วันเวลาปัจจุบัน 08 ส.ค. 2025, 20:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 106, 107, 108, 109, 110, 111, 112 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 18:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รฏฺ€สฺส ปูชิโต มีเนื้อความว่า
พระราชาแบบนี้ เป็นผู้ที่ประชาชนของรัฐบูชาแล้ว. บทว่า สพฺพตฺถ-
มนุสาสามิ ความว่า ข้าแต่มหาราช อาตมภาพเมื่ออยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง
บรรดาบ้านเป็นต้นเหล่านี้ ก็จะถวายอนุศาสน์พระองค์ ด้วยข้ออนุศาสน์
ข้อนี้นั่นแหละ คือว่า จะถวายอนุศาสน์ในที่ใดที่หนึ่ง บรรดาบ้าน

เป็นต้นเหล่านี้ จะเป็นที่บ้านหลังเดียวก็ตาม สัตวโลกตัวเดียวก็ตาม,
บทว่า มาสุ กุชฺฌ รเถสภ ความว่า อาตมภาพ ถวายอนุศาสน์
พระองค์อยู่อย่างนี้นั่นแหละ ธรรมดาพระราชา ไม่ควรจะพิโรธ.

เหตุไร ? เพราะว่าธรรมดาพระราชาทั้งหลาย มีพระบรมราช
โองการเป็นอาวุธ คนมากมายถึงความสิ้นชีวิตด้วยเหตุเพียงพระบรม
ราชโองการ ของพระราชาเหล่านั้น ผู้ทรงพิโรธแล้ว เท่านั้น.

ในทุกวันที่พระราชาเสด็จมา พระโพธิสัตว์ได้กล่าวคาถาเหล่านี้
ถวายอย่างนี้. พระราชามีพระราชหฤทัยเลื่อมใส ได้พระราชทานหมู่
บ้านชั้นดีให้ ๑ ตำบลเก็บส่วยได้ ๑ แสนกหาปณะ แก่พระมหาสัตว์.
พระมหาสัตว์ทูลปฏิเสธ. ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้อยู่ ณ ที่นั้นแห่งเดียวเป็น

เวลา ๑๒ ปี ดำริว่า เราอยู่ที่นี่มานานนักหนาแล้ว เราจักไปเที่ยวจาริก
ชนบทก่อนแล้วจึงจะมา ไม่ทูลลาพระราชาเลย เรียกคนเฝ้าสวนมาสั่ง
ว่า อาตมาจักไปจาริกชนบท แล้วจึงจะมา ขอให้ท่านทูลให้พระราชา
ทรงทราบด้วย แล้วก็หลีกไปถึงท่าเรือที่แม่น้ำคงคา. ที่ท่านั้นมีคนแจว

เรือจ้าง ชื่อ อาวาริยปิตา. เขาเป็นคนพาลไม่รู้จักคุณของผู้มีคุณเลย
ทั้งไม่รู้จักอุบายเพื่อตนเองด้วย. เขาสั่งคนที่ต้องการข้ามแม่น้ำคงคา
ข้ามก่อนแล้วจึงขอค่าจ้างภายหลัง เมื่อทะเลาะกับคนที่ไม่ให้ค่าจ้าง

ก็ใช้วิธีด่าและทุบตีกันเท่านั้น จึงจะได้ค่าจ้างมาก. พระศาสดาทรงเป็น
ผู้รู้ยิ่งได้ตรัสพระคาถาที่ ๓ ไว้ ทรงหมายถึงนายอาวาริยปิตานั้น ผู้มี
ลาภน้อยเป็นอันธพาลอย่างนี้ ว่า:-


* สิ่งดีๆมีไว้เพื่อแบ่งปัน นั้นย่อมนำความสุขมาให้ทุกคน
* ไม่คิดก่อนชื้อ ไม่คิดก่อนใช้รถ ย่อมยังให้รถติดได้
* ตามใจตนใช่ว่าดี ที่ให้ดีควรตามอย่างพระอริยะเจ้า
* เกลียดความลำบากมาก กับเดินบนเส้นทางสู่ความลำบากช้ำเข้าไปอีก
* เมื่อทุกข์กายแล้วย่อมจะได้ความสุขคือมีสุขภาพแข็งแรง
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ออกกำลังย่อมได้กำลังตอบ ดีแต่ใช้นิ้วสั่งงานระวังจะเป็นโรคเอาง่ายๆ
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* ล่วงเขาก็เท่ากับล่วงใจของตน โกหกเขาก็เท่ากับโกหกตนเองด้วย
* แนะนำบอกคนอื่นดี แต่แนะนำบอกสอนตัวเองดียิ่งกว่า
* รู้น้อยแต่ลงมือทำ ยังดีกว่ารู้จำมากแต่มิทำอะไรเลย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ที่แม่น้ำคงคาได้มีคนแจวเรือจ้าง ชื่อ
อาวาริยปิตา เขาส่งคนข้ามฟากก่อน แล้วจึง
ขอรับค่าจ้างภายหลัง เพราะเหตุนั้น เขาจึงมี
การทุ่มเถียงกัน และไม่เจริญด้วยโภคทรัพย์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาวาริยปิตา ความว่า เขามีธิดา
ชื่อว่า อาวาริยา ด้วยอำนาจของธิดานั้น เขาจึงกลายเป็นผู้มีชื่อว่า
อาวาริยปิตาพ่อของอาวาริยา. บทว่า เตนสฺส ภณฺฑนํ ความว่า
เพราะเหตุนั้น เขาจึงได้มีการทุ่มเถียงกัน. อีกอย่างหนึ่ง เขาได้มีการ
ทุ่มเถียงกับคนๆ นั้น ที่ถูกขอค่าจ้างภายหลัง.

พระโพธิสัตว์เข้าไปหาคนแจวเรือจ้างคนนั้น แล้วพูดว่า ขอจง
นำอาตมภาพข้ามฟากเถิด. เขาครั้นได้ฟังคำนั้นแล้ว จึงตอบว่า:-
ท่านสมณะ ท่านจักให้ค่าจ้างเรือผมเท่าไร ?

พ. โยม ธรรมดาอาตมภาพจักบอกความเจริญแห่งโภคทรัพย์
ความเจริญแห่งอรรถ และความเจริญแห่งธรรมให้.
คนแจวเรือจ้างครั้นได้ฟังคำนั้นแล้ว เข้าใจว่า สมณะรูปนี้จัก
ให้อะไรแก่เราแน่นอน จึงนำท่านข้ามฟาก แล้วกล่าวว่าขอพระคุณเจ้า
จงให้ค่าจ้างเรือแก่ผมเถิด. พระโพธิสัตว์นั้นตอบว่าดีแล้วโยม เมื่อจะ
บอกความเจริญแห่งโภคะแก่เขาก่อน จึงกล่าวคาถาว่า:-

ดูก่อนโยมชาวเรือ โยมจงขอค่าจ้างกะ
คนที่ยังไม่ข้ามไปฝั่งโน้นก่อนสิ เพราะว่าจิตใจ
ของคนที่ข้ามฟากแล้ว เป็นอย่างหนึ่ง ของ
คนที่ต้องการจะข้ามฟากยังไม่ได้ข้าม ก็เป็น
อีกอย่างหนึ่งไม่เหมือนกัน.


* สิ่งดีๆมีไว้เพื่อแบ่งปัน นั้นย่อมนำความสุขมาให้ทุกคน
* ไม่คิดก่อนชื้อ ไม่คิดก่อนใช้รถ ย่อมยังให้รถติดได้
* ตามใจตนใช่ว่าดี ที่ให้ดีควรตามอย่างพระอริยะเจ้า
* เกลียดความลำบากมาก กับเดินบนเส้นทางสู่ความลำบากช้ำเข้าไปอีก
* เมื่อทุกข์กายแล้วย่อมจะได้ความสุขคือมีสุขภาพแข็งแรง
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ออกกำลังย่อมได้กำลังตอบ ดีแต่ใช้นิ้วสั่งงานระวังจะเป็นโรคเอาง่ายๆ
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* ล่วงเขาก็เท่ากับล่วงใจของตน โกหกเขาก็เท่ากับโกหกตนเองด้วย
* แนะนำบอกคนอื่นดี แต่แนะนำบอกสอนตัวเองดียิ่งกว่า
* รู้น้อยแต่ลงมือทำ ยังดีกว่ารู้จำมากแต่มิทำอะไรเลย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 18:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปารํ ความว่า ดูก่อนโยมชาวเรือ
โยมจงขอค่าจ้างกะคนที่ยังไม่ข้ามฟาก ยังยืนอยู่ฝั่งนี้เท่านั้น และรับเอา
ค่าจ้างที่ได้จากเขา เก็บไว้ในที่ๆ คุ้มครองรักษาแล้วจึงนำคนส่งข้ามฟาก
ภายหลัง อย่างนี้โยมก็จักเจริญด้วยโภคทรัพย์. บทว่า อฺโ หิ
ติณฺณสฺส มโน ความว่า ดูก่อนโยมชาวเรือ เพราะว่าจิตใจของคน

ที่ข้ามฟากไปแล้วเป็นอย่างหนึ่ง คือไม่อยากจะให้ จะไปถ่ายเดียว แต่
ธรรมดาว่า ผู้ใดจะข้ามฟาก คือจะข้ามฝั่ง ได้แก่ ประสงค์จะไปฝั่งข้าง
หน้า ผู้นั้นอยากจะไป แม้เกินราคาค่าจ้างก็ให้ได้ ก็ใจของผู้ต้องการ
ข้ามฟาก ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ดังที่กล่าวมานี้ เพราะฉะนั้นโยมควรขอ
กะผู้ยังไม่ข้ามฟากเท่านั้นดังนี้ ชื่อว่า ความเจริญแห่งโภคทรัพย์ทั้งหลาย
ของโยมก่อนดังนี้แล.

คนแจวเรือได้ฟังคำนั้นแล้ว คิดว่า เราจักมีโอวาทนี้ก่อน แต่
บัดนี้ สมณะนี้ จักให้อะไรอื่นแก่เราอีก. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้
กล่าวกะเขาว่า โยมนี้เป็นความเจริญแห่งโภคทรัพย์ของโยมก่อน บัดนี้
โยมจงฟังความเจริญแห่งอรรถและธรรม เมื่อให้โอวาทเขา จึงได้กล่าว
คาถาไว้ว่า:-

อาตมาจะตามสอนโยมทุกหนทุกแห่ง ทั้ง
ในบ้านทั้งในป่า ทั้งในที่ลุ่มและที่ดอน ดูก่อน
โยมชาวเรือ ขอโยมจงอย่าโกรธนะ.

พระโพธิสัตว์ ครั้นบอกความเจริญแห่งอรรถและธรรม ด้วย
คาถานี้ แก่เขาแล้ว จึงกล่าวว่า นี้เป็นความเจริญแห่งอรรถและความ
เจริญแห่งธรรมของโยม. แต่เขาเป็นคนดุ ไม่สำคัญโอวาทนั้นว่าเป็น
อะไร จึงกล่าวว่า ข้าแต่ท่านสมณะ นี้หรือคือค่าจ้างเรือที่ท่านให้ผม.

พระโพธิสัตว์ ถูกแล้วโยม.
คนแจวเรือ ผมไม่มีงานตามค่าจ้างนี้.


* สิ่งดีๆมีไว้เพื่อแบ่งปัน นั้นย่อมนำความสุขมาให้ทุกคน
* ไม่คิดก่อนชื้อ ไม่คิดก่อนใช้รถ ย่อมยังให้รถติดได้
* ตามใจตนใช่ว่าดี ที่ให้ดีควรตามอย่างพระอริยะเจ้า
* เกลียดความลำบากมาก กับเดินบนเส้นทางสู่ความลำบากช้ำเข้าไปอีก
* เมื่อทุกข์กายแล้วย่อมจะได้ความสุขคือมีสุขภาพแข็งแรง
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ออกกำลังย่อมได้กำลังตอบ ดีแต่ใช้นิ้วสั่งงานระวังจะเป็นโรคเอาง่ายๆ
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* ล่วงเขาก็เท่ากับล่วงใจของตน โกหกเขาก็เท่ากับโกหกตนเองด้วย
* แนะนำบอกคนอื่นดี แต่แนะนำบอกสอนตัวเองดียิ่งกว่า
* รู้น้อยแต่ลงมือทำ ยังดีกว่ารู้จำมากแต่มิทำอะไรเลย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 18:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระโพธิสัตว์ โยมนอกจากโอวาทนี้แล้ว อาตมาไม่มีอย่างอื่น.
คนแจวเรือกล่าวว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุไร ? ท่านจึงลงเรือ
ผม แล้วผลักดาบสให้ล้มลงที่ฝั่งแม่น้ำคงคา นั่งทับอกแล้วตบปากท่าน
ทีเดียว.

พระศาสดาครั้นตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ดาบสได้ถวาย
โอวาทพระราชา แล้วจึงได้รับพระราชทานหมู่บ้านชั้นดี ในราชสำนัก
แต่ได้บอกโอวาทนั้นนั่นเอง แก่คนแจวเรือจ้างอันธพาล กลับประสบ
การตบปากด้วยประการดังนี้. เพราะฉะนั้น ผู้จะให้โอวาทควรให้แก่คน
ที่เหมาะสม ไม่ควรให้แก่คนที่ไม่เหมาะสม ดังนี้แล้ว ทรงเป็นผู้ตรัสรู้
ยิ่งแล้ว ลำดับต่อจากนั้นได้ตรัสพระคาถาว่า:-

พระราชาได้พระราชทานหมู่บ้านชั้นดีแก่
ดาบส เพราะอนุศาสนีบทใด เพราะอนุศาสนี
บทนั้นนั่นเอง คนแจวเรือได้ตบปากดาบส.

เมื่อคนแจวเรือนั้นกำลังตบอยู่นั่นแหละ ภรรยาถืออาหารมา
เห็นดาบสเข้า จึงบอกว่า พี่ ดาบสนี้เป็นชีต้นประจำราชตระกูล พี่
อย่าตีท่าน เขาโกรธแล้วพูดว่า แกนี่แหละ ไม่ให้ข้าตีดาบสขี้โกงคนนี้
แล้วลุกขึ้นตบภรรยานั้นให้ล้มลงไป. เมื่อเป็นเช่นนั้น ถาดข้าวก็ตกแตก.

และเด็กในท้องของภรรยาท้องแก่ ได้คลอดออกตกลงที่พื้นดิน. ครั้งนั้น
มนุษย์ทั้งหลายจึงพากันมาล้อมดู แล้วจับเขามัดด้วยความเข้าใจว่า เป็น
โจรฆ่าคน แล้วนำไปมอบถวายพระราชา. พระราชาทรงวินิจฉัยแล้ว
ลงพระราชอาญาแก่เขา.


* สิ่งดีๆมีไว้เพื่อแบ่งปัน นั้นย่อมนำความสุขมาให้ทุกคน
* ไม่คิดก่อนชื้อ ไม่คิดก่อนใช้รถ ย่อมยังให้รถติดได้
* ตามใจตนใช่ว่าดี ที่ให้ดีควรตามอย่างพระอริยะเจ้า
* เกลียดความลำบากมาก กับเดินบนเส้นทางสู่ความลำบากช้ำเข้าไปอีก
* เมื่อทุกข์กายแล้วย่อมจะได้ความสุขคือมีสุขภาพแข็งแรง
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ออกกำลังย่อมได้กำลังตอบ ดีแต่ใช้นิ้วสั่งงานระวังจะเป็นโรคเอาง่ายๆ
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* ล่วงเขาก็เท่ากับล่วงใจของตน โกหกเขาก็เท่ากับโกหกตนเองด้วย
* แนะนำบอกคนอื่นดี แต่แนะนำบอกสอนตัวเองดียิ่งกว่า
* รู้น้อยแต่ลงมือทำ ยังดีกว่ารู้จำมากแต่มิทำอะไรเลย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาทรงเป็นผู้ตรัสรู้ยิ่งแล้ว เมื่อจะทรงประกาศข้อความ
นั้น จึงได้ตรัสพระคาถาสุดท้ายไว้ว่า:-
ถาดข้าวก็แตก ภรรยาก็ถูกตบ และเด็ก
ในครรภ์ก็ตกลงที่พื้นดิน เขาไม่อาจจะให้ประ-
โยชน์งอกเงยขึ้น เพราะโอวาทนั้น เหมือน
เนื้อไม่อาจจะให้ประโยชน์เกิดขึ้นเพราะทองคำ
ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภตฺตํ ภินฺนํ ความว่า ถาดข้าวก็
ตกแตกแล้ว. บทว่า หตา ได้แก่ ตบแล้ว. บทว่า ฉมา ได้แก่ ที่
พื้นดิน. บทว่า มิโคว ชาตรูเปน มีอธิบายว่า เนื้อเหยียบย่ำทอง
เงินหรือแก้วมุกดา แก้วมณีเป็นต้น ไปบ้าง นอนทับบ้าง ไม่สามารถ

จะใช้ทองคำนั้น เพิ่มพูน คือให้เกิดประโยชน์แก่ตนได้ฉันใด คน
อันธพาลนั้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงฟังโอวาทที่บัณฑิตให้แล้ว ก็ไม่
สามารถเพิ่มพูน คือให้เกิดประโยชน์แก่ตนได้.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ
สัจจะแล้วทรงประชุมชาดก ในเวลาจบสัจธรรม ภิกษุนั้นดำรงอยู่แล้ว
ในโสดาปัตติผล. คนแจวเรือครั้งนั้นคือคนแจวเรือเวลานี้นั่นเอง พระ-
ราชา ได้แก่พระอานนท์. ส่วนดาบส ได้แก่เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอาวาริยชาดกที่ ๑

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุผู้โกหก จึงตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า มา ตาต กุชฺฌิ น หิ สาธุ
โกโธ ดังนี้. เรื่องปัจจุบันจักมีชัดในกุททาลชาดก.

ได้ยินว่า เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ในนครพาราณสี
สอนมนต์มาณพ ๕๐๐ คน. หัวหน้ามาณพเหล่านั้นชื่อว่า เสตเกตุ
เป็นมาณพเกิดในสกุลอุททิจพราหมณ์. เขาได้มีมานะมาก เพราะอาศัย

ชาติตระกูล. อยู่มาวันหนึ่ง เขาออกจากพระนครไปพร้อมกับมาณพอื่นๆ
ได้เห็นจัณฑาลคนหนึ่ง กำลังเข้าพระนคร จึงถามว่า เจ้าเป็นใคร?
เมื่อเขาตอบว่า เป็นจัณฑาล จึงพูดว่า ฉิบหาย ไอ้จัณฑาล กาลกรรณี
เอ็งจงไปใต้ลมดังนี้ เพราะกลัวลมที่พัดผ่านตัวของเขาจะมากระทบร่าง

ของตน แล้วได้ไปเหนือลมโดยเร็ว. แต่คนจัณฑาลเดินเร็วกว่า จึงได้
ไปยืนเหนือลมเขา. เมื่อมีเหตุการณ์อย่างนั้น มาณพนั้น ก็ได้ด่าแช่ง
เขาอย่างหนักว่า ฉิบหาย ไอ้ถ่อย กาลกรรณี. คนจัณฑาล ครั้นได้
ฟังคำนั้นแล้ว จึงถามว่า คุณเป็นใคร ?

พ. ฉันเป็นพราหมณมาณพสิ
จ. เป็นพราหมณ์ ก็เป็นไม่ว่า แต่คุณสามารถจะตอบปัญหา
ที่ผมถามได้ไหม ?
พ. เออได้ซิ
จ. ถ้าแม้ว่าคุณไม่สามารถตอบได้ไซร้ ผมจะให้คุณลอดหว่าง
ขาผม


* สิ่งดีๆมีไว้เพื่อแบ่งปัน นั้นย่อมนำความสุขมาให้ทุกคน
* ไม่คิดก่อนชื้อ ไม่คิดก่อนใช้รถ ย่อมยังให้รถติดได้
* ตามใจตนใช่ว่าดี ที่ให้ดีควรตามอย่างพระอริยะเจ้า
* เกลียดความลำบากมาก กับเดินบนเส้นทางสู่ความลำบากช้ำเข้าไปอีก
* เมื่อทุกข์กายแล้วย่อมจะได้ความสุขคือมีสุขภาพแข็งแรง
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ออกกำลังย่อมได้กำลังตอบ ดีแต่ใช้นิ้วสั่งงานระวังจะเป็นโรคเอาง่ายๆ
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* ล่วงเขาก็เท่ากับล่วงใจของตน โกหกเขาก็เท่ากับโกหกตนเองด้วย
* แนะนำบอกคนอื่นดี แต่แนะนำบอกสอนตัวเองดียิ่งกว่า
* รู้น้อยแต่ลงมือทำ ยังดีกว่ารู้จำมากแต่มิทำอะไรเลย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 19:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เขาตรึกตรองดูตัวเองแล้ว พูดว่า แกถามได้
บุตรคนจัณฑาล ให้บริษัทเพื่อนของมาณพนั้น. ยึดถือถ้อยคำ
สัญญานั้นแล้ว ถามปัญหาว่า ข้าแต่ท่านมาณพ ธรรมดาทิศมีเท่าไร ?
พ. ธรรมดาทิศมี ๔ มีทิศตะวันออกเป็นต้น.

คนจัณฑาลพูดว่า ผมไม่ได้ถามคุณถึงทิศนั้น แม้เท่านี้คุณก็ไม่รู้
ยังรังเกียจลมที่พัดผ่านตัวผม. แล้วจับคอเขาโน้มลงมาลอดหว่างขาของ
ตน. มาณพทั้งหลายได้บอกพฤติการณ์นั้นแก่อาจารย์. อาจารย์ครั้นได้
ฟังคำนั้นแล้ว จึงถามเขาว่า พ่อเสตเกตุ จริงไหม ? ได้ทราบว่าเจ้า
ถูกคนจัณฑาลให้ลอดหว่างขา.

มาณพตอบว่า จริงอาจารย์ ลูกของอีทาสีจัณฑาลนั้นว่าผมว่า
แม้เพียงแต่ทิศคุณก็ไม่รู้ แล้วให้ผมลอดหว่างขาของตน ทีนี้ผมเห็นมัน
แล้ว จักแก้แค้นมัน. โกรธแล้ว ด่า แช่ง ลูกคนจัณฑาล. ครั้งนั้น
อาจารย์ เมื่อโอวาทเขาว่า พ่อเสตเกตุเอ๋ย เจ้าอย่าโกรธเขา ลูกคน

จัณฑาลเป็นบัณฑิต เขาไม่ได้ถามเจ้าถึงทิศนั่น แต่เขาถามถึงทิศอื่น ก็
ทิศที่เจ้ายังไม่เห็นไม่ได้ยินและยังไม่รู้นั่นแหละ มีมากกว่าทิศที่เจ้าได้
เห็นได้ยินและได้รู้มาแล้ว. ดังนี้แล้วจึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาไว้ว่า:-

พ่อเอ๋ย พ่ออย่าโกรธเลย เพราะความ
โกรธไม่ดี ที่เจ้ายังไม่เห็นและยังไม่ได้ยินมี
เป็นอันมาก พ่อเสตเกตุเอ๋ย มารดาบิดาก็เป็น
ทิศๆ หนึ่ง บัณฑิตทั้งหลายสรรเสริญอาจารย์
เรียกว่าเป็นทิศๆ หนึ่ง คฤหัสถ์ทั้งหลายเป็น
ผู้ถวายข้าว น้ำและผ้านุ่งห่ม ส่วนสมณะ


* สิ่งดีๆมีไว้เพื่อแบ่งปัน นั้นย่อมนำความสุขมาให้ทุกคน
* ไม่คิดก่อนชื้อ ไม่คิดก่อนใช้รถ ย่อมยังให้รถติดได้
* ตามใจตนใช่ว่าดี ที่ให้ดีควรตามอย่างพระอริยะเจ้า
* เกลียดความลำบากมาก กับเดินบนเส้นทางสู่ความลำบากช้ำเข้าไปอีก
* เมื่อทุกข์กายแล้วย่อมจะได้ความสุขคือมีสุขภาพแข็งแรง
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ออกกำลังย่อมได้กำลังตอบ ดีแต่ใช้นิ้วสั่งงานระวังจะเป็นโรคเอาง่ายๆ
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* ล่วงเขาก็เท่ากับล่วงใจของตน โกหกเขาก็เท่ากับโกหกตนเองด้วย
* แนะนำบอกคนอื่นดี แต่แนะนำบอกสอนตัวเองดียิ่งกว่า
* รู้น้อยแต่ลงมือทำ ยังดีกว่ารู้จำมากแต่มิทำอะไรเลย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 19:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้เรียกร้อง บัณฑิตทั้ง
หลาย เรียกสมณะและพราหมณ์ แม้นั้นว่าเป็น
ทิศๆ หนึ่ง พ่อเสตเกตุเอ๋ย ทิศนี้เป็นยอดทิศ
เพราะสัตว์ทั้งหลายผู้มีทุกข์ไปถึงแล้วจะมีความ
สุข.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น หิ สาธุ โกโธ ความว่า ธรรมดา
ความโกรธเมื่อเกิดขึ้น ย่อมไม่ให้รู้คำสุภาษิตและพุทธภาษิต ประโยชน์
และมิใช่ประโยชน์ ความเกื้อกูลและไม่เกื้อกูล เพราะฉะนั้น ความโกรธ
จึงไม่ดีเลย. บทว่า พหุมฺปิ เต อทิฏฺ€ํ ความว่า อาจารย์กล่าวว่า ทิศที่

เจ้ายังไม่เห็นด้วยตา และยังไม่ได้ยินด้วยหูยังมีมากกว่า. ทิศเหล่านั้นคือ
มารดาบิดา ผู้ชื่อว่ากลายเป็นทิศเบื้องหน้าคือตะวันออก เพราะเกิดก่อน
กว่าบุตรทั้งหลาย. บทว่า อาจริยมาหุ ทิสตํ ปสฏฺ€า ความว่า พระ-
อริยเจ้าทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น กล่าวแล้วคือบอก ได้แก่แสดง

หรือพูดว่า แต่อาจารย์ทั้งหลาย ผู้ถูกสรรเสริญว่าเป็นทิศๆ หนึ่ง คือเป็น
ทิศเบื้องขวา เพราะเป็นผู้ควรแก่ทักษิณาคือการเคารพ. บทว่า อคาริโน
ได้แก่คฤหัสถ์นั่นเอง บทว่า อนินปานวตฺถทา ได้แก่ เป็นผู้ให้ข้าว
เป็นผู้ให้น้ำและเป็นผู้ให้ผ้านุ่งห่ม. บทว่า อวฺหายิกา ได้แก่เป็นผู้ร้อง

นิมนต์ว่า นิมนต์มาเถิด นิมนต์รับไทยธรรม. บทว่า ตมฺปิทิสํ วทนฺติ
ความว่า พระอริยเจ้าทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น เรียกแม้ผู้นั้นว่า
เป็นทิศนั้นทิศหนึ่ง. ด้วยบทนี้ อาจารย์แสดงว่า คฤหัสถ์ทั้งหลายผู้ถวาย


* สิ่งดีๆมีไว้เพื่อแบ่งปัน นั้นย่อมนำความสุขมาให้ทุกคน
* ไม่คิดก่อนชื้อ ไม่คิดก่อนใช้รถ ย่อมยังให้รถติดได้
* ตามใจตนใช่ว่าดี ที่ให้ดีควรตามอย่างพระอริยะเจ้า
* เกลียดความลำบากมาก กับเดินบนเส้นทางสู่ความลำบากช้ำเข้าไปอีก
* เมื่อทุกข์กายแล้วย่อมจะได้ความสุขคือมีสุขภาพแข็งแรง
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ออกกำลังย่อมได้กำลังตอบ ดีแต่ใช้นิ้วสั่งงานระวังจะเป็นโรคเอาง่ายๆ
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* ล่วงเขาก็เท่ากับล่วงใจของตน โกหกเขาก็เท่ากับโกหกตนเองด้วย
* แนะนำบอกคนอื่นดี แต่แนะนำบอกสอนตัวเองดียิ่งกว่า
* รู้น้อยแต่ลงมือทำ ยังดีกว่ารู้จำมากแต่มิทำอะไรเลย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 19:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ปัจจัย ๔ ชื่อว่าเป็นทิศนั้น เพราะเป็นผู้ที่สมณะพราหมณ์ทั้งหลายผู้ทรง
ธรรม จะต้องเข้าไปหาโดยเรียกร้องปัจจัย ๔ อีกนัยหนึ่ง สมณะ
พราหมณ์ทั้งหลายผู้ทรงธรรม ชื่อว่าผู้เรียกร้องคืออวหายิกะ เพราะเรียก
ร้องคุณความดีสูงๆ ขึ้นไปมาให้โดยความหมายว่า เป็นผู้ให้ซึ่งสวรรค์

สมบัติในฉกามาวจรแก่คฤหัสถ์ทั้งหลายเหล่านั้น ผู้ถวายข้าว น้ำและ
ผ้านุ่งห่ม. ด้วยบทว่า ตมฺปิ ทิสํ วทนฺติ ท่านอาจารย์แสดงว่า พระ-
อริยเจ้าทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น เรียกแม้สมณะพราหมณ์ผู้ทรง
ธรรมนั้นว่า ชื่อว่าเป็นทิศเบื้องบน. สมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสไว้ว่า:-

มารดาบิดาเป็นทิศเบื้องหน้า-ตะวันออก
อาจารย์เป็นทิศเบื้องขวา-ใต้ บุตรภรรยาเป็น
ทิศเบื้องหลัง-ตะวันตก มิตรและอำมาตย์เป็น
ทิศเบื้องซ้าย-เหนือ ทาสและกรรมกรเป็นทิศ
เบื้องล่าง สมณะพราหมณ์เป็นทิศเบื้องบน

คฤหัสถ์ในตระกูลผู้ไม่ประมาท ควรนมัสการ
ทิศเหล่านี้.

ก็คำว่า เอสา ทิสา นี้ อาจารย์กล่าวหมายเอาพระนิพพาน.
เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายผู้เป็นทุกข์ เพราะทุกข์นานัปปการมีความเกิดเป็น
ต้น บรรลุพระนิพพานนั้นแล้ว จะหมดทุกข์ คือเป็นผู้มีความสุข. และ
ทิศนี้นั่นเอง คือพระนิพพาน ชื่อว่าเป็นทิศที่สัตว์ทั้งหลายไม่เคยไปแล้ว.

อนึ่ง ด้วยคำว่า เอสา ทิสา นั้นนั่นเอง อาจารย์จึงกล่าวถึงพระนิพพาน
ว่า เป็นทิศชั้นยอด. สมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสไว้ว่า:-


* สิ่งดีๆมีไว้เพื่อแบ่งปัน นั้นย่อมนำความสุขมาให้ทุกคน
* ไม่คิดก่อนชื้อ ไม่คิดก่อนใช้รถ ย่อมยังให้รถติดได้
* ตามใจตนใช่ว่าดี ที่ให้ดีควรตามอย่างพระอริยะเจ้า
* เกลียดความลำบากมาก กับเดินบนเส้นทางสู่ความลำบากช้ำเข้าไปอีก
* เมื่อทุกข์กายแล้วย่อมจะได้ความสุขคือมีสุขภาพแข็งแรง
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ออกกำลังย่อมได้กำลังตอบ ดีแต่ใช้นิ้วสั่งงานระวังจะเป็นโรคเอาง่ายๆ
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* ล่วงเขาก็เท่ากับล่วงใจของตน โกหกเขาก็เท่ากับโกหกตนเองด้วย
* แนะนำบอกคนอื่นดี แต่แนะนำบอกสอนตัวเองดียิ่งกว่า
* รู้น้อยแต่ลงมือทำ ยังดีกว่ารู้จำมากแต่มิทำอะไรเลย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 19:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บุคคลผู้ประสงค์จะไปสู่ทิศที่ไม่เคยไป
คือพระนิพพาน ต้องตามรักษาจิตของตน
เหมือนคนประคองภาชนะน้ำมันที่เต็มเสมอ
ขอบปาก ไม่มีพร่องไว้ฉะนั้น.

พระมหาสัตว์ บอกทิศทั้งหลายแก่มาณพด้วยอาการอย่างนี้. แต่
มาณพคิดเสียใจว่า เราถูกคนจัณฑาลให้ลอดหว่างขา ละอายเพื่อน จึง
ไม่อยู่ในที่นั้น ไปยังเมืองตักกศิลา เรียนศิลปทุกอย่าง ในสำนักของ
อาจารย์ทิศาปาโมกข์ จบแล้วอาจารย์อนุญาตให้ไป จึงออกจากเมือง
ตักกศิลา เที่ยวหาเรียนศิลปะของทุกลัทธิ. เข้าไปถึงบ้านชายแดนแห่ง

หนึ่ง อาศัยบ้านนั้นอยู่ เห็นดาบส ๕๐๐ รูป จึงบวชในสำนักของท่าน
แล้วเรียนศิลปะบ้าง มนต์บ้าง จรณะบ้าง ที่ท่านเหล่านั้นรู้ ได้เป็น
หัวหน้าคณะ มีดาบสเหล่านั้นห้อมล้อมไปยังนครพาราณสี รุ่งขึ้นไป
เที่ยวภิกขาจาร ได้ไปถึงพระลานหลวง. พระราชาทรงเลื่อมใสในอิริยา-

บถของดาบสทั้งหลาย นิมนต์ให้ฉันภายในพระนิเวศน์ แล้วทรงให้ท่าน
เหล่านี้พำนักอยู่ในพระราชอุทยานของพระองค์. อยู่มาวันหนึ่ง พระ-
องค์ทรงอังคาสดาบสทั้งหลายแล้วตรัสว่า วันนี้เวลาเย็นโยมจะไปพระ-
ราชอุทยาน ไหว้พระคุณเจ้าทั้งหลาย. เสตเกตุดาบส ไปยังพระราช-

อุทยานแล้ว ประชุมดาบสพูดว่า ดูก่อนสหายร่วมชีวิตทั้งหลาย วันนี้
พระราชาจักเสด็จมา. ท่านชี้แจงว่า ธรรมดาพระราชาทั้งหลายทรงโปรด
ปรานครั้งเดียว ก็สามารถให้คนดำรงชีพอยู่เป็นได้ชั่วอายุ วันนี้ขอให้


* สิ่งดีๆมีไว้เพื่อแบ่งปัน นั้นย่อมนำความสุขมาให้ทุกคน
* ไม่คิดก่อนชื้อ ไม่คิดก่อนใช้รถ ย่อมยังให้รถติดได้
* ตามใจตนใช่ว่าดี ที่ให้ดีควรตามอย่างพระอริยะเจ้า
* เกลียดความลำบากมาก กับเดินบนเส้นทางสู่ความลำบากช้ำเข้าไปอีก
* เมื่อทุกข์กายแล้วย่อมจะได้ความสุขคือมีสุขภาพแข็งแรง
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ออกกำลังย่อมได้กำลังตอบ ดีแต่ใช้นิ้วสั่งงานระวังจะเป็นโรคเอาง่ายๆ
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* ล่วงเขาก็เท่ากับล่วงใจของตน โกหกเขาก็เท่ากับโกหกตนเองด้วย
* แนะนำบอกคนอื่นดี แต่แนะนำบอกสอนตัวเองดียิ่งกว่า
* รู้น้อยแต่ลงมือทำ ยังดีกว่ารู้จำมากแต่มิทำอะไรเลย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 19:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พวกเราบางพวกเดินเป็นกลุ่มๆ ไป บางพวกนอนบนหนาม บางพวก
บำเพ็ญตบะ ๕ อย่าง บางพวกประกอบความเพียรวิธีกระโหย่งเท้า
บางพวกลงน้ำ บางพวกสาธยายมนต์ ดังนี้แล้วตัวท่านเอง นั่งบนตั่งที่ไม่
มีพนักพิง ที่ประตูบรรณศาลาวางคัมภีร์ ๑ คัมภีร์ ที่รุ่งเรืองด้วยรงค-
เบญจวรรณแวววาว ไว้บนกากะเยียที่มีสีงดงาม แล้วแก้ปัญหาที่มาณพ

สี่ ห้า คนซักถามมา. ขณะนั้นพระราชาเสด็จมา ทอดพระเนตรเห็น
ดาบสเหล่านั้นบำเพ็ญมิจฉาตบะ คือตบะผิดพอพระราชหฤทัย จึงเสด็จ
เข้าไปหาเสตเกตุดาบส ทรงไหว้แล้วประทับนั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง
เมื่อทรงปราศัยกับท่านปุโรหิต จึงได้ตรัสคาถาที่ ๓ ว่า:-

ชฏิลเหล่าใด ผู้นุ่งหนังสัตว์ที่แข็งกระด้าง
มีฟันสกปรก มีรูปร่างเศร้าหมอง ร่ายมนต์อยู่
ชฎิลเหล่านั้น ดำรงอยู่ในความเพียรของมนุษย์
รู้โลกนี้แล้ว จะพ้นจากอบายหรือไม่หนอ ?

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ขราชินา ได้แก่ ผู้นุ่งห่มหนังสัตว์
ที่มีกีบเล็บ. บทว่า ปงฺกทนฺตา ได้แก่ มีฟันมีขี้ฟันเขลอะ เพราะไม่
ได้สีฟัน. บทว่า ทุมุกฺขรูปา ได้แก่ มีผ้านุ่งผ้าห่มปอน ไม่ได้ซัก
ไม่ได้ตกแต่ง คือเว้นจากระเบียบของหอมและเครื่องลูบไล้. มีอธิบายว่า

ได้แก่ มีรูปร่างมอมแมม. บทว่า เยเม ชปนฺติ ความว่า ชฏิลเหล่านี้
ได้ร่ายมนต์อยู่. บทว่า มานุสิเก ปโยเค ความว่า ดำรงอยู่แล้ว
ความเพียรที่คนทั้งหลายต้องทำกัน. บทว่า อิทํ วิทู ปริมุตฺตา อปายา

ความว่า ถามว่า ฤๅษีเหล่านั้น ครั้นตั้งอยู่ในความเพียรรู้โลกนี้แล้ว
คือทำให้ปรากฏแล้ว จะพ้นจากอบายทั้ง ๔ ได้หรือไม่หนอ ?


* สิ่งดีๆมีไว้เพื่อแบ่งปัน นั้นย่อมนำความสุขมาให้ทุกคน
* ไม่คิดก่อนชื้อ ไม่คิดก่อนใช้รถ ย่อมยังให้รถติดได้
* ตามใจตนใช่ว่าดี ที่ให้ดีควรตามอย่างพระอริยะเจ้า
* เกลียดความลำบากมาก กับเดินบนเส้นทางสู่ความลำบากช้ำเข้าไปอีก
* เมื่อทุกข์กายแล้วย่อมจะได้ความสุขคือมีสุขภาพแข็งแรง
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ออกกำลังย่อมได้กำลังตอบ ดีแต่ใช้นิ้วสั่งงานระวังจะเป็นโรคเอาง่ายๆ
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* ล่วงเขาก็เท่ากับล่วงใจของตน โกหกเขาก็เท่ากับโกหกตนเองด้วย
* แนะนำบอกคนอื่นดี แต่แนะนำบอกสอนตัวเองดียิ่งกว่า
* รู้น้อยแต่ลงมือทำ ยังดีกว่ารู้จำมากแต่มิทำอะไรเลย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 19:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ปุโรหิตฟังพระดำรัสนั้นแล้ว ได้ทูลคาถาที่ ๔ ว่า:-
ข้าแต่มหาราชเจ้า ผู้ใดเป็นพหูสูต คงแก่
เรียน แต่ทำบาปกรรมไว้ ไม่ประพฤติธรรมเลย
ผู้นั้นถึงจะมีเวทมนต์ตั้งพัน อาศัยเวทมนต์นั้น
แต่ไม่ถึงจรณะ ก็ไม่พ้นทุกข์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กริตฺวา ได้แก่ กตฺวา แปลว่าทำแล้ว
บทว่า จรณํ ได้แก่สมาบัติ ๘ พร้อมด้วยศีล. มีคำอธิบายได้ว่า ข้าแต่
มหาราชเจ้าผู้ใดสำคัญว่า เราเป็นพหูสูต แม้มีความรู้ตั้งพันแต่ไม่

ประพฤติสุจริต ๓ อย่าง ทำแต่บาปอย่างเดียว ผู้นั้นครั้นทำบาปกรรม
เหล่านั้นแล้ว อาศัยความเป็นพหูสูตนั้น แต่ไม่บรรลุจรณะ กล่าวคือ
ศีลและสมาบัติ ก็คงไม่พ้นทุกข์ คือไม่พ้นจากอบายทุกข์ไปได้เลย.

พระราชาครั้นทรงสะดับคำนั้นแล้ว ทรงนำไปแล้วซึ่งความเลื่อม
ใสในดาบสทั้งหลาย ลำดับนั้น เสตเกตุดาบส จึงคิดว่าพระราชานี้ได้
เกิดความเลื่อมใสในดาบสทั้งหลายแล้ว. แต่ปุโรหิตคนนี้บั่นทอนความ
เลื่อมใสนั้น เหมือนเอามีดฟัน เราควรจะทูลกับพระราชานั้น.
ท่านเมื่อทูลกับพระราชา ได้ถวายพระพรคาถาที่ ๕ ว่า:-

คนแม้มีเวทมนต์ตั้งพันอาศัยเวทมนต์นั้น
แต่ยังไม่ถึงจรณะ ก็ยังไม่พ้นทุกข์ อาตมภาพ
เข้าใจว่า พระเวททั้งหลาย เป็นสิ่งที่ไร้ผล
จรณะคือการสำรวมอย่างดีเท่านั้นแหละ เป็น
ของจริง.


* สิ่งดีๆมีไว้เพื่อแบ่งปัน นั้นย่อมนำความสุขมาให้ทุกคน
* ไม่คิดก่อนชื้อ ไม่คิดก่อนใช้รถ ย่อมยังให้รถติดได้
* ตามใจตนใช่ว่าดี ที่ให้ดีควรตามอย่างพระอริยะเจ้า
* เกลียดความลำบากมาก กับเดินบนเส้นทางสู่ความลำบากช้ำเข้าไปอีก
* เมื่อทุกข์กายแล้วย่อมจะได้ความสุขคือมีสุขภาพแข็งแรง
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ออกกำลังย่อมได้กำลังตอบ ดีแต่ใช้นิ้วสั่งงานระวังจะเป็นโรคเอาง่ายๆ
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* ล่วงเขาก็เท่ากับล่วงใจของตน โกหกเขาก็เท่ากับโกหกตนเองด้วย
* แนะนำบอกคนอื่นดี แต่แนะนำบอกสอนตัวเองดียิ่งกว่า
* รู้น้อยแต่ลงมือทำ ยังดีกว่ารู้จำมากแต่มิทำอะไรเลย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 19:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
คาถานั้นมีเนื้อความดังต่อไปนี้ว่า แม้ผู้มีเวทมนต์ตั้งพันบทอาศัย
ความเป็นพหูสูตนั้น แต่ยังไม่บรรลุจรณะ ก็จะเปลื้องตนออกจากทุกข์
ไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น อาตมภาพจึงเข้าใจว่า พระเวท ๓ คัมภีร์
เป็นสิ่งที่ไร้ผล จรณะที่มีศีลอิงสมาบัติ ๘ เท่านั้นเป็นของจริง

ปุโรหิตได้ฟังคำนั้นแล้ว ได้กล่าวคาถาที่ ๖ ว่า:-
พระเวทไม่ใช่เป็นสิ่งที่ไม่มีผลเลย จรณะ
คือการสำรวมระวังเท่านั้น เป็นของจริงก็หามิ
ได้ คนอาศัยพระเวทแล้ว ได้รับเกียรติก็มี ผู้
ฝึกตนแล้วด้วยจรณะ จะบรรลุความสงบได้.

คาถานั้นมีเนื้อความดังต่อไปนี้ คือ ไม่ใช่พระเวท ๓ อย่างไม่มี
ผล ไม่เฉพาะจรณะ คือ การสำรวมระวังเท่านั้นเป็นของจริง คือดีกว่า
ได้แก่สูงสุด หมายความว่าประเสริฐ. เพราะเหตุไร ? เพราะคนอาศัย
พระเวท คืออาศัยพระเวท ๓ อย่าง ได้รับเพียงเกียรติ เพียงยศ เพียง

ลาภเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นยิ่งกว่านี้ เพราะฉะนั้น พระเวทเหล่านั้นจึง
ชื่อว่า ไม่มีผล. บทว่า สนฺตํ ปุเนติ จรเณน ทนฺโต ได้แก่ผู้ฝึก
ตนด้วยจรณะแล้วจะบรรลุความสงบได้ ความว่า ผู้ตั้งอยู่ในศีลแล้วให้
สมาบัติเกิดขึ้น เจริญวิปัสสนามีสมาบัติเป็นปทัฏฐาน ย่อมบรรลุความ
สงบโดยส่วนเดียว คือธรรมอย่างเอกที่มีชื่อว่าพระนิพพาน.

ปุโรหิตหักล้างคำของท่านเสตเกตุดาบสอย่างนี้แล้ว ได้ทำดาบส
เหล่านั้นทั้งหมดให้เป็นคฤหัสถ์ คือให้สึก ให้ถือโล่และอาวุธ จักให้
เป็นการกชนเป็นทหารหมู่ใหญ่ ให้ทำการบำรุงพระราชา. ได้ทราบว่า
นี้คือวงศ์ของการกชนหมู่ใหญ่.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกว่า เสตเกตุดาบสในครั้งนั้น ได้แก่ภิกษุผู้โกหกในบัดนี้ บุตรของ
คนจัณฑาลในครั้งนั้น ได้แก่พระสารีบุตรในบัดนี้ ส่วนปุโรหิตได้แก่
เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาเสตเกตุชาดกที่ ๒

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 20:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาทรีมุขชาดกที่ ๓

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงปรารภ
มหาภิเนษกรมณ์ จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ปงฺโกว กาม ดังนี้.
เรื่องในปัจจุบันได้กล่าวไว้แล้ว ในหนหลัง.

ได้ยินว่า พระราชาทรงพระนามว่า มคธราช ครองราช-
สมบัติอยู่ในนครราชคฤห์. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ ได้ถือกำเนิดใน
พระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระองค์ พระญาติทั้งหลายได้ถวาย
พระนามพระองค์ว่า พรหมทัตกุมาร. ในวันที่พระราชกุมารประสูติ
นั่นเอง ฝ่ายบุตรของปุโรหิต ก็เกิด. ใบหน้าของเด็กนั้น สวยงามมาก

เพราะเหตุนั้นญาติของเขา จึงได้ตั้งชื่อของเด็กนั้นว่า ทรีมุข. กุมาร
ทั้ง ๒ นั้น เจริญเติบโตแล้ว ในราชตระกูลนั้นเอง. ทั้งคู่นั้น
เป็นสหายรักของกัน เวลามีชนมายุ ๑๖ ชันษา ได้ไปยังเมืองตักกศิลา
เรียนศิลปะทุกอย่างแล้ว พากันเที่ยวไปในคามนิคมเป็นต้น ด้วยความ

ตั้งใจว่า จักพากันศึกษาลัทธิทุกลัทธิ และจักรู้จารีตของท้องถิ่นด้วย
ถึงเมืองพาราณสี พักอยู่ที่ศาลเจ้า รุ่งเช้าพากันเข้าไปเมืองพาราณสี
เพื่อภิกษา, คนในตระกูลๆ หนึ่ง ในเมืองพาราณสีนั้น ตั้งใจว่า พวก
เราจักเลี้ยงพราหมณ์ แล้วถวายเครื่องบูชา จึงหุงข้าวปายาส แล้วปู

อาสนะไว้. คนทั้งหลายเห็นคนทั้ง ๒ นั้น กำลังเที่ยวภิกขาจาร เข้า
ใจว่า พราหมณ์มาแล้ว จึงให้เข้าไปในบ้าน ปูผ้าขาวไว้สำหรับพระ-
มหาสัตว์ ปูผ้ากัมพลแดงไว้สำหรับทรีมุขกุมาร. ทรีมุขกุมารเห็นนิมิตร
นั้นแล้ว รู้ชัดว่า วันนี้สหายของเราจักเป็นพระเจ้าพาราณสี ส่วนเรา
จักเป็นเสนาบดี. ทั้ง ๒ ท่านบริโภค ณ ที่นั้น แล้วรับเอาเครื่องบูชา


* สิ่งดีๆมีไว้เพื่อแบ่งปัน นั้นย่อมนำความสุขมาให้ทุกคน
* ไม่คิดก่อนชื้อ ไม่คิดก่อนใช้รถ ย่อมยังให้รถติดได้
* ตามใจตนใช่ว่าดี ที่ให้ดีควรตามอย่างพระอริยะเจ้า
* เกลียดความลำบากมาก กับเดินบนเส้นทางสู่ความลำบากช้ำเข้าไปอีก
* เมื่อทุกข์กายแล้วย่อมจะได้ความสุขคือมีสุขภาพแข็งแรง
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ออกกำลังย่อมได้กำลังตอบ ดีแต่ใช้นิ้วสั่งงานระวังจะเป็นโรคเอาง่ายๆ
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* ล่วงเขาก็เท่ากับล่วงใจของตน โกหกเขาก็เท่ากับโกหกตนเองด้วย
* แนะนำบอกคนอื่นดี แต่แนะนำบอกสอนตัวเองดียิ่งกว่า
* รู้น้อยแต่ลงมือทำ ยังดีกว่ารู้จำมากแต่มิทำอะไรเลย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 20:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
กล่าวมงคลแล้วออกไป ได้พากันไปถึงพระราชอุทยานนั้น. ในจำนวน
คนทั้ง ๒ นั้น พระมหาสัตว์บรรทมแล้ว บนแผ่นศิลามงคล ส่วน
ทรีมุขกุมารนั่งนวดพระบาทของพระมหาสัตว์นั้น. วันนั้น เป็นวันที่ ๗
แห่งการสวรรคตของพระเจ้าพาราณสี. ปุโรหิต ถวายพระเพลิงพระศพ

แล้ว ได้เสี่ยงบุษยราชรถในวันที่ ๗ เพราะราชสมบัติไม่มีรัชทายาท.
กิจเกี่ยวกับบุษยราชรถ จักมีแจ้งชัด ในมหาชนกชาดก. บุษยราชรถ
ออกจากพระนครไป มีจตุรงคเสนาห้อมล้อม พร้อมด้วยดุริยางค์หลาย
ร้อย ประโคมขัน ถึงประตูพระราชอุทยาน. ครั้งนั้น ทรีมุขกุมาร

ได้ยินเสียงดุริยางค์ แล้วคิดว่า บุษยราชรถมาแล้ว เพื่อสหายของเรา
วันนี้สหายของเราจักเป็นพระราชา แล้วประทานตำแหน่งเสนาบดี
แก่เรา เราจักประโยชน์อะไรด้วยการครองเรือน เราจักออกบวช ดังนี้
แล้ว จึงไม่ทูลเชิญพระโพธิสัตว์ เลยไปยังที่สมควรข้างหนึ่ง แล้วได้
ยืนอยู่ในที่กำบัง. ปุโรหิตหยุดรถที่ประตูพระราชอุทยาน แล้วเข้าไปยัง

พระราชอุทยาน เห็นพระโพธิสัตว์บรรทมบนแผ่นศิลามงคล ตรวจดู
ลักษณะที่เท้าลายพระบาท แล้วทราบว่า เป็นคนมีบุญ สามารถครอง
ราชสมบัติ สำหรับมหาทวีปทั้ง ๔ มีทวีปน้อย ๒ พันเป็นบริวารได้
แต่คนเช่นนี้ คงเป็นคนมีปัญญาเครื่องทรงจำ จึงได้ประโคมดุริยางค์

ทั้งหมดขึ้น. พระโพธิสัตว์ตื่นบรรทมแล้ว ทรงนำผ้าสาฏกออกจาก
พระพักตร์ ทรงทอดพระเนตรเห็นมหาชน แล้วทรงเอาผ้าสาฎกปิด
พระพักตร์อีก บรรทมหน่อยหนึ่ง ระงับความกระวนกระวาย แล้ว
เสด็จลุกขึ้นประทับนั่งขัดสมาธิบนแผ่นศิลา. ปุโรหิตคุกเข่าลงแล้ว
ทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ราชสมบัติ กำลังตกถึงพระองค์.


* สิ่งดีๆมีไว้เพื่อแบ่งปัน นั้นย่อมนำความสุขมาให้ทุกคน
* ไม่คิดก่อนชื้อ ไม่คิดก่อนใช้รถ ย่อมยังให้รถติดได้
* ตามใจตนใช่ว่าดี ที่ให้ดีควรตามอย่างพระอริยะเจ้า
* เกลียดความลำบากมาก กับเดินบนเส้นทางสู่ความลำบากช้ำเข้าไปอีก
* เมื่อทุกข์กายแล้วย่อมจะได้ความสุขคือมีสุขภาพแข็งแรง
* เหงื่อออกมีกลิ่นตัวนั้นบอกให้รู้ว่าสารพิษถูกขจัดออกจากร่างกายนั้นเอง
* ออกกำลังย่อมได้กำลังตอบ ดีแต่ใช้นิ้วสั่งงานระวังจะเป็นโรคเอาง่ายๆ
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* ล่วงเขาก็เท่ากับล่วงใจของตน โกหกเขาก็เท่ากับโกหกตนเองด้วย
* แนะนำบอกคนอื่นดี แต่แนะนำบอกสอนตัวเองดียิ่งกว่า
* รู้น้อยแต่ลงมือทำ ยังดีกว่ารู้จำมากแต่มิทำอะไรเลย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 106, 107, 108, 109, 110, 111, 112 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 0 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร