วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 05:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 85, 86, 87, 88, 89, 90, 91 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 07:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ชื่อว่าที่ลับในโลก ย่อมไม่มีแก่คนผู้
กระทำบาปกรรม ต้นไม้ที่เกิดในป่าก็ยังมีคน
เห็น คนพาลย่อมสำคัญบาปกรรมนั้นว่าเป็น
ความลับ.

ข้าพเจ้าย่อมไม่เห็นที่ลับ หรือแม้ที่ว่าง
เปล่าก็ไม่มี ในที่ใดว่างเปล่า ข้าพเจ้าไม่เห็น
ใคร ที่นั้นก็ย่อมไม่ว่างเปล่าจากตัวข้าพเจ้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รโห ได้แก่ ที่กำบัง. บทว่า
วนภูตานิ ได้แก่ ทั้งเกิดและมีอยู่ในป่า. บทว่า ตํ พาโล ความว่า
คนพาลย่อมสำคัญบาปกรรมนั้นว่า เราทำในที่ลับ. ด้วยบทว่า สุญฺํ
วาปิ นี้ พระโพธิสัตว์กล่าวว่า แม้ที่ที่ว่างเปล่าจากสัตว์ทั้งหลายไม่มี.

อาจารย์เลื่อมใสต่อพระโพธิสัตว์นั้นจึงกล่าวว่า ดูก่อนพ่อ ใน
เรือนของเราไม่มีทรัพย์สินอะไร แต่เรามีความประสงค์จะให้ธิดาของ
เราแก่ผู้ที่สมบูรณ์ด้วยศีล เมื่อจะทดลองมาณพทั้งหลายเหล่านี้ จึงได้
ทำอย่างนี้ ธิดาของเราเหมาะสมแก่ท่านเท่านั้น แล้วประดับตกแต่งธิดา

มอบให้แก่พระโพธิสัตว์ แล้วกล่าวกะมาณพทั้งหลายนอกนี้ว่า สิ่งของ
ที่พวกเธอนำมาแล้ว ๆ จงนำไปยังเรือนของเธอทั้งหลายเถิด.

พระศาสดาตรัส ดังนั้นแล มาณพผู้ทุศีลเหล่านั้น จึงไม่ได้
สตรีนั้น เพราะความที่ตนเป็นคนทุศีล มาณพผู้เป็นบัณฑิตคนเดียว
เท่านั้นได้ เพราะเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยศีล พระองค์ทรงเป็นผู้ตรัสรู้
พร้อมเฉพาะแล้ว จึงได้ตรัสคาถา ๒ คาถานอกนี้ว่า :-

มาณพผู้ใหญ่ ๖ คนนั้น คือ ทุชัจจะ ๑
สุชัจจะ ๑ จัณฑะ ๑ สุขวัจฉิตะ ๑ เวชฌ-
สันธะ ๑ สีลี ๑ มีความต้องการธิดาของ
อาจารย์ พากันละธรรมเสีย.


* ความขยันหมั่นเพียร ทำให้เรียนรู้ได้ไว
ความขยันหมั่นเพียร ทำให้เรียนรู้ได้เก่ง
ความขยันหมั่นเพียร ทำงานได้เก่ง
ความขยันหมั่นเพียร นายจ้างก็รัก
ความขยันหมั่นเพียร คนโดยส่วนมากรักใคร่พอใจปราถนา
ความขยันหมั่นเพียร สร้างฝันให้เป็นจริง
ความขยันหมั่นเพียร เปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นได้
ความขยันหมั่นเพียร มีเงินทองร้อยเล่มเกวียนก็ชื้อมิได้
ความขยันหมั่นเพียร แบ่งปันกันมิได้(มีต่อ)http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?p=432566#p432566
* ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งทำก็ยิ่งสำนิสำนาน ยิ่งให้ธรรมทาน นานวันเข้าก็ยิ่งรู้แจ้ง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 07:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ส่วนพราหมณ์มาณพ เป็นผู้ถึงฝั่งแห่ง
ธรรมทั้งปวง มีปัญญา มีความเพียรเครื่อง
ก้าวไปในสัจจธรรม ตามรักษาธรรมอยู่ จะ
พึงละสตรีลาภเสียอย่างไรเล่า.

ในพระคาถานั้น พระศาสดาทรงถือเอาชื่อของมาณพผู้ใหญ่
๖ คน มีอาทิว่า มาณพทุชัจจะ ดังนี้. พระองค์ไม่ทรงระบุชื่อของ
มาณพทั้งหลายที่เหลือ จึงตรัสโดยรวมเอาทั้งหมดทีเดียวว่า มาณพ
เหล่านั้นมีความต้องการธิดาของอาจารย์ พากันละธรรมเสีย ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เต ได้แก่ มาณพเหล่านั้นแม้ทั้งหมด.

บทว่า ธมฺมํ ได้แก่สภาวะคือการได้เฉพาะสตรี. บทว่า ชหุมตฺถิกา
ตัดบทเป็น ชหุํ อตฺถิกา แปลเหมือนในคาถา. อีกอย่างหนึ่ง บาลีก็
อย่างนี้เหมือนกัน. ส่วน ม อักษรท่านกล่าวด้วยอำนาจการเชื่อมพยัญ-
ชนะ. ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า มาณพเหล่านั้นแม้ทั้งหมด เป็นผู้มีความ
ต้องการธิดาของอาจารย์นั้นเท่านั้น พากันละสภาวะคือการได้เฉพาะ

สตรีนั้น เพราะความที่ตนเป็นคนทุศีล. บทว่า พฺราหฺมโณ จ ความว่า
ส่วนพราหมณ์ผู้สมบูรณ์ด้วยศีลนอกนี้ บทว่า กถํ ชเห ความว่า
เพราะเหตุไร จักละการได้สตรีนั้น บทว่า สพฺพธมฺมานํ ความว่า
ในที่นี้ ศีล ๕ ศีล ๘ สุจริต ๓ อันเป็นโลกิยะ ชื่อว่าธรรมทั้งปวง
พราหมณ์มาณพนั้น ถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวงนั้น เพราะเหตุนั้น จึง

ชื่อว่า ปารคูผู้ถึงฝั่ง. บทว่า ธมฺมํ ได้แก่ ธรรมอันมีประการดังกล่าว
แล้วนั่นแหละ ซึ่งพราหมณ์มาณพคุ้มครอง คือ รักษาอยู่ บทว่า
ธิติมา ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยปัญญารักษาศีล. บทว่า สจฺจนิกฺกโม
ได้แก่ เป็นผู้มีสัจจะเป็นสภาวะ คือ ประกอบด้วยความเพียรเครื่อง
ก้าวไปในศีลธรรมตามที่กล่าวแล้ว.

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประกาศสัจจะ ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุ ๕๐๐ รูปนั้นตั้งอยู่ในพระอรหัต.
แล้วทรงประชุมชาดกว่า อาจารย์ในครั้งนั้น ได้เป็นพระสารีบุตร
ส่วนมาณพผู้บัณฑิตได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสีลวีมังสชาดกที่ ๕

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 07:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาสุชาตาชาดกที่ ๖

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
พระนางมัลลิกาเทวี จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า กึ-
อณฺฑกา อิเม เทว ดังนี้.

ได้ยินว่า วันหนึ่ง พระราชาได้มีการวิวาทโต้เถียงเรื่องสิริกับ
พระนางมัลลิกาเทวี. บางอาจารย์กล่าวว่า ทรงทะเลาะเรื่องที่บรรทม
ดังนี้ก็มี. พระราชาทรงกริ้วถึงกับไม่สนพระทัยกับพระนาง. ฝ่าย
พระนางมัลลิกาเทวีก็ทรงพระดำริว่า พระศาสดาเห็นจะไม่ทรงทราบว่า
พระราชาทรงพิโรธเรา. แม้พระศาสดาก็ทรงทราบ ทรงดำริว่า

จักกระทำพระราชาและพระเทวีนี้ให้สมัครสมานกัน ในเวลาเช้าจึง
ทรงนุ่งแล้วถือบาตรและจีวร มีภิกษุ ๕๐๐ รูป เป็นบริวาร เสด็จเข้า
กรุงสาวัตถีแล้วได้เสด็จไปที่ประตูพระราชนิเวศน์. พระราชาทรงรับ
บาตรของพระตถาคตแล้วทูลนิมนต์เสด็จเข้าพระนิเวศน์ ให้ประทับนั่ง
บนอาสนะที่ปูลาดแล้ว ถวายน้ำทักษิโณทกแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธ-

เจ้าเป็นประธาน แล้วทรงนำข้าวยาคูและของควรเคี้ยวมาถวาย. พระ-
ศาสดาทรงเอาพระหัตถ์ปิดบาตรแล้วตรัสว่า มหาบพิตร พระเทวี
เสด็จไปไหน. พระราชาทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ประโยชน์
อะไรด้วยพระเทวีนั้นผู้มัวเมาด้วยยศของตน. พระศาสดาตรัสว่า

ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์ทรงประทานยศยกมาตุคามขึ้นด้วยพระองค์
เอง แล้วไม่ทรงอดโทษความผิดที่พระเทวีนั้นกระทำ ดูไม่สมควร.


* ความขยันหมั่นเพียร ทำให้เรียนรู้ได้ไว
ความขยันหมั่นเพียร ทำให้เรียนรู้ได้เก่ง
ความขยันหมั่นเพียร ทำงานได้เก่ง
ความขยันหมั่นเพียร นายจ้างก็รัก
ความขยันหมั่นเพียร คนโดยส่วนมากรักใคร่พอใจปราถนา
ความขยันหมั่นเพียร สร้างฝันให้เป็นจริง
ความขยันหมั่นเพียร เปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นได้
ความขยันหมั่นเพียร มีเงินทองร้อยเล่มเกวียนก็ชื้อมิได้
ความขยันหมั่นเพียร แบ่งปันกันมิได้(มีต่อ)http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?p=432566#p432566
* ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งทำก็ยิ่งสำนิสำนาน ยิ่งให้ธรรมทาน นานวันเข้าก็ยิ่งรู้แจ้ง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 07:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระราชาทรงสดับพระดำรัสของพระศาสดาแล้ว จึงรับสั่งให้เรียก
พระเทวีมา. พระเทวีเสด็จมาทรงอังคาสพระศาสดา. พระศาสดา
ตรัสว่า ควรที่พระองค์ทั้งสองจะเป็นผู้สามัคคีปรองดองกันและกัน ได้
ตรัสพรรณนาสามัคคีรสแล้ว เสด็จหลีกไป. จำเดิมแต่นั้น พระราชา
และพระเทวีทั้งสองพระองค์ก็ทรงอยู่ด้วยความสามัคคีปรองดองกัน.

ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย พระ-
ศาสดาได้ทรงกระทำพระราชาและพระเทวีทั้งสองพระองค์ให้สมัคร-
สมานกัน ด้วยพระดำรัสข้อเดียวเท่านั้น พระศาสดาเสด็จมาแล้ว
ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอประชุมสนทนากัน

ด้วยเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึง
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน เรา
ตถาคตก็ได้ทำให้ท้าวเธอทั้งสองนี้มีความสามัคคีปรองดองกัน ด้วย
วาทะข้อเดียวเท่านั้น แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นอำมาตย์ผู้สั่งสอนอรรถธรรมแก่พระ-
เจ้าพรหมทัตนั้น อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาทรงเปิดบานพระแกรใหญ่
ได้ประทับทอดพระเนตรพระลานหลวง. ขณะนั้น ธิดาคนเก็บผัก

คนหนึ่ง มีรูปสวย ตั้งอยู่ในประถมวัย เทินกระเช้าพุทราไว้บนศีรษะ
เดินร้องขายไปทางหน้าพระลานหลวงว่า ซื้อพุทราเจ้าข้า ซื้อพุทรา
เจ้าข้า. พระราชาได้ทรงสดับเสียงของนางนั้นแล้วทรงมีจิตปฏิพัทธ์
รักใคร่ ทรงทราบว่านางยังไม่มีสามี. จึงรับสั่งให้เรียกมาแล้วทรง

ตั้งนางนั้นไว้ในตำแหน่งอัครมเหสี แล้วได้ประทานยศอันยิ่งใหญ่แก่
นาง. นางนั้นได้เป็นที่รักใคร่โปรดปรานของพระราชา. อยู่มาวันหนึ่ง
พระราชาประทับนั่งหยิบผลพุทราในจานทองเสวยอยู่ พระสุชาดา-
เทวีได้ทรงเห็นพระราชาเสวยผลพุทรา เมื่อจะทูลถามว่า ข้าแต่มหา-
ราช นี่คือผลอะไร พระองค์ทรงเสวยอยู่ จึงตรัสคาถาที่ ๑ ว่า :-

ข้าแต่พระราชสวามีผู้ประเสริฐ ไข่ที่
เก็บไว้ในจานทองนี้ เป็นไข่อะไร ลูกกลม
เกลี้ยงมีสีแดง หม่อมฉันทูลถามพระองค์
ถึงสิ่งนั้น ขอพระองค์ตรัสบอกด้วย.


* ความขยันหมั่นเพียร ทำให้เรียนรู้ได้ไว
ความขยันหมั่นเพียร ทำให้เรียนรู้ได้เก่ง
ความขยันหมั่นเพียร ทำงานได้เก่ง
ความขยันหมั่นเพียร นายจ้างก็รัก
ความขยันหมั่นเพียร คนโดยส่วนมากรักใคร่พอใจปราถนา
ความขยันหมั่นเพียร สร้างฝันให้เป็นจริง
ความขยันหมั่นเพียร เปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นได้
ความขยันหมั่นเพียร มีเงินทองร้อยเล่มเกวียนก็ชื้อมิได้
ความขยันหมั่นเพียร แบ่งปันกันมิได้(มีต่อ)http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?p=432566#p432566
* ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งทำก็ยิ่งสำนิสำนาน ยิ่งให้ธรรมทาน นานวันเข้าก็ยิ่งรู้แจ้ง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 07:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ด้วยบทว่า กิอณฺฑกา นี้ ในคาถานั้น พระนางสุชาดาเทวี
ทูลว่า นี่ชื่อผลอะไร แต่เป็นดุจไข่ โดยมันกลม. บทว่า กํสมลฺลเก
ได้แก่ ในจานทองคำ. บทว่า อุปโลหิตกา แปลว่า มีสีแดง บทว่า
วคฺคู ได้แก่ งาม คือไม่มีมลทิน.

พระราชาทรงกริ้วตรัสว่า นางแม่ค้าพุทราสุก ลูกสาวคนเก็บ
ผัก ช่างไม่รู้จัก แม้ผลพุทราอันเป็นของประจำตระกูลของตน แล้ว
ได้ตรัสคาถา ๒ คาถาว่า :-

ดูก่อนพระเทวี เมื่อก่อนเธอเป็นหญิง
หัวโล้นนุ่งผ้าท่อนเก่า ๆ จับห่อพก เลือก
เก็บผลไม้ใดอยู่ สิ่งที่ฉันรับประทานอยู่ ณ
บัดนี้ เป็นผลไม้นั้น เป็นผลไม้ประจำตระกูล
ของเธอ.

หญิงทรามเมื่ออยู่ในราชตระกูลนี้ ย่อม
ร้อนรนไม่รื่นรมย์ โภคทรัพย์ทั้งหลายย่อมละ
เขาไปเสียสิ้น หญิงนี้จักเลือกเก็บผลไม้
ประจำตระกูลได้ในที่ใด ท่านทั้งหลายจง
ช่วยนำหญิงนั้นคืนไปไว้ในที่นั้นนั่นเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภณฺฑุ แปลว่า เป็นผู้มีศีรษะโล้น
บทว่า นนฺตกวาสินี ได้แก่ ผู้นุ่งผ้าท่อนเก่า. บทว่า อจฺฉงฺคหตฺถา
ปจินาสิ ความว่า เธอเข้าดงเอาขอเหนี่ยวกิ่งลงมา เอามือหยิบผล
ที่เลือกเก็บแล้วเป็นผู้จับห่อพก โดยใส่เข้าไปในพกเลือกคัดเก็บ

เอาไป. บทว่า ตสฺสา เต โกลิยํ ผลํ ความว่า เมื่อเธอนั้น
เลือกเก็บอยู่อย่างนี้ บัดนี้ เรากินผลไม้ใด ผลไม้นี้เป็นผลไม้ประจำ
ตระกูล คือเป็นผลไม้ที่ตระกูลให้เธอ. บทว่า อุทยฺหเต น รมติ
ความว่า หญิงลามกนี้เมื่ออยู่ในราชตระกูลนี้ ย่อมร้อนรนไม่รื่นรมย์

เหมือนโยนลงในโลหกุมภีนรก. บทว่า โภคา ได้แก่ ราชโภคทรัพย์
ย่อมละหญิงนี้ผู้ไม่มีบุญ. ด้วยบทว่า ยตฺถ โลกํ ปจิสฺสติ นี้
พระราชาตรัสว่า หญิงนี้ไปในที่ใด แล้วเลือกเก็บพุทรานั่นแหละ
ค้าขายเลี้ยงชีวิตได้อีก ท่านทั้งหลายจงนำหญิงนั้นไปในที่นั้นนั่น
แหละ.


* ความขยันหมั่นเพียร ทำให้เรียนรู้ได้ไว
ความขยันหมั่นเพียร ทำให้เรียนรู้ได้เก่ง
ความขยันหมั่นเพียร ทำงานได้เก่ง
ความขยันหมั่นเพียร นายจ้างก็รัก
ความขยันหมั่นเพียร คนโดยส่วนมากรักใคร่พอใจปราถนา
ความขยันหมั่นเพียร สร้างฝันให้เป็นจริง
ความขยันหมั่นเพียร เปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นได้
ความขยันหมั่นเพียร มีเงินทองร้อยเล่มเกวียนก็ชื้อมิได้
ความขยันหมั่นเพียร แบ่งปันกันมิได้(มีต่อ)http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?p=432566#p432566
* ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งทำก็ยิ่งสำนิสำนาน ยิ่งให้ธรรมทาน นานวันเข้าก็ยิ่งรู้แจ้ง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 07:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระโพธิสัตว์คิดว่า เว้นเราเสีย คนอื่นจักไม่สามารถทำท้าว
เธอทั้งสองนี้ให้สามัคคีปรองดองกัน เราจักทูลให้พระราชาทรงยิน-
ยอมแล้วกระทำมิให้ขับไล่พระเทวีนี้ไป จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-

ข้าแต่มหาราช โทษผิดเหล่านี้ ย่อมมี
แก่นารีผู้ได้รับยศ ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ
พระองค์โปรดอดโทษแก่พระนางสุชาดา ข้า
แต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอพระองค์อย่าได้
ทรงพระพิโรธแก่พระนางสุชาดานี้เลย.

คาถานั้นมีอธิบายว่า ข้าแต่มหาราช โทษเพราะความประมาท
เหล่านี้ คือเห็นปานนี้ ย่อมมีเฉพาะแก่นารีผู้ได้รับยศ การแต่งตั้ง
พระนางไว้ในตำแหน่งสูงเห็นปานนี้ แล้วไม่ทรงอดโทษผิดมีประมาณ
เท่านี้ ณ บัดนี้ ดูจะไม่สมควรแก่พระองค์ ข้าแต่สมมติเทพ เพราะ

ฉะนั้น ขอพระองค์ได้โปรดอดโทษ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ คือ
ผู้เป็นใหญ่ในพลรถ ขอพระองค์โปรดอย่าได้ทรงพิโรธแก่พระนาง-
สุชาดานี้.

พระราชาทรงอดกลั้นความผิดนั้นแก่พระเทวี เพราะถ้อยคำ
ของพระโพธิสัตว์นั้น จึงทรงแต่งตั้งไว้ในตำแหน่งเดิมนั่นเอง. ตั้ง
แต่นั้นมา พระราชาและพระเทวีทั้งสองพระองค์ทรงอยู่ด้วยความ
สมัครสมานปรองดองกันแล.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประชุมชาดกว่า พระเจ้าพาราณสีในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระเจ้าโกศล
พระนางสุชาดาในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระนางมัลลิกา ส่วนอำมาตย์
ในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสุชาตาชาดกที่ ๖

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 07:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาปลาสชาดกที่ ๗

พระศาสดาทรงบรรทม ณ เตียงปรินิพพาน ทรงปรารภ
พระอานันทเถระ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า อเจตนํ
พฺราหฺมณ อสุณนฺตํ ดังนี้.

ได้ยินว่า ท่านผู้มีอายุนั้น ทราบว่า ในเวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง
แห่งราตรีวันนี้ พระศาสดาจักปรินิพพาน ก็นึกถึงตนว่า ก็เราแล
ยังเป็นเสขบุคคลมีกิจที่จะต้องทำ แต่พระศาสดาของเราจักปรินิพพาน
การอุปัฏฐากบำรุงที่เรากระทำแก่พระศาสดามาตลอดเวลา ๒๕ ปี น่า
จักไร้ผลถูกความเศร้าโศกครอบงำ จึงเหนี่ยวไม้สลักประตูห้องน้อย

ในอุทยานร้องไห้อยู่. พระศาสดาเมื่อไม่ทรงเห็นท่านพระอานนท์ จึง
ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานนท์ไปไหน ครั้นได้ทรงสดับ
ดังนั้นแล้ว จึงรับสั่งให้เรียกท่านมาประทานโอวาท แล้วตรัสว่า
อานนท์ เธอเป็นผู้ได้ทำบุญไว้แล้ว จงหมั่นประกอบความเพียร

เธอจักหมดอาสวะโดยเร็วพลัน เธออย่าได้คิดเสียใจไปเลย การ
อุปัฏฐากที่เธอกระทำแก่เราในบัดนี้ เพราะเหตุไรเล่าจักไร้ผล การ
อุปัฏฐากที่เธอกระทำแก่เรา แม้ในกาลที่เรายังไม่มีราคะเป็นต้น ใน
ชาติก่อนก็ยังมีผล แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติในพระนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นรุกขเทวดาต้นทองกวาว ในที่
ไม่ไกลพระนครพาราณสี. ในกาลนั้น ชาวเมืองพาราณสี พากัน
ถือเทวดามงคล จึงขวนขวายในการทำพลีกรรมเป็นต้นเป็นนิตยกาล.

ครั้งนั้น มีพราหมณ์เข็ญใจคนหนึ่งคิดว่า แม้เราก็จักปรนนิบัติเทวดา
องค์หนึ่ง จึงทำโคนต้นทองกวาวใหญ่ต้นหนึ่งซึ่งยืนต้นอยู่ในพื้นที่สูง
ให้ราบเตียนปราศจากหญ้า แล้วล้อมรั้ว เกลี่ยทรายปัดกวาด แล้ว
เจิมด้วยของหอมที่ต้นไม้ บูชาด้วยดอกไม้ ของหอมและธูป ตาม

ประทีปแล้วกล่าวว่า ท่านจงอยู่เป็นสุขสบาย แล้วทำประทักษิณ
ต้นไม้แล้วหลีกไป. เช้าตรู่วันที่สองพราหมณ์นั้นไปถามถึงการนอน
เป็นสุขสบาย. อยู่มาวันหนึ่ง รุกขเทวดาคิดว่า พราหมณ์นี้ปฏิบัติ
เรายิ่งนัก เราจักทดลองพราหมณ์นั้นดู แกปฏิบัติบำรุงเราด้วยเหตุ


* ความขยันหมั่นเพียร ทำให้เรียนรู้ได้ไว
ความขยันหมั่นเพียร ทำให้เรียนรู้ได้เก่ง
ความขยันหมั่นเพียร ทำงานได้เก่ง
ความขยันหมั่นเพียร นายจ้างก็รัก
ความขยันหมั่นเพียร คนโดยส่วนมากรักใคร่พอใจปราถนา
ความขยันหมั่นเพียร สร้างฝันให้เป็นจริง
ความขยันหมั่นเพียร เปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นได้
ความขยันหมั่นเพียร มีเงินทองร้อยเล่มเกวียนก็ชื้อมิได้
ความขยันหมั่นเพียร แบ่งปันกันมิได้(มีต่อ)http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?p=432566#p432566
* ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งทำก็ยิ่งสำนิสำนาน ยิ่งให้ธรรมทาน นานวันเข้าก็ยิ่งรู้แจ้ง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 07:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อันใด ก็จักให้เหตุอันนั้น เมื่อพราหมณ์นั้นมาปัดกวาดโคนไม้ จึงยืน
อยู่ใกล้ ๆ ด้วยเพศของพราหมณ์แก่ แล้วกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-

ดูก่อนพราหมณ์ ท่านก็รู้ว่าต้นทอง-
กวาวนี้ไม่มีจิตใจ ไม่ได้ยินเสียงและไม่รู้สึก
อะไร เพราะเหตุไรท่านจึงเพียรพยายาม มิได้
มีความประมาท ถามถึงสุขไสยาอยู่เสมอ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสุณนฺตํ แปลว่า ไม่ได้ยินเสียง
ได้แก่ ชื่อว่าไม่ได้ยินเสียง เพราะไม่มีเจตนาเลย. บทว่า ชาโน
แปลว่า รู้อยู่ ได้แก่ ท่านเป็นผู้รู้อยู่. บทว่า ธุวํ อปฺปมตฺโต
แปลว่า ไม่มีความประมาทเป็นนิจ ได้แก่ เป็นผู้ไม่ประมาทเป็นนิตย์.
พราหมณ์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-

ต้นทองกวาวใหญ่ปรากฏไปในที่ไกล
ตั้งอยู่ในภูมิประเทศราบเรียบ เป็นที่อยู่อาศัย
ของทวยเทพ เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึง
นอบน้อมต้นทองกวาวนี้ และเทพเจ้าผู้สิง
อยู่ที่ต้นทองกวาวนี้ด้วย เพราะเหตุแห่ง
ทรัพย์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทูเร สุโต ความว่า ดูก่อน
พราหมณ์ ต้นไม้นี้ปรากฏไปในที่ไกล มิใช่ปรากฏอยู่ในที่ใกล้ ๆ.
บทว่า พฺรหาว แปลว่า ใหญ่. บทว่า เทเส €ิโต ได้แก่ ยืนต้น
อยู่ในภูมิประเทศอันสูง ราบเรียบ. บทว่า ภูตนิวาสรูโป ได้แก่

มีสภาวะเป็นที่อยู่อาศัยของเทวดา คือ เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่จักสิงอยู่
ที่ต้นทองกวาวนี้แน่. บทว่า เต จ ธนสฺส เหตุ ความว่า เรา
นอบน้อมต้นไม้นี้ และเทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ต้นไม้นี้ เพราะเหตุแห่ง
ทรัพย์ มิใช่เพราะไม่มีเหตุ.


* ความขยันหมั่นเพียร ทำให้เรียนรู้ได้ไว
ความขยันหมั่นเพียร ทำให้เรียนรู้ได้เก่ง
ความขยันหมั่นเพียร ทำงานได้เก่ง
ความขยันหมั่นเพียร นายจ้างก็รัก
ความขยันหมั่นเพียร คนโดยส่วนมากรักใคร่พอใจปราถนา
ความขยันหมั่นเพียร สร้างฝันให้เป็นจริง
ความขยันหมั่นเพียร เปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นได้
ความขยันหมั่นเพียร มีเงินทองร้อยเล่มเกวียนก็ชื้อมิได้
ความขยันหมั่นเพียร แบ่งปันกันมิได้(มีต่อ)http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?p=432566#p432566
* ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งทำก็ยิ่งสำนิสำนาน ยิ่งให้ธรรมทาน นานวันเข้าก็ยิ่งรู้แจ้ง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 07:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
รุกขเทวดาได้ฟังดังนั้น มีความเลื่อมใสพราหมณ์ จึงปลอบ
โยนพราหมณ์นั้นให้เบาใจว่า พราหมณ์ เราเป็นเทวดาผู้สิงอยู่ที่
ต้นไม้นี้ ท่านอย่ากลัวไปเลยเราจะให้ทรัพย์แก่ท่าน แล้วยืนในอากาศ
ที่ประตูวิมานของตน ด้วยเทวานุภาพอันยิ่งใหญ่ ได้กล่าวคาถา ๒
คาถานอกนี้ว่า :-

ดูก่อนพราหมณ์ เรานั้นมาเพ่งถึงความ
กตัญญู จักทำการทดแทนคุณท่านตาม
สมควรแก่อานุภาพ การที่ท่านดิ้นรนมายัง
สำนักของสัตบุรุษทั้งหลาย จะพึงเปล่า
ประโยชน์ได้อย่างไรเล่า.

ไม้เลียบต้นใด อยู่เบื้องหน้าต้นมะ-
พลับเขาล้อมไว้ มหาชนเคยบูชายัญกันมา
แต่ก่อน เป็นต้นไม้ใหญ่ ขุมทรัพย์เขาฝังไว้
ที่โคนต้นไม้เลียบนั้นแล ไม่มีเจ้าของ ท่าน
จงไปขุดเอาทรัพย์นั้นเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยถานุภาวํ ได้แก่ ตามสามารถ
คือ ตามกำลัง. บทว่า กตญฺญุตํ ความว่า รู้คุณที่ท่านทำไว้แก่เรา
ชื่อว่าเพ่งถึงความกตัญญูซึ่งมีอยู่ในตนนั้น. บทว่า อาคมฺม แปลว่า
มาแล้ว. บทว่า สตํ สกาเส ได้แก่ ในสำนักของสัตบุรุษทั้งหลาย.

บทว่า โมฆา แปลว่า เปล่า. บทว่า ปริยนฺทิตานิ ความว่า
ดิ้นรนด้วยวาจาด้วยการถามถึงการนอนเป็นสุขสบาย และดิ้นรนด้วย
กายด้วยการทำการปัดกวาดเป็นต้น จักไม่เป็นผลแก่ท่านได้อย่างไร.
บทว่า โย ตินฺทุรุกฺขสฺส ความว่า รุกขเทวดายืนที่ประตูวิมาน

นั่นแหละ เหยียดมือแสดงว่า ต้นเลียบนั้นได้ตั้งอยู่เบื้องหน้าต้น
มะพลับ. ในบทว่า ปริวาริโต เป็นต้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-


* ความขยันหมั่นเพียร ทำให้เรียนรู้ได้ไว
ความขยันหมั่นเพียร ทำให้เรียนรู้ได้เก่ง
ความขยันหมั่นเพียร ทำงานได้เก่ง
ความขยันหมั่นเพียร นายจ้างก็รัก
ความขยันหมั่นเพียร คนโดยส่วนมากรักใคร่พอใจปราถนา
ความขยันหมั่นเพียร สร้างฝันให้เป็นจริง
ความขยันหมั่นเพียร เปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นได้
ความขยันหมั่นเพียร มีเงินทองร้อยเล่มเกวียนก็ชื้อมิได้
ความขยันหมั่นเพียร แบ่งปันกันมิได้(มีต่อ)http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?p=432566#p432566
* ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งทำก็ยิ่งสำนิสำนาน ยิ่งให้ธรรมทาน นานวันเข้าก็ยิ่งรู้แจ้ง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 13:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ที่โคนต้นเลียบนั้น ต้นเลียบนี้ชื่อว่า เขาล้อมไว้ เพราะเขาฝังทรัพย์
ไว้รอบโคนต้นไม้นั้น ชื่อว่า เขาเคยบูชายัญ เพราะทรัพย์เกิดขึ้น
แก่พวกเจ้าของคนแรกๆ ด้วยอำนาจยัญที่เขาบูชาแล้วในกาลก่อน
ชื่อว่ายิ่งใหญ่ เพราะเป็นต้นไม้ใหญ่ โดยมีหม้อขุมทรัพย์มิใช่น้อย

ชื่อว่าเขาฝังไว้ ชื่อว่าไม่มีทายาท เพราะบัดนี้ทายาททั้งหลายไม่มี.
ท่านกล่าวอธิบายนี้ไว้ว่า ขุมทรัพย์ใหญ่นี้เราฝังไว้ โดยหม้อขุมทรัพย์
เอาคอจดคอติดๆ กันรอบโคนต้นไม้นี้ ไม่มีเจ้าของ ท่านจงไป จงขุด
ขุมทรัพย์นั้นเอาไป.

ก็แหละเทวดานั้น ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงให้โอวาทแก่
พราหมณ์ว่า พราหมณ์ ท่านขุดเอาขุมทรัพย์นั้นไปจักลำบากเหน็ด
เหนื่อย ท่านจงไปเถิด เราเองจักนำขุมทรัพย์นั้นไปยังเรือนของท่าน

แล้วจักฝังไว้ ณ ที่โน้นและที่โน้น ท่านจงใช้สอยทรัพย์นั้นจนตลอด
ชีวิต จงให้ทาน รักษาศีลเถิด แล้วยังทรัพย์นั้นให้ไปประดิษฐาน
อยู่ในเรือนของพราหมณ์นั้น ด้วยอานุภาพของตน

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประชุมชาดกว่า พราหมณ์ในครั้งนั้น ได้เป็นพระอานนท์ในบัดนี้
ส่วนรุกขเทวดาในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาปลาสชาดกที่ ๗

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 13:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาชวสกุณชาดกที่ ๘

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร ทรงปรารภ-
ความอกตัญญูของพระเทวทัต จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้น
ว่า อกรมฺหาว เต กิจฺจํ ดังนี้

พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น
แม้ในกาลก่อน พระเทวทัตก็เป็นคนอกตัญญูเหมือนกัน แล้วทรงนำ
เรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติอยู่ใน
นครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นนกหัวขวานอยู่ในหิมวันต-
ประเทศ. ครั้งนั้นราชสีห์ตัวหนึ่งกินเนื้อ กระดูกติดคอจนคอบวม.
ไม่สามารถจับเหยื่อกินได้ เวทนากล้าแข็งเป็นไป. ลำดับนั้น นกนั้น

เที่ยวขวนขวายหาเหยื่อ เห็นราชสีห์นั้นจึงจับที่กิ่งไม้ ถามว่า สหาย
ท่านเป็นทุกข์เพราะอะไร ? ราชสีห์นั้นจึงบอกเนื้อความนั้น. นกนั้น
กล่าวว่า สหาย เราจะนำกระดูกนั้นออกให้แก่ท่าน แต่เราไม่อาจเข้า
ไปในปากของท่าน เพราะกลัวว่า ท่านจะกินเรา. ราชสีห์กล่าวว่า ท่าน

อย่ากลัวเลย สหาย เราจะไม่กินท่าน ท่านจงให้ชีวิตเราเถิด. นกนั้น
รับคำว่าดีละ แล้วให้ราชสีห์นั้นนอนตะแคง แล้วคิดว่า ใครจะรู้ว่า
อะไรจักมีแก่เรา จึงวางท่อนไม้ค้ำไว้ริมฝีปากทั้งข้างล่างและข้างบนของ
ราชสีห์นั้นโดยที่มันไม่สามารถหุบปากได้ แล้วเข้าไปในปาก เอาจงอย

ปากเคาะปลายกระดูก. กระดูกก็เคลื่อนตกไป. จากนั้นครั้นทำให้
กระดูกตกไปแล้ว เมื่อจะออกจากปากราชสีห์จึงเอาจงอยปากเคาะ
ท่อนไม้ให้ตกลงไป แล้วบินออกไปจับที่ปลายกิ่งไม้. ราชสีห์หายโรค
แล้ว วันหนึ่ง ฆ่ากระบือป่าได้ตัวหนึ่งแล้วกินอยู่. นกคิดว่า เราจัก
ทดลองราชสีห์นั้นดู จึงจับที่กิ่งไม้ ณ ส่วนเบื้องบนราชสีห์นั้น เมื่อ
จะเจรจากับราชสีห์นั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-


* ความขยันหมั่นเพียร ทำให้เรียนรู้ได้ไว
ความขยันหมั่นเพียร ทำให้เรียนรู้ได้เก่ง
ความขยันหมั่นเพียร ทำงานได้เก่ง
ความขยันหมั่นเพียร นายจ้างก็รัก
ความขยันหมั่นเพียร คนโดยส่วนมากรักใคร่พอใจปราถนา
ความขยันหมั่นเพียร สร้างฝันให้เป็นจริง
ความขยันหมั่นเพียร เปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นได้
ความขยันหมั่นเพียร มีเงินทองร้อยเล่มเกวียนก็ชื้อมิได้
ความขยันหมั่นเพียร แบ่งปันกันมิได้(มีต่อ)http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?p=432566#p432566
* ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งทำก็ยิ่งสำนิสำนาน ยิ่งให้ธรรมทาน นานวันเข้าก็ยิ่งรู้แจ้ง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 13:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ข้าแต่พระยาเนื้อ ขอความนอบน้อมจง
มีแก่ท่าน ข้าพเจ้าได้ทำกิจอย่างหนึ่งแก่ท่าน
ตามกำลังของข้าพเจ้าที่มีอยู่ ข้าพเจ้าจะได้
อะไรตอบแทนบ้าง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อกรมฺหาว เต กิจฺจํ ความว่า
ท่านสีหะผู้เจริญ แม้เราก็ได้กระทำกิจอย่างหนึ่งแก่ท่าน. บทว่า ยํ พลํ
อหุวมฺหเส ความว่า กำลังใดได้มีแก่เรา เรามิได้ทำอะไรๆ ให้เสื่อม
เสียจากกิจนั้น ได้กระทำแล้วด้วยกำลังนั้นทีเดียว.
ราชสีห์ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-

ข้อที่ท่านเข้าไปอยู่ในระหว่างฟันของ
ข้าพเจ้าผู้มีโลหิตเป็นภักษาหารผู้กระทำกรรม
หยาบเป็นนิจ ท่านยังรอดชีวิตอยู่ได้นั้นก็
เป็นคุณมากอยู่แล้ว.
นกได้ฟังดังนั้น จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถานอกนี้ว่า :-

น่าติเตียนคนที่ไม่รู้คุณที่เขาทำแล้ว ผู้
ไม่ทำคุณให้แก่ใคร ผู้ไม่ทำตอบแทนคุณที่
เขาทำไว้ ความกตัญญูย่อมไม่มีในบุคคลใด
การคบคนนั้นย่อมไร้ประโยชน์.
บุคคลไม่ได้มิตรธรรมด้วยอุปการคุณที่
ตนประพฤติต่อหน้า ในบุคคลใด บุคคลนั้น
บัณฑิตไม่ต้องริษยา ไม่ต้องด่าว่า พึงค่อยๆ
หลีกห่างออกจากบุคคลนั้นไปเสีย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อกตญฺญุํ แปลว่า ผู้ไม่รู้คุณที่เขา
กระทำแล้ว. บทว่า อกตฺตารํ ได้แก่ ผู้ไม่ทำกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง.
บทว่า สมฺมุขจิณฺเณน ความว่า ด้วยคุณที่ทำไว้ต่อหน้า. บทว่า
อนุสฺสุยมนกฺโกสํ ความว่า บัณฑิตอย่าริษยา อย่าด่าว่าบุคคลนั้น
พึงค่อยๆ หลีกออกห่างจากบุคคลนั้น.

ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว นกนั้นก็บินหลีกไป.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประ-
ชุมชาดกว่า ราชสีห์ในครั้งนั้น ได้เป็นพระเทวทัต ส่วนนกในครั้งนั้น
ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
อรรถกถาฉวกชาดก*ที่ ๙

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 13:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุพวกฉัพพัคคีย์ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า สพฺพํ
อิทญฺจ มริกตํ ดังนี้.

เรื่องนี้มีมาแล้วโดยพิสดารในพระวินัยนั่นแล. ส่วนในชาดกนี้
มีความสังเขปดังต่อไปนี้ :- พระศาสดารับสั่งให้เรียกภิกษุพวกฉัพ-
พัคคีย์มาแล้ว ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า พวกเธอ
นั่งบนอาสนะต่ำแล้วแสดงธรรมแก่ผู้นั่งบนอาสนะสูงจริงหรือ ? เมื่อ
พวกภิกษุฉัพพัคคีย์กราบทูลว่า อย่างนั้นพระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์

ผู้เจริญ จึงทรงติเตียนภิกษุเหล่านั้น แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
การที่พวกเธอไม่กระทำความเคารพในธรรมของเรา ไม่สมควร ด้วย
ว่า โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย ได้ติเตียนอาจารย์นั่งอาสนะต่ำ บอก
แม้มนต์แก่ชนพวกพากเพียร แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก
ดังต่อไปนี้.
___________________________

* ในพระสูตรเป็น ฉวชาดก.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดคนจัณฑาล พอเจริญวัยแล้ว
ก็ตั้งตัวได้. ภรรยาของบุรุษจัณฑาลนั้น แพ้ท้องอยากมะม่วง จึง

กล่าวกะเขาว่า ข้าแต่นาย ดิฉันอยากกินมะม่วง. สามีกล่าวว่า นาง
ผู้เจริญ ในฤดูกาลนี้ มะม่วงไม่มี พี่จักนำผลไม้เปรี้ยวอย่างอื่นมาให้.
ภรรยากล่าวว่า ข้าแต่นาย ดิฉันอยากได้ผลมะม่วงเท่านั้น จักมีชีวิต
รอดอยู่ได้ เมื่อดิฉันไม่ได้. ชีวิตก็จะหาไม่. สามีนั้นเป็นผู้มีจิตปฏิพัทธ์

รักใคร่ภรรยานั้น จึงคิดว่า เราจักได้มะม่วงที่ไหนหนอ. ก็สมัยนั้น
แล ในพระราชอุทยานของพระเจ้าพาราณสี ได้มีต้นมะม่วงมีผลเป็น
ประจำ บุรุษจัณฑาลนั้น จึงคิดว่า เราจักนำผลมะม่วงสุกจากพระ-
ราชอุทยานนั้น มาระงับความแพ้ท้องของภรรยานี้ ในตอนกลางคืน

จึงไปยังพระราชอุทยาน ขึ้นต้นมะม่วงแอบซ่อนตัวอยู่ เที่ยวมองดู
ผลมะม่วงกิ่งนั้นกิ่งนี้อยู่. เมื่อบุรุษจัณฑาลนั้นกระทำอยู่อย่างนี้แหละ
ราตรีก็รุ่งสว่าง. เขาคิดว่า เราจักลงไปในบัดนี้ คนเฝ้าพระราชอุท-


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 13:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ยานเห็นเราเข้าก็จักจับเราว่าเป็นโจร เราจักไปในตอนกลางคืน ที่
นั้นเขาจึงปีนขึ้นยังค่าคบแห่งหนึ่งแอบซ่อนอยู่. ครั้งนั้น พระเจ้า-
พาราณสี ทรงเรียนมนต์ในสำนักของปุโรหิต. พระองค์จึงเสด็จเข้า
ไปยังพระราชอุทยานประทับนั่งบนอาสนะสูง ณ ที่โคนต้นมะม่วงให้
อาจารย์นั่งอาสนะต่ำ แล้วทรงเรียนมนต์. พระโพธิสัตว์นั่งอยู่ข้างบน

คิดว่า พระราชานี้ประทับนั่งอยู่บนอาสนะสูงเรียนมนต์ ไม่ทรงเคารพ
ในธรรม แม้พราหมณ์ผู้นั่งอาสนะต่ำสอนมนต์ ก็ไม่เคารพในธรรม
แม้เราผู้ไม่คำนึงถึงชีวิตของเรา บอกภรรยาว่า จะลักมะม่วง เพราะ
เหตุแห่งมาตุคามก็เป็นผู้ไม่เคารพในธรรม พระโพธิสัตว์นั้นเมื่อจะลง

จากต้นมะม่วง จึงจับกิ่งห้อยอยู่กิ่งหนึ่งลงยืน เฉพาะอยู่ในระหว่าง
พระราชาและปุโรหิตแม้ทั้งสองนั้น แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช
ข้าพระบาทเป็นคนฉิบหายแล้ว พระองค์ทรงเป็นผู้เขลา ปุโรหิต
เป็นคนตายแล้ว ถูกพระราชาตรัสถามว่า เพราะเหตุไร จึงกล่าว
คาถาที่ ๑ ว่า :-

กิจทั้งหมดที่เราทั้งหลายทำแล้วนี้ เป็น
กิจลามก คนทั้งสองไม่เห็นธรรม คนทั้งสอง
เคลื่อนจากปกติเดิม คือ อาจารย์นั่งบน
อาสนะต่ำบอกมนต์ และศิษย์นั่งบนอาสนะ
สูงเรียนมนต์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพํ อิทญฺจ มริกตํ ความว่า
กิจทั้งหมดที่เราทั้งหลาย คือที่ชนทั้ง ๓ กระทำเป็นกิจลามก คือไร้
มรรยาท ไม่เป็นธรรม. ก็พระโพธิสัตว์ติเตียนความที่ตนเป็นโจร
และความที่พระราชา และปุโรหิตเหล่านั้นไม่เคารพในมนต์ทั้งหลาย

แล้ว เมื่อจะติเตียนเฉพาะพระราชาและปุโรหิตทั้งสองนอกนี้ จึง
กล่าวคำมีอาทิว่า คนทั้งสองไม่เห็นธรรม ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า อุโภ ความว่า ชนแม้ทั้งสองย่อมไม่เห็นโบราณกธรรมอันควร
แก่การทำความเคารพ และเป็นผู้คลาดเคลื่อนจากปกติในธรรมนั้น.
เพราะว่าธรรม ชื่อว่าปกติ เพราะเกิดขึ้นก่อน. สมจริงดังที่ท่านกล่าว
ไว้ว่า :-


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2018, 13:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ธรรมแลปรากฎขึ้นก่อน อธรรมเกิด
ขึ้นในโลก ต่อภายหลัง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โย จายํ ความว่า ปุโรหิตนี้
นั่งบนอาสนะต่ำให้ท่องมนต์ และพระราชานี้นั่งบนอาสนะสูงได้เรียน
เอา.

พราหมณ์ได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
เราบริโภคข้าวสุกแห่งข้าวสาลีอันสะอาด
ปรุงด้วยเนื้อ เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่ซ่อง
เสพธรรมนั้น อันฤาษีทั้งหลายซ่องเสพแล้ว.

คำอันเป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า ท่านผู้เจริญก็เราบริโภคข้าวสุก
แห่งข้าวสาลีอันเป็นของแห่งพระราชานี้ อันขาวสะอาด อันปรุงเจือ
ด้วยเนื้อราดรสด้วยชนิดแห่งเนื้อมีประการต่างๆ เพราะฉะนั้น เรา
จึงเป็นผู้ผูกพันเยื่อใยในท้อง จึงไม่ได้ซ่องเสพธรรมนี้ ที่พวกฤาษี
ทั้งหลายผู้แสวงหาคุณเสพแล้ว.

พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นจึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :-
ท่านจงหลีกไปเสียเถิด โลกยังกว้าง-
ใหญ่ แม้คนอื่นๆ ก็ยังหุงต้มกิน เพราะ
เหตุนั้น อธรรมที่ท่านประพฤติมา แล้วอย่า
ได้ทำลายท่านเสียเลย เหมือนก้อนหินต่อย
หม้อให้แตกฉะนั้น.

ดูก่อนพราหมณ์ เราติเตียนการได้ยศ
การได้ทรัพย์ และการเลี้ยงชีวิตด้วยการทำ
ตนให้ตกต่ำ หรือด้วยการประพฤติไม่เป็น
ธรรม.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปริพฺพช ความว่า ท่านจงจากที่นี้
ไปที่อื่น. บทว่า มหา ความว่า ชื่อว่าโลกนี้เป็นของใหญ่. บทว่า
ปจนฺตญฺเญปิ ความว่า คนแม้อื่นๆ ในชมพูทวีปนี้ก็หุงต้ม มิใช่
พระราชาพระองค์เดียวนี้เท่านั้น. บทว่า ตสฺมา กุมฺภมิว ความว่า

เหมือนหินต่อยหม้อฉะนั้น. ท่านกล่าวคำอธิบายนี้ไว้ว่า ท่านไม่ไปที่
อื่น ยังประพฤติอธรรมอยู่ในที่นี้ อธรรมนั้นอันท่านประพฤติแล้ว
อย่างนั้น อย่าได้ทำลายท่านเลย เหมือนก้อนหินต่อยหม้อแตกฉะนั้น.
คาถาที่ว่า ธิรตฺถุ เป็นต้น มีความสังเขปดังต่อไปนี้ :- ดูก่อน


* สมัยใดคนมีความดีแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเจริญรุ่งเรือง
แต่หาก สมัยใดคนมีความดีแต่กับตระหนี่มิแจกจายแนะนำกันมาก สมัยนั้นความดีย่อมเสื่อมถอยลง
* ศีล ธรรมจะดำรงมั่นหากทุกท่านไม่นิ่งเฉย เรียนรู้ ปฏิบัติ และแจกจ่าย
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 85, 86, 87, 88, 89, 90, 91 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 0 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร