วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 18:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 92, 93, 94, 95, 96, 97, 98 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถากากาติชาดกที่ ๗

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุผู้กะสันจะสึกรูปหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
วาติ จายํ ตโต คนฺโธ ดังนี้.

ได้ยินว่า ในกาลนั้น พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่า ดูก่อน
ภิกษุ ได้ยินว่าเธอเป็นผู้กระสันจะสึกจริงหรือ ? เมื่อภิกษุนั้นทูลรับ
จริงพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า เพราะเหตุไร เธอจึงกระสันจะสึก. ภิกษุ
นั้นกราบทูลว่า เพราะอำนาจกิเลส พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุ ธรรมดาว่ามาตุคาม ใครๆ รักษาไว้ไม่ได้ ใครๆ ไม่อาจ

รักษา ก็โบราณกบัณฑิตทั้งหลายในกาลก่อน แม้จะให้ยกมาตุคามขึ้น
ไว้ในวิมานต้นฉิมพลี ในท่ามกลางมหาสุมทร ก็ไม่อาจรักษาไว้ได้
แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของ
พระเจ้าพรหมทัตนั้น เจริญวัยแล้ว เมื่อพระราชบิดาสวรรคต ก็
ครองราชสมบัติ พระอัครมเหสีของพระโพธิสัตว์นั้น พระนามว่า

กากาติ ได้มีพระรูปโฉมงดงาม ดุจนางเทพอัปสร. นี้เป็นเนื้อความ
สังเขปในชาดกนี้ ส่วนเรื่องอดีตโดยพิสดารจักมีแจ้งในกุณาลชาดก.
ก็ในกาลนั้น พระยาครุฑตนหนึ่งแปลงเพศเป็นมนุษย์มาเล่นสกากับ
พระราชา มีจิตปฏิพัทธ์ในพระนางกากาติอัครมเหสี จึงพาพระนาง

ไปยังสุบรรณภพ แล้วร่วมอภิรมย์อยู่กับพระนางนั้น. พระราชาเมื่อ
ไม่พบเห็นพระเทวี จึงตรัสกะคนธรรพ์ชื่อนฏกุเวรว่า เธอจงค้นหา
พระเทวีนั้นดู. คนธรรพ์นั้นจึงกำหนดเอาพระยาครุฑนั้นจึงนอนอยู่
ในดงตะไคร้น้ำในสระแห่งหนึ่ง ในเวลาครุฑนั้นไปจากสระนั้น


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 09:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ได้เกาะอยู่ในระหว่างปีกไปจนถึงสุบรรณภพ แล้วออกจากระหว่างปีก
กระทำการเคล้าคลึงด้วยกิเลสกับพระเทวีนั้น แล้วเกาะอยู่ในระหว่าง
ปีกของพระยาครุฑนั้นนั่นแหละกลับมาอีก ในเวลาพระยาครุฑเล่น
สกากับพระราชา จึงถือพิณของตนมายังสนามเล่นสกา ยืนอยู่ใน
ราชสำนัก จึงกล่าวคาถาที่ ๑ โดยขับเป็นเพลงขับว่า :-

หญิงคนรักของเราอยู่ ณ ที่แห่งใด
กลิ่นของนางยังหอมฟุ้งมาจากที่แห่งนั้น ใจ
ของเรายินดีในนางใดนางนั้นชื่อกากาติ อยู่
ไกลจากที่นี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คนฺโธ ได้แก่ กลิ่นแห่งร่างกาย
ของนางนั้นซึ่งลูบไล้ด้วยกลิ่นทิพย์. บทว่า ยตฺถ เม ความว่า
หญิงคนรักของเราอยู่ในสุบรรณภพใด อธิบายว่า พระนางทำ
การเคล้าคลึงกายกับพระยาครุฑนี้ กลิ่นของนางซึ่งติดมากับร่างกาย

ของพระยาครุฑนี้ จึงชื่อว่าฟุ้งมาจากที่นั้น บทว่า ทูเร อิโต
ได้แก่ ในที่ไกลจากที่นี่. หิ อักษรเป็นเพียงนิบาต. บทว่า กากาติ
ได้แก่ เทวีพระนามว่ากากาติ. บทว่า ยตฺถ เม ความว่า ใจของ
เรายินดี คือกำหนัดแล้วเหนือนางใด.

พระยาครุฑได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
ท่านข้ามทะเลไปได้อย่างไร ท่านข้าม
แม่น้ำเกปุกะไปได้อย่างไร ท่านข้ามทะเล
ทั้ง ๗ แห่งไปได้อย่างไร ท่านขึ้นต้นงิ้ว
ฉิมพลีได้อย่างไร.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 09:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
คำที่เป็นคาถานั้นมีใจความว่า ท่านข้ามทะเลในชมพูทวีปนี้
และแม่น้ำชื่อว่า เกปุกะซึ่งถัดจากทะเลนั้นไป และทะเลทั้ง ๗ แห่ง
ซึ่งตั้งอยู่ในระหว่างภูเขาทั้งหลายได้อย่างไร คือข้ามไปได้ด้วยอุบาย
อะไร และท่านขึ้นต้นฉิมพลีอันเป็นภพของเราซึ่งตั้งอยู่เลยทะเล
ทั้ง ๗ ได้อย่างไร.

นฏกุเวรได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
เราข้ามทะเลไปได้เพราะท่าน ข้าม
แม่น้ำเกปุกะได้เพราะท่าน ข้ามทะเลทั้ง ๗
แห่งได้เพราะท่าน และขึ้นต้นฉิมพลีได้ก็
เพราะท่าน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตยา ความว่า เราเกาะอยู่ใน
ระหว่างปีกของท่านกระทำกิจทั้งปวงนี้ เพราะท่านเป็นตัวเหตุ.
ลำดับนั้น พระยาครุฑ จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-
น่าติเตียนเราผู้มีกายใหญ่โต น่าติเตียน
เราผู้ไม่มีความคิด เพราะว่าเรานำมาบ้าง นำ
ไปบ้างซึ่งชายชู้ของเมีย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธิรตฺถุ มํ พระยาครุฑ เมื่อจะ
ติเตียนตนเอง จึงกล่าวไว้. บทว่า อเจตนํ ได้แก่ ชื่อว่าผู้ไม่มี
ความคิด เพราะไม่รู้ความหนักและความเบา เพราะความเป็นผู้มี
ร่างกายใหญ่โต. บทว่า ยตฺถ แก้เป็น ยสฺมา แปลว่า เพราะ

เหตุใด. ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ว่า เพราะเหตุที่เรานำคนธรรพ์นี้
ผู้เป็นชายชู้ของเมียตนซึ่งเกาะอยู่ในระหว่างปีกมา ชื่อว่านำมา เมื่อ
นำไปชื่อว่านำไปอยู่ ฉะนั้น น่าติเตียนตัวเรา.

พระยาครุฑนั้นได้นำพระนางกากาตินั้นไปถวายพระราชา
แล้วไม่ได้ไปเล่นสกาอีก.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประกาศสัจจะแล้วทรงประชุมชาดกว่า ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้กะสัน
จะสึกดำรงอยู่แล้วในโสดาปัตติผล. นฏกุเวรในกาลนั้น ได้เป็นภิกษุ
ผู้กะสันจะสึกในบัดนี้ ส่วนพระราชาในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต
ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถากากาติชาดกที่ ๗

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 09:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาอนนุโสจิยชาดกที่ ๘

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
กฎุมพีคนหนึ่งผู้มีภรรยาตาย จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้น
ว่า พหูนํ วิชฺชติ โภติ ดังนี้

ได้ยินว่า กฎุมพีนั้น เมื่อภรรยาตายแล้วไม่อาบน้ำ ไม่รับ
ประทานข้าว ไม่ประกอบการงาน. ถูกความโศกครอบงำ ไปป่าช้า
เที่ยวปริเทวนาการอยู่อย่างเดียว. แต่อุปนิสัยแห่งโสดาปัตติมรรค
โพลงอยู่ในภายในของกฎุมพีนั้น เหมือนประทีปโพลงอยู่ในหม้อ
ฉะนั้น. ในเวลาใกล้รุ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูโลก ได้ทอดพระเนตร

เห็นกฎุมพีนั้น ทรงพระดำริว่าเว้นเราเสีย ใครๆ อื่นผู้จะนำความโศก
ออกแล้วให้โสดาปัตติมรรค แก่กฎุมพีนี้ ย่อมไม่มี เราจักเป็นที่พึง
อาศัยของกฎุมพีนั้น จึงเสด็จกลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัต ทรงพา
ปัจฉาสมณะไปยังประตูเรือนของกฎุมพีนั้น กฎุมพีได้สดับการเสด็จ

มา ทรงมีสักการะมีการลุกรับเป็นต้นอันกฎุมพีกระทำแล้ว ประทับนั่ง
บนอาสนะที่เขาปูลาด แล้วตรัสถามกฎุมพีผู้มานั่งอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง
ว่า อุบาสก ท่านคิดอะไรหรือ ? เมื่อกฎุมพีนั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภรรยาของข้าพระองค์ตาย ข้าพระองค์เศร้าโศก

ถึงเขาจึงคิดอยู่. จึงตรัสว่า อุบาสก ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่มีการแตกเป็นธรรมดา
ย่อมแตกไป เมื่อมันแตกไปจึงไม่ควรคิด แม้โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย
เมื่อภรรยาตายแล้วก็ยังไม่คิดว่า สิ่งที่มีการแตกเป็นธรรมดาได้แตกไป
แล้ว อันกฎุมพีนั้นทูลอาราธนา จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก
ดังต่อไปนี้. เรื่องในอดีตจักมีแจ้งในจุลลโพธิชาดก ในทสกนิบาต
ส่วนในที่นี้มีความสังเขปดังต่อไปนี้ :-


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 09:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ เจริญวัยแล้ว
เล่าเรียนศิลปะทั้งปวงในเมืองตักกศิลา แล้วได้กลับไปยังสำนักของ
บิดามารดา. ในชาดกนี้ พระโพธิสัตว์ได้เป็นพรหมจารีแต่ยังเป็นกุมาร.
ลำดับนั้น บิดามารดาของพระโพธิสัตว์นั้นบอกว่า เราจักจัดการแสวง

หาภรรยาให้แก่เจ้า. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ลูกไม่มีความต้องการครอง
เรือน เมื่อท่านทั้งหลายล่วงไปแล้ว ลูกจักบวช ถูกบิดามารดานั้น
รบเร้าอยู่บ่อยๆ จึงให้ช่างทำรูปทองคำรูปหนึ่ง แล้วพูดว่า ลูกได้
กุมาริกาเห็นปานนี้ จึงจักรับครองเรือน. บิดามารดาของพระโพธิ-
สัตว์นั้นจึงให้ยกรูปทองคำนั้นขึ้นบนยานอันมิดชิด แล้วส่งคนทั้งหลาย

พร้อมทั้งบริวารเป็นอันมากไปโดยสั่งว่า พวกท่านจงไป จงเที่ยวไป
ยังพื้นชมพูทวีป เห็นกุมาริกาผู้เป็นพราหมณ์ซึ่งงามเห็นปานนี้ในที่ใด
ท่านทั้งหลายจงให้รูปทองคำนี้ในที่นั้น แล้วนำนางพราหมณกุมาริกา
นั้นมา ก็ในกาลนั้น สัตว์ผู้มีบุญคนหนึ่งจุติจากพรหมโลก บังเกิด
เป็นกุมาริกาในเรือนพราหมณ์ผู้มีสมบัติ ๘๐ โกฏิ ในนิคมคามแคว้น

กาสีนั่นเอง บิดามารดาได้ขนานนามกุมาริกานั้นว่า สัมมิลลหา-
สินี. กุมาริกานั้น ในเวลามีอายุ ๑๖ ปี เป็นผู้มีรูปงามชวนชม เปรียบ
ด้วยนางเทพอัปสร สมบูรณ์ทั่วสารพางก์กาย. ชื่อว่าความคิดด้วย
อำนาจกิเลสไม่เคยเกิดขึ้นแก่นางเลย นางได้เป็นสาวพรหมจารินีโดย

แท้จริง. ชนทั้งหลายพารูปทองคำนั้นเที่ยวไปถึงบ้านนั้น. คนทั้งหลาย
ในบ้านนั้น เห็นรูปทองคำนั้นแล้วพากันกล่าวว่า เพราะเหตุไรนาง
สัมมิลลหาสินี ธิดาของพราหมณ์ชื่อโน้น จึงมายืนอยู่ที่นี้. มนุษย์


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 09:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ทั้งหลายได้ฟังดังนั้นจึงไปยังตระกูลพราหมณ์สู่ขอนางสัมมิลลหาสินี
นั้น. นางจึงส่งข่าวแก่บิดามารดาว่า เมื่อท่านทั้งสองล่วงลับไปแล้ว
ดิฉันจักบวช ดิฉันไม่ต้องการครองเรือน. บิดามารดานั้นจึงกล่าวว่า
กุมาริกาเจ้าจะทำอะไรได้ แล้วรับเอารูปทองคำส่งนางไปด้วยบริวาร
เป็นอันมาก. เมื่อพระโพธิสัตว์และนางสัมมิลลหาสินี ทั้งสองคน ไม่

ปรารถนาเลย บิดามารดาก็ทำการมงคล สมรสให้. คนทั้งสอง
นั้นอยู่ในห้องเดียวกัน แม้จะนอนอยู่บนที่นอนเดียวกัน ก็ไม่ได้แล
ดูกันและกันด้วยอำนาจกิเลส อยู่ในสถานที่เดียวกัน เหมือนภิกษุ ๒ รูป
และเหมือนพรหม ๒ องค์ อยู่ในที่เดียวกันฉะนั้น. จำเนียรกาลล่วง

มา บิดามารดาของพระโพธิสัตว์ได้ทำกาลกิริยาตายลง พระโพธิสัตว์
นั้นกระทำการฌาปนกิจสรีระของบิดามารดาแล้ว เรียกนางสัม-
มิลลหาสินีมากล่าวว่า นางผู้เจริญ เธอจงถือเอาทรัพย์นี้ มีประมาณ
เท่านี้ คือทรัพย์ ๘๐ โกฏิอันเป็นของตระกูลพี่ และทรัพย์ ๘๐ โกฏิ

อันเป็นของตระกูลเธอ แล้วปกครองทรัพย์สมบัตินี้เถิด พี่จักบวช.
นางสัมมิลลหาสินีกล่าวว่า ข้าแต่ลูกเจ้า เมื่อท่านบวชดิฉันก็จักบวช
ดิฉันไม่อาจทอดทิ้งท่านได้. คนทั้งสองนั้นจึงสละทรัพย์ทั้งหมดในทาง
ทาน ละทิ้งสมบัติเหมือนก้อนเขฬะ เข้าไปยังหิมวันตประเทศทั้ง
สองคน บวชเป็นฤาษี มีรากไม้และผลไม้ในป่าเป็นอาหาร อยู่ในหิม-

วันตประเทศนั้นช้านาน เพื่อต้องการจะเสพรสเค็มและรสเปรี้ยว จึง
ลงจากหิมวันตประเทศ ถึงเมืองพาราณสีโดยลำดับ แล้วอยู่ในพระ-
ราชอุทยาน. เมื่อดาบสและดาบสินีทั้งสองนั้นอยู่ในพระราชอุทยานนั้น
เมื่อปริพาชิกาผู้สุขุมาลชาติบริโภคภัตอันเจือปนปราศจากโอชะ ก็เกิด

อาพาธลงโลหิต. นางเมื่อไม่ได้เภสัชอันเป็นสัปปายะก็ได้อ่อนกำลังลง
ในเวลาภิกขาจาร พระโพธิสัตว์ได้พยุงนางนำไปยังประตูพระนคร
แล้วให้นอนบนแผ่นกระดาน ณ ศาลาหลังหนึ่ง ส่วนตนเข้าไปภิกขา-


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 09:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
จาร. นาง เมื่อพระโพธิสัตว์นั้นยังไม่กลับออกมาเลย ก็ได้ทำกาล
กิริยาตายไป. มหาชนเห็นรูปสมบัติของปริพาชิกา พากันห้อมล้อม
ร้องไห้ร่ำไร. พระโพธิสัตว์เที่ยวภิกขาแล้วกลับมารู้ว่านางตายแล้ว
ดำริว่า สิ่งที่มีอันจะแตกไปเป็นธรรมดา ย่อมแตกไป สังขารทั้งปวง
ไม่เที่ยงหนอ มีคติอย่างนี้เอง แล้วนั่งบนแผ่นกระดานที่นางนอนอยู่

นั่นแหละ บริโภคโภชนะอันระคนกันแล้วบ้วนปาก. มหาชนที่ยืน
ห้อมล้อมถามว่า ท่านผู้เจริญ ปริพาชิกานี้เป็นอะไรกับท่าน ? พระ
โพธิสัตว์กล่าวว่า เมื่อเวลาเป็นคฤหัสถ์ นางเป็นบาทบริจาริกาของเรา.
มหาชนกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ พวกเรายังอดทนไม่ได้ก่อน พากันร้องไห้

ร่ำไร เพราะเหตุไร ? ท่านจึงไม่ร้องไห้. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า นาง
ปริพาชิกานี้ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ย่อมเป็นอะไรๆ กับเรา บัดนี้ ไม่เป็น
อะไรๆ กัน เพราะนางเป็นผู้สมัครสมานกับปรโลก ไปสู่อำนาจของ
คนอื่นแล้ว เราจะร้องไห้เพราะอะไร เมื่อจะแสดงธรรมแก่มหาชน
จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-

นางสัมมิลลหาสินีผู้เจริญ ได้ไปอยู่ใน
ระหว่างพวกสัตว์ที่ตายไปแล้วเป็นจำนวนมาก
เมื่อนางไปอยู่กับพวกสัตว์เหล่านั้น จักชื่อว่า
เป็นอะไรกับเรา เพราะฉะนั้นเราจึงมิได้เศร้า
โศกถึงนางสัมมิลลหาสินีผู้เป็นที่รักนี้.

ถ้าบุคคลจะเศร้าโศก ถึงสิ่งที่ไม่มีแก่
สัตว์ผู้เศร้าโศกนั้น พึงเศร้าโศกถึงตนซึ่งตก
อยู่ในอำนาจของมัจจุราชอยู่ทุกเวลา.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 09:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อายุสังขารใช่ว่าจะติดตามเฉพาะสัตว์ผู้
ยืน นั่ง นอน หรือเดินอยู่เท่านั้นก็หาไม่
แม้ในเวลาชั่วลืมตา*หลับตาวัยก็เสื่อมไปแล้ว.
*แปลตามบาลี พม่า.

ในตนซึ่งเป็นทางอันตรายนั้นหนอ ต้อง
มีความพลัดพรากจากกันโดยไม่ต้องสงสัย
หมู่สัตว์ที่ยังอยู่ควรเอ็นดูกัน ส่วนที่ตายไป
แล้วไม่ควรเศร้าโศกถึง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พหูนํ วิชฺชติ ความว่า นางผู้เจริญ
นี้ทิ้งเราแล้ว บัดนี้ มีอยู่คือเกิดในระหว่างเหล่าสัตว์ที่ตายแล้วเหล่าอื่น
เป็นอันมาก. บทว่า เตหิ เม กึ ภวิสฺสติ ความว่า เดี๋ยวนี้ นาง
เป็นไปกับพวกสัตว์ที่ตายแล้วนั้น จักเป็นอะไรกับเรา หรือว่านางจัก

เป็นอะไรแก่เรา ด้วยอำนาจความเกี่ยวพันเกินสัตว์เหล่านั้น คือ นาง
จักเป็นใคร จะเป็นภรรยาหรือน้องสาว. บาลีว่า เตหิ เมกํ ดังนี้
ก็มี. อธิบายบาลีนั้นว่า กเลวระหว่างกายของเราแม้นี้ จักเป็นอัน
เดียวกันกับสัตว์ที่ตายแล้วเหล่านั้น. บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะ

เหตุที่นางสัมมิลลหาสินีนี้ตายแล้ว สมาคมกับคนตายแล้วจะเป็นอะไร
แก่เรา เพราะฉะนั้น เราจึงไม่เศร้าโศกถึงนางสัมมิลลหาสินีนี้. บทว่า
ยํ ยํ ตสฺส ความว่า สิ่งใดๆ ย่อมไม่มีแก่สัตว์ผู้เศร้าโศกนั้น ได้แก่
ความตายคือความดับ ถ้าจะเศร้าโศกถึงสิ่งนั้นๆ บาลีว่า ยสฺส ดังนี้

ก็มี. ความของบาลีนั้นว่า สิ่งใดๆ ย่อมมีแก่ผู้ใด ถ้าผู้นั้นจะเศร้าโศก
ถึงสิ่งนั้นๆ บทว่า มจฺจุวสมฺปตฺตํ ความว่า เมื่อเป็นอย่างนั้น บุคคล
ควรเศร้าโศกถึงเฉพาะตนผู้ถึงคือผู้จะไปสู่อำนาจของมัจจุราชเป็นนิจที
เดียว เพราะเหตุนั้น บุคคลนั้นจะไม่มีเวลาเศร้าโศกเลย.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 09:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในคาถาที่ ๓ มีวินิจฉัยต่อไปนี้. พึงนำบาลีที่เหลือมาเชื่อม
เข้ากัน ความว่า อายุสังขารย่อมไปตามสัตว์ไรๆ ก็ได้มิใช่ผู้
ยืน นั่ง นอน หรือเดินเท่านั้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปตฺถคุํ
ได้แก่ ผู้เที่ยวไปๆ มาๆ อธิบายว่า สัตว์เหล่านี้ประมาณอยู่ในอิริยาบถ
ทั้ง ๔ ส่วนอายุสังขารไม่ประมาทในอิริยาบถทั้งปวงทั้งกลางคืนและ

กลางวัน ย่อมกระทำกรรมคือถึงความสิ้นไปของตนเท่านั้น. บทว่า
ยาวุปฺปตฺติ นิมิสฺสติ ความว่า ก็นี้เป็นโวหารเรียกกาลเวลานั้น.
ท่านอธิบายว่า วัยของสัตว์เหล่านี้ ย่อมเสื่อมไป แม้ชั่วเวลาหลับตา
และลืมตา คือในเวลามีประมาณเล็กน้อยอย่างนี้ คือ วัยที่เหลือในวัย

ทั้งสาม ย่อมเสื่อมคือไม่เจริญ. บทว่า ตตฺถตฺตนิ วตปฺปนฺเถ ได้แก่
ในตนซึ่งเป็นทางอันตรายนั้นหนอ. ท่านอธิบายว่า เมื่อวัยนั้นหนอ
เสื่อมไปอย่างนี้ อัตภาพอันถึงการนับว่า นี้เป็นอัตตา ย่อมเป็นทางอัน-
ตราย คือถูกผูกด้วยบ่วงเข้าไปครึ่งหนึ่งไม่เต็มบริบูรณ์ เมื่อเป็นอย่าง

นั้น ตนที่เป็นทางอันตรายนี้นั้น จะต้องมีความพลัดพรากจากกันแห่ง
สัตว์ทั้งหลายที่บังเกิดในภพนั้นๆ โดยไม่ต้องสงสัย คือหมดความสงสัย
สัตว์ที่เหลืออยู่ยังไม่ตาย คือสัตว์ที่เหลืออยู่นั้นยังเป็นอยู่ คือมีชีวิต
อยู่ ควรเอ็นดูกัน คือควรเมตตากัน พึงเจริญเมตตาในสัตว์นั้นอย่าง

นี้ว่า ขอสัตว์นี้จงอย่ามีโรค จงอย่าเบียดเบียนกัน ส่วนสัตว์ที่จุติเคลื่อน
ไปแล้ว คือตายแล้วไม่ควรเศร้าโศกถึง คือไม่ควรตามเศร้าโศกถึง.

พระมหาสัตว์เมื่อแสดงอาการไม่เที่ยงด้วยคาถา ๔ คาถาอย่าง
นี้ แสดงธรรมแล้ว. มหาชนพากันกระทำฌาปนกิจสรีระของนาง
ปริพาชิกาแล้ว. พระโพธิสัตว์เข้าไปยังหิมวันตประเทศ ทำฌานและ
อภิญญาให้บังเกิด ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประกาศสัจจะแล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ กฎุมพีได้ดำรง
อยู่ในโสดาปัตติผล. นางสัมมิลลหาสินีในครั้งนั้น ได้เป็นราหุลมารดา
ส่วนดาบสในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอนนุโสจิยชาดกที่ ๘

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 09:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถากาฬพาหุชาดกที่ ๙

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร ทรงปรารภ
พระเทวทัตผู้เสื่อมลาภสักการะ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้น
ว่า ยํ อนฺนปานสฺส ดังนี้.

แท้จริง เมื่อพระเทวทัตผูกความโกรธอันไม่บังควรในพระ-
ตถาคต แล้วประกอบนายขมังธนู โทษผิดของพระเทวทัตนั้น ได้
ปรากฏเพราะปล่อยช้างนาฬาคิรี. ลำดับนั้น คนทั้งหลายจึงพากัน
เลิกธุวภัตเป็นต้นที่เริ่มตั้งไว้แก่เธอเสีย. แม้พระราชาก็ไม่ทรงเหลียว

แลพระเทวทัตนั้น. พระเทวทัตนั้นเสื่อมลาภสักการะจึงเที่ยวขอใน
สกุลทั้งหลายบริโภคอยู่. ภิกษุทั้งหลายจึงนั่งสนทนากันในโรงธรรม-
สภาว่า อาวุโสทั้งหลาย พระเทวทัตคิดว่า จักยังลาภสักการะให้เกิดขึ้น
แม้แต่ลาภสักการะที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่อาจทำให้มั่นคง. พระศาสดา

เสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากัน-
ด้วย เรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า
มิใช่บัดนี้เท่านั้นน่ะภิกษุทั้งหลาย แม้ในกาลก่อน เทวทัตนี้ก็ได้เป็นผู้
เสื่อมลาภสักการะ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าธนัญชัยครองราชสมบัติในนครพา-
ราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นวานรเผือกชื่อราธะ มีบริวารมาก มี
ร่างกายบริบูรณ์ ส่วนวานรน้องชายของพระโพธิสัตว์นั้น ชื่อโปฏฐ-
ปาทะ. พรานผู้หนึ่งจับวานรพี่น้องทั้งสองนั้นได้ จึงนำไปถวายพระ-

เจ้าพาราณสี. พระราชาโปรดให้ใส่วานรทั้งสองนั้นไว้ในกรงทอง ให้
บริโภคข้าวตอกคลุกน้ำผึ้ง ให้ดื่มน้ำเจือด้วยน้ำตาลกรวดปรนนิบัติ
เลี้ยงดูอยู่ สักการะได้มีอย่างมากมาย. วานรทั้งสองนั้นได้เป็นผู้ถึง
ความเป็นผู้เลิศด้วยลาภและยศ. ต่อมา พรานป่าคนหนึ่ง ได้นำเอา
วานรดำใหญ่ตัวหนึ่ง ชื่อกาฬพาหุมาถวายพระราชา วานรกาฬพาหุ


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 09:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
นั้นมาทีหลัง จึงได้มีลาภสักการะมากกว่า ลาภสักการะของวานรเผือก
ทั้งสองก็เสื่อมถอยไป. พระโพธิสัตว์มิได้พูดอะไรเลย เพราะประกอบ
ด้วยลักษณะแห่งผู้คงที่แต่วานรน้องชาย เพราะไม่มีลักษณะแห่งผู้คงที่
จึงทนดูสักการะของกาฬพาหุวานรไม่ได้ ได้พูดกะพี่ชายว่า ข้าแต่พี่

เมื่อก่อน ในราชสกุลนี้ ย่อมให้ของกินมีรสดีเป็นต้นแก่พวกเรา แต่
บัดนี้พวกเราไม่ได้ เขานำไปให้เจ้าลิงกาฬพาหุเท่านั้น พวกเราเมื่อ
ไม่ได้ลาภสักการะจากสำนักของพระเจ้าธนัญชัย จักทำอะไรอยู่ ณ
สถานที่นี้ มาเถิดพี่ พวกเราไปอยู่ป่าเถิด เมื่อจะเจรจากับวานรพี่ชาย
นั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-

เมื่อก่อน เราได้ข้าวและน้ำอันใดจาก
สำนักพระราชา มาบัดนี้ ข้าวและน้ำนั้น
มาขึ้นอยู่กับสาขมฤคหมด ข้าแต่พี่ราธะ
บัดนี้ เราเป็นผู้อันพระเจ้าธนัญชัยไม่สักการะ
แล้ว พากันกลับไปป่าตามเดิมเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํ อนฺนปานสฺส ความว่า ข้าว
และน้ำใด จากสำนักของพระราชานั้น. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อนฺน-
ปานสฺส เป็นฉัฏฐีวิภัตติลงในอรรถของทุยาวิภัตติ. บทว่า ธนญฺ
ชยาย เป็นจตุตถีวิภัตติ ลงในอรรถของตติยาวิภัตติ. อธิบายว่า

พวกเราเป็นผู้อันพระเจ้าธนัญชัยไม่สักการะเอื้อเฟื้อแล้ว และไม่ได้
ข้าวและน้ำ คือเป็นผู้อันพระเจ้าธนัญชัยนี้แล ไม่ทรงเอื้อเฟื้อแล้ว.
วานรราธะได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-

ดูก่อนน้องโปฏฐปาทะ ธรรมในหมู่
มนุษย์เหล่านี้ คือ ลาภ ความเสื่อมลาภ ยศ
ความเสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุขและ
ทุกข์ เป็นของไม่เที่ยง เจ้าอย่าเศร้าโศกเลย
จะเศร้าโศกไปทำไม.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 10:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยโส ได้แก่ อิสริยยศ และปริ-
วารยศ. บทว่า อยโส ได้แก่ ความไม่มีอิสริยยศและปริวารยศนั้น.
บทว่า เอเต ความว่า โลกธรรม ๘ ประการเหล่านี้เป็นของไม่เที่ยง
ในหมู่มนุษย์ แม้เป็นผู้ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภและยศ สมัยต่อมา
ย่อมเป็นผู้มีลาภน้อย สักการะน้อย ชื่อว่าผู้จะมีลาภเป็นนิจเสมอไป
ย่อมไม่มี. แม้ในยศเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.

วานรโปฏฐปาทะได้ฟังดังนั้น เมื่อไม่อาจทำความริษยาในลิง
กาฬพาหุให้หายไปได้ จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
ข้าแต่พี่ราธะ พี่เป็นบัณฑิตแท้ ย่อมรู้
ถึงผลประโยชน์อันยังมาไม่ถึง ทำอย่างไรหนอ
เราจะได้เห็นเจ้าสาขมฤคผู้ลามก ถูกเขาขับ
ไล่ออกจากราชสกุล.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กถํ นุ โข ได้แก่ ด้วยอุบาย
อะไรหนอ. บทว่า ทกฺขาม แปลว่า จักเห็น. บทว่า นิทฺธาปิตํ
ได้แก่ ถูกฉุดออกไป คือถูกลากออกไป. บทว่า ชมฺมํ แปลว่า ผู้
ลามก.

วานรราธะได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-
ลิงกาฬพาหุ กระดิกหูและกลอกหน้า
กลอกตา ทำให้พระราชกุมารทรงหวาดเสียว
พระทัยอยู่บ่อย ๆ มันจักทำตัวของมันเองให้
จำต้องห่างไกลจากข้าวและน้ำ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภายเต กุมาเร ความว่า ย่อม
ทำพระราชกุมารให้หวาดเสียว. บทว่า เยนารกา €สฺสติ ความว่า
ตัวมันเองจักทำเหตุให้จำต้องอยู่ห่างไกลจากข้าวและน้ำนี้. เจ้าอย่าคิด
ริษยาต่อมันเลย.

ฝ่ายลิงกาฬพาหุ พอล่วงไป ๒-๓ วันเท่านั้น ก็ทำกระดิกหู
เป็นต้นต่อหน้าพระราชกุมารทั้งหลาย ทำให้พระราชกุมารทั้งหลาย
กลัว. พระราชกุมารทั้งหลายเหล่านั้นตระหนกตกพระทัยกลัว ต่าง
ทรงส่งเสียงร้อง. พระราชาตรัสถามว่า นี่อะไรกัน ? ได้ทรงสดับ

เรื่องราวนั้นแล้วรับสั่งว่า จงไล่มันออกไป แล้วให้ไล่ลิงกาฬพาหุนั้น
ออกไป. ลาภสักการะของวานรขาวทั้งสองก็ได้เป็นปกติตามเดิมอีก.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประ-
ชุมชาดกว่า ลิงกาฬพาหุในครั้งนั้น ได้เป็นพระเทวทัต วานร
โปฏฐปาทะในครั้งนั้น ได้เป็นพระอานนท์ ส่วนวานรราธะในครั้งนั้น
ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล
จบ อรรถกถากาฬพาหุชาดกที่ ๙

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 10:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาสีลวีมังสชาดกที่ ๑๐

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
พราหมณ์ผู้ทดลองศีล จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
สีลํ กิเรว กลฺยาณํ ดังนี้.

เรื่องปัจจุบันนิทานแม้ทั้งสองเรื่อง ได้กล่าวไว้แล้วในหนหลัง
ทีเดียว. ส่วนในชาดกนี้ พระโพธิสัตว์ได้เป็นปุโรหิตของพระเจ้า
พาราณสี เมื่อพระโพธิสัตว์นั้นจะทดลองศีลของตน จึงถือเอา
กหาปณะจากแผ่นกระดานสำหรับนับเงินไป ๓ วัน ราชบุรุษทั้งหลาย
จึงแสดงพระโพธิสัตว์นั้นแก่พระราชาว่าเป็นโจร. พระโพธิสัตว์นั้น
ยืนอยู่ในสำนักของพระราชา พรรณนาศีลด้วยคาถาที่ ๑ นี้ว่า :-

ได้ยินว่า ศีลแลเป็นความงาม ศีล
เป็นเยี่ยมในโลก ขอพระองค์จงทอดพระ-
เนตรงูใหญ่มีพิษร้าย ย่อมไม่เบียดเบียนผู้อื่น
ด้วยมารู้สึกตัวว่า เป็นผู้มีศีล.

แล้วทูลขอให้พระราชาทรงอนุญาตบรรพชาแล้วไปบรรพชา.
ครั้งนั้น เหยี่ยวเฉี่ยวเอาชิ้นเนื้อในร้านขายเนื้อสัตว์แห่งหนึ่ง
แล้วบินไปทางอากาศ นกทั้งหลายอื่นจึงล้อมจิกตีมันด้วยเล็บเท้าและ
จะงอยปากเป็นต้น. เหยี่ยวนั้นไม่สามารถอดทนความทุกข์นั้นได้ จึง
ทิ้งชิ้นเนื้อ นกตัวอื่นก็คาบเอาไป. แม้นกตัวนั้นเมื่อถูกเบียดเบียน

อย่างนั้นเข้าก็ทิ้งชิ้นเนื้อนั้น. ทีนั้น นกตัวอื่น ๆ ก็คาบเอาไป รวม
ความว่า นกใด ๆ คาบเอาไป นกทั้งหลายก็ติดตามนกนั้น ๆ ไป.
นกใด ๆ ทิ้ง นกนั้น ๆ ก็มีความสบาย. พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้นจึง
คิดว่า ขึ้นชื่อว่ากามทั้งหลายนี้เปรียบด้วยชิ้นเนื้อ เมื่อเป็นอย่างนั้น

คนที่ยึดไว้เหล่านั้นเท่านั้นจึงเป็นทุกข์ เมื่อสละเสียได้ก็เป็นสุข แล้ว
กล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-

ชิ้นเนื้อหน่อยหนึ่งยังมีอยู่แก่เหยี่ยว
นั้นเพียงใด นกตะกรุมทั้งหลายในโลกก็
พากันล้อมจิกอยู่เพียงนั้น หาได้เบียดเบียน
นกที่ไม่มีความกังวลไม่.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 10:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
คำที่เป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า ชิ้นเนื้อหน่อยหนึ่งที่เอาปาก
คาบอยู่ได้มีอยู่แก่เหยี่ยวนั้นเพียงใด นกตะกรุมทั้งหลายในโลกนี้
ก็พากันรุมจิกเหยี่ยวนั้นอยู่เพียงนั้น แต่เมื่อมันปล่อยชิ้นเนื้อนั้นเสีย
นกที่เหลือก็ย่อมไม่เบียดเบียนนกนั้นผู้ไม่มีความกังวล คือไม่มีปลิโพธ
เครื่องกังวล.

พระโพธิสัตว์นั้นออกจากพระนครแล้ว ในตอนเย็นได้นอน
อยู่ในเรือนของคนผู้หนึ่ง ในบ้านนั้นในระหว่างทาง. ก็นางทาสีใน
เรือนนั้นชื่อปิงคลา ได้นัดแนะกับชายผู้หนึ่งว่า พึงมาในเวลาชื่อโน้น
นางล้างเท้าของนายทั้งหลายแล้ว เมื่อนายทั้งหลายนอนแล้ว นั่งแลดู
การมาของชายผู้นั้นอยู่ที่ธรณีประตู คิดว่าประเดี๋ยวเขาจักมา ประเดี๋ยว

เขาจักมา จนเวลาล่วงเลยไปถึงปฐมยาม และมัชฌิมยาม. ก็ในเวลา
ใกล้รุ่ง นางหมดหวังว่า เขาคงไม่มาในบัดนี้แน่ จึงนอนหลับไป.
พระโพธิสัตว์ได้เห็นเหตุการณ์นี้ จึงคิดว่า ทาสีนี้นั่งอยู่ได้ตลอดกาล

มีประมาณเท่านี้ ด้วยความหวังว่า ชายผู้นั้นจักมา รู้ว่าบัดนี้เขา
ไม่มา เป็นผู้หมดความหวัง ย่อมนอนหลับสบาย ขึ้นชื่อว่าความหวัง
ในกิเลสทั้งหลาย เป็นทุกข์ ความไม่มีความหวังเท่านั้น เป็นสุข
จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-

ผู้ไม่มีความหวังย่อมหลับเป็นสุข
ความหวังมีผลก็เป็นสุข นางปิงคลากระทำ
ความหวังจนหมดหวังจึงหลับสบาย.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 23 ธ.ค. 2018, 10:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ผลวตี ความว่า ความหวังที่
ได้ผลนั้น ชื่อว่าเป็นสุข เพราะผลนั้นเป็นสุข. กระทำให้หมดหวัง
คือกระทำให้ไม่มีความหวัง อธิบายว่า ตัดเสีย คือละเสีย. บทว่า
ปิงฺคลา ความว่า บัดนี้ นางปิงคลทาสีนี้หลับเป็นสุข.

วันรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์นั้นจากบ้านนั้นเข้าไปยังป่า เห็น
ดาบสผู้หนึ่งนั่งเข้าฌานอยู่ในป่า จึงคิดว่า ความสุขอันยิ่งกว่าความสุข
ในฌาน ย่อมไม่มีในโลกนี้และในโลกหน้า จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-

ทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า ธรรมคือ
ความสุขอื่นจากสมาธิ ย่อมไม่มี ผู้มีจิต
ตั้งมั่น ย่อมไม่เบียดเบียนทั้งคนอื่นและ
ตนเอง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมาธิปโร ความว่า ชื่อว่าธรรม
คือความสุขนอกเหนือ คืออื่นจากสมาธิ ย่อมไม่มี.
พระโพธิสัตว์นั้น ครั้นเข้าป่าแล้วบวชเป็นฤาษี ทำฌานและ
อภิญญาให้เกิดขึ้น ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประชุมชาดกว่า ดาบสในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสีลวีมังสชาดกที่ ๑๐
รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. กุฏิทูสชาดก ๒. ทุททุภายชาดก ๓. พรหมทัตตชาดก
๔. จัมมสาฎกชาดก ๕. โคธชาดก ๖. กักการุชาดก ๗. กากาติชาดก
๘. อนนุโสจิยชาดก ๙. กาฬพาหุชาดก ๑๐. สีลวีมังสชาดก.
จบ กุฏิทูสกวรรคที่ ๓

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 92, 93, 94, 95, 96, 97, 98 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร