วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 01:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 89, 90, 91, 92, 93, 94, 95 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 14:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ท่านทั้งหลายย่อมร้องไห้ถึงแต่คนที่ตาย
แล้วๆ ทำไมจึงไม่ร้องให้ถึงคนที่จักตายบ้าง
เล่าสัตว์ทุกจำพวกผู้ครองสรีระไว้ย่อมละทิ้ง
ชีวิตไปโดยลำดับ.

เทวดา มนุษย์ สัตว์จตุบาท หมู่ปักษี-
ชาติ และพวกงู ไม่มีอิสระในสรีระร่างกายนี้
ถึงจะอภิรมย์อยู่ในร่างกายนั้น ก็ต้องละทิ้ง
ชีวิตไปทั้งนั้น.
สุขทุกข์ที่เพ่งเล็งกันอยู่ในหมู่มนุษย์
เป็นของผันแปรไม่มั่นคงอยู่อย่างนี้ ความ
คร่ำครวญ ความร่ำไห้ ไม่เป็นประโยชน์เลย
เพราะเหตุไร กองโศกจึงท่วมทับท่านได้.

พวกนักเลง และพวกคอเหล้า ผู้ไม่
ทำความเจริญ เป็นพาล ห้าวหาญ ไม่มีความ
ขยันหมั่นเพียร ไม่ฉลาดในธรรม ย่อมสำคัญ
นักปราชญ์ว่าเป็นคนพาล.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มตมตเมว แปลว่า ตายไปแล้วๆ
เท่านั้น. บทว่า อนุปุพฺเพน ความว่า เมื่อประจวบคราวตายของตนๆ
สัตว์ทั้งหลายย่อมละชีวิตไปโดยลำดับๆ คือสัตว์ทั้งปวงไม่ใช่พากันตาย
พร้อมกัน ถ้าจะตายพร้อมกันอย่างนั้น ความเป็นไปของโลกก็จะขาด

ศูนย์ไป. บทว่า โภคิโน ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยขนาดร่างกายใหญ่
โต. บทว่า รมมานา ความว่า สัตว์ทั้งหลายมีเทวดาเป็นต้นเหล่านี้
แม้ทั้งหมดผู้บังเกิดในภพนั้นๆ ถึงจะชื่นชมคือไม่เดือดร้อนรำคาญใน
ที่เกิดของตนๆ ก็ย่อมละทิ้งชีวิตไป. บทว่า เอวํ จลิตํ ความว่า
สุขทุกข์ชื่อว่ายักย้ายไปไม่ดำรงอยู่ เพราะไม่มีความหยุดนิ่ง และความ
ตั้งมั่นอยู่ในภพทั้ง ๓ อย่างนั้น. บทว่า กึ โว โสกคุณาภิกีรเร


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 14:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เพราะเหตุไร กองแห่งความโศกจึงครอบงำ คือท่วมทับท่านทั้งหลาย.
บทว่า ธุตฺตา โสณฺฑา จ อกตา ความว่า นักเลงหญิง นักเลงสุรา
นักเลงการพนัน นักดื่ม นักกินเป็นต้น เป็นผู้ไม่ทำความเจริญ
ทั้งขาดการศึกษา. บทว่า พาลา ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยความเขลา
คือ ผู้ไม่รู้. บทว่า สูรา อโยคิโน ความว่า ชื่อว่าผู้ห้าวหาญ เพราะ

ไม่ใส่ใจโดยแยบคาย ชื่อว่าผู้ไม่มีความเพียร เพราะความเป็นผู้ไม่
ประกอบความเพียร. บาลีว่า อโยธิโน ดังนี้ก็มี อธิบายว่า ผู้ไม่
สามารถรบกับกิเลสมาร. บทว่า ธีรํ มญฺนฺติ พาโลติ เย
ธมฺมสฺส อโกวิทา ความว่า พวกนักเลงเป็นต้นเห็นปานนั้นเป็นผู้

ไม่รู้โลกธรรม ๘ ประการ เมื่อทุกขธรรมแม้มีประมาณน้อยเกิดขึ้น
แล้ว ก็เสียใจคร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะไม่รู้โลกธรรม ๘ โดยถ่องแท้
จึงสำคัญนักปราชญ์ คือบัณฑิตผู้เช่นกับเราผู้ไม่คร่ำครวญไม่ร้องไห้
ในการตายของญาติเป็นต้นว่า ผู้นี้เป็นพาลไม่ร้องไห้.

พระโพธิสัตว์ครั้นแสดงธรรมแก่ญาติเหล่านั้น ด้วยประการ
อย่างนี้แล้ว ได้กระทำญาติแม้ทั้งหมดนั้นให้หายโศกแล้ว.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประกาศสัจจะแล้วทรงประชุมชาดก ในเวลาจบสัจจะ กฏุมพีดำรงอยู่
แล้วในโสดาปัตติผล. บัณฑิตผู้แสดงธรรมแก่มหาชนแล้วกระทำให้
หายโศกเศร้าในครั้งนั้น คือเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถามตโรทนชาดกที่ ๗

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 14:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถากณเวรชาดก*ที่ ๘

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
การประเล้าประโลมของภรรยาเก่าของภิกษุ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้
มีคำเริ่มต้นว่า ยนฺตํ วสนฺตสมเย ดังนี้.

เรื่องราวปัจจุบันจักมีแจ้งในอินฺทฺริยชาดก ส่วนในที่นี้ พระ-
ศาสดาตรัสกะภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ เมื่อชาติก่อนเธออาศัยหญิงนี้
จึงได้รับการตัดศีรษะด้วยดาบ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก
ดังต่อไปนี้.

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดฤกษ์โจรในเรือนของคฤหบดีคนหนึ่งใน
กาสิกคาม พอเจริญวัยแล้ว กระทำโจรกรรมเลี้ยงชีวิต จนปรากฏ
ในโลก เป็นผู้กล้าหาญ มีกำลังดุจช้างสาร ใครๆ ไม่สามารถจับ

พระโพธิสัตว์นั้นได้ วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์นั้นตัดที่ต่อเรือนในเรือน
ของเศรษฐีแห่งหนึ่งลักทรัพย์มาเป็นอันมาก. ชาวพระนครพากันเข้า
ไปเฝ้าพระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ มหาโจรคนหนึ่งปล้น
พระนคร ขอพระองค์โปรดให้จับโจรนั้น. พระราชาทรงสั่งเจ้าหน้าที่

ผู้รักษาพระนครให้จับมหาโจรนั้น. ในตอนกลางคืน เจ้าหน้าที่ผู้รักษา
พระนครนั้น ได้วางผู้คนไว้เป็นพวกๆ ในที่นั้นๆ ให้จับมหาโจรนั้น
______________________________
* ในพระสูตรเป็น กณเวรชาดก


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 14:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ได้พร้อมทั้งของกลาง แล้วกราบทูลแก่พระราชา. พระราชาทรงสั่ง
เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครนั้นนั่นแหละว่า จงตัดศีรษะมัน. เจ้าหน้าที่
ผู้รักษาพระนครมัดมือไพล่หลังมหาโจรนั้นอย่างแน่นหนา แล้วคล้อง
พวงมาลัยดอกยี่โถแดงที่คอของมหาโจรนั้น แล้วโรยผงอิฐบนศีรษะ

เฆี่ยนมหาโจรนั้นด้วยหวายครั้งละ ๔ รอย จึงนำไปยังตะแลงแกง
ด้วยปัณเฑาะว์อันมีเสียงแข็งกร้าว พระนครทั้งสิ้นก็ลือกระฉ่อนไปว่า
ได้ยินว่า โจรผู้ทำการปล้นในนครนี้ ถูกจับแล้ว ครั้งนั้น ใน
นครพาราณสี มีหญิงคณิกาชื่อว่าสามา มีค่าตัวหนึ่งพัน เป็นผู้โปรด

ปรานของพระราชา มีวรรณทาสี ๕๐๐ คนเป็นบริวาร ยืนเปิด
หน้าต่างอยู่ที่พื้นปราสาท เห็นโจรนั้นกำลังถูกนำไปอยู่ ก็โจรนั้นเป็น
ผู้มีรูปงามน่าเสน่หา ถึงความงามเลิศยิ่ง มีผิวพรรณดุจเทวดา ปรากฏ
เด่นกว่าคนทั้งปวง. นางสามาเห็นเข้าก็มีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่คิดอยู่ว่า
เราจะกระทำบุรุษนี้ให้เป็นสามีของเราได้ด้วยอุบายอะไรหนอ รู้ว่ามี

อุบายอยู่อย่างหนึ่ง จึงมอบทรัพย์พันหนึ่งในมือหญิงคนใช้คนหนึ่ง
ผู้กระทำตามความต้องการของตนได้ เพื่อส่งให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้รักษา
พระนคร โดยให้พูดว่า โจรนี้เป็นพี่ชายของนางสามา เว้นนางสามา
เสีย ผู้อื่นที่จะเป็นที่อาศัยของโจรนี้ย่อมไม่มีนัยว่า ท่านรับเอาทรัพย์
หนึ่งพันนี้แล้วปล่อยโจรนี้. หญิงคนใช้นั้นได้กระทำเหมือนอย่างนั้น.

เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครกล่าวว่า โจรนี้เป็นโจรโด่งดัง เราไม่อาจ
ปล่อยโจรนี้ได้ แต่เราได้คนอื่นแล้วอาจให้โจรนี้นั่งในยานอันมิดชิด
แล้วจึงส่งไปได้. หญิงคนใช้นั้นจึงไปบอกแก่นางสามานั้น. ก็ในกาล
นั้น มีบุตรของเศรษฐีคนหนึ่ง มีจิตปฏิพัทธ์ผูกพันนางสามา ให้
ทรัพย์พันหนึ่งทุกวัน. แม้วันนั้น เศรษฐีบุตรนั้นก็ได้เอาทรัพย์

หนึ่งพันไปยังเรือนนั้น ในเวลาพระอาทิตย์อัศดงคต. ฝ่ายนางสามา
รับทรัพย์พันหนึ่งแล้ววางที่ขาอ่อนแล้วนั่งร้องไห้ เมื่อเศรษฐีบุตรนั้น
กล่าวว่า นางผู้เจริญ นี่เรื่องอะไรกัน จึงกล่าวว่า ข้าแต่นาย โจรนี้
เป็นพี่ชายของดิฉัน เขาไม่มายังสำนักของดิฉัน ด้วยคิดว่า เราทำ

กรรมต่ำช้า เมื่อดิฉันส่งข่าวแก่เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครๆ ส่งข่าว
มาว่า เราได้ทรัพย์พันหนึ่งจึงจักปล่อยตัวไป บัดนี้ ดิฉันได้ทรัพย์
หนึ่งพันนี้แล้ว แต่ไม่ได้โอกาสที่จะไปยังสำนักของเจ้าหน้าที่ผู้รักษา
พระนคร. เพราะมีจิตปฏิพัทธ์ในนาง เศรษฐีบุตรนั้นจึงกล่าวว่า ฉัน

จักไปเอง. นางสามากล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านจงถือเอาทรัพย์ที่นำ
มานั่นแหละไปเถิด. เศรษฐีบุตรนั้นถือทรัพย์พันหนึ่งนั้นไปยังเรือน
ของเจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนคร. เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครนั้นพัก


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 17:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เศรษฐีบุตรนั้นไว้ในที่อันมิดชิด แล้วให้โจรนั่งในยานอันปกปิดมิดชิด
แล้วส่งไปให้นางสามา แล้วทำการอ้างว่า โจรนี้เป็นโจรโด่งดังใน
แว่นแคว้น ต้องรอให้มือค่ำเสียก่อน ทีนั้นพวกเราจึงจักฆ่าโจรนั้น
ในเวลาปลอดคน แล้วยับยั้งอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อปลอดคนแล้ว จึงนำ
เศรษฐีบุตรไปยังตะแลงแกงด้วยการอารักขาอย่างแข็งแรง แล้วเอา
ดาบตัดศีรษะเสียบร่างไว้ที่หลาวแล้ว เข้าไปยังพระนคร.

ตั้งแต่นั้นมา นางสามามิได้รับอะไรๆ จากมือของคนอื่นๆ
เที่ยวอภิรมย์ชมชื่นอยู่กับโจรนั้นนั่นแหละ โจรนั้นคิดว่า ถ้าหญิงนี้
จักมีจิตปฏิพัทธ์ในชายอื่นไซร้ แม้เรา นางก็จักให้ฆ่าแล้วอภิรมย์กับ
ชายนั้นเท่านั้น หญิงนี้เป็นผู้มักประทุษร้ายมิตรโดยส่วนเดียว เรา
อยู่ในที่นี้ ควรรีบหนีไปที่อื่น แต่เมื่อจะไปจะไม่ไปมือเปล่า จักถือ

เอาห่อเครื่องอาภรณ์ของหญิงนี้ไปด้วย วันหนึ่ง จึงกล่าวกะนางสามา
นั้นว่า นางผู้เจริญ เราทั้งหลายอยู่เฉพาะในเรือนเป็นประจำ เหมือน
ไก่อยู่ในกรง พวกเราจักเล่นในสวนสักวันหนึ่ง. นางสามานั้นรับคำ
แล้วจัดแจงสิ่งของทั้งปวงมีของควรเคี้ยว และของควรบริโภคเป็นต้น
ประดับประดาด้วยอาภรณ์ทั้งปวง นั่งในยานอันมิดชิดกับโจรนั้นแล้ว

ไปยังสวนอุทยาน. โจรนั้นเล่นอยู่กับนางสามานั้นในสวนอุทยานนั้น
จึงคิดว่า เราควรหนีไปเดี๋ยวนี้ จึงทำทีเหมือนต้องการจะร่วมอภิรมย์
ด้วยกิเลสฤดีกับนางสามานั้น จึงพาเข้าไประหว่างพุ่มต้นยี่โถแห่งหนึ่ง
ทำทีเหมือนสวมกอดนางสามานั้น แล้วจึงกดลงทำให้สลบล้มลงแล้ว

ปลดเครื่องอาภรณ์ทั้งปวง เอาผ้าห่มของนางนั่นแหละผูกแล้ววางห่อมี
ภัณฑะไว้ที่คอ โดดข้ามรั้วอุทยานหลบหลีกไป. ฝ่ายนางสามานั้น
กลับได้สัญญาความทรงจำ จึงลุกขึ้นมายังสำนักของพวกหญิงรับใช้
แล้วถามว่า ลูกเจ้าไปไหน ? พวกหญิงรับใช้กล่าวว่า พวกดิฉันไม่

ทราบเลย แม่เจ้า. นางสามาคิดว่า สามีของเราสำคัญเราว่าตายแล้ว
จึงกลัวแล้วหลบหนีไป เสียใจ จึงจากสวนอุทยานนั้นนั่นแลไปบ้าน
คิดว่า ตั้งแต่เวลาที่เรายังไม่พบเห็นสามีที่รัก เราจักไม่นอนบนที่นอนที่
ประดับตกแต่ง จึงนอนอยู่ที่พื้น. ตั้งแต่นั้นมา นางไม่นุ่งผ้าสาฎกที่

ชอบใจ ไม่บริโภคภัตตาหาร ๒ หน ไม่แตะต้องของหอมและระเบียบ
ดอกไม้เป็นต้น คิดว่า เราจักแสวงหาพ่อลูกเจ้าด้วยอุบายอย่างใดอย่าง


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 17:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
หนึ่งบ้างแล้วให้เรียกกลับมา จึงให้เชิญพวกคนนักฟ้อนมาแล้วได้ให้ทรัพย์
พันหนึ่ง. เมื่อพวกนักฟ้อนรำกล่าวว่า แม่เจ้า พวกเราจะทำอะไร
ให้บ้าง. นางจึงกล่าวว่า ขึ้นชื่อว่าสถานที่ที่พวกท่านยังไม่ได้ไป ย่อม
ไม่มี ท่านทั้งหลายเมื่อเที่ยวไปยังคามนิคม และราชธานี แสดง
การเล่นพึงขับเพลงขับบทนี้ขึ้นก่อนทีเดียว ในมณฑลสำหรับแสดง

การเล่น เมื่อจะให้พวกฟ้อนรำศึกษาเอา จึงกล่าวคาถาที่หนึ่ง แล้ว
สั่งว่า เมื่อพวกท่านขับเพลงขับบทนี้ ถ้าหากพ่อลูกเจ้าจักอยู่ในภายใน
บริษัทนั้น เขาจักกล่าวกับพวกท่าน เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกท่านพึง
บอกถึงความที่เราสบายดีแก่เขา แล้วพาเขามา ถ้าเขาไม่มา พวกท่าน

พึงให้เขาส่งข่าวมา ดังนี้แล้วมอบสะเบียงเดินทางให้แล้วส่งพวกนัก
ฟ้อนรำไป. พวกนักฟ้อนเหล่านั้นออกจากนครพาราณสีกระทำการ
เล่นอยู่ในที่นั้นๆ ได้ไปถึงบ้านปัตจันตคามแห่งหนึ่ง. โจรแม้คนนั้นก็
หนีไปอยู่ในบ้านปัตจันตคามนั้น. พวกนักฟ้อนเหล่านั้น เมื่อจะแสดง
การเล่นในที่นั้น จึงพากันขับร้องเพลงขับบทนี้ก่อนทีเดียวว่า :-

ท่านกอดรัดนางสามาด้วยแขน ในสมัย
ที่อยู่ในกอชบามีสีแดง เธอได้สั่งความไม่มี
โรคมายังท่าน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กณเวรเรสุ คือกณวีเรสุ แปลว่า
ดอกชบา. บทว่า ภาณุสุ ได้แก่ สมบูรณ์ด้วยสีแสงแห่งดอกแดงๆ.
บทว่า สามํ ได้แก่ ผู้มีชื่ออย่างนั้น. บทว่า ปิเฬสิ ความว่า ท่าน
บีบรัด เหมือนคนผู้ประสงค์ร่วมภิรมย์ด้วยกิเลสฤดีสวมกอดอยู่ฉะนั้น.

บทว่า สา ตํ ความว่า นางสามานั้นหาโรคมิได้ แต่ท่านสำคัญว่า
นางตาย จึงกลัวหลบหนีไป นางนั้นได้บอกกล่าว คือแจ้งถึงความ
ที่ตนไม่มีโรค.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 17:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
โจรได้ฟังเพลงขับนั้นจึงเข้าไปหานักฟ้อนแล้วกล่าวว่า ท่าน
พูดว่า สามายังมีชีวิต แต่เราหาเชื่อไม่ เมื่อจะเจรจากับนักฟ้อนนั้น
จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-

ดูก่อนท่านผู้เจริญ ข่าวที่ว่า ลมพึงพัด
ภูเขาไปได้ ใครๆ คงไม่เชื่อถือ ถ้าลมจะพึง
พัดเอาภูเขาไปได้ แม้แผ่นดินทั้งหมดก็พัด
ไปได้ เพราะเหตุไร นางสามาตายแล้ว จะ
สั่งความไม่มีโรคถึงเราได้.

คำที่เป็นคาถานั้นมีใจความว่า ท่านนักฟ้อนผู้เจริญ ข่าวที่ว่า
ลมพัดเอาภูเขาไปเหมือนหญ้าและใบไม้นี้ ใครๆ คงไม่เชื่อ ถ้าแม้
ลมจะพึงพัดเอาภูเขาไปได้ แผ่นดินแม้ทั้งหมดก็คงพัดเอาไปได้ ก็ข้อนี้
ใครๆ ไม่พึงเชื่อถือเหมือนเราไม่เชื่อข่าวนางสามานั่น. บทว่า ยตฺถ

สามา กาลกตา ความว่า นางสามาทำกาละไปแล้ว จะถามความ
ไม่มีโรคถึงเราได้เอง. ถามว่า เพราะเหตุไร จึงไม่เชื่อ ? ตอบว่า เพราะ
ธรรมดาคนที่ตายแล้ว จะส่งข่าวสาส์นแก่ใครๆ ไม่ได้.
นักฟ้อนได้ฟังคำของโจรนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-

นางสามานั้นยังไม่ตาย และไม่ปรารถนา
ชายอื่น ได้ยินว่า นางจะมีผัวคนเดียว ยังหวัง
เฉพาะท่านเท่านั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตเมว อภิกงฺขติ ความว่า นาง
ไม่ปรารถนาชายอื่น ยังหวัง คือต้องการ ปรารถนาเฉพาะท่านเท่านั้น.

โจรได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่า นางจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม เรา
ไม่ต้องการนาง แล้วกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 17:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
นางสามาได้เปลี่ยนเราผู้ยังไม่เคยเชย
ชิดสนิทสนม กับบุรุษที่นางเคยเชยชิดสนิท-
สนมมานาน เปลี่ยนเราผู้ไม่เป็นขาประจำ
กับบุรุษผู้เป็นขาประจำ นางสามาคงจะ
เปลี่ยนบุรุษอื่นแม้กับเราอีก เราจักไปเสีย
จากที่นี้ให้ไกลแสนไกล.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสนฺถุตํ ได้แก่ ผู้ยังไม่ได้ทำ
การสังสรรค์. บทว่า จิรสนฺถุเตน แปลว่า ผู้ได้ทำการสังสรรค์กัน
มานาน. บทว่า นิมินิ แปลว่า แลกเปลี่ยน. บทว่า อธุวํ ธุเวน
ความว่า นางสามาได้ให้ทรัพย์หนึ่งพันแก่เจ้าหน้าที่ ผู้รักษาพระนคร

แล้วรับเอาเรามา เพื่อแลกเปลี่ยนเราผู้ไม่เป็นขาประจำกับสามีประจำ
นั้น. บทว่า มยาปิ สามา นิมิเนยฺย อญฺํ ความว่า นางสามา
พึงแลกเปลี่ยนเอาสามีคนอื่นแม้กับเรา. ด้วยบทว่า อิโต อหํ ทูรตรํ
นี้ โจรกล่าวว่า เราจักไปยังที่ไกลแสนไกลเช่นที่ที่เราไม่อาจได้ฟังข่าว
หรือความเป็นไปของนางสามานั้น เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจง

บอกความที่เราจากที่นี้ไปที่อื่นแก่นางสามานั้น เมื่อนักฟ้อนเหล่านั้น
เห็นอยู่นั่นแหละ ได้นุ่งผ้าให้กระชับมั่นแล้วรีบหนีไป.

นักฟ้อนทั้งหลายได้ไปบอกอาการกิริยา ที่โจรนั้นกระทำแก่
นางสามานั้น. นางเป็นผู้มีความวิปฏิสารเดือดร้อนใจ จึงยังกาลเวลา
ให้ล่วงไปโดยปกติของตนนั่นแล.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประกาศสัจจะแล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้กระสัน
ถึงภรรยาเก่า ก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. เศรษฐีบุตร ในครั้งนั้น
ได้เป็นภิกษุรูปนี้ นางสามาในครั้งนั้นได้เป็นปุราณทุติยิกาภรรยาเก่า
ส่วนโจรในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถากณเวรชาดกที่ ๘

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 17:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาติตฺติรชาดกที่ ๙

พระศาสดาเมื่อทรงอาศัยนครโกสัมพี ประทับอยู่ในวทริการาม
ทรงปรารภพระราหุลเถระ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
สุสุขํ วต ชีวามิ ดังนี้.

เรื่องราวได้พรรณนาไว้พิสดารแล้วในติปัลลัตถชาดก ในหน
หลังนั่นแล. แต่ในที่นี้ ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันถึงคุณความดี
ของท่านผู้มีอายุนั้น ในโรงธรรมสภาว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
พระราหุลเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา มีความรังเกียจบาปธรรม อดทน
ต่อโอวาท. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้

พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ ? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูล
ว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า. จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ราหุลก็เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา
มีความรังเกียจบาปธรรม อดทนต่อโอวาทแล้วเหมือนกัน แล้วทรง
นำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติใน
พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ พอเจริญวัย
แล้ว ก็เรียนศิลปะทั้งปวงในเมืองตักกศิลา แล้วออกบวชเป็นฤาษี
ในหิมวันตประเทศ ทำอภิญญาและสมาบัติให้บังเกิดแล้วเล่นฌานอยู่

ในไพรสณฑ์อันน่ารื่นรมย์ ได้ไปยังบ้านปัจจันตคามแห่งหนึ่ง เพื่อ
ต้องการเสพรสเค็มและรสเปรี้ยว. คนทั้งหลาย ในบ้านปัจจันตคาม
นั้นเห็นพระโพธิสัตว์นั้นแล้ว มีจิตเลื่อมใสจึงให้สร้างบรรณศาลาใน
ป่าแห่งหนึ่งแล้วนิมนต์ให้อยู่ บำรุงด้วยปัจจัยทั้งหลาย. ครั้งนั้น
มีนายพรานนกคนหนึ่งในบ้านนั้น จับนกกระทาเป็นนกต่อได้ตัวหนึ่ง

ให้ศึกษาอย่างดีแล้วใส่กรงเลี้ยงไว้. นายพรานนกนั้นนำนกกระทาต่อ
นั้นไปป่า แล้วจับพวกนกกระทำซึ่งพากันมาเพราะเสียงนกกระทำต่อ
นั้นเลี้ยงชีวิตอยู่. ครั้งนั้น นกกระทานั้นคิดว่าญาติของเราเป็นอันมาก
พากันฉิบหายเพราะอาศัยเราผู้เดียว นั้นเป็นบาปของเรา จึงไม่ส่งเสียง


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 17:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ร้อง นายพรานนกนั้นรู้ว่านกกระทาต่อนั้นไม่ร้อง จึงเอาแขนงไม้ไผ่
ตีศีรษะนกกระทาต่อนั้น. นกกระทาจึงร้องเพราะอาดูรเร่าร้อนด้วย
ความทุกข์. นายพรานนกนั้นอาศัยนกกระทานั้น จับนกกระทา
ทั้งหลายมาเลี้ยงชีวิต ด้วยประการอย่างนี้. ลำดับนั้น นกกระทานั้น
คิดว่า เราไม่มีเจตนาว่า นกเหล่านี้จงตาย แต่กรรมที่อาศัยเป็นไป

คงจะถูกต้องเรา เมื่อเราไม่ร้อง นกเหล่านี้ก็ไม่มา ต่อเมื่อเราร้อง
จึงมา นายพรานนกนี้จับพวกนกที่มาแล้วๆ ฆ่าเสีย ในข้อนี้ บาป
จะมีแก่เราหรือไม่หนอ. จำเดิมแต่นั้น นกกระทานั้นคิดว่า ใครหนอ
จะตัดความสงสัยนี้ของเราได้ จึงเที่ยวใคร่ครวญหาบัณฑิตเห็นปาน

นั้น. อยู่มาวันหนึ่ง พรานนกนั้นจับนกกระทาได้เป็นอันมากบรรจุ
เต็มกระเช้า คิดว่าจักดื่มน้ำ จึงไปยังอาศรมของพระโพธิสัตว์ วาง
กรงนกต่อนั้นไว้ในสำนักของพระโพธิสัตว์ ดื่มน้ำแล้วนอนที่พื้น

ทรายหลับไป. นกกระทารู้ว่านายพรานนั้นหลับ จึงคิดว่า เราจะถาม
ความสงสัยของเรากะดาบสนี้ เมื่อท่านรู้จักได้บอกเรา เมื่อจะถาม
ดาบสนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-

ข้าพเจ้าเป็นอยู่สบายดีหนอ และได้
บริโภคอาหารตามชอบใจ แต่ว่าข้าพเจ้าตั้งอยู่
ในระหว่างอันตรายแท้ ข้าแต่พระคุณเจ้า
ผู้เจริญ คติของข้าพเจ้าเป็นอย่างไรหนอ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุสุขํ วต ความว่า ข้าแต่ท่าน
ผู้เจริญ ข้าพเจ้าอาศัยนายพรานนกผู้นี้เป็นอยู่สบายดี. บทว่า ลภามิ
เจว ความว่า ข้าพเจ้าย่อมได้แม้เพื่อจะบริโภคของควรเคี้ยว ควร
บริโภคตามความชอบใจ. บทว่า ปริปนฺเถว ติฏฺ€ามิ ความว่า
ก็แต่ว่า ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ผู้พากันมาแล้วๆ ด้วยเสียงของ

ข้าพเจ้า ย่อมฉิบหายไปเพราะอันตรายใด ข้าพเจ้าตั้งอยู่ในอันตราย
นั้น. ด้วยบทว่า กา นุ ภนฺเต นี้ นกกระทาถามว่า ท่านผู้เจริญ
คติของข้าพเจ้าเป็นอย่างไรหนอ คือว่า ความสำเร็จผลอะไรจักมีแก่
ข้าพเจ้า.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 17:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระโพธิสัตว์เมื่อจะแก้ปัญหาของนกกระทานั้น จึงกล่าวคาถา
ที่ ๒ ว่า :-
ดูก่อนปักษี ถ้าใจของท่านไม่น้อมไป
เพื่อกรรมอันเป็นบาป บาปย่อมไม่แปด
เปื้อนท่านผู้บริสุทธิ์ ผู้ไม่ขวนขวายกระทำ
บาปกรรม.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาปสฺส กมฺมุโน ความว่า
ถ้าใจของท่านไม่น้อมไปเพื่อประโยชน์แก่บาปกรรม คือไม่โน้มน้อม
เงื่อมไปในการกระทำบาป. บทว่า อปาวฏสฺส ความว่า เมื่อเป็น
เช่นนั้น บาปย่อมไม่แปดเปื้อน คือไม่ติดท่านผู้ไม่ขวนขวาย คือ
ไม่ถึงการขวนขวายเพื่อต้องการทำบาปกรรม เป็นผู้บริสุทธิ์ทีเดียว.

นกกระทาได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
นกกระทาเป็นอันมากพากันมาด้วย
คิดว่าญาติของเราจับอยู่ นายพรานนกได้
กระทำกรรม คือปาณาติบาต เพราะอาศัย
ข้าพเจ้า ใจของข้าพเจ้ารังเกียจอยู่ในเรื่องนั้น.

คำที่เป็นคาถานั้น มีอธิบายว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าข้าพเจ้าไม่
ทำเสียง นกกระทานี้จะไม่มา แต่เมื่อข้าพเจ้ากระทำเสียง นกกระทา
จำนวนมากนี้มา ด้วยคิดว่า ญาติของพวกเราจับอยู่ นายพรานจับ

นกกระทาตัวที่มานั้นฆ่าอยู่ ชื่อว่าย่อมถูกต้อง คือได้ประสบกรรมคือ
ปาณาติบาตนี้ เพราะอาศัยข้าพเจ้า เพราะฉะนั้น ใจของข้าพเจ้าจึง
รังเกียจคือถึงความรังเกียจอย่างนี้ว่า นายพรานกระทำบาป เพราะ
อาศัยเรา บาปนี้จะมีแก่เราไหมหนอ.
พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-

ถ้าใจของท่านไม่คิดประทุษร้ายไซร้
กรรมที่นายพรานอาศัยท่านกระทำแล้วย่อม
ไม่ถูกต้องท่าน บาปกรรมย่อมไม่แปดเปื้อน
ท่านผู้บริสุทธิ์ ผู้มีความขวนขวายน้อย.


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 18:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
คำอันเป็นคาถานั้น มีอธิบายว่า ถ้าใจของท่านไม่ประทุษร้าย
เพราะอาการทำบาปกรรม คือ ไม่โน้มไม่โอน ไม่เงื้อมไปในการทำ
บาปกรรมนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น กรรมแม้ที่นายพรานอาศัยท่าน
กระทำ ย่อมไม่ถูกต้องคือไม่แปดเปื้อนท่าน เพราะบาปนั้นย่อมไม่
แปดเปื้อน คือย่อมไม่ติดจิตของท่านผู้มีความขวนขวายน้อย คือ
ไม่มีความห่วงใยในการทำบาป ผู้เจริญคือผู้บริสุทธิ์ เพราะท่านไม่มี
ความจงใจในปาณาติบาต.

พระมหาสัตว์ให้นกกระทาเข้าใจแล้ว ด้วยประการอย่างนี้
ฝ่ายนกกระทานั้นก็ได้เป็นผู้หมดความรังเกียจสงสัย เพราะอาศัย
พระมหาสัตว์นั้น. นายพรานตื่นนอนแล้วไหว้พระโพธิสัตว์ ถือเอา
กรงนกกระทาหลีกไป.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประชุมชาดกว่า นกกระทาในครั้งนั้น ได้เป็นพระราหุลในบัดนี้
ส่วนพระดาบสในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาติตฺติรชาดกที่ ๙

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 18:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาสุจจชชาดกที่ ๑๐

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงปรารภ
กฎุมพีคนหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า สุจชํ วต
น จชิ ดังนี้.

ได้ยินว่า กฎุมพีนั้นคิดว่า จักสะสางหนี้สินในหมู่บ้าน จึงไป
ในหมู่บ้านนั้นพร้อมกับภรรยา ครั้นชำระสะสางแล้วคิดว่า เราจักนำ
เกวียนมาขนไปภายหลัง จึงฝากไว้ในตระกูลหนึ่ง กลับไปยังเมือง
สาวัตถีอีก ได้เห็นภูเขาลูกหนึ่งในระหว่างทาง. ครั้งนั้น ภรรยากล่าว
กะกฎุมพีนั้นว่า นาย ถ้าภูเขานี้จะพึงเป็นทองไซร้ ท่านจะให้อะไร

ฉันบ้าง. กฎุมพีกล่าวว่า เธอเป็นใคร ฉันจักไม่ให้อะไรเลย. ฝ่าย
ภรรยานั้นได้น้อยใจว่า สามีของเรานี้มีหัวใจกระด้างนัก นัยว่า เมื่อ
ภูเขาแม้เกิดเป็นทองไปทั้งลูก ก็จักไม่ให้อะไรแก่เราเลย. สามีภรรยา
ทั้งสองนั้นเดินมาใกล้พระเชตวัน คิดว่าจักดื่มน้ำ จึงเข้าไปยังพระ-

วิหารดื่มน้ำ. ในเวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่งนั้นแล แม้พระศาสดาก็ทรงได้
เห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของคนทั้งสองนั้น เมื่อจะทรงรอคอยการ
มา จึงประทับนั่งในบริเวณพระคันธกุฎี ทรงเปล่งพระรัศมีมีพรรณ
๖ ประการ. ฝ่ายสามีภรรยาทั้งสองนั้นดื่มน้ำแล้วก็มาถวายบังคมพระ-

ศาสดาแล้วนั่งอยู่. พระศาสดาทรงทำปฏิสันถารกับสามีภรรยาทั้งสอง
นั้น แล้วตรัสถามว่า ท่านทั้งสองไปไหนมา ? สามีภรรยาทั้งสอง
กราบทูลว่า ไปสะสางหนี้สินในหมู่บ้านของข้าพระองค์ พระเจ้าข้า.
พระศาสดาตรัสถามภรรยาของเขาว่า อุบาสิกา สามีของเธอหวังประ-
โยชน์เกื้อกูลแห่งเธอ ทำอุปการะแก่เธออยู่หรือ ? ภรรยากฎุมพีกราบ-


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 18:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์มีความสิเน่หาในสามีนี้ แต่
สามีนี้ไม่มีความสิเน่หาในข้าพระองค์ วันนี้ เมื่อข้าพระองค์เห็นภูเขา
แล้วพูดว่า ถ้าภูเขาลูกนี้จะเป็นทอง ท่านจะให้อะไรแก่ฉันบ้าง เขา
กลับพูดว่า เธอเป็นใคร ฉันจักไม่ให้อะไร สามีผู้นี้เป็นคนมีหัวใจ

กระด้างอย่างนี้ พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า อุบาสิกา กฎุมพีนี้
ย่อมกล่าวอย่างนี้เอง แต่เมื่อใด เขานึกถึงคุณความดีนั้นของเธอ
เมื่อนั้น เขาจะให้ความเป็นใหญ่ทั้งหมด อันภรรยาของกฎุมพีนั้น
ทูลอาราธนาว่า ขอพระองค์จงตรัสบอกเถิด พระเจ้าเข้า จึงทรงนำ
เอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นอำมาตย์ผู้สำเร็จราชกิจทั้งหมดของพระ-
เจ้าพรหมทัตนั้น. อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาทรงเห็นพระราชโอรสมา
ยังที่เฝ้า ทรงดำริว่า ลูกคนนี้คงจะทรยศประทุษร้ายในฝ่ายในของเรา
จึงรับสั่งให้เรียกพระราชโอรสนั้นมาแล้วตรัสว่า ลูกรัก ตราบเท่าที่

พ่อยังมีชีวิตอยู่ เจ้าอย่าได้อยู่ในพระนคร จงอยู่ในที่อื่น เมื่อพ่อ
ล่วงลับไปแล้วจึงค่อยครองราชสมบัติ. พระโอรสรับพระบัญชาแล้ว
ถวายบังคมพระราชบิดาพร้อมกับพระเชษฐชายา ออกจากพระนครไป
ยังชายแดน สร้างบรรณศาลาอยู่ในป่า ยังพระชนม์ชีพให้เป็นอยู่

ด้วยมูลผลาผลในป่า. จำเนียรกาลนานมา พระราชาเสด็จสวรรคต
อุปราชราชโอรสทรงตรวจดูนักขัตฤกษ์ รู้ว่าพระราชาผู้พระบิดานั้น
สวรรคตแล้ว จึงมายังพระนครพาราณสี ในระหว่างทางได้เห็นภูเขา
ลูกหนึ่ง. ลำดับนั้น พระชายาตรัสกะพระราชโอรสนั้นว่า ข้าแต่เทวะ

ถ้าภูเขานี้จะเป็นทอง พระองค์จะประทานอะไรแก่หม่อมฉันบ้าง.
พระราชโอรสตรัสว่า เธอเป็นใคร ฉันจักไม่ให้อะไรเลย. พระชายา
นั้นได้น้อยพระทัยว่า เราไม่อาจละทิ้ง เพราะความสิเน่หาในพระ-


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2018, 18:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
สวามีนี้ จึงเข้าไปสู่ป่าด้วย แต่พระสวามีนี้ตรัสอย่างนี้ เป็นผู้มีพระทัย
กระด้างยิ่งนัก พระสวามีนี้ได้เป็นราชาแล้ว จักไม่กระทำความดีงาม
แก่เรา. พระราชโอรสนั้นเสด็จมาแล้วดำรงอยู่ในราชสมบัติ จึงทรง
ตั้งพระชายานั้นไว้ในตำแหน่งอัครมเหสี ได้ประทานเพียงยศนี้เท่านั้น
ส่วนการนับถือยกย่องที่ยิ่งขึ้นไป ไม่มี แม้ความที่พระนางมีอยู่ ก็ไม่

ทรงสนพระทัย. พระโพธิสัตว์คิดว่า พระเทวีนี้มีอุปการะแก่พระราชา
นี้มิได้คำนึงถึงความลำบากได้เสด็จอยู่ในป่าด้วย แต่พระราชานี้มิได้
ทรงคำนึงถึงพระเทวีนี้เลย เที่ยวอภิรมย์อยู่กับนางสนมอื่นๆ เราจัก
กระทำโดยประการที่พระเทวีนี้ได้อิสริยยศทั้งปวง วันหนึ่ง จึงเข้าไป
เฝ้าพระเทวีนั้นแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่มหาเทวี ข้าพระองค์ไม่ได้แม้

แต่ก้อนข้าวจากสำนักของพระองค์ เพราะเหตุไร ? พระองค์จึงทรงละ
เลยข้าพระองค์ มีน้ำพระทัยกระด้างยิ่งนัก. พระเทวีนั้นตรัสว่า ดู-
ก่อนพ่อ ถ้าตัวเราได้ เราก็จะให้ท่านบ้าง แต่เราเมื่อไม่ได้ จักให้ได้
อย่างไร จนบัดนี้ แม้พระราชาก็มิได้ประทานอะไรเลยแก่เรา ดูก่อน
พ่อ ในระหว่างทาง เมื่อเรากล่าวว่า เมื่อภูเขานี้เกิดเป็นทอง พระองค์

จักประทานอะไรหม่อมฉันบ้าง พระราชานั้นยังตรัสว่า เธอเป็นใคร
ฉันจักไม่ให้อะไรเลย แม้ของที่บริจาคได้ง่ายๆ พระองค์ก็ไม่ทรงบริ-
จาคเลย. พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ก็พระองค์จักอาจตรัสเรื่องนี้ใน
สำนักของพระราชาหรือ ? พระเทวีตรัสว่า ทำไมฉันจักไม่อาจเล่าพ่อ.

พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ถ้าอย่างนั้น ข้าพระองค์อยู่ในสำนักของ
พระราชา จักทูลถามพระองค์พึงตรัสขึ้นเถิด. พระเทวีรับว่า ได้ซิพ่อ.
ในเวลาที่พระเทวีเสด็จไปยังที่เฝ้าพระราชา แล้วประทับยืนอยู่ พระ-
โพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ข้าพระองค์ไม่ได้แม้อะไรๆ

จากสำนักของพระองค์เลยมิใช่หรือ ? พระเทวีตรัสว่า พ่ออำมาตย์
เราเมื่อได้จึงจะให้ท่าน เราเองก็ไม่ได้อะไรเลย บัดนี้ แม้พระราชา
ก็จักประทานอะไรแก่เราบ้าง เพราะว่าในเวลามาจากป่า พระราชา
นั้นทรงเห็นภูเขาลูกหนึ่ง เมื่อเราทูลว่า ถ้าภูเขานี้จะเป็นทอง พระองค์

จะประทานอะไรแก่หม่อมฉันบ้าง พระองค์นั้นยังตรัสว่า เธอเป็นใคร
ฉันจักไม่ให้อะไรเลย แม้ของที่สละได้ง่ายพระองค์ก็ไม่ทรงเสียสละ
เมื่อจะทรงแสดงเนื้อความนี้ จึงตรัสคาถาที่ ๑ ว่า :-


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* เราปราถนาให้คนอื่นบอกและแนะนำสิ่งดีๆแก่เราฉันใด แม้บุคคลอื่นก็หวังปราถนาเช่นนั้น
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 89, 90, 91, 92, 93, 94, 95 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร