเนืองนิตย์. ก็
แหละประสาทในนัยน์ตาของพระโพธิสัตว์นั้นปรากฏเป็นวงกลม ๓ ชั้น

ใสแจ๋ว. ครั้งนั้น กาตัวเมียที่รังกาบนต้นตาลต้นหนึ่ง ที่ปลายนาของ
พระโพธิสัตว์นั้นเห็นนัยน์ตาของท่านแล้วอยากจะกิน จึงบอกกาตัวผู้ว่า
พี่ ฉันเกิดแพ้ท้องแล้ว.

กาตัวผู้ ธรรมดาการแพ้ท้องเป็นอย่างไร ?
กาตัวเมีย ฉันอยากกินนัยน์ตาของพราหมณ์คนนั้น.
กาตัวผู้ แกเกิดแพ้ท้องที่เลวร้าย ใครจักสามารถนำนัยน์ตา
เหล่านั้นมาได้

กาตัวเมีย เจ้าไม่สามารถหรือ ?
กาตัวผู้ ข้าไม่สามารถ.

กาตัวเมีย ฉันรู้เรื่องนี้ ก็ที่จอมปลวกนั่นในที่ไม่ไกลต้นตาลมีงู
เห่าหม้ออาศัยอยู่ เจ้าจงปรนนิบัติงูเห่านั้น พราหมณ์นั้นถูกงูนั้นกัดแล้ว
จักตาย เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็จักจิกเอานัยน์ตาของเขามาได้. กาตัวผู้
รับคำว่าดีแล้ว จำเดิมแต่นั้นมาก็ปรนนิบัติงูเห่าหม้อ. ในเวลาที่ข้าวกล้า

ที่พระโพธิสัตว์หว่านไว้ตั้งท้อง ปูก็ได้เติบโตขึ้น. อยู่มาวันหนึ่ง งูพูด
กะกาว่า สหายเอ๋ย ท่านปรนนิบัติเราเนืองนิตย์ เพราะเหตุอะไร ? เรา
จะทำอะไรให้ท่านได้. กาบอกว่า นาย ทาสีของท่าน คือภรรยาของ


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 14:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ฉันเกิดแพ้ท้องอยากกินนัยน์ตาของเจ้าของนานั่น เรานั้นจักได้นัยน์ตา
ของเจ้าของนานั้น ด้วยอานุภาพของท่าน เพราะฉะนั้น เราจึงปรน-
นิบัติท่าน. งูบอกให้กานั้นเบาใจว่า เรื่องนี้ยกไว้เถอะไม่ใช่เรื่องหนัก-
หนา ท่านจักได้แน่. ในวันรุ่งขึ้นจึงอาศัยคันนาเอาหญ้าปิดไว้ที่ทางมา
นอนดูการมาของเขา. พระโพธิสัตว์ เมื่อมาจะลงไปหนองน้ำล้างหน้า

ยังความเสน่หาให้เกิดขึ้น สวมกอดปูทอง ให้นอนอยู่ในระหว่างผ้าห่ม
ก่อนแล้วจึงเข้าไปนา. งูเห็นพระโพธิสัตว์นั้นกำลังมา ก็เลื้อยไปโดยเร็ว
กัดเนื้อปลีแข้ง คือน่องให้ล้มลงไปในที่นั้นนั่นเอง แล้วจึงหนีไปหมาย
จอมปลวกเป็นปลายทาง. การล้มของพระโพธิสัตว์ก็ดี การกระโดด

ออกไปจากระหว่างผ้าสาฎกของปูก็ดี การมาเกาะบนที่อกพระโพธิสัตว์
ก็ดี ได้มีไม่ก่อนไม่หลังกัน. กาเกาะแล้วจะใช้จะงอยปากจิกนัยน์ตา.
ปูคิดว่า ภัยเกิดขึ้นแก่สหายของเราแล้ว เพราะอาศัยกาตัวนี้ เมื่อเรา
จับกาตัวนี้ไว้ได้ งูก็จักกลับมา จึงอ้าก้ามหนีบคอกาไว้แน่นเหมือนเอา

คีมคีบไว้ให้มันล้าแล้วจึงได้ทำให้หย่อนไว้หน่อยหนึ่ง คือลาก้ามลง. กา
เมื่อจะเรียกงูว่า สหายเอ๋ย สหายจะทิ้งเราไปเพื่อประโยชน์อะไร ? ปู
ตัวนี้หนีบฉัน ฉันจะยังไม่ตายจนกว่าเพื่อนจะมา จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า:-

มฤคสิงคี คือปูมีตาโปน มีกระดองแข็ง
อาศัยน้ำ ไม่มีขน ฉันถูกมันหนีบ จะร้องไห้
อย่างคนที่ควรกรุณา เฮ้ย เพื่อนแกจะหนีฉัน
ไปเพื่อประโยชน์อะไร ?

พึงทราบวินิจฉัยในคาถานั้น ดังต่อไปนี้. ปูเขาเรียกว่า สิงคมิคะ
เพราะมีสีเหมือนสีทองสิงคี หรือเพราะมีเขากล่าว คือก้าม. บทว่า
อายตจกฺขุเนตฺโต ได้แก่ ประกอบด้วยตากล่าวคือจักษุยาว. กระดอง
คือกระดูกของปูนั้นมีอยู่ เพราะเหตุนั้นปูนั้นจึงชื่อว่า มีกระดองแข็ง
อฏฺ€ิตฺตโจ. คำว่า หเร สขา เป็นคือร้องเรียก ความหมายว่า
ดูก่อนสหายผู้เจริญ.


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 14:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
งูได้ฟังคำนั้นแล้ว ได้แผ่พังพานพ่นพิษร้ายมา.
พระศาสดาเมื่อทรงแสดงเนื้อความนั้น ได้ตรัสอภิสัมพุทธคาถา
ที่ ๒ ว่า:-
งูที่เป็นเพื่อนนั้น เมื่อจะทัดทานเพื่อน
ของตนไว้ จึงแผ่พังพานใหญ่ไปพลาง พ่นพิษ
ไปพลาง ได้มาถึงตัวปู ปูก็ได้หนีบงูไว้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กกฺกฏกชฺฌปตฺโต ความว่า ถึงที่
ใกล้ปู. บทว่า สขา สขารํ ความว่า ผู้เป็นเพื่อนจะป้องกันเพื่อนของ
ตน. ปาฐะว่า สกขารํ ดังนี้บ้าง ความหมายก็ว่าสหายของตน. บทว่า
ปริตายมาโน ความว่า เมื่อจะรักษา. บทว่า อคฺคเหสิ ความว่า
ปูเอาก้ามที่ ๒ หนีบคอไว้แน่น ภายหลังให้มันล้าแล้วจึงได้ทำให้หย่อน
ลงหน่อยหนึ่ง คือลาก้ามลง.

ลำดับนั้น งูคิดว่า ธรรมดาปูจะไม่กินเนื้อกาเลยและไม่กินเนื้องู
ด้วย เพราะเหตุอะไรหนอ ปูตัวนี้จึงหนีบพวกเราไว้ เมื่อจะถามปูนั้น
จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ไว้ว่า:-

ปูไม่ต้องการกินกา ไม่ต้องการกินพระ-
ยางู แต่หนีบไว้ เจ้าปูตาโปนเอ๋ย ข้าขอถาม
เจ้า เหตุไร แกจึงหนีบข้าทั้ง ๒ ไว้ ?

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฆาสตฺถิโก ความว่า เป็นผู้ต้อง
การอาหาร. บทว่า อาเทยฺย ความว่า หนีบไว้ อธิบายว่า หนีบไว้
ประกอบด้วยโภชนะก็หาไม่.

ปูได้ฟังคำนั้นแล้ว เมื่อจะบอกถึงเหตุที่หนีบไว้ จึงได้กล่าวคาถา
๒ คาถาว่า:-
ชายคนนี้ที่จับข้านำไปที่น้ำ เป็นผู้หวัง
ความเจริญแก่ข้า. เมื่อเขาตาย ข้าจะมีความ
ทุกข์หาน้อยไม่ เราทั้ง ๒ คือข้าและคนๆ นั้น
จะไม่มี. อนึ่ง คนทุกคนเห็นข้า ผู้มีร่างกาย
เติบโตแล้ว ต้องการเบียดเบียน คือกินเนื้อ
ที่ทั้งอร่อย ทั้งอวบ ทั้งนุ่ม ฝ่ายกาเห็นฉันแล้ว
ก็คงจะเบียดเบียน.


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 28 ธ.ค. 2018, 14:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อยํ บ่งถึงพระโพธิสัตว์. บทว่า
อตฺถกาโม หมายความว่า มุ่งประโยชน์เกื้อกูล. ด้วยบทว่า อุทกาย
เนติ ปูแสดงว่า ผู้ใดรักฉัน เอาผ้าห่มห่อฉันไปที่น้ำ คือให้ฉันถึงที่
อยู่ของตน. บทว่า ตสฺมึ มเต ความว่า ถ้าหากเขาจะตายในที่นี้ไซร้
เมื่อคนๆ นี้ตายแล้ว ฉันจักมีทุกข์กายและทุกข์ใจมากมาย. บทว่า อุโภ

น โหม ความว่า เราทั้ง ๒ คน ก็จักไม่มี. คาถาว่า มมจ ทิสฺวาน-
มีเนื้อความดังต่อไปนี้ว่า ข้อนี้ก็เป็นเหตุแม้ข้ออื่นก็เป็นเหตุ คือเมื่อคนๆ
นี้ตายแล้ว คนทุกคนเห็นฉันเข้าผู้หมดที่พึ่ง ไม่มีปัจจัย แต่มีร่างกาย

เติบโตแล้ว คงจะต้องการฆ่าเราโดยเห็นว่า เนื้อของปูตัวนี้ทั้งอร่อยทั้ง
หนาทั้งนิ่ม ไม่ใช่แต่คนอย่างเดียวเท่านั้นจักต้องการ แม้กาทั้งหลายที่
เป็นสัตว์เดียรัจฉาน เห็นฉันเข้าก็คงจะเบียดเบียน คือคงจะฆ่าให้ตาย.

งูได้ฟังคำนั้นแล้ว จึงคิดว่า เราจักลวงปูตัวนี้ด้วยอุบายอย่างหนึ่ง
แล้วให้ปล่อยทั้งกาทั้งตนเองไป. ลำดับนั้น งูเมื่อจะลวงปูนั้น จึงกล่าว
คาถาที่ ๖ ว่า:-
ถ้าหากข้าทั้ง ๒ ถูกหนีบเพราะเหตุแห่ง
ชายคนนั้นไซร้ ข้าจะดูดพิษกลับ ชายคนนี้
ลุกขึ้นได้ แกจงปล่อยทั้งข้าทั้งกาโดยเร็ว ก่อน
ที่พิษร้ายแรงจะเข้าไปสู่ ชายคนนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สเจ ตสฺส เหตุ ความว่า ถ้า
หากว่า เพราะเหตุแห่งชายคนนี้ไซร้. บทว่า อุฏฺ€าตุ ความว่า จง
เป็นผู้ปราศจากพิษ. บทว่า วิสมาวมามิ ความว่า ข้าจะถอนพิษของ
ชายคนนั้นออก จะทำให้เขาเป็นผู้ไม่มีพิษอีก. บทว่า ปุเร วิสํ คาฬฺ-
หมุเปติ มจฺจํ ความว่า เพราะว่าพิษที่ข้ายังไม่ดูดกลับจะเป็นพิษที่มี
กำลังร้ายแรง พึงเข้าไปสู่ชายคนนี้ ตราบใดพิษนั้นยังไม่เข้าไป ตราบ
นั้นนั่นแหละ แกจงปล่อยข้าทั้ง ๒ คนไป.

ปูได้ฟังคำนั้นแล้ว จึงคิดว่า งูตัวนี้ต้องการจะใช้อุบายอย่างหนึ่ง
ให้เราปล่อยทั้ง ๒ ตัวแล้วหนีไป มันไม่รู้ความฉลาดในอุบายของเรา.
บัดนี้เราจะทำก้ามของเราให้หย่อน คือลาก้ามลง พอให้งูจะสามารถเลื้อย
ไปได้ แต่เราจักไม่ปล่อยกาเลย ครั้นคิดอย่างนี้แล้ว จึงได้กล่าวคาถา
ที่ ๗ ว่า:-

ข้าจะปล่อยงู แต่ยังไม่ปล่อยกาก่อน
เพราะกาจะเป็นตัวประกันไว้ก่อน ต่อเมื่อเห็น
ชายคนนี้ มีความสุขสบายปลอดภัยแล้ว ข้า
จึงจะปล่อยกาไปเหมือนปล่อยงู ฉะนั้น.


* อีกไม่นานก็คงต้องตาย แล้วจะละอายทำความดีกันอีกทำไม
* กราบเท้าพ่อแม่คงไม่ทำให้ชีวิตตนต้องแย่ยิ่งกว่าเดิมหรอกน่ะ
* รักที่แท้จริงยิ่งสิ่งใดนั้นจะเท่ารักของ พ่อ และแม่
* จะโกรธเกลียดลูกสักเพียงใด แม่ก็ยังอภัยให้ลูกได้เสมอ
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ดีแต่ว่าเค้าไม่ส่องดูตัวเราเองบ้างเลย ว่าเราทำได้อย่างเค้าไหม?
* ทุกการกระทำล้วนแล้วแต่มี คนกล่าวเหล่านี้ ติ ชม เฉย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 112, 113, 114, 115, 116, 117, 118 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร