วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 19:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 66, 67, 68, 69, 70, 71, 72 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2018, 07:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ไม่กล่าวอะไรกะพระราชกุมารนั้น. แม้ในวันที่ ๓ พระราชกุมารก็ได้
ทำเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ. คราวนั้น หญิงชราเห็นเข้า จึงประคอง
แขนทั้งสองร้องคร่ำครวญว่า อาจารย์ทิศาปาโมกข์ ใช้ให้พวกศิษย์ของ
ตนปล้นเรา. อาจารย์หันกลับมาถามว่า นี่อะไรกันแน่. หญิงชรา
กล่าวว่า นาย ศิษย์ของท่านเคี้ยวกินเมล็ดงาอ่อนที่ข้าพเจ้าทำไว้ วันนี้

กำมือหนึ่ง เมื่อวานกำมือหนึ่ง เมื่อวันซืนกำมือหนึ่ง ก็เมื่อศิษย์
ของท่านเคี้ยวกินอยู่อย่างนี้ เมล็ดงาที่มีอยู่ของดิฉันเท่าไรๆ ก็จักหมด
สิ้นไปมิใช่หรือ. อาจารย์ทิศาปาโมกข์กล่าวว่า แม่ อย่าร้องไห้ไปเลย
ฉันจักให้มูลค่าแก่ท่าน. หญิงชรากล่าวว่า ดิฉันไม่ต้องการมูลค่าดอก
นาย ดิฉันขอให้ท่านสั่งสอน โดยอย่าให้กุมารนี้กระทำอย่างนี้อีก

ต่อไป. อาจารย์กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น จงคอยดูนะแม่ แล้วให้มาณพ ๒
คนจับพระราชกุมารนั้นที่แขนทั้ง ๒ ข้างไว้ จึงเอาซีกไม้ไผ่มาเฆี่ยนที่
กลางหลัง ๓ ครั้งพร้อมกับสอนว่า เธออย่าได้ทำอย่างนี้อีกต่อไป
พระราชกุมารโกรธอาจารย์ ทำนัยน์ตาแดงมองดูตั้งแต่หลังเท้าจนถึง
ปลายผม. แม้อาจารย์นั้นก็รู้ว่า พระราชกุมารนั้นมองดูเพราะโกรธ

เคือง. พระราชกุมารเรียนศิลปะจบแล้วทำการฝึกซ้อม เก็บโทษที่
อาจารย์นั้นกระทำไว้ในหทัย โดยอาฆาตว่า เราต้องฆ่าอาจารย์ผู้นี้
ครั้นเวลาจะไป จึงไหว้อาจารย์ ทำทีมีความสิเนหาอย่างสุดซึ้งรับเอา
ปฏิญญาว่า ท่านอาจารย์ เมื่อใด ข้าพเจ้าได้ราชสมบัติในพระนคร
พาราณสี แล้วส่งข่าวมาถึงท่าน เมื่อนั้น ขอให้ท่านพึงมาหา

ข้าพเจ้า กล่าวดังนี้แล้วก็จากไป. ครั้นไปถึงพระนครพาราณสีแล้ว
ถวายบังคมพระชนกชนนี แล้วแสดงศิลปะให้ทอดพระเนตร. พระ-
ราชาตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่ทันเห็นบุตรเราขณะมีชีวิตอยู่นี้แหละ จักได้
เห็นความสง่าในราชสมบัติแห่งบุตรของเรา จึงทรงสถาปนาพระราช-
โอรสไว้ในราชสมบัติ. เมื่อพระราชโอรสได้ครอบครองศิริราชสมบัติ

ก็ระลึกถึงโทษที่อาจารย์ได้กระทำไว้ ก็ทรงพระพิโรธ จึงทรงส่งทูตไป
ถึงอาจารย์เพื่อให้มาเฝ้าด้วยตั้งพระทัยว่า เราจักฆ่าอาจารย์นั้น. ท่าน
อาจารย์คิดว่า ในเวลาที่เขายังหนุ่มแน่นเราจักไม่อาจให้พระราชานั้น

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
* ห่างไกลธรรม ย่อมยังชีวิตตนให้ตกต่ำ
* คิดก่อนพูด ก่อนจะรูดบัตรเครดิตควรคิดให้ดีฃ
* ใช้จ่ายง่าย ระวังจะหมดตัว
* หาเงินทองนั้นยากแท้ แต่หาเพื่อนแท้นั้นยากกว่า หาคนดียากที่สุด
* อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2018, 07:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เข้าใจได้ จึงมิได้ไป ในเวลาที่พระราชานั้นล่วงเข้ามัชฌิมวัย คิดว่า
บัดนี้เราจักอาจทำให้พระราชานั้นเข้าใจได้ จึงได้เดินทางไปยืนอยู่ที่
ประตูพระราชวัง ให้กราบทูลว่าอาจารย์จากเมืองตักศิลามาแล้ว.
พระราชาทรงโสมนัสยินดีรับสั่งให้เรียกพราหมณ์มา พอเห็นอาจารย์

นั้นมาเฝ้าพระองค์เท่านั้น ทรงพระพิโรธจนพระเนตรทั้งสองข้างแดง
ตรัสเรียกอำมาตย์ทั้งหลายมาว่า แน่ะผู้เจริญที่ที่อาจารย์เฆี่ยนยังเสียด
แทงเรา อยู่จนทุกวันนี้ อาจารย์บากหน้าพาเอาความตายมาโดยไม่
รู้ว่า เราจักตายวันนี้ อาจารย์ผู้นั้นจะไม่มีชีวิตแล้ว จึงได้ตรัสคาถา ๒
คาถา อันมีในเบื้องต้นว่า :-

การที่ท่านให้จับแขนเราไว้แล้วเฆี่ยน
ตีเราด้วยซีกไม้ไผ่ เพราะเหตุเมล็ดงากำมือ
หนึ่งนั้น ยังฝังใจเราอยู่จนทุกวันนี้. ดูก่อน
พราหมณ์ ท่านไม่ใยดีในชีวิตของท่านแล้ว
หรือ จึงมาหาเราถึงที่นี่ ผลที่ท่านให้จับแขน
ทั้งสองของเราแล้วเฆี่ยนตีเราถึง ๓ ที่นั้น
จักสนองท่านในวันนี้.

ทุติยาวิภัติในบททั้งสองว่า ยํ มํ และ พาหายํ มํ ใน
คาถานั้น เพ่งถึงการเฆี่ยนตีและการจับ. ในบทนี้มีอธิบายดังนี้ว่า
ข้อที่ท่านเฆี่ยนตีเรา เพราะเมล็ดงากำมือหนึ่ง และเมื่อเฆี่ยนตียังได้
จับแขนเราแล้วเฆี่ยนตีนั้น ยังฝังใจเราอยู่แม้ทุกวันนี้. บทว่า นนุ

ชีวิเต น รมสิ ความว่า ท่านเห็นจะไม่ยินดีในชีวิตของตน. บทว่า
เยนาสิ พฺราหฺมณาคโต ความว่า ดูก่อนพราหมณ์ เพราะเหตุที่ท่าน
มาหาเราในที่นี้. บทว่า ยํ มํ พาหา คเหตฺวาน ความว่า ข้อที่

จับแขนทั้งสองของเรา อธิบายว่า จับที่แขนดังนี้ก็มี. บทว่า ติกฺขตฺตุ ํ
อนุตาลยิ ความว่า ท่านเฆี่ยนตีเราด้วยซีกไม้ไผ่ถึง ๓ ครั้ง วันนี้
แหละ ท่านจะได้รับผลแห่งการเฆี่ยนตีเรานั้น. พระราชาเอาความ
ตายมาขู่อาจารย์ดังนี้ จึงกล่าวอย่างนั้น.
อาจารย์ได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
* ห่างไกลธรรม ย่อมยังชีวิตตนให้ตกต่ำ
* คิดก่อนพูด ก่อนจะรูดบัตรเครดิตควรคิดให้ดีฃ
* ใช้จ่ายง่าย ระวังจะหมดตัว
* หาเงินทองนั้นยากแท้ แต่หาเพื่อนแท้นั้นยากกว่า หาคนดียากที่สุด
* อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2018, 07:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อริยชนใดย่อมเกียดกันอนารยชน ผู้
กระทำชั่วด้วยการลงโทษ กรรมของอริยชน
นั้นเป็นการสั่งสอนหาใช่เป็นเวรไม่ บัณฑิต
ทั้งหลายย่อมรู้ชัดข้อนั้นอย่างนี้แล.

บทว่า อริโย ในคาถานั้น เป็นชื่อของผู้สอน. ก็อริยชนนี้
นั้นมี ๔ ประเภท คือ อาจารอริยชน อริยชนผู้มีอาจาระ ๑ ทัสสน-
อริยชน อริยชนที่ควรแลดู ๑ ลิงคอริยชน อริยชนผู้ถือเพศ ๑
ปฏิเวธอริยชน อริยชนผู้รู้แจ้งแทงตลอด ๑ ในอริยชน ๔ ประเภท
นั้น อริยชนผู้ตั้งอยู่ในมารยาทอันประเสริฐ จะเป็นมนุษย์หรือสัตว์
เดรัจฉานก็ตาม ชื่อว่าอาจารอริยชน. สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า :-

ข้าพเจ้าขอสละภัสดาผู้ประพฤติเยี่ยง
อริยชนคนโกง เชิดชูบิณฑะ ที่พามาได้นั้น
แก่ท่าน ขอท่านทั้งสองจงไปตามสบายเถิด.

ส่วนอริยชนผู้ประกอบด้วยรูปและอิริยาบถอันน่าเลื่อมใส น่าดู
ชื่อว่าทัสสนอริยชน. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า :-
ท่านผู้เจริญ ท่านมีนัยน์ตาผ่องใส่ มี
ท่าทางอันประเสริฐ ออกบวชจากตระกูล
อะไร จิตของท่านสละโภคทรัพย์ได้ละหรือ
ผู้มีปัญญาเท่านั้นจึงจะออกจากเรือนบวชได้.

อริยชนผู้เป็นคล้ายสมณะ โดยถือเพศด้วยการนุ่งห่มเที่ยวไป
อยู่ แม้จะเป็นผู้ทุศีล ก็ชื่อว่าลิงคอริยชน ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า :-
บุคคลผู้ทำการนุ่งห่มเหมือนผู้มีพรต
อันงามทั้งหลาย มักเอาหน้า ประทุษร้าย
ตระกูล เป็นคนคนอง เป็นคนเจ้าเล่ห์ ไม่
สำรวม เป็นคนพร่ำเพ้อ ประพฤติโดยอาการ
เทียม ชื่อว่าเป็นผู้ทำลายหนทาง.

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
* ห่างไกลธรรม ย่อมยังชีวิตตนให้ตกต่ำ
* คิดก่อนพูด ก่อนจะรูดบัตรเครดิตควรคิดให้ดีฃ
* ใช้จ่ายง่าย ระวังจะหมดตัว
* หาเงินทองนั้นยากแท้ แต่หาเพื่อนแท้นั้นยากกว่า หาคนดียากที่สุด
* อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2018, 07:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ฝ่ายพระอริยบุคคลทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ชื่อว่าปฏิเวธ-
อริยชน. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระพุทธเจ้า พระปัจเจก-
พุทธเจ้า และพุทธสาวกทั้งหลาย เรียกว่า พระอริยะ. บรรดาอริยชน
เหล่านั้น ในที่นี้ พราหมณ์ประสงค์เอาอาจารอริยชนอย่างเดียว.
บทว่า อนริยํ ได้แก่ ผู้ทุศีล มีธรรมอันลามก. บทว่า กุพฺพํ ได้แก่

ผู้กระทำกรรมของผู้ทุศีล ๕ อย่าง มีปาณาติบาตเป็นต้น. อีกอย่างหนึ่ง
อรรถบทนี้เป็นอย่างเดียวกันว่า บุคคลผู้กระทำกรรมอันเป็นเวรและ
ภัย ๕ อันไม่ประเสริฐ คือ เลวทราม ลามก บทว่า โย ความว่า
ก็บรรดากษัตริย์เป็นต้น คนใดคนหนึ่งนั้น บทว่า ทณฺเฑน ความว่า

ด้วยเครื่องประหารอย่างใดอย่างหนึ่ง. บทว่า นิเสธติ ความว่า เฆี่ยนตี
ห้ามปรามว่า อย่าทำกรรมเห็นปานนี้อีกต่อไป. บทว่า สาสนํ ตํ น
ตํ เวรํ ความว่า ข้าแต่มหาราช ชื่อว่า การเฆี่ยนตีกีดกันบุตรธิดา
หรือศิษย์ผู้กระทำสิ่งไม่ควรทำด้วยอาการอย่างนี้ เป็นการสั่งสอนใน

โลกนี้ คือ เป็นการพร่ำสอน เป็นโอวาท หาใช่เป็นการก่อเวรไม่
บทว่า อิติ นํ ปณฺฑิตาวิทู ความว่า บัณฑิตทั้งหลายย่อมรู้ชัดข้อนั้น
อย่างนี้ทีเดียว. ข้าแต่มหาราช เพราะฉะนั้น แม้พระองค์ก็โปรด
ทรงทราบอย่างนี้ พระองค์ไม่ควรก่อเวรในฐานะเห็นปานนี้ ถ้าแม้
ข้าพระองค์จักไม่ได้ให้พระองค์ทรงสำเนียกอย่างนี้แล้ว ต่อไปภาย

หน้า พระองค์ลักขนม น้ำตาลกรวด แลผลไม้เป็นต้น ติดในโจรกรรม
ทั้งหลาย จะทำการตัดช่องย่องเบา ฆ่าคนในหนทางและฆ่าชาวบ้าน
เป็นต้น โดยลำดับ ถูกจับพร้อมทั้งของกล่าวว่า โจรผู้ผิดต่อพระราชา
แล้วแสดงต่อพระราชา จักได้รับภัยคืออาญา โดยพระดำรัสว่า พวก

ท่านจงไปลงอาญาอันสมควรแก่โทษของโจรนี้ สมบัติเห็นปานนี้ จัก
ได้มีแก่พระองค์มาแต่ไหน พระองค์ได้ความเป็นใหญ่โดยเรียบร้อย
เพราะอาศัยข้าพระองค์มิใช่หรือ อาจารย์ได้ทำให้พระราชายินยอม
ด้วยประการดังกล่าวมานี้.

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
* ห่างไกลธรรม ย่อมยังชีวิตตนให้ตกต่ำ
* คิดก่อนพูด ก่อนจะรูดบัตรเครดิตควรคิดให้ดีฃ
* ใช้จ่ายง่าย ระวังจะหมดตัว
* หาเงินทองนั้นยากแท้ แต่หาเพื่อนแท้นั้นยากกว่า หาคนดียากที่สุด
* อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2018, 12:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ฝ่ายอำมาตย์ทั้งหลายผู้ยืนห้อมล้อมอยู่ ได้ฟังถ้อยคำของ
อาจารย์นั้นแล้วจึงกราบทูลว่า ขอเดชะ คำที่อาจารย์กล่าวนั้นเป็น
ความจริง ความเป็นใหญ่นี้เป็นของท่านอาจารย์ของพระองค์ ขณะนั้น
พระราชาทรงกำหนดได้ถึงคุณของอาจารย์จึงกล่าวว่า ท่านอาจารย์
ข้าพเจ้าให้ความเป็นใหญ่นี้แก่ท่าน ขอท่านจงรับราชสมบัติเถิด.

อาจารย์ปฏิเสธว่า ข้าพระองค์ไม่ต้องการราชสมบัติ. พระราชาทรง
ส่งข่าวไปยังเมืองตักกศิลา ให้นำบุตรและภรรยาของอาจารย์มา แล้ว
ประทานอิสริยยศใหญ่ ทรงตั้งอาจารย์นั้นนั่นแล ให้เป็นปุโรหิต
แล้วตั้งไว้ในฐานเป็นบิดา ตั้งอยู่ในโอวาทของอาจารย์นั้น บำเพ็ญบุญ
ทั้งหลาย มีทานเป็นต้น ได้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประกาศ
อริยสัจ ๔ ทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบอริยสัจ ภิกษุผู้มักโกรธ
ดำรงในอนาคามิผล คนอื่นๆได้เป็นพระโสดาบันและพระสกทาคามี.
พระราชาในคราวนั้น ได้เป็นภิกษุผู้มักโกรธในบัดนี้ ส่วนอาจารย์ใน
คราวนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาติลมุฏฐิชาดกที่ ๒

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2018, 13:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถามณิกัณฐชาดกที่ ๓

พระศาสดาเมื่ออาศัยเมืองอาฬวีประทับอยู่ ณ อัคคาฬวเจดีย์
ทรงปรารภกุฏิการสิกขาบท จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า มมนฺนปานํ
ดังนี้.

ได้ยินว่า ภิกษุชาวเมืองอาฬวีพากันสร้างกุฏิ ด้วยการ
เที่ยวขอ มากด้วยการขอ มากด้วยการทำวิญญัติการขอร้อง พูดคำ
เป็นต้นว่า ท่านทั้งหลายจงให้คน ท่านทั้งหลายจงให้คนชี้แจงแนะนำ
พวกมนุษย์ถูกเบียดเบียนด้วยการขอ ถูกเบียดเบียนด้วยการขอร้อง
เห็นภิกษุเข้าก็หวาดเสียวสะดุ้งตกใจหลีกหนีไป. ครั้งนั้น ท่าน

พระมหากัสสป เข้าไปจนถึงเมืองอาฬวีแล้วเข้าไปบิณฑบาต. พวก
มนุษย์เห็นแม้แต่พระเถระก็พากันหวาดกลัวเหมือนอย่างนั้น. พระ-
เถระกลับจากบิณฑบาตภายหลังภัตตาหารแล้วจึงเรียกภิกษุทั้งหลายมา
ถามว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย เมื่อก่อน เมืองอาฬวีนี้หาภิกษาหารได้ง่าย
เพราะเหตุไร บัดนี้จึงหาภิกษาหารได้ยาก ครั้นได้เหตุการณ์นั้น

จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อเสด็จมาเมืองอาฬวี ประทับอยู่ที่
อัคคาฬวเจดีย์ แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นให้ทรงทราบ ในเพราะ
เหตุนั้น พระศาสดาจึงรับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์แล้วทรงสอบถาม
พวกภิกษุชาวเมืองอาฬวี จริงหรือที่มีข่าวว่า พวกเธอให้เขาสร้าง

กุฏิด้วยการเที่ยวขอ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลรับว่า จริงพระเจ้าข้า
จึงทรงติเตียนภิกษุเหล่านั้นแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อ
ว่าการขอนี้ ย่อมไม่เป็นที่ชอบใจแม้ของพวกนาคทั้งปวงผู้อยู่ในนาค-
พิภพอันบริบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ จะป่วยกล่าวไปใยถึงพวกมนุษย์ผู้ทำ
ทรัพย์ให้เกิดขึ้นสัก ๑ กหาปณะ ก็ยังยาก เป็นประหนึ่งทำ

เนื้อให้เกิดขึ้นจากหินดังนี้แล้ว ทรงนำเอาเรื่องอดีตมาสาธก ดัง
ต่อไปนี้ :-

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
* ห่างไกลธรรม ย่อมยังชีวิตตนให้ตกต่ำ
* คิดก่อนพูด ก่อนจะรูดบัตรเครดิตควรคิดให้ดีฃ
* ใช้จ่ายง่าย ระวังจะหมดตัว
* หาเงินทองนั้นยากแท้ แต่หาเพื่อนแท้นั้นยากกว่า หาคนดียากที่สุด
* อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2018, 13:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ใน
พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ซึ่งมีทรัพย์
สมบัติมาก. แม้ในเวลาพระโพธิสัตว์นั้นเที่ยววิ่งเล่นได้ สัตว์ผู้มีบุญ
อีกผู้หนึ่งก็บังเกิดในครรภ์มารดาของพระโพธิสัตว์นั้น. พี่น้องทั้งสอง
นั้นเจริญวัยแล้ว มารดาบิดาก็ทำกาลกิริยา จึงมีความสังเวชสลดใจ

พากันบวชเป็นฤาษีสร้างบรรณศาลาอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคา. บรรดาฤาษี
ทั้งสองนั้น บรรณศาลาของฤาษีผู้พี่ชายอยู่เหนือแม่น้ำคงคา บรรณ-
ศาลาของฤาษีผู้น้องชายอยู่ใต้แม่น้ำคงคา. อยู่มาวันหนึ่ง พระยานาค
นามว่ามณิกัฏฐะออกจากนาคพิภพ จำแลงเพศเป็นมาณพน้อยเที่ยวไป
ตามฝั่งแม่น้ำคงคา ไปถึงอาศรมของฤาษีผู้น้อง จึงไหว้แล้วนั่ง

ณ ส่วนข้างหนึ่ง ต่างกระทำสัมโมทนียกถาได้เป็นผู้สนิทสนมคุ้นเคย
กัน. ไม่อาจเว้นว่างห่างกัน. มณิกัณฐนาคมายังสำนักของพระดาบส
ผู้น้องแล้วนั่งสนทนาปราศัยกันเมื่อเวลาจะไป ด้วยความสิเนหา
พระดาบส จึงเปลี่ยนแปลงอัตตภาพแล้วเอาขนดหางตระหวัดรัดรอบ
พระดาบส แล้วแผ่พังพานใหญ่ไว้เหนือศีรษะ นอนพักอยู่หน่อยหนึ่ง

พอบรรเทาความสิเนหานั้นแล้วจึงคลายร่างไหว้พระดาบสแล้วกลับไป
นาคพิภพของตน. เพราะความกลัวพระยานาคนั้น พระดาบสจึงซูบ-
ผอมเศร้าหมอง ผิวพรรณไม่ผ่องใส เกิดเป็นโรคผอมเหลือง มีเนื้อตัว
สะพรั่งไปด้วยแถวเส้นเอ็น. วันหนึ่ง จึงไปหาดาบสผู้พี่ชาย. ลำดับ

นั้น ดาบสผู้พี่ชายจึงได้ถามดาบสผู้น้องชายนั้นว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ
เพราะเหตุไรท่านจึงซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณทราม เกิดเป็น
โรคผอมเหลือง เนื้อตัวสะพรั่งด้วยแถวเส้นเอ็น. ดาบสผู้น้องชายจึง
บอกเรื่องราวนั้นแก่ดาบสผู้พี่ชาย ผู้อันดาบสผู้พี่ชายถามว่า ท่าน
ผู้เจริญ ก็ท่านไม่ต้องการให้พระยานาคนั้นมาหรือ จึงตอบว่า ไม่ต้อง
การ เมื่อดาบสผู้พี่ชายกล่าวว่า ก็พระยานาคนั้น เมื่อมายังสำนัก

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
* ห่างไกลธรรม ย่อมยังชีวิตตนให้ตกต่ำ
* คิดก่อนพูด ก่อนจะรูดบัตรเครดิตควรคิดให้ดีฃ
* ใช้จ่ายง่าย ระวังจะหมดตัว
* หาเงินทองนั้นยากแท้ แต่หาเพื่อนแท้นั้นยากกว่า หาคนดียากที่สุด
* อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2018, 21:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ของท่านประดับเครื่องประดับอะไรมา จึงกล่าวตอบว่า ประดับ
แก้วมณีมา. ดาบสผู้พี่ชายกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น เมื่อพระยานาคนั้นมา
ไหว้ท่านแล้วยังไม่ทันนั่ง จงรีบขอว่า ท่านจงให้แก้วมณี เมื่อขอ
อย่างนั้น พระยานาคนั้นจักไม่รัดท่านด้วยขนดเลย จักไปทันที
วันรุ่งขึ้นพระยานาคนั้นมายืนที่ประตูอาศรมบทยังไม่ทันเข้าไป ท่าน

พึงขอ ในวันที่ ๓ ท่านจงไปยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคา พอพระยานาคนั้น
ผุดขึ้นจากน้ำพึงร้องขอทันที เมื่อเป็นอย่างนี้ พระยานาคนั้นจักไม่
มาหาท่านอีกต่อไป. พระดาบสรับคำแล้วกลับไปบรรณศาลาของตน
วันรุ่งขึ้น พระยานาคพอมายืนเท่านั้น ก็ร้องขอว่า ท่านจงให้แก้วมณี
เครื่องประดับตนลูกนั้นแก่เราเถิด. พระยานาคนั้น ไม่นั่ง หนีไปเลย.

ครั้นวันที่สอง พระยานาคนั้นมายืนอยู่ที่ประตูอาศรมบทเท่านั้น
ก็กล่าวว่า เมื่อวานท่านยังไม่ได้ให้แก้วมณีแก่เรา แม้วันนี้ ท่านก็
จงให้ในบัดนี้เถิด. เมื่อเป็นเช่นนั้น พระยานาคนั้นก็มิได้เข้าไปยัง
อาศรมบท รีบหนีไป. ในวันที่สาม พอพระยานาคนั้นโผล่ขึ้นจากน้ำ

เท่านั้นพระดาบสก็กล่าวว่า เมื่อเราร้องขออยู่วันนี้เป็นวันที่สามแล้ว
บัดนี้ ท่านจงให้แก้วมณีดวงนั้นแก่เราเถิด. พระยานาคแม้อยู่ในน้ำ
เมื่อจะห้ามดาบสนั้นมิให้ขอ จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :-

ข้าวและน้ำอันไพบูลย์ยิ่ง ย่อมเกิด
ขึ้นแก่ข้าพเจ้า เพราะเหตุแก้วมณีดวงนี้
ข้าพเจ้าจักให้แก้วมณีดวงนั้นแก่ท่านไม่ได้
ท่านก็ยิ่งขอหนักขึ้น ทั้งข้าพเจ้าก็จักไม่มาสู่
อาศรมของท่านอีกด้วย. เมื่อท่านขอแก้วมณี
อันเกิดแต่หินดวงนี้ ย่อมทำให้ข้าพเจ้าหวาด
เสียว เหมือนชายหนุ่มมีมือถือดาบอันลับ
แล้วที่หิน มาทำให้ข้าพเจ้าหวาดเสียวฉะนั้น
ข้าพเจ้าจักให้แก้วมณีดวงนั้นแก่ท่านไม่ได้
ท่านก็ยิ่งขอหนักขึ้น ทั้งตัวข้าพเจ้าก็จักไม่
มาสู่อาศรมของท่านอีกต่อไป.

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
* ห่างไกลธรรม ย่อมยังชีวิตตนให้ตกต่ำ
* คิดก่อนพูด ก่อนจะรูดบัตรเครดิตควรคิดให้ดีฃ
* ใช้จ่ายง่าย ระวังจะหมดตัว
* หาเงินทองนั้นยากแท้ แต่หาเพื่อนแท้นั้นยากกว่า หาคนดียากที่สุด
* อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2018, 21:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มมนฺนปานํ ได้แก่ โภชนะ
อันเป็นทิพย์มีข้าวยาคูและภัตต์เป็นต้น และน้ำดื่มอันเป็นทิพย์มีน้ำ
ปานะ ๘ ชนิด ของข้าพเจ้า. บทว่า วิปุลํ แปลว่า มาก. บทว่า
อุฬารํ ได้แก่ ประเสริฐ คือ ประณีต. บทว่า ตนฺเต ได้แก่
เราจักไม่ให้แก้วมณีดวงนั้นแก่ท่าน. บทว่า อติยาจโกสิ ความว่า

ท่านขอแก้วมณีอันเป็นที่รักที่ชอบใจของข้าพเจ้า สิ้น ๓ วัน เข้าวันนี้
ล่วงกาลและล่วงกำหนดประมาณ ชื่อว่าเป็นผู้ขอเกินไป. บทว่า
น จาปิ เต ความว่า เราจักไม่ให้อย่างเดียวเท่านั้นก็หามิได้ แม้
อาศรมของท่านเราก็จักไม่มา. บทว่า สุสู ยถา ได้แก่ เหมือน
มนุษย์หนุ่ม. บทว่า สกฺขรโธตปาณี แปลว่า ผู้มีฝ่ามือล้างแล้ว

ด้วยน้ำตาลกรวด อธิบายว่า มีมือถือดาบอันลับแล้วที่หินประกอบด้วย
น้ำมัน. บทว่า ตาเสสิมํ เสลํ ยาจมาโน ความว่า ท่านเมื่อขอ
แก้วมณีดวงนี้ ทำให้หวาดเสียว เหมือนบุรุษหนุ่มชักดาบมีด้าม
คร่ำทองแล้วกล่าวขู่ว่า จะตัดศีรษะท่าน. พระยานาคนั้นครั้นกล่าว
อย่างนี้แล้วจึงดำน้ำลงไปยังนาคพิภพทีเดียว แล้วไม่กลับมาอีกต่อไป.

ต่อมาพระดาบสนั้นกลับเป็นผู้ซูบผอม เศร้าหมอง ผิวพรรณ
ไม่งดงาม เกิดเป็นโรคผอมเหลือง มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยแถวเส้นเอ็น
หนักยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนเพราะไม่ได้เห็นพระยานาคผู้น่าดูตนนั้น. ฝ่าย
ดาบสผู้พี่ชายคิดว่าจักรู้เรื่องราวของดาบสผู้น้องชาย จึงไปยังสำนัก

ดาบสนั้น ได้เห็นดาบสผู้น้องชายนั้นมีโรคผอมเหลืองหนักกว่าเดิม
จึงกล่าวว่า ผู้เจริญ เพราะเหตุไรหนอ ท่านจึงเกิดโรคผอมเหลือง
ยิ่งกว่าเดิม ครั้นได้สดับว่า เพราะไม่ได้พบพระยานาคผู้น่าดูตนนั้น
จึงกำหนดได้ว่า ดาบสนี้ไม่อาจเหินห่างพระยานาคได้ จึงกล่าว
คาถาที่ ๓ ว่า :-

บุคคลรู้ว่าสิ่งใดเป็นที่รักของเขาก็ไม่
ควรขอสิ่งนั้น บุคคลย่อมเป็นที่เกลียดชัง
เพราะขอจัด พระยานาคถูกพราหมณ์ขอ
แก้วมณีตั้งแต่นั้นมา พระยานาคก็มิได้มาให้
พราหมณ์นั้นเห็นอีกเลย.

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
* ห่างไกลธรรม ย่อมยังชีวิตตนให้ตกต่ำ
* คิดก่อนพูด ก่อนจะรูดบัตรเครดิตควรคิดให้ดีฃ
* ใช้จ่ายง่าย ระวังจะหมดตัว
* หาเงินทองนั้นยากแท้ แต่หาเพื่อนแท้นั้นยากกว่า หาคนดียากที่สุด
* อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2018, 21:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ตํ ยาเจ ความว่า ไม่พึงขอ
สิ่งนั้น. บทว่า ยสฺส ปิยํ ชิคึเส ความว่า พึงรู้ว่า สิ่งใดเป็น
ที่รักของบุคคลนั้น. บทว่า เทสฺโส โหติ แปลว่า ย่อมไม่เป็น
ที่รัก. บทว่า อติยาจนาย ได้แก่ เมื่อขอสิ่งของเกินประมาณนั้นแล
ชื่อว่า เพราะขอจัดนั้น. บทว่า อทสฺสนํเยว ตทชฺฌคมา ได้แก่
ตั้งแต่นั้นมาก็ไปไม่เห็นอีกเลย.

ก็ดาบสผู้พี่ชายครั้นกล่าวกะดาบสน้องชายอย่างนั้นแล้วจึง
ปลอบโยนว่า ผู้เจริญ ตั้งแต่บัดนี้ไปท่านอย่าเศร้าโศกเสียใจเลย
แล้วกลับไปยังอาศรมของตน. ครั้นในกาลต่อมาอีกดาบสพี่น้องทั้ง

สองนั้นทำฌานและสมาบัติให้บังเกิดแล้ว ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปใน
เบื้องหน้า. พระบรมศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า
การขอ ไม่เป็นที่ชอบใจแม้ของพวกนาคที่อยู่ในนาคพิภพอันสมบูรณ์
ด้วยรัตนะทั้ง ๗ ประการ จะป่วยกล่าวไปใยถึงมนุษย์ทั้งหลายเล่า

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกว่า ดาบสน้องชายในกาลนั้น ได้เป็นพระอานนท์ในบัดนี้ ส่วน
ดาบสผู้พี่ชายคือเราตถาคต ฉะนี้แล
จบ อรรถกถามณิกัณฐชาดกที่ ๓

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2018, 21:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
พระสารีบุตรเถระ จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ภุตฺวา ติณปริฆาสํ
ดังนี้.

ได้ยินว่า สมัยหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ใน
พระนครสาวัตถี ออกพรรษาแล้วเสด็จเที่ยวจาริกแล้วเสด็จกลับมาอีก.
คนทั้งหลายคิดกันว่า จักกระทำอาคันตุกสักการะ จึงถวายมหาทาน
แก่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน. พากันตั้งภิกษุผู้ประกาศ
ธรรมรูปหนึ่งไว้ในพระวิหาร. ภิกษุนั้นจัดภิกษุให้แก่ทายกเท่าจำนวน

ที่ต้องการ. ครั้งนั้น มีหญิงแก่เข็ญใจคนหนึ่ง ได้จัดแจงส่วนทาน-
วัตถุไว้เฉพาะส่วนเดียว เมื่อพระธรรมโฆษกจัดภิกษุให้แก่คนเหล่านั้น
แล้ว ในเวลาสายนางจึงไปยังสำนักของพระธรรมโฆษกแล้วกล่าวว่า
ขอท่านจงจัดภิกษุให้แก่ดิฉันรูปหนึ่งเถิด. พระธรรมโฆษกกล่าวว่า

อาตมาจัดภิกษุให้ไปหมดแล้ว แต่พระสารีบุตรเถระยังอยู่ในวิหาร
ท่านจงถวายภิกษาหารแก่ท่านเถิด. หญิงชรานั้นดีใจ ยืนอยู่ที่ซุ้ม
ประตูพระเชตวันในเวลาพระเถระมา จึงไหว้แล้วรับบาตรจากมือนำ
ไปเรือนนิมนต์ให้นั่งในบ้าน. พวกตระกูลที่มีศรัทธาเป็นอันมากได้
ข่าวว่า หญิงชราคนหนึ่งนิมนต์พระธรรมเสนาบดีให้นั่งในเรือนของ

ตน. ในบรรดาชนเหล่านั้นพระเจ้าปัสเสนทิโกศลได้ทรงสดับเหตุนั้น
จึงทรงส่งภัตรและโภชนะพร้อมกับผ้าสาฎก และถุงทรัพย์หนึ่งพันไป
ให้หญิงชรา โดยตรัสสั่งว่า หญิงชราเมื่อจะอังคาสพระผู้เป็นเจ้าของ
เรา จงนุ่งห่มผ้าสาฎกนี้แล้วใช้จ่ายกหาปณะเหล่านี้อังคาสพระเถระ
เถิด. ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านจุลลอนาถบิณฑิกเศรษฐี แม้

นางวิสาขามหาอุบาสิกาก็ส่งไปเหมือนดังที่พระราชาทรงส่งไป. ส่วน
ตระกูลอื่นๆ ก็ส่งกหาปณะไปตามควรแก่กำลังของตนๆ คนละร้อย
สองร้อยเป็นต้น. โดยวิธีอย่างนี้ หญิงชราคนนั้นได้ทรัพย์ประมาณ
หนึ่งแสนเพียงวันเดียวเท่านั้น. ฝ่ายพระเถระดื่มยาคูเฉพาะที่หญิง

ชรานั้นถวาย และฉันเฉพาะของเคี้ยว และเฉพาะภัตรที่สุกแล้วที่หญิง
ชรานั้นกระทำ แล้วกล่าวอนุโมทนา ให้หญิงชรานั้นดำรงอยู่ใน

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
* ห่างไกลธรรม ย่อมยังชีวิตตนให้ตกต่ำ
* คิดก่อนพูด ก่อนจะรูดบัตรเครดิตควรคิดให้ดีฃ
* ใช้จ่ายง่าย ระวังจะหมดตัว
* หาเงินทองนั้นยากแท้ แต่หาเพื่อนแท้นั้นยากกว่า หาคนดียากที่สุด
* อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2018, 21:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
โสดาปัตติผล แล้วได้ไปยังวิหารทีเดียว. ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนาถึง
คุณของพระเถระในโรงธรรมสภาว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระธรรม
เสนาบดีได้เป็นที่พึ่งช่วยปลดเปลื้องหญิงชราผู้เป็นแม่เรือนให้พ้นจาก
ความเข็ญใจ ไม่รังเกียจอาหารที่นางถวาย ฉันได้. พระศาสดาเสด็จ
มาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมกันด้วย

เรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรเป็นที่พึ่งอาศัยของหญิงชราคนนี้ ใน
บัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ ทั้งมิได้รังเกียจบริโภคอาหารที่นางถวายใน
บัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน ก็ได้บริโภคเหมือนกัน ดังนี้
แล้ว ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในเมือง
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพาณิช ในอุตตราปถชนบท.
พ่อค้าม้า ๕๐๐ คน จากอุตตราปถชนบทนำม้ามาขายยังเมืองพาราณสี.
พ่อค้าม้าอีกคนหนึ่ง นำม้า ๕๐๐ ตัวเดินทางไปเมืองพาราณสี. ใน

ระหว่างทางมีหมู่บ้านนิคมหนึ่งอยู่ในที่ไม่ไกลเมืองพาราณสี. เมื่อ
ก่อนได้มีเศรษฐีมีทรัพย์สมบัติมากอยู่ในหมู่บ้านนั้น นิเวศน์ของ
เขาใหญ่โต แต่ตระกูลนั้นได้ถึงความเสื่อมสลายไปโดยลำดับ. เหลือ
แต่หญิงชราผู้เดียวเท่านั้น. หญิงชราคนนั้นอาศัยอยู่ในนิเวศน์นั้น.

ครั้งนั้น พ่อค้าม้าคนนั้นไปถึงหมู่บ้านนั้นแล้วพูดกะหญิงชราว่า ฉัน
จะให้ค่าเช่าแก่ท่าน แล้วจับจองการอยู่อาศัยในนิเวศน์ของหญิงชรา
นั้น พักม้าทั้งหลายไว้ ณ ส่วนสุดด้านหนึ่ง. ในวันนั้นเองแม่ม้า
อาชาไนยตัวหนึ่งของพ่อค้านั้นตกลูกออกมา. พ่อค้านั้นพักอยู่ ๒-๓

วัน พอให้ม้าทั้งหลายมีกำลัง จึงกล่าวว่า ฉันจักไปเฝ้าพระราชา จึง
พาม้าทั้งหลายไป. ลำดับนั้น หญิงชราได้พูดกับพ่อค้านั้นว่า ท่าน
จงให้ค่าเช่าบ้าน เมื่อพ่อค้ากล่าวว่า ดีละแม่ฉันจะให้ นางจึงกล่าวว่า
ดูก่อนพ่อ เมื่อท่านจะให้ค่าเช่าบ้านแก่ฉัน จงให้ลูกม้าตัวนี้ โดย

หักกับค่าเช่าบ้าน พ่อค้านั้นได้กระทำเหมือนอย่างนั้นแล้วก็หลีกไป.
หญิงชรานั้นเข้าไปตั้งความเสน่หาในลูกม้านั้นประหนึ่งบุตร เมื่อเป็น
อย่างนั้น ได้ให้ภัตรที่เป็นข้าวตังและหญ้าที่เป็นเดนแก่ลูกม้านั้น
ปรนนิบัติอยู่. ครั้นกาลต่อมาอีก พระโพธิสัตว์พาม้า ๕๐๐ ตัวไป
จับจองการอยู่อาศัยในเรือนนั้น พอได้กลิ่นจากที่ที่ลูกม้าสินธพกินรำ

อยู่ แม้ม้าสักตัวเดียวก็ไม่อาจเข้าไปยังลานของเรือนนั้น. พระโพธิ-
สัตว์จึงถามหญิงชรานั้นว่า ดูก่อนแม่ ในเรือนนี้มีม้าบ้างไหม ? หญิง
ชรากล่าวว่า ดูก่อนพ่อ ชื่อว่าม้าตัวอื่นไม่มี แต่เราปรนนิบัติลูกม้า
ตัวหนึ่งเหมือนอย่างลูก ลูกม้าตัวนั้นมีอยู่ในเรือนนี้.

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
* ห่างไกลธรรม ย่อมยังชีวิตตนให้ตกต่ำ
* คิดก่อนพูด ก่อนจะรูดบัตรเครดิตควรคิดให้ดีฃ
* ใช้จ่ายง่าย ระวังจะหมดตัว
* หาเงินทองนั้นยากแท้ แต่หาเพื่อนแท้นั้นยากกว่า หาคนดียากที่สุด
* อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2018, 21:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พ่อค้ากล่าวว่า ดูก่อนแม่ ลูกม้าตัวนั้นอยู่ที่ไหน. หญิงชรา
ตอบว่า ไปเที่ยวหากินจ้ะพ่อ. พ่อค้าว่า เวลาใดจักมาล่ะแม่. หญิงชรา
ตอบว่า ต่อเวลาจวนค่ำนั่นแหละ จึงจะมานะพ่อ. พระโพธิสัตว์เมื่อ
จะคอยการมาของลูกม้าสินธพนั้น จึงพักม้าทั้งหลายไว้ภายนอกแล้ว
นั่งอยู่. ฝ่ายลูกม้าสินธพเที่ยวหากินแล้ว ต่อเวลาจวนค่ำนั่นแล จึง

ได้กลับมา. พระโพธิสัตว์เห็นลูกม้าสินธพมีท้องเปื้อนรำ พิจารณา
ลักษณะทั้งหลายแล้วคิดว่า ม้าสินธพตัวนี้มีค่ามาก เราจะให้มูลค่า
แก่หญิงชราแล้ว ถือเอาลูกม้าสินธพจึงจะควร. ฝ่ายลูกม้าสินธพก็
เข้าเรือนยืนอยู่ในที่อยู่ของตนเท่านั้น. ขณะนั้น ม้าเหล่านั้นไม่อาจ
เข้าไปยังเรือน. พระโพธิสัตว์พักอยู่ ๒-๓ วัน ทำม้าทั้งหลายให้อิ่ม

หนำแล้ว เมื่อจะไปจึงกล่าวว่า แม่ท่านจงเอามูลค่าแล้วให้ลูกม้าตัวนี้
แก่ฉัน. หญิงชราว่า ท่านพูดว่าอะไรพ่อ ขึ้นชื่อว่าบุตร คนที่จะขาย
ย่อมไม่มี. พ่อค้าว่า แม่ ท่านให้ลูกม้าตัวนี้กินอะไรปรนนิบัติอยู่.
หญิงชราว่า ดูก่อนพ่อ เราให้กินรำข้าว ข้าวตังและหญ้าที่เป็นเดน
และให้ดื่มข้าวยาคูต้มด้วยรำข้าวปรนนิบัติอยู่. พ่อค้าว่า ดูก่อนแม่

ฉันได้ลูกม้าตัวนี้แล้วจักให้บริโภคโภชนะมีรสอร่อยทั้งก้อน แล้วขึง
เพดานผ้าตรงที่ที่เขายืน แล้วให้ยืนตั่งที่ลาดไว้. หญิงชราว่า ดูก่อนพ่อ
เมื่อเป็นอย่างนั้น บุตรของเราจงเสวยสุขอันเกิดจากโภคะ ท่านจงพา
เอาไปเถิด. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงวางถึงทรัพย์หกพัน โดยเป็น
มูลค่าของเท้าทั้ง ๔ เท้า หางและศีรษะของลูกม้านั้น แห่งละพัน

แล้วให้หญิงชรานุ่งห่มผ้าใหม่ ตกแต่งแล้วให้ยืนอยู่ข้างหน้าลูกม้า-
สินธพ. ลูกม้าสินธพนั้นลืมตาดูมารดาหลั่งน้ำตา. ฝ่ายหญิงชราลูบ
หลังลูกม้าอาชาไนยนั้นแล้วกล่าวว่า เราได้ทำการเลี้ยงดูเหมือนดังลูก
เจ้าจงไปเถิดพ่อ. ขณะนั้น ลูกม้าสินธพนั้นได้ไปแล้ว วันรุ่งขึ้น
พระโพธิสัตว์จัดแจงโภชนะมีรส สำหรับลูกม้านั้น คิดว่า เราจัก

ทดลองลูกม้านั้นดูก่อน ลูกม้านั้นจะรู้กำลังของตนหรือไม่ จึงให้
เทข้าวยาคูที่ต้มด้วยรำลงในรางแล้วให้กิน. ลูกม้าสินธพนั้นคิดว่า
เราจักไม่กินโภชนะนี้ จึงไม่ปรารถนาจะดื่มข้าวยาคูนั้น. พระโพธิสัตว์
เมื่อจะทดลองลูกม้าสินธพนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
* ห่างไกลธรรม ย่อมยังชีวิตตนให้ตกต่ำ
* คิดก่อนพูด ก่อนจะรูดบัตรเครดิตควรคิดให้ดีฃ
* ใช้จ่ายง่าย ระวังจะหมดตัว
* หาเงินทองนั้นยากแท้ แต่หาเพื่อนแท้นั้นยากกว่า หาคนดียากที่สุด
* อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2018, 21:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ท่านกินหญ้าที่เป็นเดน กินข้าวตัง
และรำ นี้เป็นอาหารของท่าน บัดนี้ เพราะ
เหตุไรท่านจึงไม่บริโภค.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภุตฺวา ติณปริฆาสํ ความว่า
เมื่อก่อน ท่านกินหญ้าที่เป็นเดน คือเดนหญ้าที่เหลือจากม้าทั้งหลาย
นั้นๆ กิน ที่หญิงชราให้จนเติบโต. ในบทว่า ภุตฺวา อาจามกุณฺฑกํ
นี้ ข้าวสุกสุดท้ายที่ติดก้นหม้อ เรียกว่าข้าวตัง รำนั่นแหละ

เรียกว่ากุณฑกะ. ท่านแสดงว่า ท่านกินข้าวตังและรำนั่นจนเติบโต.
บทว่า เอตํ เต ความว่า ข้าวตังและรำนั่นเป็นโภชนะของท่านใน
กาลก่อน. บทว่า กสฺมาทานิ น ภุญฺชสิ ความว่า เพราะเหตุไร
บัดนี้ ท่านจึงไม่กินข้าวตังและรำนั้น.
ลูกม้าสินธพได้ฟังดังนั้น จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถา นอกนี้ว่า :-

ข้าแต่ท่านมหาพราหมณ์ ในที่ใดชน
ทั้งหลายไม่รู้จักสัตว์เลี้ยง โดยชาติ หรือ
โดยวินัย ในที่นั้น รำและข้าวตังมีอยู่เป็น
อันมาก. ท่านก็รู้จักข้าพเจ้าดีแล้วว่า ม้าตัว
นี้เป็นม้าสูงส่งเพียงไร ข้าพเจ้ารู้สึกตัว เพราะ
อาศัยท่านผู้รู้ จึงไม่บริโภครำของท่าน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยตฺถ แปลว่า ในที่ใด. บทว่า
โปสํ แปลว่า สัตว์. บทว่า ชาติยา วินเยน วา ความว่า
ชนทั้งหลายย่อมรู้อย่างนี้ว่า ม้าตัวนี้สมบูรณ์ด้วยชาติหรือไม่ หรือ
ว่าประกอบด้วยมารยาทหรือไม่. ม้าสินธพเมื่อจะเรียกจึงกล่าวการ

เรียกอย่างเคารพว่า ข้าแต่ท่านมหาพราหณ์. บทว่า ยาทิโสยํ ตัด
เป็น ยาทิโส อยํ แปลว่า ม้านี้เป็นม้าเช่นใด. ม้าสินธพกล่าว
หมายถึงตน. บทว่า ชานนฺโต ชานมาคมฺม ความว่า ข้าพเจ้า
รู้กำลังของตน เพราะอาศัยท่านผู้รู้อยู่นั่นแหละ จึงไม่กินรำใน
สำนักของท่าน ก็ท่านให้ทรัพย์ ๖ พันแล้วพาเอาข้าพเจ้ามา เพราะ
ประสงค์จะให้กินรำ ก็หามิได้.

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
* ห่างไกลธรรม ย่อมยังชีวิตตนให้ตกต่ำ
* คิดก่อนพูด ก่อนจะรูดบัตรเครดิตควรคิดให้ดีฃ
* ใช้จ่ายง่าย ระวังจะหมดตัว
* หาเงินทองนั้นยากแท้ แต่หาเพื่อนแท้นั้นยากกว่า หาคนดียากที่สุด
* อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2018, 21:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น จึงปลอบโยนลูกม้าสินธพนั้นว่า
เราทำดังนั้นเพื่อจะทดลองเจ้าอย่าโกรธเลย แล้วให้บริโภคโภชนะดี
พาไปพระลานหลวง กันม้า ๕๐๐ ตัวไว้ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่ง แวดวง
ด้วยม่านอันวิจิตร ลาดเครื่องลาดข้างล่าง เบื้องบนดาดเพดานผ้า
ให้ลูกม้าสินธพยืนอยู่ในนั้น. พระราชาเสด็จมาทอดพระเนตรดู

ฝูงม้าตรัสถามว่า เหตุไฉน ม้าตัวนี้จึงแยกไว้ต่างหาก ได้ทรง
สดับว่า ม้าตัวนี้เป็นม้าสินธพ ถ้าไม่แยกไว้ในฝูงม้าเหล่านี้ก็จักหลุด
หนีไป จึงตรัสถามว่า พ่อมหาจำเริญ ม้าสินธพงดงามว่องไวหรือ ?
พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า งดงามว่องไวดี พระเจ้าข้า. เมื่อพระองค์
ตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นเราจะดูความว่องไวของม้าสินธพตัวนี้ จึงผูกม้า

นั้นแล้วขึ้นขี่ พลางกราบทูลว่า ขอเดชะ ขอพระองค์โปรดทอด
พระเนตร แล้วให้พวกมนุษย์หลีกออกไปแล้วควบขับไปในพระลาน
หลวง พระลานหลวงทั้งหมดได้เป็นเหมือนแถวม้าติดกันไปหมด.
พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ขอเดชะ ขอพระองค์โปรดทอดพระเนตร

กำลังเร็วของลูกม้าสินธพพระเจ้าข้า แล้วปล่อยออกไปอีก แม้คน
สักคนหนึ่งก็แลไม่เห็นลูกม้าสินธพนั้น. จึงเอาแผ่นผ้าแดงผูกที่ท้อง
แล้วปล่อยออกไปอีก. พวกมหาชนเห็นแต่แผ่นผ้าแดงที่เขาผูกไว้ที่
ท้องของลูกม้าสินธพนั้นเท่านั้น. ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์จึงปล่อยม้า
สินธพนั้นบนหลังน้ำในสระโบกขรณีแห่งหนึ่ง ภายในพระนคร. เมื่อ

ม้าสินธพนั้นวิ่งไปบนหลังพื้นน้ำในสระโบกขรณีนั้น แม้แต่ปลายกีบ
ก็ไม่เปียก เมื่อวิ่งควบไปบนใบบัวอีกครั้งหนึ่ง แม้ใบบัวสักใบหนึ่ง
ก็มิได้จมลงในน้ำ. พระโพธิสัตว์ครั้นแสดงสมบัติแห่งความรวดเร็ว
ของลูกม้าสินธพนั้นอย่างนี้แล้ว จึงลง ปรบมือยื่นฝ่ามือเข้าไป. ม้า

กระโดดขึ้นไปยืนบนฝ่ามือ กระทำเท้าทั้งสี่ให้รวมอยู่ในที่เดียวกัน.
ลำดับนั้น มหาสัตว์กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่มหาราช เมื่อข้า-
พระองค์แสดงกำลังเร็วของอัศวโปดกตัวนี้โดยอาการทุกอย่าง เมื่อ
จะทรงเก็บไว้ในแว่นแคว้นอันมีสมุทรเป็นขอบเขต ก็ย่อมไม่เพียงพอ
ที่จะเก็บไว้. พระราชาทรงดีพระทัย ได้ประทานตำแหน่งอุปราช
แก่พระมหาสัตว์ ได้อภิเษกลูกม้าสินธพแล้วตั้งให้เป็นม้ามิ่งมงคล.

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
* ห่างไกลธรรม ย่อมยังชีวิตตนให้ตกต่ำ
* คิดก่อนพูด ก่อนจะรูดบัตรเครดิตควรคิดให้ดีฃ
* ใช้จ่ายง่าย ระวังจะหมดตัว
* หาเงินทองนั้นยากแท้ แต่หาเพื่อนแท้นั้นยากกว่า หาคนดียากที่สุด
* อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 66, 67, 68, 69, 70, 71, 72 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 0 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร