วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 20:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 69, 70, 71, 72, 73, 74, 75 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 15 ธ.ค. 2018, 20:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ของสามี ทั้งไม่อาจอยู่ในเรือนของตระกูล ท่านจงทูลถามพระราชาว่า
ในเรื่องนั้น เป็นเพราะเหตุอะไร? แล้วพึงบอกแก่ข้าพเจ้า. ครั้นใน
กาลต่อมาจากนั้น มีงูอยู่ในจอมปลวกแห่งหนึ่ง ใกล้ทางใหญ่ เห็น
นายคามณิจันท์นั้นจึงถามว่า ท่านคามณิจันท์ จะไปไหน? เมื่อเขา
บอกว่า จะไปเฝ้าพระราชา จึงกล่าวว่า ข่าวว่า พระราชาเป็นบัณฑิต

ท่านจงนำข่าวสาสน์ของข้าพเจ้าไปด้วย แล้วกล่าวว่า ในเวลาไปหากิน
ข้าพเจ้าถูกความหิวแผดเผา มีร่างกายเหี่ยวแห้ง เมื่อจะออกจากจอม
ปลวก ร่างกายเต็มคับปล่อง เคลื่อนตัวออกด้วยความยากลำบาก แต่
ครั้นเที่ยวหากินแล้วกลับมา เป็นผู้อิ่มหนำ มีร่างกายอ้วนพี เมื่อจะ
เข้าไป ไม่กระทบกระทั่งข้างปล่องเลย เข้าไปอย่างง่ายดาย ท่านจง

ทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนั้น เป็นเพราะเหตุไร? แล้วพึงบอกแก่
ข้าพเจ้า. ลำดับนั้น เนื้อตัวหนึ่งข้างหน้าเห็นนายคามณิจันท์นั้นจึงถาม
เหมือนอย่างนั้นแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่อาจไปกินหญ้าในที่อื่นได้
สามารถกินอยู่ในที่โคนต้นไม้แห่งเดียวเท่านั้น ท่านพึงทูลถามพระ-
ราชาว่า ในเรื่องนั้น เป็นเพราะเหตุไร? ครั้นต่อมา มีนกกระทา

ตัวหนึ่งข้างหน้า เห็นนายคามณิจันท์นั้นแล้ว จึงกล่าวว่า ข้าพเจ้า
จับอยู่ที่จอมปลวกแห่งเดียวเท่านั้น สามารถอยู่ได้อย่างสบายใจ จับอยู่
ที่อื่น ไม่สามารถจะอยู่ได้ ท่านพึงทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนั้น
เป็นเพราะเหตุไร? ลำดับนั้น รุกขเทวดาตนหนึ่งข้างหน้า เห็นนาย
คามณิจันท์นั้น จึงถามว่า ดูก่อนคามณิจันท์ ท่านจะไปไหน? เมื่อ

เขาบอกว่า จะไปเฝ้าพระราชา จึงกล่าวว่า เขาเล่าลือกันว่า พระราชา
เป็นผู้ฉลาด เมื่อก่อนเราได้สักการะ มาบัดนี้ แม้มาตรว่าใบไม้อ่อนสัก
กำมือก็ยังไม่ได้ ท่านช่วยทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนั้น เป็นเพราะ
เหตุไร? ในกาลต่อจากนั้น พระยานาคตัวหนึ่งเห็นนายคามณิจันท์
จึงถามเหมือนอย่างนั้น แล้วกล่าวว่า ได้ยินว่าพระราชาเป็นบัณฑิต
เมื่อก่อนน้ำในสระนี้ใส มีสีเหมือนแก้วมณี บัดนี้ ขุ่นมัว มีแหน


* พูดง่ายแต่ทำยาก พูดมากไม่ลงมือปฏิบัติก็ไม่เห็นผล
* พูดดี ไม่ทำตนให้ดี แล้วจะดีได้อย่างไร
* ศรัตรูที่น่ากลัวก็คือตัวกิเลสในจิตเรานี่เอง
* สังคมน่าอยู่ เพราะหมู่เรามีจิตเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน
* เมื่อให้ด้วยจิตบริสุทธิ์ ย่อมจะผุดสิ่งดีๆขึ้นมาเรื่อยๆ
* ลบขยะออกจากใจวันละนิด เพื่อจิตที่แจ่มใสและสงบยิ่งขึ้น
* อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 15 ธ.ค. 2018, 20:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ปกคลุม ท่านพึงทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนั้น เป็นเพราะเหตุไร?
ที่นั้น ดาบสทั้งหลายผู้อยู่ในอารามแห่งหนึ่ง ในที่ใกล้พระนคร เห็น
นายคามณิจันท์นั้น จึงถามเหมือนอย่างนั้นแล้วกล่าวว่า เขาว่าพระ-
ราชาเป็นบัณฑิต เมื่อก่อนผลาผลทั้งหลายในอารามนี้ อร่อย บัดนี้
เฝือนฝาด ไม่อร่อย ไม่เป็นรส ท่านช่วยทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนี้

เป็นเพราะเหตุไร? ข้างหน้าแต่นั้นไป มีพราหมณ์มาณพอยู่ในศาลา
แห่งหนึ่ง ในที่ใกล้ประตูพระนคร เห็นนายคามณิจันท์นั้น จึงกล่าวว่า
คามณิจันท์ผู้เจริญ ท่านจะไปไหน เมื่อเขากล่าวว่า จะไปเฝ้าพระราชา
จึงพากันกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านช่วยถือเอาข่าวสาสน์ของพวกเรา
ไปด้วย เพราะว่า เมื่อก่อน ที่ที่พวกเราร่ำเรียนเอาแล้ว ย่อมปรากฎ

แต่มาบัดนี้ ไม่ทรงจำอยู่ เหมือนน้ำในหม้อทะลุ ย่อมปรากฎเป็น
เหมือนความมืดมนอนธการ ท่านพึงทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนี้
เป็นเพราะเหตุไร? นายคามณิจันท์รับเอาข่าวสาสน์ทั้ง ๑๐ ข้อนี้แล้ว
ได้ไปเฝ้าพระราชา. พระราชาได้เสด็จประทับนั่ง ณ สถานที่ที่วินิจฉัย
อรรถคดี.

เจ้าของโคได้พานายคามณิจันท์เข้าเฝ้าพระราชา. พระราชา
พอทรงเห็นนายคามณิจันท์ก็จำได้ ทรงพระดำริว่า นายคามณิจันท์
เป็นอุปัฏฐากแห่งพระชนกของเรา พอยกเราขึ้นแล้วก็หลีกเลี่ยงไป
ตลอดเวลาประมาณเท่านี้ เขาอยู่ที่ไหนหนอ จึงตรัสถาม ท่านคามณิ-
จันท์ผู้เจริญ ตลอดเวลามีประมาณเท่านี้ ท่านอยู่ที่ไหน? เป็นเวลา

นานแล้ว ไม่ปรากฎ ท่านมาด้วยต้องการอะไร. นายคามณิจันท์
กราบทูลว่า ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า จำเดิมแต่พระชนกของพระ-
องค์เสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว ข้าพระองค์ไปอยู่ชนบทกระทำกสิกรรม
เลี้ยงชีพ แต่นั้น บุรุษผู้นี้ได้แสดงความอาญาเพราะเหตุเกี่ยวกับคดี
เรื่องโค จึงคร่าตัวข้าพระองค์มาเฝ้าพระองค์พระเจ้าข้า. พระราชาตรัส

ว่า ท่านไม่ถูกคร่าตัวมาก็คงไม่มา เพราะเหตุนั้น ความที่ท่านถูกคร่าตัว
มานั่นแหละเป็นความดีงาม บัดนี้ เราจะเห็นบุรุษผู้นั้น บุรุษผู้นั้น
อยู่ที่ไหน. นายคามณิจันท์กราบทูลว่า คนนี้พระเจ้าข้า. พระราชา
ตรัสถามว่า ผู้เจริญได้ยินว่า ท่านฟ้องความอาญาแก่นายคามณิจันท์


* พูดง่ายแต่ทำยาก พูดมากไม่ลงมือปฏิบัติก็ไม่เห็นผล
* พูดดี ไม่ทำตนให้ดี แล้วจะดีได้อย่างไร
* ศรัตรูที่น่ากลัวก็คือตัวกิเลสในจิตเรานี่เอง
* สังคมน่าอยู่ เพราะหมู่เรามีจิตเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน
* เมื่อให้ด้วยจิตบริสุทธิ์ ย่อมจะผุดสิ่งดีๆขึ้นมาเรื่อยๆ
* ลบขยะออกจากใจวันละนิด เพื่อจิตที่แจ่มใสและสงบยิ่งขึ้น
* อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 15 ธ.ค. 2018, 20:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ของเราจริงหรือ. เจ้าของโคทูลว่า จริงพระเจ้าข้า. พระราชาตรัสถาม
ว่าเพราะเหตุไร. เจ้าของโคทูลว่า เพราะนายคามณิจันท์นี้ ไม่คืน
โค ๒ ตัวให้แก่ข้าพระองค์พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า เขาว่า
จริงหรือ จันทะ? นายคามณิจันท์ทูลว่า ขอเดชะ ถ้าอย่างนั้น
ขอพระองค์โปรดทรงสดับต่อข้าพระองค์เถิด แล้วกราบทูลเรื่องราว

ทั้งปวงให้ทรงทราบ. พระราชาได้ทรงสดับดังนั้น จึงตรัสถามเจ้าของ
โคว่า ผู้เจริญเมื่อโคเข้าบ้านของท่าน ท่านเห็นหรือเปล่า? เจ้าของโค
ทูลว่า ไม่เห็น พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า ท่านไม่เคยได้ยินคน
เขาพูดถึงเราว่า พระราชาพระนามว่าอาทาสมุข บ้างหรือ ท่านอย่า
หวาดระแวงเลย จงบอกมาเถิด. เจ้าของโคทูลว่า ได้เห็นพระเจ้าข้า.

พระราชาตรัสว่า คามณิจันท์ผู้เจริญ เพราะท่านไม่มอบโคให้เจ้าของ
ค่าโคปรับเป็นสินไหมสำหรับท่าน แต่บุรุษนี้ทั้งที่เห็น พูดมุสาวาท
ทั้งรู้ ว่าไม่เห็น เพราะฉะนั้น ท่านนั่นแหละเป็นผู้ประกอบการควัก
นัยน์ตาทั้งสองข้างของบุรุษผู้นี้ และภรรยาของบุรุษผู้นี้ด้วย ส่วน
ตนเองให้กหาปณะ ๒๔ กหาปณะเป็นมูลค่าราคาโค. เมื่อตรัสอย่างนี้

แล้ว นักการก็พาตัวเจ้าของโคออกไปข้างนอก. เจ้าของโคนั้นคิดว่า
เมื่อเขาควักลูกตาเสียแล้ว เราจักเอากหาปณะไปทำอะไร จึงหมอบ
ลงแทบเท้าของนายคามณิจันท์แล้วกล่าวว่า ท่านคามณิจันท์ผู้เป็น
นาย กหาปณะที่เป็นมูลค่าค่าโคจงเป็นของท่านเถิด และจงถือ
เอากหาปณะเหล่านี้ด้วย แล้วให้กหาปณะทั้งหลาย แม้อื่นๆ แล้ว
หนีไป.

ลำดับนั้น บุรุษคนที่ ๒ ทูลว่า ขอเดชะ นายคามณิจันท์นี้
ประหารภรรยาของข้าพระองค์ ทำให้ครรภ์ตกไป. พระราชาตรัส
ถามว่า จริงหรือ จันทะ? นายคามณิจันท์ทูลว่า ข้าแต่มหาราช
ขอพระองค์โปรดทรงสดับ แล้วกราบทูลเรื่องทั้งปวงให้ทรงทราบโดย
พิสดาร. ลำดับนั้น พระราชาตรัสถามนายคามณิจันท์นั้นว่า ก็ท่าน

ประหารภรรยาของบุรุษผู้นี้ ทำให้ครรภ์ตกไปหรือ? นายคามณิจันท์
ทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์มิได้ทำให้ตกไปพระเจ้าข้า. พระราชา


* พูดง่ายแต่ทำยาก พูดมากไม่ลงมือปฏิบัติก็ไม่เห็นผล
* พูดดี ไม่ทำตนให้ดี แล้วจะดีได้อย่างไร
* ศรัตรูที่น่ากลัวก็คือตัวกิเลสในจิตเรานี่เอง
* สังคมน่าอยู่ เพราะหมู่เรามีจิตเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน
* เมื่อให้ด้วยจิตบริสุทธิ์ ย่อมจะผุดสิ่งดีๆขึ้นมาเรื่อยๆ
* ลบขยะออกจากใจวันละนิด เพื่อจิตที่แจ่มใสและสงบยิ่งขึ้น
* อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 15 ธ.ค. 2018, 20:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ตรัสถามบุรุษนั้นว่า ผู้เจริญ ความที่นายคามณิจันท์นี้ประหารแล้ว
ทำครรภ์ให้ตกไป ท่านอาจให้เกิดมีขึ้นได้หรือไม่? บุรุษนั้นทูลว่า
ไม่อาจ พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสถามเขาว่า บัดนี้ ท่านจะกระทำ
อย่างไร? บุรุษนั้นทูลว่า ข้าพระองค์ต้องการบุตรคืนมาพระเจ้าข้า.

พระราชาตรัสว่า จันทะผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น ท่านเอาภรรยาของบุรุษ
ผู้นี้ไปไว้ในเรือนของท่าน ในคราวที่นางคลอดบุตร จงนำบุตรนั้น
มาให้บุรุษผู้นี้. ฝ่ายบุรุษผู้นั้นจึงหมอบลงแทบเท้าของนายคามณิจันท์
แล้วกล่าวว่า นายท่านอย่าทำลายเรือนของเราเลย ได้ให้กหาปณะ
แล้วหลีกหนีไป.

ลำดับนั้น บุรุษคนที่ ๓ มากราบทูลว่า ขอเดชะ นายคามณิ-
จันท์นี้ประหารทำเท้าม้าของข้าพระองค์หัก พระเจ้าข้า. พระราชา
ตรัสถามว่า เขาว่า จริงหรือ จันทะ? นายคามณิจันท์กราบทูลว่า
ข้าแต่มหาราชขอได้โปรดสดับ แล้วกราบทูลประพฤติเหตุนั้นโดย
พิสดาร. พระราชาได้ทรงสดับดังนั้นจึงตรัสถามคนเลี้ยงม้าว่า เขาว่า

ท่านพูดว่า จงขว้างม้าให้กลับ จริงหรือ? คนเลี้ยงม้านั้นทูลว่า ขอ
เดชะ ข้าพระองค์ไม่ได้พูด พระเจ้าข้า. เขาถูกตรัสถามซ้ำจึงกราบทูล
ว่า ข้าพระองค์พูดพระเจ้าข้า. พระราชาตรัสเรียกนายคามณิจันท์

มาตรัสว่า จันทะผู้เจริญ บุรุษผู้นี้ พูดแล้ว กลับกล่าวมุสาวาทว่า
ไม่ได้พูด ท่านจงตัดลิ้นของเขาแล้วเอาของที่มีของเราเป็นมูลค่าม้า
ให้ไปพันหนึ่ง. คนเลี้ยงม้ากลับให้กหาปณะ แม้อื่นอีกแล้วหลบหนีไป.

ลำดับนั้น บุตรช่างสานกราบทูลว่า ขอเดชะ นายคามณิ-
จันท์นี้ เป็นโจรฆ่าบิดาของข้าพระองค์ พระเจ้าข้า. พระราชาตรัส-
ถามว่า เขาว่า จริงหรือ จันทะ? นายคามณิจันท์กราบทูลว่า ขอเดชะ
พระองค์โปรดทรงสดับ แล้วกราบทูลเหตุนั้นให้ทรงทราบโดยพิสดาร.

พระราชารับสั่งให้เรียกช่างสานมาแล้วตรัสถามว่า บัดนี้ ท่านจะกระทำ
อย่างไร? ช่างสานทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์ขอบิดาของข้าพระองค์
คืนมา พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า จันทะผู้เจริญ การได้บิดาของ
ช่างสานนี้คืนมาจึงจะควร ก็คนตายแล้วไม่อาจนำมาอีกได้ ท่านจง
นำมารดาของช่างสานคนนี้มาไว้ในเรือนท่านแล้ว เป็นบิดาของช่าง-

สานนี้. บุตรช่างสานกล่าวว่า นาย ท่านอย่าทำลายเรือนแห่งบิดา
ผู้ตายแล้วของข้าพเจ้าเลย ได้ให้กหาปนะแก่นายคามณิจันท์แล้ว
หลบหนีไป


* พูดง่ายแต่ทำยาก พูดมากไม่ลงมือปฏิบัติก็ไม่เห็นผล
* พูดดี ไม่ทำตนให้ดี แล้วจะดีได้อย่างไร
* ศรัตรูที่น่ากลัวก็คือตัวกิเลสในจิตเรานี่เอง
* สังคมน่าอยู่ เพราะหมู่เรามีจิตเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน
* เมื่อให้ด้วยจิตบริสุทธิ์ ย่อมจะผุดสิ่งดีๆขึ้นมาเรื่อยๆ
* ลบขยะออกจากใจวันละนิด เพื่อจิตที่แจ่มใสและสงบยิ่งขึ้น
* อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 15 ธ.ค. 2018, 20:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
นายคามณิจันท์ได้ประสบชัยชนะเฉพาะวันนี้ มีจิตยินดีกราบ
ทูลพระราชาว่า ขอเดชะ มีคนบางคนส่งสาสน์มาแก่พระองค์ ข้า
พระองค์ขอกราบทูลสาสน์นั้นแก่พระองค์. พระราชาตรัสว่า จงบอก
มาเถิด จันทะ. นายคามณิจันท์จึงกราบทูลทีละเรื่องๆ โดยย้อนลำดับ
เริ่มสาสน์ของพวกพราหมณ์มาณพเป็นเรื่องต้น. พระราชาได้ทรง

วิสัชนาไปโดยลำดับ. ทรงวิสัชนาอย่างไร? คือก่อนอื่น ทรงสดับ
สาสน์ที่ ๑ ได้ตรัสว่า เมื่อก่อน ได้มีไก่ซึ่งขันเป็นเวลาอยู่ในที่เป็นที่
อยู่พวกพราหมณ์มาณพเหล่านั้น เมื่อพราหมณ์มาณพเหล่านั้นลุกขึ้น
ตามเสียงไก่นั้น แล้วเรียนมนต์ทำการสังวัธยายอยู่ จนอรุณขึ้นด้วย
เหตุนั้น มนต์ที่พวกพราหมณ์มาณพเหล่านั้นเล่าเรียนมาเอาไว้ก็ไม่

เสื่อม มาบัดนี้ มีไก่ซึ่งขันไม่เป็นเวลาอยู่ในที่อยู่ของพราหมณ์มาณพ
เหล่านั้น ไก่ตัวนั้น ขันดึกเกินไปบ้าง จวนสว่างบ้าง พวกพราหมณ์-
มาณพลุกขึ้นตามเสียงของไก่นั้นซึ่งขันดึกเกินไป เล่าเรียนมนต์ก็ง่วง
นอน กำลังทำการสังวัธยายก็หลับไปอีก ครั้นลุกขึ้นตามเสียงของไก่
ซึ่งขันในเวลาจวนจะสว่าง ก็สังวัธยายไม่ได้ ด้วยเหตุนั้น มนต์ที่
พวกพราหมณ์มาณพเหล่านั้นเล่าเรียนไว้ จึงไม่ปรากฎ.

แม้เรื่องที่ ๒ ครั้นได้ทรงสดับแล้ว จึงตรัสว่า เมื่อก่อน
ดาบสเหล่านั้นพากันกระทำสมณธรรม ได้เป็นผู้ขวนขวายประกอบ
การบริกรรมกสิณ มาบัดนี้ พากันละทิ้งสมณธรรมเสีย ขวนขวาย
ประกอบในกิจที่ไม่ควรกระทำ ให้ผลาผลที่เกิดขึ้นในอารามแก่พวก
อุปัฏฐาก สำเร็จการเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพ ด้วยการรับก้อนข้าวและ

ให้ก้อนข้าวตอบแทน ด้วยเหตุนั้น ผลาผลทั้งหลายของดาบสเหล่านั้น
จึงไม่อร่อย ก็ถ้าดาบสเหล่านั้น จักเป็นผู้ขวนขวายประกอบสมณ-


* พูดง่ายแต่ทำยาก พูดมากไม่ลงมือปฏิบัติก็ไม่เห็นผล
* พูดดี ไม่ทำตนให้ดี แล้วจะดีได้อย่างไร
* ศรัตรูที่น่ากลัวก็คือตัวกิเลสในจิตเรานี่เอง
* สังคมน่าอยู่ เพราะหมู่เรามีจิตเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน
* เมื่อให้ด้วยจิตบริสุทธิ์ ย่อมจะผุดสิ่งดีๆขึ้นมาเรื่อยๆ
* ลบขยะออกจากใจวันละนิด เพื่อจิตที่แจ่มใสและสงบยิ่งขึ้น
* อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 15 ธ.ค. 2018, 20:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ธรรมอีก เหมือนในกาลก่อน ผลาผลทั้งหลายของดาบสเหล่านั้น จัก
กลับมีรสอร่อยอีก ดาบสเหล่านั้นย่อมไม่รู้ว่าราชตระกูลเป็นบัณฑิต
ท่านจงบอกให้ดาบสเหล่านั้นกระทำสมณธรรม.

ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๓ จึงตรัสว่า พระยานาคเหล่านั้นกระทำ
การทะเลาะกันแลกันด้วยเหตุนั้น น้ำนั้นจึงขุ่นมัว ถ้าพระยานาค
เหล่านั้นจักสมัครสมานกันเหมือนเมื่อก่อน จักกลับเป็นน้ำใสอีก.

ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๔ จึงตรัสว่า เมื่อก่อน รุกขเทวดานั้น
รักษาพวกมนุษย์ผู้เดินทางไปในดง เพราะฉะนั้น จึงได้พลีกรรมมี
ประการต่างๆ มาบัดนี้ ไม่กระทำการอารักขา เพราะฉะนั้น จึงไม่
ได้พลีกรรม ถ้าจักกระทำการอารักขา เหมือนในกาลก่อน ก็จักเป็น

ผู้ได้ลาภอันเลิศอีก เทวดานั้นไม่รู้ว่าพระราชาเป็นบัณฑิต เพราะ
ฉะนั้น ท่านจงบอกให้เทวดานั้นอารักขาพวกมนุษย์ผู้ขึ้นดงเถิด.

ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๕ จึงตรัสว่า นกกระทานั้น จับที่เชิงจอม-
ปลวกนั้น จึงขันอย่างอิ่มเอิบใจ ภายใต้จอมปลวกนั้น มีหม้อขุมทรัพย์
ใหญ่ ท่านจงขุดจอมปลวกเอาขุมทรัพย์นั้นเถิด.

ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๖ จึงตรัสว่า เนื้อตัวนั้นสามารถกิน
หญ้าที่โคนต้นไม้ใด เบื้องบนต้นไม้นั้น มีรวงผึ้งใหญ่ เนื้อตัวนั้นติด
หญ้าที่เปื้อนน้ำผึ้ง จึงไม่อาจเคี้ยวกินหญ้าอื่น ท่านจงนำรวงผึ้งนั้นไป
แล้วส่งรสหวานชั้นเลิศมาให้เรา ที่เหลือจากนั้น เอาไว้บริโภคใช้สอย
สำหรับตน.

ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๗ จึงตรัสว่า ภายใต้จอมปลวกที่งูอยู่นั้น
มีขุมทรัพย์หม้อใหญ่ งูตัวนั้นรักษาขุมทรัพย์นั้นอยู่ ในเวลาจะออก
เพราะความโลภในทรัพย์ จึงทำสรีระให้หย่อน ติดนั่นติดนี่ออกไป
ครั้นได้เหยื่อแล้ว ไม่ติดขัดเลย รีบเข้าไปโดยเร็ว เพราะความเสน่หา
ในทรัพย์ ท่านจงขุดเอาขุมทรัพย์นั้นเถิด.


* พูดง่ายแต่ทำยาก พูดมากไม่ลงมือปฏิบัติก็ไม่เห็นผล
* พูดดี ไม่ทำตนให้ดี แล้วจะดีได้อย่างไร
* ศรัตรูที่น่ากลัวก็คือตัวกิเลสในจิตเรานี่เอง
* สังคมน่าอยู่ เพราะหมู่เรามีจิตเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน
* เมื่อให้ด้วยจิตบริสุทธิ์ ย่อมจะผุดสิ่งดีๆขึ้นมาเรื่อยๆ
* ลบขยะออกจากใจวันละนิด เพื่อจิตที่แจ่มใสและสงบยิ่งขึ้น
* อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 15 ธ.ค. 2018, 21:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๘ จึงตรัสว่า ในระหว่างบ้านเป็นที่
อยู่ของสามีและบิดามารดา ของหญิงรุ่นสาวนั้น มีชายชู้อยู่ในบ้าน
แห่งหนึ่ง นางระลึกถึงชายชู้นั้น เพราะความเสน่หาในชายชู้นั้น
จึงไม่อาจอยู่ในเรือนสามี พูดว่า ฉันจักไปเยี่ยมบิดามารดา แล้วก็ไป
อยู่ในเรือนชายชู้ ๒-๓ วันแล้วจึงไปเรือนบิดามารดา อยู่ที่เรือน

บิดามารดานั้น ๒-๓ วันหวนระลึกถึงชายชู้ขึ้นมา จึงพูดว่า ฉันจักไป
เรือนสามี ก็หวนไปเรือนของชายชู้นั่นแหละ ท่านจงบอกหญิงคนนั้น
ว่า พระราชกำหนดกฏหมายมีอยู่ แล้วจงกล่าวแก่หญิงนั้นว่า นัยว่า
นางจงอยู่เฉพาะในเรือนของสามีเท่านั้น ถ้าพระราชารับสั่งให้จับท่าน
ชีวิตของท่านก็จะไม่มีอยู่ ควรกระทำความไม่ประมาท.

ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๙ จึงตรัสว่า เมื่อก่อน หญิงคณิกาคนนั้น
รับเอาค่าจ้างจากมือของชายคนหนึ่งแล้ว ก็อยู่ประจำกะชายคนนั้น
ไม่รับเอาจากมือของคนอื่นอีก ด้วยเหตุนั้น ในครั้งก่อน ค่าจ้างจึง
เกิดขึ้นแก่หญิงคณิกาคนนั้นอย่างมากมาย มาบัดนี้ หญิงคณิกา นั้น
ละทิ้งธรรมดาของตนเสีย ไม่ชำระค่าจ้างที่ตนรับจากมือของชายคน

หนึ่งให้เสร็จก่อน ไปรับจากมือของชายอื่น ไม่ให้โอกาสแก่ชายคน
แรก กลับให้โอกาสแก่ชายคนหลัง ด้วยเหตุนั้น ค่าจ้างจึงไม่เกิดขึ้น
แก่หญิงคณิกานั้น ใครๆ จึงไม่ไปหาหญิงคณิกานั้น ถ้าหากจักตั้ง
อยู่ในธรรมดาของตน ค่าจ้างจักมีเช่นกับเมื่อก่อนทีเดียว ท่านจงบอก
หญิงคณิกานั้นให้ตั้งอยู่ในธรรมของตน.

ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๑๐ จึงตรัสว่า นายบ้านส่วยคนนั้น
เมื่อก่อน วินิจฉัยอรรถคดี โดยธรรม โดยสม่ำเสมอ ด้วยเหตุนั้น
จึงเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของคนทั้งหลาย และพวกคนที่รักใคร่ก็นำ
บรรณาการเป็นอันมากมาให้แก่เขา ด้วยเหตุนั้น เขาจึงเป็นผู้มีรูปงาม
มีทรัพย์มาก สมบูรณ์ด้วยยศ มาบัดนี้ เป็นผู้เห็นแก่สินบนวินิจฉัย
อรรถคดีโดยไม่เป็นธรรม ด้วยเหตุนั้น จึงเป็นคนกำพร้า เข็ญใจ


* พูดง่ายแต่ทำยาก พูดมากไม่ลงมือปฏิบัติก็ไม่เห็นผล
* พูดดี ไม่ทำตนให้ดี แล้วจะดีได้อย่างไร
* ศรัตรูที่น่ากลัวก็คือตัวกิเลสในจิตเรานี่เอง
* สังคมน่าอยู่ เพราะหมู่เรามีจิตเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน
* เมื่อให้ด้วยจิตบริสุทธิ์ ย่อมจะผุดสิ่งดีๆขึ้นมาเรื่อยๆ
* ลบขยะออกจากใจวันละนิด เพื่อจิตที่แจ่มใสและสงบยิ่งขึ้น
* อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 15 ธ.ค. 2018, 21:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ถูกโรคผอมเหลืองครอบงำ ถ้าเขาจักวินิจฉัยอรรถคดีโดยธรรมเหมือน
เมื่อก่อน เขาจักกลับเป็นเหมือนเมื่อก่อนอีก เขาไม่รู้ว่ามีพระราชา
อยู่ ท่านจงบอกเขาให้วินิจฉัยอรรถคดี โดยธรรมเถิด. นายคามณิ-
จันท์ได้กราบทูลสาสน์มีประมาณเท่านี้ให้พระราชาทรงทราบด้วยประ-
การฉะนี้. พระราชาก็ได้ทรงพยากรณ์ปัญหานั้นทั้งหมดด้วยปัญญาของ
พระองค์ ประดุจพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ให้พระราชทรัพย์มากมายแก่
นายคามณิจันท์ ทรงกระทำบ้านที่อยู่ของเขาให้เป็นพรหมไทย พระ-
ราชทานเฉพาะเขาเท่านั้นแล้วส่งกลับไป.

นายคามณิจันท์นั้นออกจากพระนคร แล้วบอกข่าวสาสน์สิ้น
ที่พระโพธิสัตว์ประทานมา แก่พราหมณ์มาณพ ดาบส พระยานาค
และรุกขเทวดา เสร็จแล้วถือเอาขุมทรัพย์จากสถานที่พักนกกระทาจับ
แล้วไปเอารวงผึ้งจากต้นไม้ในสถานที่เนื้อกินหญ้า ส่งน้ำผึ้งไปถวาย
พระราชาแล้วไปขุดจอมปลวกในสถานที่อยู่ของงู เอาขุมทรัพย์มาแล้ว

บอกข่าวสาสน์ตามทำนองที่พระราชาตรัสนั่นแหละ แก่หญิงสาวรุ่น
หญิงคณิกาและนายบ้าน เสร็จแล้วไปยังบ้านของตนด้วยยศอันยิ่งใหญ่
ดำรงอยู่ชั่วอายุก็ได้ไปตามยถากรรม. ฝ่ายพระเจ้าอาทาสมุขทรง
บำเพ็ญบุญทั้งหลาย มีทานเป็นต้น ในเวลาสิ้นพระชนมายุ ทรง
บำเพ็ญทางสวรรค์ให้เต็ม แล้วเสด็จไป.

พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตมีปัญญามาก ใน
บัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็มีปัญญามากเหมือนกัน ครั้น
ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะประชุมชาดก.
ในเวลาจบสัจจะ ชนเป็นอันมาก ได้เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี
พระอนาคามี และพระอรหันต์. นายคามณิจันท์ในกาลนั้นได้เป็น
พระอานนท์ ในบัดนี้ ส่วนพระเจ้าอาทาสมุขในกาลนั้น คือเรา
ตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาคามณิจันทชาดกที่ ๗

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 15 ธ.ค. 2018, 21:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุผู้กระสันจะสึกรูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ยาวตา
จนฺทิมสุริยา ดังนี้

ได้ยินว่า ภิกษุรูปนั้นเที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี เห็น
สตรีผู้หนึ่งตกแต่งประดับประดาสวยงาม จึงเกิดความกระสันรัญจวน
ใจ. ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายจึงนำภิกษุรูปนั้นมายังธรรมสภา แล้ว
แสดงแก่พระศาสดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุนี้ กระสันอยาก

จะสึก พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสถามว่า ได้ยินว่า เธอกระสัน
อยากจะสึกจริงหรือภิกษุ. เมื่อภิกษุนั้นทูลรับว่า จริงพระเจ้าข้า จึง
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เมื่อเธออยู่ครองเรือน จักอาจทำตัณหาให้เต็ม
ได้ เมื่อไร เพราะขึ้นชื่อว่ากามตัณหานี้ เต็มได้ยาก ประดุจมหา-
สมุทร ด้วยว่าโปราณกบัณฑิตทั้งหลายครองราชย์เป็นพระเจ้าจักร-

พรรดิในมหาทวีปทั้ง ๔ มีทวีปน้อย ๒,๐๐๐ เป็นบริวาร ได้ครองราชย์
ในเทวโลกชั้นจาตุมมหาราชิกา มีมนุษย์เป็นบริวารเท่านั้น ทั้งครอง
เทวราชสมบัติในสถานที่ประทับอยู่ของท้าวสักกะ ๓๖ พระองค์ ใน
เทวโลกชั้นดาวดึงส์ ไม่สามารถเลยที่จะทำกามตัณหาของตนให้เต็ม

ก็ได้ทำกาลกิริยาตายไป ก็เธอเล่า เมื่อไรอาจทำกามตัณหานั้นให้เต็ม
ได้แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล ครั้งปฐมกัป ได้มีพระราชาพระนามว่า พระ-
เจ้ามหาสมมตราช โอรสของพระองค์พระนามว่า โรชะ. โอรสของ
พระเจ้าโรชะ พระนามว่า วรโรชะ. โอรสของพระเจ้าวรโรชะ
พระนามว่า กัลยาณะ. โอรสของพระเจ้ากัลยาณะ พระนามว่า

วรกัลยาณะ. โอรสของพระเจ้าวรกัลยาณะ พระนามว่า อุโปสถ.
โอรสของพระเจ้าอุโปสถ พระนามว่า วรอุโปสถ. โอรสของพระ-
เจ้าวรอุโปสถ ได้มีพระนามว่า มันธาตุ พระเจ้ามันธาตุนั้นทรง
ประกอบด้วยรัตนะ ๗ และอิทธิฤทธิ์ ๔ ครองราชย์เป็นพระเจ้าจักร-


* พูดง่ายแต่ทำยาก พูดมากไม่ลงมือปฏิบัติก็ไม่เห็นผล
* พูดดี ไม่ทำตนให้ดี แล้วจะดีได้อย่างไร
* ศรัตรูที่น่ากลัวก็คือตัวกิเลสในจิตเรานี่เอง
* สังคมน่าอยู่ เพราะหมู่เรามีจิตเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน
* เมื่อให้ด้วยจิตบริสุทธิ์ ย่อมจะผุดสิ่งดีๆขึ้นมาเรื่อยๆ
* ลบขยะออกจากใจวันละนิด เพื่อจิตที่แจ่มใสและสงบยิ่งขึ้น
* อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 15 ธ.ค. 2018, 21:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พรรดิ. ในเวลาที่พระองค์ทรงคู้พระหัตถ์ซ้ายปรบด้วยพระหัตถ์ขวา
ฝนรัตนะ ๗ ก็ตกลงมาประมาณเข่า ดุจเมฆฝนทิพย์ในอากาศ พระ-
เจ้ามันธาตุได้เป็นมนุษย์อัศจรรย์เห็นปานนี้. ก็พระเจ้ามันธาตุนั้น
ทรงเล่นเป็นเด็กอยู่แปดหมื่นสี่พันปี ทรงครองความเป็นอุปราชอยู่
แปดหมื่นสี่พันปี ทรงครองราชย์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิแปดหมื่นสี่

พันปี. ก็พระองค์ทรงมีพระชนมายุหนึ่งอสงไขย. วันหนึ่งพระเจ้า
มันธาตุนั้นไม่สามารถทำกามตัณหาให้เต็มได้ จึงทรงแสดงอาการ
ระอาพระทัย. อำมาตย์ทั้งหลายทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพพระองค์
ทรงระอาเพราะเหตุอะไร? พระเจ้ามันธาตุตรัสว่า เมื่อเรามองเห็น
กำลังบุญของเราอยู่ ราชสมบัตินี้จักทำอะไรได้ สถานที่ไหนหนอ

จึงจะน่ารื่นรมย์ อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช เทว-
โลกน่ารื่นรมย์ พระเจ้าข้า. ท้าวเธอจึงทรงพุ่งจักรรัตนะไปยังเทว-
โลกชั้นจาตุมมหาราชิกาพร้อมด้วยบริษัท. ลำดับนั้น ท้าวมหาราช
ทั้ง ๔ ทรงถือดอกไม้และของหอมอันเป็นทิพย์ ห้อมล้อมด้วยหมู่เทพ
กระทำการต้อนรับ นำพระเจ้ามันธาตุนั้นไปยังเทวโลกชั้นจาตุมมหา-

ราชิกา ได้ถวายราชสมบัติในเทวโลก. เมื่อพระเจ้ามันธาตุนั้นห้อม
ล้อมด้วยบริษัทของพระองค์ครองราชสมบัติอยู่ในชั้นจาตุมมหาราชิกา
นั้น กาลเวลาล่วงไปช้านาน พระองค์ไม่สามารถทำตัณหาให้เต็มใน
ชั้นจาตุมมหาราชิกานั้นได้ จึงทรงแสดงอาการเบื่อระอา. ท้าวมหาราช
ทั้ง ๔ จึงทูลถามว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์ทรงเบื่อระอาเพราะ

อะไรหนอ. พระเจ้ามันธาตุตรัสว่า จากเทวโลกนี้ ที่ไหนน่ารื่นรมย์
กว่า. ท้าวมหาราชทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ พวกข้าพระองค์
เป็นบริษัทผู้คอยอุปัฏฐากผู้อื่น ขึ้นชื่อว่าเทวโลกชั้นดาวดึงส์น่ารื่นรมย์
พระเจ้ามันธาตุจึงพุ่งจักรรัตนะออกไป ห้อมล้อมด้วยบริษัทของพระ-
องค์ บ่ายหน้าไปยังภพดาวดึงส์. ลำดับนั้น ท้าวสักกะเทวราชทรง

ถือดอกไม้และของหอมทิพย์ห้อมล้อมด้วยหมู่เทพ ทรงทำการต้อนรับ
รับพระเจ้ามันธาตุนั้น ทรงจับพระองค์ที่พระหัตถ์แล้วตรัสว่า ข้าแต่
มหาราช ขอพระองค์จงเสด็จมาทางนี้. ในเวลาที่พระราชาอันหมู่
เทพห้อมล้อมเสด็จไป ปริณายกขุนพลพาจักรแก้วลงมายังถิ่นมนุษย์
พร้อมกับบริษัท เข้าไปเฉพาะยังนครของตนๆ. ท้าวสักกะทรงนำ


* พูดง่ายแต่ทำยาก พูดมากไม่ลงมือปฏิบัติก็ไม่เห็นผล
* พูดดี ไม่ทำตนให้ดี แล้วจะดีได้อย่างไร
* ศรัตรูที่น่ากลัวก็คือตัวกิเลสในจิตเรานี่เอง
* สังคมน่าอยู่ เพราะหมู่เรามีจิตเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน
* เมื่อให้ด้วยจิตบริสุทธิ์ ย่อมจะผุดสิ่งดีๆขึ้นมาเรื่อยๆ
* ลบขยะออกจากใจวันละนิด เพื่อจิตที่แจ่มใสและสงบยิ่งขึ้น
* อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 15 ธ.ค. 2018, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระเจ้ามันธาตุไปยังภพดาวดึงส์ ทรงทำเทวดาให้เป็น ๒ ส่วน ทรง
แบ่งเทวราชสมบัติของพระองค์กึ่งหนึ่งถวายพระเจ้ามันธาตุ. ตั้งแต่
นั้นมาพระราชา ๒ พระองค์ ทรงครองราชสมบัติ (ในภพดาวดึงส์
นั้น ). เมื่อกาลเวลาล่วงไปด้วยประการอย่างนี้ ท้าวสักกะทรงให้
พระชนมายุสั้นไปสามโกฏิหกหมื่นปีก็จุติ. ท้าวสักกะพระองค์อื่นก็มา

บังเกิดแทน. แม้ท้าวสักกะพระองค์นั้นก็ครองราชสมบัติในเทวโลก
แล้วก็จุติไป โดยสิ้นพระชนมายุ. โดยอุบายนี้ ท้าวสักกะถึง ๓๖
พระองค์จุติไปแล้ว. ส่วนพระเจ้ามันธาตุยังคงครองราชสมบัติใน
เทวโลกโดยร่างกายของมนุษย์นั่นเอง. เมื่อเวลาล่วงไปด้วยประการ

อย่างนี้ กามตัณหาก็ยังเกิดขึ้นแก่พระองค์โดยเหลือประมาณยิ่งขึ้น
พระองค์จึงทรงดำริว่า เราจะได้ประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติในเทว-
โลกกึ่งหนึ่ง เราจักฆ่าท้าวสักกะเสีย ครองราชสมบัติในเทวโลกคน
เดียวเถิด. ท้าวเธอไม่อาจฆ่าท้าวสักกะได้. ก็ตัณหาคือความอยากนี้

เป็นมูลรากของความวิบัติ. ด้วยเหตุนั้น อายุสังขารของท้าวเธอจึง
เสื่อมไป ความชราก็เบียดเบียนพระองค์. ก็ธรรมดาร่างกายมนุษย์
ย่อมไม่แตกดับในเทวโลก. ลำดับนั้น พระเจ้ามันธาตุนั้นจึงพลัดจาก
เทวโลกตกลงในพระราชอุทยาน. พนักงานผู้รักษาพระราชอุทยาน

จึงกราบทูลความที่พระเจ้ามันธาตุนั้นเสด็จมาให้ราชตระกูลทราบ.
ราชตระกูลเสด็จมา พากันปูลาดที่บรรทมในพระราชอุทยานนั่นเอง
พระราชาทรงบรรทมโดยอนุฏฐานไสยาศน์ อำมาตย์ทั้งหลายทูลถาม
ว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์ทั้งหลาย จะกล่าวว่าอย่างไร เฉพาะพระ-

พักตร์ของพระองค์ พระเจ้าข้า. พระเจ้ามันธาตุตรัสว่า ท่านทั้งหลาย
พึงบอกข่าวสาสน์นี้แก่มหาชนว่า พระเจ้ามันธาตุมหาราชครองราช-
สมบัติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในมหาทวีปทั้ง ๔ มีทวีปน้อยสองพันเป็น
บริวาร ครองราชสมบัติในเทวโลกชั้นจาตุมมหาราชิกาตลอดกาลนาน
แล้วได้ครองราชสมบัติในเทวโลกตามปริมาณพระชนมายุของท้าว-


* พูดง่ายแต่ทำยาก พูดมากไม่ลงมือปฏิบัติก็ไม่เห็นผล
* พูดดี ไม่ทำตนให้ดี แล้วจะดีได้อย่างไร
* ศรัตรูที่น่ากลัวก็คือตัวกิเลสในจิตเรานี่เอง
* สังคมน่าอยู่ เพราะหมู่เรามีจิตเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน
* เมื่อให้ด้วยจิตบริสุทธิ์ ย่อมจะผุดสิ่งดีๆขึ้นมาเรื่อยๆ
* ลบขยะออกจากใจวันละนิด เพื่อจิตที่แจ่มใสและสงบยิ่งขึ้น
* อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 15 ธ.ค. 2018, 21:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
สักกะถึง ๓๖ องค์ ยังทำตัณหาคือความอยากให้เต็มไม่ได้เลย ได้
สวรรคตไปแล้ว ครั้นพระองค์ตรัสอย่างนี้แล้วก็สวรรคตเสด็จไปตาม
ยถากรรม.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วเป็นผู้ตรัสรู้ยิ่ง
แล้วได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :-

พระจันทร์ พระอาทิตย์ ( ย่อมเวียน
รอบเขาสิเนรุราช ) ส่องรัศมีสว่างไสวไปทั่ว
ทิศโดยที่มีกำหนดเท่าใด สัตว์ทั้งหลายที่
อาศัยแผ่นดินอยู่ในที่มีกำหนดเท่านั้น ล้วน
เป็นทาสของพระเจ้ามันธาตุราชทั้งสิ้น.ความ
อิ่มในกามทั้งหลายย่อมไม่มี เพราะฝนคือ
กหาปณะ กามทั้งหลายมีความยินดีน้อย มี

ทุกข์มาก บัณฑิตย่อมรู้ชัดอย่างนี้. ภิกษุผู้
เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อม
ไม่ถึงความยินดีในกามทั้งหลาย แม้ที่เป็น
ทิพย์ เป็นผู้ยินดีในความสิ้นไปแห่งตัณหา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยาวตา เป็นคำกล่าวถึงกำหนด
เขต. บทว่า ปริหรนฺติ ความว่า ย่อมหมุนเวียนเขาพระสิเนรุ โดย
กำหนดมีประมาณเท่าใด. บทว่า ทิสา ภนฺติ ความว่า ย่อมส่อง
สว่างในทิศทั้งสิบ. บทว่า วิโรจนา ความว่า ชื่อว่า มีสภาพสว่าง
ไสว เพราะกระทำความสว่าง. บทว่า สพฺเพว ทาสา มนฺธาตุ

เย ปาณา ป€วิสฺสิตา ความว่า ก็สัตว์ทั้งหลาย คือหมู่มนุษย์
ชาวชนบทเหล่าใด ผู้อาศัยแผ่นดินอยู่ในประเทศมีประมาณเท่านี้ สัตว์
เหล่านั้นทั้งหมดเมื่อเข้าไปเฝ้าด้วยคิดอย่างนี้ว่า พวกเราเป็นทาสของ
พระเจ้ามันธาตุ พระเจ้ามันธาตุเป็นปู่ของพวกเรา แม้เป็นไท ก็

ชื่อว่าเป็นทาสเหมือนกัน. ในบทว่า น กหาปณวสฺเสน นี้ พระ-
เจ้ามันธาตุทรงปรบพระหัตถ์ทำให้ฝนคือรัตนะ ๗ อันใดตกลงมา เพื่อ
ทรงสงเคราะห์พวกหมู่มนุษย์ผู้เป็นทาสเหล่านั้น ฝนคือรัตนะ ๗ นั้น
ท่านเรียกว่า ฝนคือกหาปณะในพระคาถานี้. บทว่า ติตฺติ กาเมสุ


* พูดง่ายแต่ทำยาก พูดมากไม่ลงมือปฏิบัติก็ไม่เห็นผล
* พูดดี ไม่ทำตนให้ดี แล้วจะดีได้อย่างไร
* ศรัตรูที่น่ากลัวก็คือตัวกิเลสในจิตเรานี่เอง
* สังคมน่าอยู่ เพราะหมู่เรามีจิตเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน
* เมื่อให้ด้วยจิตบริสุทธิ์ ย่อมจะผุดสิ่งดีๆขึ้นมาเรื่อยๆ
* ลบขยะออกจากใจวันละนิด เพื่อจิตที่แจ่มใสและสงบยิ่งขึ้น
* อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 15 ธ.ค. 2018, 21:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ความว่า ขึ้นชื่อว่าความอิ่มในวัตถุกามและกิเลสกามทั้งหลาย เพราะ
ฝนคือกหาปณะแม้นั้น ย่อมไม่มี ตัณหานั้นทำให้เต็มได้ยากอย่างนี้.
บทว่า อปฺปสฺสาทา ทุกฺขา กามา ความว่า ขึ้นชื่อว่ากามทั้งหลาย
เปรียบเหมือนความฝัน มีความยินดีน้อย คือมีความสุขน้อย ก็ใน
กามนี้มีแต่ทุกข์เท่านั้น มากมาย ทุกข์นั้นพึงแสดงโดยกระบวนแห่ง

ทุกขักขันธสูตร. บทว่า อิติ วิญฺาย ได้แก่ กำหนดรู้อย่างนี้.
บทว่า ทิพฺเพสุ ได้แก่ ในอารมณ์ทั้งหลายมีรูปเป็นต้น อันเป็น
เครื่องบริโภคของเทวดาทั้งหลาย. บทว่า รตึ โส ความว่า ภิกษุ
ผู้เห็นแจ้งนั้น แม้ถูกเชื้อเชิญด้วยกามทั้งหลายอันเป็นทิพย์ ก็ย่อม
ไม่ถึงความยินดีในกามเหล่านั้น เหมือนท่านพระสมิทธิ. บทว่า
ตณฺหกฺขยรโต ได้แก่ ผู้ยินดีแล้วในพระนิพพาน. จริงอยู่ ตัณหา

มาถึงพระนิพพานย่อมหมดสิ้นไป เพราะฉะนั้น พระนิพพานนั้น
ท่านจึงเรียกว่า ตัณหักขยะ ธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา เป็นผู้ยินดีแล้ว
ยินดียิ่งแล้วในธรรมเป็นที่สิ้นตัณหานั้น. บทว่า สมฺมาสมฺพุทฺธ-
สาวโก ความว่า ชื่อว่าสัมมาสัมพุทธะ เพราะตรัสรู้สัจจะโดยชอบ
ด้วยพระองค์เอง ชื่อว่าสาวก เพราะเกิดในที่สุดแห่งการสดับฟัง
คือเป็นโยคาวจรบุคคลผู้ได้สดับตรับฟังมาก.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ
สัจจะ ๔ แล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้กระสันจะ
สึกตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล คนเป็นอันมากแม้เหล่าอื่นก็ได้บรรลุโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น. พระเจ้ามันธาตุมหาราชในกาลนั้น คือเราตถาคต
ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถามันธาตุราชชาดกที่ ๘

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 15 ธ.ค. 2018, 21:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
การที่ท่านพระอานนท์ได้ผ้า ๑,๐๐๐ ผืน คือได้จากมือแห่งพระสนม
ของพระเจ้าโกศล ๕๐๐ ผืน ได้จากพระหัตถ์ของพระราชา ๕๐๐ ผืน
จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า นยิมสฺส วิชฺชา ดังนี้. เรื่องท่าน
กล่าวไว้พิสดารแล้ว ในสิคาลชาดก ทุกนิบาต ในหนหลัง. (ในที่
นี้ ) ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระ-
นครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ในแคว้นกาสี
ในวันตั้งชื่อ พวกญาติได้ตั้งชื่อว่า ติรีติวัจฉกุมาร. พระโพธิสัตว์นั้น
ได้ถึงความเจริญวัยโดยลำดับ ได้เล่าเรียนศิลปศาสตร์ทุกอย่างในเมือง

ตักกศิลาแล้วอยู่ครองเรือน เมื่อบิดามารดาทำกาลกิริยาตายไป
แล้วสลดใจ จึงออกบวชเป็นฤาษี มีรากไม้และผลไม้ในป่าเป็นอาหาร
สำเร็จการอยู่ในราวป่า. เมื่อพระโพธิสัตว์อยู่ในราวป่านั้น ท้องถิ่น
ชายอาณาเขตของพระเจ้าพาราณสี เกิดกำเริบจลาจลขึ้น. พระองค์
เสด็จไปในประเทศชายแดนนั้น ทรงพ่ายแพ้ในการรบ ทรงกลัวต่อ

มรณภัย เสด็จขึ้นคอช้างตัวประเสริฐเท่านั้น เสด็จหนีไปทางด้าน
หนึ่งท่องเที่ยวไปในป่า พอดีเป็นเวลาเช้า เป็นเวลาที่ติรีติวัจฉฤาษี
ออกไปเพื่อต้องการผลาผล จึงเสด็จเข้าไปยังอาศรมของติรีติวัจฉฤาษี
นั้น. พระราชานั้นทรงทราบว่าเป็นสถานที่อยู่ของดาบส จึงเสด็จลง

จากคอช้าง ทรงเหน็ดเหนื่อยเพราะลมและแดด จึงทรงกระหายน้ำ
ทอดพระเนตรหาหม้อน้ำก็ไม่ทรงเห็นในที่ไหน แต่ได้ทรงเห็นบ่อน้ำ
อยู่ในท้ายที่จงกรม แต่เมื่อเที่ยวหาเชือกและกระออม เพื่อต้องการ
จะตักน้ำ ก็มิได้เห็น เมื่อไม่ทรงสามารถจะอดกลั้นความกระหายน้ำ

จึงเอาเชือกที่รัดท้องช้างมา ให้ช้างยืนอยู่ใกล้ปากบ่อน้ำ เอาเชือกผูก
ที่เท้าช้างนั้นแล้วไต่เชือกลงบ่อน้ำ เชือกก็ยังไม่พอ จึงเสด็จกลับขึ้น


* พูดง่ายแต่ทำยาก พูดมากไม่ลงมือปฏิบัติก็ไม่เห็นผล
* พูดดี ไม่ทำตนให้ดี แล้วจะดีได้อย่างไร
* ศรัตรูที่น่ากลัวก็คือตัวกิเลสในจิตเรานี่เอง
* สังคมน่าอยู่ เพราะหมู่เรามีจิตเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน
* เมื่อให้ด้วยจิตบริสุทธิ์ ย่อมจะผุดสิ่งดีๆขึ้นมาเรื่อยๆ
* ลบขยะออกจากใจวันละนิด เพื่อจิตที่แจ่มใสและสงบยิ่งขึ้น
* อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 15 ธ.ค. 2018, 21:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
มาใหม่ ทรงเอาผ้าสาฎกสำหรับห่มต่อเข้ากับปลายเชือกแล้วเสด็จลงไป
อีก. แม้ถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่พออยู่ดี. พระองค์ทรงเอาปลายพระบาท
ทั้งสองแตะน้ำ กลับทรงกระหายยิ่งขึ้น บันเทาความกระหายไม่ได้
จึงทรงพระดำริว่า แม้จะตายก็ตายดี แล้วปล่อยให้ตกลงไปในบ่อน้ำ
ดื่มจนพอแก่ความต้องการ เมื่อไม่สามารถจะกลับขึ้นมา จึงได้ประทับ

ยืนอยู่ในบ่อน้ำนั้นนั่นเอง. ในเวลาเย็น พระโพธิสัตว์นำเอาผลาผล
ทั้งหลายมา แลเห็นช้างจึงคิดว่า พระราชาคงจักเสด็จมา ช้างทรง
จึงปรากฏ เหตุอะไรหนอ จึงเข้าไปใกล้ช้าง. ฝ่ายช้างรู้ว่าพระโพธิ-
สัตว์นั้นเข้ามาหา จึงได้ยืนเสีย ณ ส่วนข้างหนึ่ง. พระโพธิสัตว์เดิน
ไปยังปากบ่อน้ำ แลเห็นพระราชา จึงปลอบโยนว่า ข้าแต่มหาราช

พระองค์อย่ากลัวเลย แล้วผูกบันไดให้พระราชาเสด็จขึ้น นวดฟั้น
พระวรกายของพระราชา หาน้ำมันให้สรงสนาน ให้เสวยผลไม้น้อย
ใหญ่ แล้วให้เปลื้องเครื่องผูกสอดช้าง. พระราชาทรงพักอยู่ ๒-๓
วัน ทรงถือเอาปฏิญญา เพื่อให้พระโพธิสัตว์มาสำนักของพระองค์
แล้วเสด็จหลีกไป. พลนิกายของพระราชาตั้งค่ายอยู่ในที่ไม่ไกลพระ-

นคร เห็นพระราชาเสด็จมาจึงพากันห้อมล้อม. พระราชาเสด็จเข้า
ยังพระนคร. ฝ่ายพระโพธิสัตว์ ต่อล่วงเวลาไปกึ่งเดือน ก็ไปยัง
นครพาราณสี พักอยู่ในพระราชอุทยาน วันรุ่งขึ้น เที่ยวภิกขาจาร
ไปถึงประตูวัง. พระราชาทรงเปิดพระแกลบานใหญ่ทอดพระเนตร

พระลานหลวง ทรงเห็นพระโพธิสัตว์ก็จำได้ จึงเสด็จลงมาจากปรา-
สาท ไหว้แล้วทรงพาขึ้นท้องพระโรง ให้นั่งบนราชบัลลังก์ที่ยก
เศวตรฉัตร ให้ฉันอาหารที่เขาจัดไว้สำหรับพระองค์ แม้พระองค์เอง
ก็เสวย เสร็จแล้วนำไปยังพระราชอุทยาน ให้สร้างสถานที่อยู่ประ-


* พูดง่ายแต่ทำยาก พูดมากไม่ลงมือปฏิบัติก็ไม่เห็นผล
* พูดดี ไม่ทำตนให้ดี แล้วจะดีได้อย่างไร
* ศรัตรูที่น่ากลัวก็คือตัวกิเลสในจิตเรานี่เอง
* สังคมน่าอยู่ เพราะหมู่เรามีจิตเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน
* เมื่อให้ด้วยจิตบริสุทธิ์ ย่อมจะผุดสิ่งดีๆขึ้นมาเรื่อยๆ
* ลบขยะออกจากใจวันละนิด เพื่อจิตที่แจ่มใสและสงบยิ่งขึ้น
* อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 69, 70, 71, 72, 73, 74, 75 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร