วันเวลาปัจจุบัน 07 ส.ค. 2025, 22:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 104, 105, 106, 107, 108, 109, 110 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 13:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ให้พินาศ ท่านจงถอนมันทิ้งเสียก่อนทีเดียว ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่ควรจะ
รังเกียจ ก็ควรจะรังเกียจ เมื่อปรึกษากับปลาสเทวดา จึงกล่าวคาถา
ที่ ๑ ว่า :-

พระยาหงส์ได้กล่าว กะ ปลาสเทวดาว่า
ดูก่อนสหาย ต้นไทรเกิดติดอยู่ที่ค่าคบของ
ท่านแล้ว มันเจริญเติบโตขึ้นจะตัดสิ่งอัน
เป็นที่รักของท่านเสีย.

ก็บาทที่หนึ่งในคาถานี้ พระศาสดาทรงเป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะ
แล้วจึงตรัสไว้. บทว่า ปลาสํ ได้แก่ ปลาสเทวดา. บทว่า สมฺม
แปลว่า เพื่อน. บทว่า องฺกสฺมึ ได้แก่ ที่ค่าคบ. บทว่า โส เต
มมฺมานิ เฉจฺฉติ ความว่า ต้นไทรนั้นเจริญเติบโตที่ค่าคบนั้นแล้ว
จักตัดชีวิตประดุจข้าศึกฉะนั้น. จริงอยู่ สังขารที่มีชีวิตท่านเรียกว่า
มัมมะ ในที่นี้.

ปลาสเทวดาได้ฟังดังนั้น มิได้เชื่อถือคำของพระโพธิสัตว์นั้น
จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า:-

ต้นไทรจงเจริญเติบโตเถิด ข้าพเจ้าจะ
เป็นที่พึ่งของมัน ต้นไทรนี้จักเป็นที่พึ่งของ
ข้าพเจ้า เหมือนมารดาบิดาเป็นที่พึ่งของบุตร
แล้วบุตรกลับเป็นที่พึ่งของมารดาบิดา ฉะนั้น.

คำอันเป็นคาถานั้น มีความว่า ดูก่อนสหาย ท่านยังไม่รู้
ต้นไทรนี้จะเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้าในตอนมันเติบโต ข้าพเจ้าจักเป็น
ที่พึ่งของต้นไทรนี้เหมือนมารดาบิดาเป็นที่พึ่งของบุตรในคราวเป็นเด็ก
อ่อนฉะนั้น อนึ่ง ต้นไทรนี้จักเป็นที่พึ่งแม้ของข้าพเจ้าในภายหลัง
ตอนแก่ เหมือนบุตรเติบโตขึ้นแล้ว ย่อมเป็นที่พึ่งของมารดาบิดาใน
ภายหลังตอนแก่ ฉะนั้น.


* สิ่งดีๆมีไว้เพื่อแบ่งปัน นั้นย่อมนำความสุขมาให้ทุกคน
* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* หลงอำนาจหลงกำลังตน ย่อมจะยังตนให้ตกต่ำ และอาจตายได้
* รูปร่างใหญ่ใช่ว่าจะเก่งเสมอไป แม้ตัวเล็กน้อยแต่มีปัญญาย่อมชนะได้เช่นกัน
* อยู่กับปัจจุบันดีที่สุด หยุดใจให้อยู่กับปัจจุบันไว้ได้ย่อมมีความสุขได้
* บอกตัวเองเสมอๆว่าระวังกิเลสจะชักนำเราไปสู่ทางที่เป็นอกุศล
* แนะนำบอกคนอื่นดี แต่แนะนำบอกสอนตัวเองดียิ่งกว่า
* รู้น้อยแต่ลงมือทำ ยังดีกว่ารู้จำมากแต่มิทำอะไรเลย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 13:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ลำดับนั้น พระยาหงส์ จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า:-
ท่านให้ต้นไม้ซึ่งอาจนำภัยมาดังข้าศึก
เจริญเติบโตขึ้นที่ค่าคบเพราะเหตุใด เหตุนั้น
เราขอบอกท่านให้รู้แล้วจะไป ความเจริญ
เติบโตของต้นไทรนั้น ข้าพเจ้าไม่ชอบใจ
เลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํ ตฺวํ ความว่า เพราะเหตุที่
ท่านให้เกษียรพฤกษ์นี้ชื่อว่าน่ากลัว เพราะเป็นผู้ให้ความน่ากลัว
ประดุจข้าศึก เจริญอยู่ที่ค่าคบ. บทว่า อามนฺต โข ตํ ความว่า
เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงเรียกท่านมาปรึกษาให้รู้แล้วก็จะไป. บทว่า
วุฑฺฒิมสฺส ความว่า ความเจริญของต้นไทรนั้น ไม่ชอบใจข้าพเจ้า
เลย.

ก็แหละพระยาหงส์ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงกางปีกบินไปยัง
ภูเขาจิตตกูฏทีเดียว. ตั้งแต่นั้นก็ไม่ได้มาอีกเลย ในเวลาต่อมา ต้นไทร
ก็เจริญเติบโตขึ้น. ก็มีรุกขเทวดาตนหนึ่งบังเกิดที่ต้นไทรนั้น. ต้นไทร
นั้นเจริญขึ้นหักรานต้นทองหลาง วิมานของเทวดาพร้อมกับกิ่งไม้
ทั้งหลายก็ร่วงลงไป. ในกาลนั้น เทวดานั้นจึงกำหนดคำของพระยา-
หงส์ได้ ร่ำไห้ว่า พระยาหงส์เห็นภัยในอนาคตข้อนี้จึงกล่าวไว้ ส่วน
เราไม่กระทำตามคำพูดของพระยาหงส์ แล้วกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า:-

บัดนี้ ต้นไทรนี้ทำให้เราหวาดกลัว ภัย
อันใหญ่หลวงได้มาถึงเรา เพราะไม่รู้สึกถึง
คำของพระยาหงส์ อันใหญ่หลวงซึ่งควร
เปรียบด้วยขุนเขาสิเนรุราช.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิทานิ โข มํ ภายติ ความว่า
ต้นไทรนี้ทำให้เรายินดีในตอนยังอ่อน บัดนี้ ทำให้กลัวหวาดสะดุ้ง.
บทว่า มหาเนรุนิทสฺสนํ ความว่า เพราะได้ฟังคำของพระยาหงส์
อันใหญ่หลวงดุจภูเขาสิเนรุ แล้วไม่รู้สึกจึงได้ถอนต้นไทรนี้เสียใน
คราวยังอ่อนอยู่. ด้วยบทว่า มหา เม ภยมาคตํ นี้ เทวดาคร่ำ
ครวญว่า บัดนี้ ภัยใหญ่มาถึงเราแล้ว.


* สิ่งดีๆมีไว้เพื่อแบ่งปัน นั้นย่อมนำความสุขมาให้ทุกคน
* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* หลงอำนาจหลงกำลังตน ย่อมจะยังตนให้ตกต่ำ และอาจตายได้
* รูปร่างใหญ่ใช่ว่าจะเก่งเสมอไป แม้ตัวเล็กน้อยแต่มีปัญญาย่อมชนะได้เช่นกัน
* อยู่กับปัจจุบันดีที่สุด หยุดใจให้อยู่กับปัจจุบันไว้ได้ย่อมมีความสุขได้
* บอกตัวเองเสมอๆว่าระวังกิเลสจะชักนำเราไปสู่ทางที่เป็นอกุศล
* แนะนำบอกคนอื่นดี แต่แนะนำบอกสอนตัวเองดียิ่งกว่า
* รู้น้อยแต่ลงมือทำ ยังดีกว่ารู้จำมากแต่มิทำอะไรเลย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 13:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ฝ่ายต้นไทรก็เจริญเติบโตขึ้นหักรานต้นทองหลางทั้งต้นได้กระ
ทำให้เป็นสักแต่ตอเท่านั้น. วิมานของเทวดาก็หายไปหมดสิ้น.
ผู้ใดเมื่อเจริญขึ้นทำที่พึ่งอาศัยให้พินาศ
ไปเสีย ความเจริญของผู้นั้น ผู้ฉลาดไม่
สรรเสริญ นักปราชญ์รังเกียจความพินาศ
จึงเพียรพยายามตัดรากเหง้าของอันตรายนั้น
เสีย.

คาถาที่ ๕ ดังกล่าวมานี้ เป็นอภิสัมพุทธคาถา.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุสลปฺปสตฺถา ความว่า อันท่าน
ผู้ฉลาดทั้งหลายสรรเสริญแล้ว. บทว่า ฆสเต แปลว่า ย่อมกิน
อธิบายว่า ทำให้พินาศ. บทว่า ปตารยิ แปลว่า ย่อมกลิ้งเกลือก
คือ ย่อมพยายาม. ทรงอธิบายไว้ดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใด

เจริญขึ้นทำที่พึ่งอาศัยของตนให้พินาศ ความเจริญของผู้นั้น บัณฑิต
ไม่สรรเสริญ ส่วนนักปราชญ์ คือท่านผู้สมบูรณ์ความรู้รังเกียจความ
ดับคือความพินาศอย่างนี้ว่า ความดับสูญจักมีแก่เรา เพราะอันตราย
นี้ย่อมพากเพียรเพื่อขจัดรากเหง้าของอันตรายทั้งภายในหรือภายนอก
นั้นเสีย.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงประกาศ
สัจจะแล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุ ๕๐๐ รูป ได้
บรรลุพระอรหัต. หงส์ทองในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาปลาสชาดกที่ ๑๐
รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. วรรณาโรหชาดก ๒. สีลวีมังสชาดก ๓. หิริชาดก
๔. ขัชโชปนกชาดก ๕. อหิตุณฑิกชาดก ๖. คุมพิยชาดก
๗. สาลิยชาดก ๘. ตจสารชาดก ๙. มิตตวินทุกชาดก
๑๐. ปลาสชาดก.
จบ วรรณาโรหวรรคที่ ๒

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 13:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาทีฆีติโกสลชาดกที่ ๑

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุชาวเมืองโกสัมพีผู้กระทำการทะเลาะทุ่มเถียงกัน จึงตรัสพระ-
ธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า เอวํภูตสฺส เต ราช ดังนี้.

ได้ยินว่า ในกาลที่ภิกษุเหล่านั้นมายังพระเชตวันวิหาร ขอให้
พระศาสดาทรงอดโทษ พระศาสดาตรัสเรียกภิกษุเหล่านั้นมาแล้วตรัส
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายเป็นโอรสของเรา ชื่อว่าบุตร
ผู้เกิดจากปาก อันบุตรทั้งหลายไม่ควรทำลายโอวาทที่บิดาให้ไว้ ก็เธอ

ทั้งหลายไม่กระทำตามโอวาท โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย แม้โจรผู้ฆ่า
มารดาบิดาของตนแล้วยึดครองราชสมบัติ ตกอยู่ในเงื้อมมือในป่า ก็
ยังไม่ฆ่าด้วยคิดว่า จักไม่ทำลายโอวาทที่มารดาบิดาให้ไว้ ดังนี้ แล้ว
ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:-

ก็ในชาดกนี้ เรื่องทั้งสอง คือเรื่องปัจจุบันและเรื่องในอดีต จัก
มีแจ้งโดยพิสดารในสังฆเภทกะ. ก็ทีฆาวุกุมารนั้นจับพระจุฬาพระเจ้า-
พาราณสีผู้บรรทมหลับอยู่บนตักของตนในป่า เงื้อดาบขึ้นด้วยหมาย
ใจว่า บัดนี้ เราจักตัดโจรผู้ฆ่ามารดาบิดาของเรา ให้เป็น ๑๔ ท่อน

ขณะนั้น ระลึกถึงโอวาทที่มารดาบิดาให้ไว้ จึงคิดว่า เราแม้จะสละ
ชีวิตก็จักไม่ทำลายโอวาทของท่าน จักคุกคามพระเจ้าพาราณสีนั้นอย่าง
เดียว จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า:-


* สิ่งดีๆมีไว้เพื่อแบ่งปัน นั้นย่อมนำความสุขมาให้ทุกคน
* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* หลงอำนาจหลงกำลังตน ย่อมจะยังตนให้ตกต่ำ และอาจตายได้
* รูปร่างใหญ่ใช่ว่าจะเก่งเสมอไป แม้ตัวเล็กน้อยแต่มีปัญญาย่อมชนะได้เช่นกัน
* อยู่กับปัจจุบันดีที่สุด หยุดใจให้อยู่กับปัจจุบันไว้ได้ย่อมมีความสุขได้
* บอกตัวเองเสมอๆว่าระวังกิเลสจะชักนำเราไปสู่ทางที่เป็นอกุศล
* แนะนำบอกคนอื่นดี แต่แนะนำบอกสอนตัวเองดียิ่งกว่า
* รู้น้อยแต่ลงมือทำ ยังดีกว่ารู้จำมากแต่มิทำอะไรเลย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 13:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ข้าแต่พระราชา เมื่อพระองค์ตกอยู่ใน
อำนาจของข้าพระองค์อย่างนี้แล้ว เหตุอันใด
อันหนึ่งที่จะทำให้พระองค์พ้นจากทุกข์ได้ มี
อยู่หรือ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วเส มมํ ได้แก่ ผู้มาสู่อำนาจ
ของข้าพระองค์. บทว่า ปริยาโย ได้แก่ เหตุ.
ลำดับนั้น พระราชาตรัสคาถาที่ ๒ ว่า:-
พ่อเอ๋ย เมื่อฉันตกอยู่ในอำนาจของ
ท่านอย่างนี้แล้ว เหตุอันใดอันหนึ่งที่จะทำให้
ฉันพ้นทุกข์ได้ ไม่มีเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โน เป็นเพียงนิบาต. อธิบายว่า
เหตุอะไร ๆ ที่จะทำให้ฉันพ้นจากทุกข์นั้น ย่อมไม่มี.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ได้กล่าวคาถาที่เหลือว่า:-
ข้าแต่พระราชา เว้นสุจริตและวาจาที่
เป็นสุภาษิตเสีย เหตุอย่างอื่นจะป้องกันได้
ในวาจาจะตาย ไม่มีเลย ทรัพย์นอกนี้ก็
เหมือนกันนั่นแหละ.

ชนเหล่าใดเข้าไปผูกเวรว่า คนนี้ได้ด่า
เรา คนนี้ได้ฆ่าเรา คนนี้ได้ชนะเรา คนนี้ได้
ลักของ ๆ เรา เวรของชนเหล่านั้นย่อมไม่
สงบ ส่วนชนเหล่าใดไม่เข้าไปผูกเวรว่า คน
นี้ได้ด่าเรา คนนี้ได้ฆ่าเรา คนนี้ได้ชนะเรา
คนนี้ได้ลักของ ๆเรา เวรของชนเหล่านั้น
ย่อมเข้าไปสงบ.


* สิ่งดีๆมีไว้เพื่อแบ่งปัน นั้นย่อมนำความสุขมาให้ทุกคน
* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* หลงอำนาจหลงกำลังตน ย่อมจะยังตนให้ตกต่ำ และอาจตายได้
* รูปร่างใหญ่ใช่ว่าจะเก่งเสมอไป แม้ตัวเล็กน้อยแต่มีปัญญาย่อมชนะได้เช่นกัน
* อยู่กับปัจจุบันดีที่สุด หยุดใจให้อยู่กับปัจจุบันไว้ได้ย่อมมีความสุขได้
* บอกตัวเองเสมอๆว่าระวังกิเลสจะชักนำเราไปสู่ทางที่เป็นอกุศล
* แนะนำบอกคนอื่นดี แต่แนะนำบอกสอนตัวเองดียิ่งกว่า
* รู้น้อยแต่ลงมือทำ ยังดีกว่ารู้จำมากแต่มิทำอะไรเลย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 13:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในกาลไหน ๆ เวรในโลกนี้ย่อมไม่ระงับ
ด้วยเวรเลย แต่ย่อมระงับได้ด้วยความไม่มี
เวร ธรรมนี้เป็นของเก่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาญฺํ สุจริตํ แก้เป็น นาญฺํ
สุจริตา. อีกอย่างหนึ่ง บาลีก็อย่างนี้แหละ. อธิบายว่า เว้นสุจริตเสีย
เราไม่เห็นอย่างอื่น. ก็ในคาถานี้ พระโพธิสัตว์กล่าวว่า สุจริตบ้าง
สุภาษิตบ้าง ก็หมายเอาโอวาทที่มารดาบิดาให้ไว้เท่านั้น. บทว่า เอว-

เมว ได้แก่ ไม่มีประโยชน์เลย. ท่านกล่าวอธิบายนี้ไว้ว่า ข้าแต่
มหาราชเจ้า เว้นจากสุจริตและวาจาสุภาษิต กล่าวคือการกล่าวสอน
และการพร่ำสอน อย่างอื่นชื่อว่าสามารถเพื่อต่อต้านป้องกันในเวลาจะ

ตายย่อมไม่มี ทรัพย์นอกนี้ก็เหมือนกัน คือไม่มีประโยชน์เลย ก็บัดนี้
พระองค์จะให้ทรัพย์แม้ตั้งแสนโกฏิ แก่ข้าพระองค์ ก็จะไม่ได้ชีวิต
เพราะฉะนั้น ข้อนี้พึงทราบว่า สุจริตและคำสุภาษิตเท่านั้น ยิ่งกว่า
ทรัพย์.

แม้คาถาที่เหลือก็มีเนื้อความสังเขปดังต่อไปนี้:- ข้าแต่มหา-
ราชเจ้า คนเหล่าใดเข้าไปผูกเวร คือตั้งเวรไว้ในหทัยเหมือนผูกไว้
อย่างนี้ว่า ผู้นี้ด่าเรา ผู้นี้ประหารเรา ผู้นี้ได้ชนะเรา ผู้นี้ได้ลักของ
เรา เวรของคนเหล่านั้นย่อมไม่สงบ. ส่วนคนเหล่าใดไม่เข้าไปผูก

คือไม่ตั้งเวรนั้นไว้ในหทัย เวรของคนเหล่านั้นย่อมสงบ เพราะใน
กาลไหน ๆ เวรทั้งหลายย่อมไม่ระงับด้วยเวร แต่จะระงับด้วยความไม่
มีเวร ธรรมนั้นเป็นของเก่า อธิบายว่า ธรรมเก่าก่อน คือสภาวะที่
เป็นไปตลอดกาลนาน.


* สิ่งดีๆมีไว้เพื่อแบ่งปัน นั้นย่อมนำความสุขมาให้ทุกคน
* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* หลงอำนาจหลงกำลังตน ย่อมจะยังตนให้ตกต่ำ และอาจตายได้
* รูปร่างใหญ่ใช่ว่าจะเก่งเสมอไป แม้ตัวเล็กน้อยแต่มีปัญญาย่อมชนะได้เช่นกัน
* อยู่กับปัจจุบันดีที่สุด หยุดใจให้อยู่กับปัจจุบันไว้ได้ย่อมมีความสุขได้
* บอกตัวเองเสมอๆว่าระวังกิเลสจะชักนำเราไปสู่ทางที่เป็นอกุศล
* แนะนำบอกคนอื่นดี แต่แนะนำบอกสอนตัวเองดียิ่งกว่า
* รู้น้อยแต่ลงมือทำ ยังดีกว่ารู้จำมากแต่มิทำอะไรเลย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 13:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ก็แหละ พระโพธิสัตว์ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงกราบทูลว่า
ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์ไม่ประทุษร้ายพระองค์ แต่พระองค์จง
ฆ่าข้าพระองค์เสียเถิด แล้ววางดาบในพระหัตถ์ของพระราชานั้น. ฝ่าย
พระราชาก็ทรงกระทำการสบถว่า เราจักไม่ประทุษร้ายท่าน แล้วเสด็จ
ไปพระนครพร้อมกับพระโพธิสัตว์นั้น ทรงแสดงพระโพธิสัตว์นั้นแก่

อำมาตย์ทั้งหลายแล้วตรัสว่า ดูก่อนพวกท่านทั้งหลาย ผู้นี้ คือที-
ฆาวุกุมารโอรสของพระเจ้าโกศล แม้ผู้นี้ก็ได้ให้ชีวิตเรา เราก็ไม่ได้
ทำอะไรกะผู้นี้ ครั้นตรัสแล้ว ได้ประทานธิดาของพระองค์แล้วให้
ดำรงอยู่ในราชสมบัติอันเป็นของพระบิดา. ตั้งแต่นั้นมา พระราชา
ทั้งสองพระองค์ทรงสมัครสมานบันเทิงพระทัยครองราชสมบัติ.

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรง
ประชุมชาดกว่า บิดามารดาในครั้งนั้น ได้มาเป็นตระกูลมหาราช
ส่วนทีฆาวุกุมาร ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาทีหีติโกสลชาดกที่ ๑

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 14:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถามิคโปตกชาดกที่ ๒

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุแก่รูปหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อคารา
ปจฺจุเปตสฺส ดังนี้

ได้ยินว่า ภิกษุแก่นั้นให้เด็กคนหนึ่งบวช. สามเณรบำรุงภิกษุ
แก่นั้นโดยเคารพ ครั้นกาลต่อมา ได้กระทำกาละโดยความไม่ผาสุก.
เพราะการทำกาละของสามเณรนั้น ภิกษุแก่ถูกความโกรธครอบงำ
เที่ยวร่ำไห้ด้วยเสียงอันดัง. ภิกษุทั้งหลายไม่อาจให้ยินยอมได้ จึงสั่ง
สนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย ภิกษุแก่ชื่อโน้นเที่ยว

ร่ำไห้ เพราะการทำกาละของสามเณร ภิกษุแก่นั่นคงจักเหินห่างการ
เจริญมรณัสสติ. พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง
หลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร? เมื่อภิกษุทั้งหลาย
กราบทูลว่า เรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า. จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ภิกษุแก่นี้ เมื่อสามเณรนั้นตายแล้ว
ก็เที่ยวร่ำไห้อยู่ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์ครองความเป็นท้าวสักกะ. ครั้งนั้น มีบุรุษ
ชาวแคว้นกาสีคนหนึ่ง เข้าไปยังหิมวันตประเทศ บวชเป็นฤาษี ยัง
อัตภาพให้เป็นไปด้วยผลไม้น้อยใหญ่. วันหนึ่ง ฤาษีนั้นเห็นลูกเนื้อ
แม่ตายตัวหนึ่งในป่า จึงนำมายังอาศรมบท ให้เหยื่อเลี้ยงดูไว้. ลูก

เนื้อเติบโตขึ้นมีรูปร่างงามถึงความงามอันเลิศ. ดาบสกระทำลูกเนื้อ
นั้นให้เป็นลูกของตนอยู่. วันหนึ่ง ลูกเนื้อกินหญ้ามากไป ได้กระทำ
กาละเพราะไม่ย่อยดาบสเที่ยวร่ำไห้ว่า ลูกเราตายเสียแล้ว. ในกาลนั้น
ท้าวสักกเทวราชทรงพิจารณาดูชาวโลก ทรงเห็นดาบสนั้น ดำริว่า
จักทำดาบสนั้นให้สลดใจ จึงเสด็จมาแล้วประทับยืนในอากาศ ตรัส
คาถาที่ ๑ ว่า:-


* สิ่งดีๆมีไว้เพื่อแบ่งปัน นั้นย่อมนำความสุขมาให้ทุกคน
* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* หลงอำนาจหลงกำลังตน ย่อมจะยังตนให้ตกต่ำ และอาจตายได้
* รูปร่างใหญ่ใช่ว่าจะเก่งเสมอไป แม้ตัวเล็กน้อยแต่มีปัญญาย่อมชนะได้เช่นกัน
* อยู่กับปัจจุบันดีที่สุด หยุดใจให้อยู่กับปัจจุบันไว้ได้ย่อมมีความสุขได้
* บอกตัวเองเสมอๆว่าระวังกิเลสจะชักนำเราไปสู่ทางที่เป็นอกุศล
* แนะนำบอกคนอื่นดี แต่แนะนำบอกสอนตัวเองดียิ่งกว่า
* รู้น้อยแต่ลงมือทำ ยังดีกว่ารู้จำมากแต่มิทำอะไรเลย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 14:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
การที่ท่านเศร้าโศกถึงลูกเนื้อผู้ละไปแล้ว
เป็นการไม่สมควรแก่ท่านผู้หลีกออกจาก
เรือนบวชเป็นบรรพชิตสงบระงับ.
ดาบสได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า:-
ดูก่อนท้าวสักกะ ความรักของมนุษย์
หรือเนื้อ ย่อมเกิดขึ้นในใจ เพราะอยู่ร่วมกัน
มา มนุษย์หรือเนื้อนั้น อาตมภาพไม่สามารถ
ที่จะไม่เศร้าโศกถึงได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ตํ สกฺกา ความว่า อาตม-
ภาพไม่อาจเพื่อจะไม่โศกถึงมนุษย์หรือสัตว์เดียรัจฉานนั้น คือ อาตม-
ภาพเศร้าโศกถึงทีเดียว.
ลำดับนั้น ท้าวสักกะได้ตรัสคาถา ๒ คาถาว่า:-

ชนเหล่าใดร้องไห้รำพัน บ่นเพ้อถึงผู้ตาย
ไปแล้ว และผู้จะตายอยู่ในบัดนี้ การร้องไห้
ของชนเหล่านั้น สัตบุรุษทั้งหลายกล่าวว่า
เปล่าจากประโยชน์ ดูก่อนฤาษี เพราะฉะนั้น
ท่านอย่าร้องไห้เลย.

ดูก่อนพราหมณ์ ผู้ที่ตายไปแล้ว ละไป
แล้ว หากจะกลับเป็นขึ้นได้เพราะการร้องไห้
เราก็จะประชุมกันทั้งหมด ร้องไห้ถึงญาติ
ของกันและกัน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มริสฺสํ ได้แก่ บุคคลผู้จักตายใน
บัดนี้. บทว่า ลปนฺติ จ ได้แก่ บ่นเพ้อ. ท่านกล่าวคำอธิบายนี้
ไว้ว่า ชนเหล่าใดร้องไห้ถึงคนผู้ตายแล้ว และผู้จักตายอยู่ในโลก
ชนเหล่านั้นก็คงจะร้องไห้และบ่นเพ้ออยู่. ชื่อว่าวันที่จะขาดน้ำตาของ

ชนเหล่านั้น ย่อมไม่มี เพราะเหตุไร? เพราะคนผู้ตายไปแล้วและคนผู้
ที่จะตายยังมีอยู่เสมอ. บทว่า อิสิ มา โรทิ ความว่า ดูก่อนฤาษี


* สิ่งดีๆมีไว้เพื่อแบ่งปัน นั้นย่อมนำความสุขมาให้ทุกคน
* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* หลงอำนาจหลงกำลังตน ย่อมจะยังตนให้ตกต่ำ และอาจตายได้
* รูปร่างใหญ่ใช่ว่าจะเก่งเสมอไป แม้ตัวเล็กน้อยแต่มีปัญญาย่อมชนะได้เช่นกัน
* อยู่กับปัจจุบันดีที่สุด หยุดใจให้อยู่กับปัจจุบันไว้ได้ย่อมมีความสุขได้
* บอกตัวเองเสมอๆว่าระวังกิเลสจะชักนำเราไปสู่ทางที่เป็นอกุศล
* แนะนำบอกคนอื่นดี แต่แนะนำบอกสอนตัวเองดียิ่งกว่า
* รู้น้อยแต่ลงมือทำ ยังดีกว่ารู้จำมากแต่มิทำอะไรเลย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 14:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เพราะฉะนั้น ท่านอย่าร้องไห้เลย. เพราะเหตุไร? เพราะสัตบุรุษ
ทั้งหลายกล่าวว่าการร้องไห้เปล่าประโยชน์. อธิบายว่า สัตบุรุษ
ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ย่อมกล่าวการร้องไห้ว่าเป็นหมัน.
บทว่า มโต เปโต ความว่า ถ้าบุคคลที่เรียกว่า ผู้ตายแล้ว. ผู้ละ
ไปแล้ว จะพึงฟื้นขึ้นเพราะการร้องไห้ไซร้ เมื่อเป็นเช่นนั้น พวก

เราจะอยู่เฉยทำไม พวกเราทั้งหมดทีเดียว จะพากันประชุมร้องไห้ถึง
ญาติทั้งหลายของกันและกัน ก็เพราะเหตุที่ญาติเหล่านั้นไม่ฟื้นขึ้น
เพราะเหตุร้องไห้ เพราะฉะนั้น ท้าวสักกะ จึงทรงประกาศการร้องไห้
ว่าเป็นหมัน.

เมื่อท้าวสักกะตรัสไป ๆ อยู่อย่างนี้ ดาบสกำหนดได้ว่า การ
ร้องไห้ไร้ประโยชน์ เมื่อจะกระทำการชมเชยท้าวสักกะ จึงได้กล่าว
คาถา ๓ คาถาว่า:-

มหาบพิตรมารดาอาตมภาพผู้เดือดร้อน
ยิ่งนักให้หายร้อน ดับความกระวนกระวายได้
ทั้งสิ้น เหมือนบุคคลเอาน้ำรดไฟติดที่เปรียง
ให้ดับไปฉะนั้น มหาบพิตรมาถอนลูกศรคือ
ความโศกที่เสียบแน่นอยู่ในหทัยของอาตม-

ภาพออกได้แล้วหนอ เมื่ออาตมภาพถูกความ
โศกครอบงำ มหาบพิตรก็ได้บรรเทาความ
โศกถึงบุตรเสียได้ ดูก่อนท้าววาสวะ อาตม-
ภาพเป็นผู้ถอนลูกศรออกได้แล้ว ปราศจาก
ความเศร้าโศก ไม่มีความมัวหมอง อาตม-

ภาพจะไม่เศร้าโศกร้องไห้ เพราะได้ฟังถ้อย-
คำของมหาบพิตร.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยมาสิ ตัดบทเป็น ยํ เม อาสิ.
บทว่า หทยนิสฺสิตํ *(บาลีว่า หทยสฺสิตํ.) ได้แก่ เสียบแน่นอยู่ในหทัย.
บทว่า อปานุทิ ได้แก่ นำออกแล้ว.

ท้าวสักกะครั้นประทานโอวาทแก่ดาบส แล้วก็เสด็จไปเฉพาะ
ยังสถานที่ของพระองค์.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึง
ทรงประชุมชาดกว่า ดาบสในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุแก่ในบัดนี้
เนื้อในครั้งนั้น ได้มาเป็นสามเณรในบัดนี้ ส่วนท้าวสักกะในครั้งนั้น
ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถามิคโปตกชาดกที่ ๒

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 14:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถามูสิกชาดกที่ ๓

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร ทรงปรารภ
พระเจ้าอชาตศัตรู จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า กุหึ
คตา กตฺถ คตา ดังนี้

เรื่องปัจจุบันได้ให้พิสดารมาแล้วในถุสชาดก ในหนหลังนั่นแล
ส่วนในชาดกนี้ พระศาสดาทรงเห็นพระราชาทรงหยอกเล่นกับพระ-
โอรสพลาง ทรงฟังธรรมพลางอย่างนั้น ทรงทราบว่า ภัยจักเกิดขึ้น
แก่พระราชา เพราะอาศัยพระโอรสนั้น จึงตรัสว่า มหาบพิตร
พระราชาครั้งเก่าก่อนทั้งหลาย ทรงรังเกียจสิ่งที่ควรรังเกียจ ได้ทรง

กระทำโอรสของพระองค์ไว้ ณ ส่วนข้างหนึ่ง ด้วยทรงดำริว่า
พระโอรสจงครองราชสมบัติในเวลาเราแก่ชราตามัว แล้วทรงนำ
เอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์ในเมืองตักกศิลา ได้
เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์. โอรสของพระเจ้าพาราณสี พระนามว่า
ยวกุมาร ได้เรียนศิลปะทุกอย่างในสำนักของพระโพธิสัตว์นั้น แล้ว
ให้การซักถามคือทดสอบวิชาแล้ว ประสงค์จะกลับมาบ้านเมือง จึง

อำลาอาจารย์นั้น. อาจารย์รู้ได้ด้วยอำนาจวิชาดูอวัยวะว่า อันตราย
จักมีแก่กุมารนี้เพราะอาศัยบุตรเป็นเหตุ คิดว่าเราจักบำบัดอันตราย
ของพระกุมารนั้น จึงเริ่มไตร่ตรองหาข้อเปรียบเทียบสักข้อหนึ่ง.
ก็ในกาลนั้น ม้าของอาจารย์ทิศาปาโมกข์นั้นมีอยู่ตัวหนึ่งแผลเกิดขึ้น
ที่เท้าของม้านั้น. พวกคนเลี้ยงม้าจึงกระทำม้าตัวนั้นไว้เฉพาะใน


* สิ่งดีๆมีไว้เพื่อแบ่งปัน นั้นย่อมนำความสุขมาให้ทุกคน
* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* หลงอำนาจหลงกำลังตน ย่อมจะยังตนให้ตกต่ำ และอาจตายได้
* รูปร่างใหญ่ใช่ว่าจะเก่งเสมอไป แม้ตัวเล็กน้อยแต่มีปัญญาย่อมชนะได้เช่นกัน
* อยู่กับปัจจุบันดีที่สุด หยุดใจให้อยู่กับปัจจุบันไว้ได้ย่อมมีความสุขได้
* บอกตัวเองเสมอๆว่าระวังกิเลสจะชักนำเราไปสู่ทางที่เป็นอกุศล
* แนะนำบอกคนอื่นดี แต่แนะนำบอกสอนตัวเองดียิ่งกว่า
* รู้น้อยแต่ลงมือทำ ยังดีกว่ารู้จำมากแต่มิทำอะไรเลย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 14:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เรือน เพื่อจะตามรักษาแผล. ในที่ไม่ไกลเรือนนั้นมีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่ง
ครั้งนั้น หนูตัวหนึ่งออกจากเรือนกัดแผลที่เท้าของม้า. ม้าไม่สามารถ
จะห้ามมันได้. วันหนึ่ง ม้านั้นไม่อาจอดกลั้นเวทนาได้ จึงเอาเท้า
ดีดหนูซึ่งมากัดกินแผลให้ตายตกลงไปในบ่อน้ำ. พวกคนเลี้ยงม้าไม่
เห็นหนูมาจึงกล่าวกันว่า ในวันอื่น ๆ หนูมากัดแผล บัดนี้ไม่ปรากฏ

มันไปเสียที่ไหนหนอ. พระโพธิสัตว์กระทำเหตุนั้นให้ประจักษ์แล้ว
กล่าวว่าคนอื่น ๆ ไม่รู้ จึงพากันกล่าวว่า หนูไปเสียที่ไหน แต่เรา
เท่านั้นย่อมรู้ว่าหนูถูกม้าฆ่าแล้วดีดลงไปในบ่อน้ำ. พระโพธิสัตว์นั้น
จึงกระทำเหตุนี้นั่นแหละให้เป็นข้อเปรียบเทียบ แล้วประพันธ์เป็น
คาถาที่หนึ่งมอบให้แก่พระราชกุมาร. พระโพธิสัตว์นั้นไตร่ตรองหาข้อ

เปรียบเทียบข้ออื่นอีก ได้เห็นม้าตัวนั้นแหละมีแผลหายแล้ว ออกไป
ที่ไร่ข้าวเหนียวแห่งหนึ่ง แล้วสอดปากเข้าไปทางช่องรั้ว ด้วยหวังว่า
จักกินข้าวเหนียว จึงกระทำเหตุนั้นแหละให้เป็นข้อเปรียบเทียบ แล้ว
ประพันธ์เป็นคาถาที่ ๒ มอบให้แก่พระราชกุมารนั้น ส่วนคาถาที่๓

พระโพธิสัตว์ประพันธ์โดยกำลังปัญญาของตน มอบคาถาที่ ๓ แม้นั้น
ให้แก่พระราชกุมารนั้นแล้วกล่าวว่า ดูก่อนพ่อ เธอดำรงอยู่ในราช-
สมบัติแล้ว เวลาเย็นเมื่อจะไปสระโบกขรณีสำหรับสรงสนาน พึงเดิน
ท่องบ่นคาถาที่ ๑ ไปจนถึงบันใดอันใกล้ เมื่อจะเข้าไปยังปราสาท

อันเป็นที่อยู่ของเธอ พึงเดินท่องบ่นคาถาที่ ๒ ไปจนถึงที่ใกล้เชิง
บันใด ต่อจากนั้นไป พึงเดินท่องบ่นคาถาที่ ๓ ไปจนถึงหัวบันใด
ครั้นกล่าวแล้วจึงส่งพระกุมารไป. พระกุมารนั้นครั้นไปถึงแล้วได้เป็น
อุปราช เมื่อพระบิดาสวรรคตแล้ว ได้ครองราชสมบัติ. โอรส


* สิ่งดีๆมีไว้เพื่อแบ่งปัน นั้นย่อมนำความสุขมาให้ทุกคน
* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* หลงอำนาจหลงกำลังตน ย่อมจะยังตนให้ตกต่ำ และอาจตายได้
* รูปร่างใหญ่ใช่ว่าจะเก่งเสมอไป แม้ตัวเล็กน้อยแต่มีปัญญาย่อมชนะได้เช่นกัน
* อยู่กับปัจจุบันดีที่สุด หยุดใจให้อยู่กับปัจจุบันไว้ได้ย่อมมีความสุขได้
* บอกตัวเองเสมอๆว่าระวังกิเลสจะชักนำเราไปสู่ทางที่เป็นอกุศล
* แนะนำบอกคนอื่นดี แต่แนะนำบอกสอนตัวเองดียิ่งกว่า
* รู้น้อยแต่ลงมือทำ ยังดีกว่ารู้จำมากแต่มิทำอะไรเลย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 16:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
องค์หนึ่งของพระองค์ประสูติแล้ว. พระโอรสนั้น ในเวลามีพระวัสสา
๑๖ ปี คิดว่าจักปลงพระชนม์พระบิดา เพราะความโลภในราชสมบัติ
จึงตรัสกะอุปัฏฐาก (มหาดเล็ก) ทั้งหลายว่า พระบิดาของเรายังหนุ่ม
เราคอยเวลาถวายพระเพลิงพระบิดานี้ จักเป็นคนแก่คร่ำคร่าเพราะ

ชรา ประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติแม้ที่ได้ในกาลเช่นนั้น. อุปัฏฐาก
เหล่านั้นทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ไม่อาจไปยังประเทศชาย
แดนแล้วกระทำความเป็นโจร พระองค์จงปลงพระชนม์พระบิดาของ
พระองค์ด้วยอุบายบางอย่างแล้วยึดเอาราชสมบัติ. พระโอรสนั้นรับว่า
ได้ แล้วไปยังที่ใกล้สระโบกขรณีสำหรับสรงสนานตอนเย็นของพระ-

ราชา ในภายในพระราชนิเวศน์ ได้ถือพระขรรค์ยืนอยู่ด้วยตั้งใจว่า
จักฆ่าพระบิดานั้น ณ ที่นี้. ในเวลาเย็น พระราชาทรงสั่งนางทาสี
ชื่อหนูไปด้วยพระดำรัสว่า เจ้าจงไปชำระหลังสระโบกขรณีให้สะอาด
แล้วจงมา เราจักอาบน้ำ. นางทาสีนั้นไปชำระหลังสระโบกขรณีอยู่
เห็นพระกุมาร. พระกุมารจึงฟันนางทาสีนั้นขาด ๒ ท่อน แล้วทิ้ง

ให้ตกลงไปในสระโบกขรณี เพราะกลัวว่ากรรมของตนจะปรากฏขึ้น.
พระราชาได้เสด็จไปเพื่อจะสรงสนาน. ชนที่เหลือกล่าวว่า แม้จนวันนี้
นางหนูผู้เป็นทาสียังไม่กลับมา นางหนูไปไหน ไปที่ไร. พระราชา
ตรัสคาถาที่ ๑ ว่า:-

คนพร่ำบ่นอยู่ว่า นางหนูไปไหน นาง
หนูไปไหน เราคนเดียวเท่านั้นรู้ว่า นางหนู
ตายอยู่ในบ่อน้ำดังนี้.


* สิ่งดีๆมีไว้เพื่อแบ่งปัน นั้นย่อมนำความสุขมาให้ทุกคน
* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* หลงอำนาจหลงกำลังตน ย่อมจะยังตนให้ตกต่ำ และอาจตายได้
* รูปร่างใหญ่ใช่ว่าจะเก่งเสมอไป แม้ตัวเล็กน้อยแต่มีปัญญาย่อมชนะได้เช่นกัน
* อยู่กับปัจจุบันดีที่สุด หยุดใจให้อยู่กับปัจจุบันไว้ได้ย่อมมีความสุขได้
* ล่วงเขาก็เท่ากับล่วงใจของตน โกหกเขาก็เท่ากับโกหกตนเองด้วย
* แนะนำบอกคนอื่นดี แต่แนะนำบอกสอนตัวเองดียิ่งกว่า
* รู้น้อยแต่ลงมือทำ ยังดีกว่ารู้จำมากแต่มิทำอะไรเลย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 16:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระองค์ได้เสด็จไปถึงฝั่งสระโบกขรณี.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุหึ คตา กตฺถ คตา เป็นคำ
ไวพจน์ของกันและกัน. บทว่า อิติ ลาลปฺปตี ได้แก่ บ่นเพ้ออยู่
อย่างนั้น. ดังนั้น คาถานี้แสดงเนื้อความนี้แก่พระราชาผู้ไม่ทรง
ทราบเลยแหละว่า ชนผู้ไม่รู้ย่อมพร่ำบ่นว่า นางหนูผู้เป็นทาสีไปไหน
แต่เราผู้เดียวเท่านั้นรู้ว่า นางหนูถูกพระราชกุมารฟันขาดสองท่อน
แล้วโยนให้ตกลงในสระโบกขรณี.

พระราชาได้เสด็จดำเนินตรัสคาถาที่ไปถึงฝั่งสระโบกขรณี.
พระกุมารคิดว่า พระบิดาของเราได้ทรงทราบกรรมที่เรากระทำไว้
จึงกลัวหนีไปบอกเรื่องนั้นแก่พวกอุปัฏฐาก. พอล่วงไป ๗-๘ วัน
อุปัฏฐากเหล่านั้นจึงทูลพระกุมารนั้นอีกว่า ข้าแต่สมมติเทพ ถ้า

พระราชาจะทรงทราบไซร้ จะไม่ทรงนิ่งไว้ ก็คำนั้นคงจะเป็นคำที่
พระราชานั้นตรัสโดยทรงคาดคะเนเอา พระองค์จงปลงพระชนม์
พระบิดานั้นเถิด. วันรุ่งขึ้น พระกุมารนั้นถือพระขรรค์ประทับยืนที่
ใกล้เชิงบันใด ในเวลาพระราชาเสด็จมา ทรงมองหาโอกาสที่จะ
ประหารไปรอบด้าน. พระราชาได้เสด็จดำเนินสาธยายคาถาที่ ๒ ว่า :-

เหตุใดท่านจึงคิดอย่างนี้ และมองหา
โอกาสจะประหารทางโน้นทางนี้ แล้วกลับไป
เสมือนลา เพราะฉะนั้น เราจึงรู้ว่า ท่านฆ่า
ทาสีชื่อว่านางหนูตายทิ้งไว้ในบ่อน้ำ วันนี้
ยังปรารถนาจะบริโภคโภชนะข้าวเหนียวอีก
หรือ.


* สิ่งดีๆมีไว้เพื่อแบ่งปัน นั้นย่อมนำความสุขมาให้ทุกคน
* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* หลงอำนาจหลงกำลังตน ย่อมจะยังตนให้ตกต่ำ และอาจตายได้
* รูปร่างใหญ่ใช่ว่าจะเก่งเสมอไป แม้ตัวเล็กน้อยแต่มีปัญญาย่อมชนะได้เช่นกัน
* อยู่กับปัจจุบันดีที่สุด หยุดใจให้อยู่กับปัจจุบันไว้ได้ย่อมมีความสุขได้
* ล่วงเขาก็เท่ากับล่วงใจของตน โกหกเขาก็เท่ากับโกหกตนเองด้วย
* แนะนำบอกคนอื่นดี แต่แนะนำบอกสอนตัวเองดียิ่งกว่า
* รู้น้อยแต่ลงมือทำ ยังดีกว่ารู้จำมากแต่มิทำอะไรเลย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 ธ.ค. 2018, 16:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
แม้คาถานี้ก็แสดงเนื้อความนี้สำหรับพระราชาผู้ไม่ทรงทราบ
เลยว่า เพราะเหตุที่นั้นคิดอย่างนี้ และมองหาโอกาสจะประหารอยู่
ทางโน้นทางนี้แล้วกลับไปเสมือนลาฉะนั้น เพราะฉะนั้น เราจึงรู้จัก
ท่านว่า วันก่อนท่านฆ่าทาสีชื่อนางหนูที่สระโบกขรณี*(ตรงนี้น่า
จะเป็นว่า “วันนี้ ยังปรารถนาจะฆ่าพระเจ้ายวราชอีก.) วันนี้ ยัง
ปรารถนาจะบริโภคโภชนะข้าวเหนียวอีก*.

พระกุมารสะดุ้งพระทัยหนีไปด้วยคิดว่า พระบิดาเห็นเราแล้ว.
พระกุมารนั้นให้เวลาล่วงไปประมาณกึ่งเดือนแล้วคิดว่า จักเอาท่อนไม้
ประหารพระราชาให้ตาย จึงถือท่อนไม้สำหรับประหารท่อนหนึ่งมี
ด้ามยาวแล้วได้ยืนกุมอยู่. พระราชาตรัสว่า:-

แน่ะเจ้าผู้โง่เขลา เจ้ายังเป็นเด็กอ่อน
ตั้งอยู่ในปฐมวัย มีผมดำสนิท มายืนถือ
ท่อนไม้ยาวนี้อยู่ เราจะไม่ยอมยกชีวิตให้
แก่เจ้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ป€มุปฺปตฺติโต*(บาลี เป็น ปฐมุปฺปตฺติโก.)
ได้แก่ อุบัติคือ ประกอบด้วยปฐมวัย อธิบายว่า ตั้งอยู่ในปฐมวัย. บทว่า
สุสู แปลว่า ยังเป็นหนุ่ม. บทว่า ทีฆํ ได้แก่ ท่อนไม้สำหรับประหาร
มีด้ามยาว. บทว่า สมาปชฺช ความว่า เจ้ามายืนถือกุมไว้. คาถา

แม้นี้ก็ข่มขู่พระกุมาร แสดงเนื้อความนี้ สำหรับพระราชาผู้ไม่รู้
นั่นแลว่า เจ้าคนโง่เจ้าจักไม่ได้บริโภคข้าวเหนียวของตน บัดนี้
เราจักไม่ให้ชีวิตแก่เจ้าผู้ไม่มีความละอาย เราจักฆ่าตัดให้เป็นท่อน
น้อยท่อนใหญ่ แล้วให้เสียบไว้บนหลาวนั่นแหละ.

พระราชาทรงสาธยายคาถาที่ ๓ พลางขึ้นถึงหัวบันใด. วันนั้น
พระกุมารนั้นไม่อาจหลบหนี กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์
โปรดประทานชีวิตแก่ข้าพระองค์เถิดพระเจ้าข้า แล้วหมอบลงที่ใกล้
พระบาทของพระราชา. พระราชาทรงคุกคามพระกุมารนั้นแล้ว ให้


* สิ่งดีๆมีไว้เพื่อแบ่งปัน นั้นย่อมนำความสุขมาให้ทุกคน
* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* หลงอำนาจหลงกำลังตน ย่อมจะยังตนให้ตกต่ำ และอาจตายได้
* รูปร่างใหญ่ใช่ว่าจะเก่งเสมอไป แม้ตัวเล็กน้อยแต่มีปัญญาย่อมชนะได้เช่นกัน
* อยู่กับปัจจุบันดีที่สุด หยุดใจให้อยู่กับปัจจุบันไว้ได้ย่อมมีความสุขได้
* ล่วงเขาก็เท่ากับล่วงใจของตน โกหกเขาก็เท่ากับโกหกตนเองด้วย
* แนะนำบอกคนอื่นดี แต่แนะนำบอกสอนตัวเองดียิ่งกว่า
* รู้น้อยแต่ลงมือทำ ยังดีกว่ารู้จำมากแต่มิทำอะไรเลย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 104, 105, 106, 107, 108, 109, 110 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 0 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron