วันเวลาปัจจุบัน 13 ก.ย. 2025, 22:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 16, 17, 18, 19, 20, 21, 22 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ย. 2018, 19:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
มักคุ้นจำนวนมากประชุมกัน รุกขเทวดาดีใจว่า เราได้วิมาน
แล้ว เมื่อจะกล่าวคุณของพระโพธิสัตว์ ในท่ามกลางที่ประชุม
เทวดาเหล่านั้น จึงกล่าวว่า ดูก่อนเทพยเจ้าผู้เจริญทั้งหลาย
ชาวเราถึงจะเป็นเทวดามเหศักดิ์ ก็มิได้รู้อุบายนี้ เพราะปัญญาทึบ
ส่วนเทวดากุสนาฬิ ได้กระทำให้เราเป็นเจ้าของวิมานได้ เพราะ

ญาณสมบัติของตน ธรรมดามิตร ไม่เลือกว่าเท่าเทียมกัน ยิ่งกว่า
หรือต่ำกว่า ควรคบไว้ทั้งนั้น มิตรแม้ทุก ๆ คน อาจบำบัดทุกข์
ที่บังเกิดแก่เพื่อนฝูง ให้คงคืนตั้งอยู่ในความสุขได้ ตามกำลัง
ของตนทีเดียว ครั้นพรรณนามิตรธรรมแล้ว กล่าวคาถานี้ ความว่า :-

บุคคลผู้เสมอกัน ประเสริฐกว่ากัน หรือ
เลวกว่ากัน ก็ควรคบกันไว้ เพราะมิตรเหล่านั้น
เมื่อความเสื่อมเกิดขึ้น ก็พึงทำประโยชน์อัน
อุดมให้ได้ ดูเราผู้เป็นรุกขเทวดา และเทวดาผู้
เกิดที่กอหญ้าคาคบกันฉะนั้น ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้นบทว่า กเร สริกฺขโก ความว่า แม้คน
เสมอกัน ด้วยฐานะมีชาติเป็นต้น ก็ควรคบกันไว้.
บทว่า อถวาปิ เสฏฺโฐ ความว่า แม้เป็นผู้สูงกว่า คือยิ่งกว่า
ด้วยชาติเป็นต้น ก็ควรคบไว้.

บทว่า นิหีนโก จาปิ กเรยฺย เอโก ความว่า ถึงจะเป็นคน
ต่ำต้อยด้วยชาติเป็นต้นคนหนึ่ง ก็พึงกระทำมิตรธรรมไว้ ท่าน
แสดงความหมายว่า เหตุนั้น คนเหล่านี้แม้ทั้งหมด ควรทำให้
เป็นมิตรไว้ทั้งนั้น.

ถามว่า เพราะอะไร ?
ตอบว่า เพราะมิตรเหล่านั้นเมื่อความเสื่อมเกิดขึ้น ก็พึง
ทำประโยชน์อันอุดมให้ได้ ขยายความว่า ก็เพราะคนเหล่านี้
ทั้งหมด เมื่อความพิบัติเกิดขึ้นแก่สหายแล้ว ก็ช่วยแบ่งเบาภาระ
ที่มาถึงตน กระทำประโยชน์อย่างสูงให้ได้ คือช่วยปลดเปลื้อง
สหายนั้นจากทุกข์กาย ทุกข์ใจได้ เพราะเหตุนั้น มิตรแม้จะ

• ความรู้จะมีมาก หากมิมากไปด้วยความตระหนี่
• แบ่งปันความรู้ด้วยความเมตตา ย่อมนำพาความเจริญสุขมาให้
• ความรู้มีเพื่อแบ่งปัน ก็เราต่างก็เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายเช่นกันนี่
• ความสุขเกิดจากความสามัคคี เมื่อมีดีไม่แบ่งปันแล้วจะเกิดหรือความสามัคคีนั้น?
• อ่านแล้วอ่านอีก หากยังไม่เข้าใจ
• ชีวิตยังเหลือน้อยเต็มที ถามตัวเองว่ามีความดีมากแค่ไหนแล้ว
• โลกก้าวไกลยิ่ง ยิ่งทำใจให้ตกต่ำ (ทำแต่อกุศล)
• เพิ่มความอบอุ่นอีกนิด ด้วยจิตเมตตาต่อคนรอบข้าง
• ความตระหนี่ทำให้ห่างไกล ยังใจให้เกิดอกุศล

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ย. 2018, 19:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
ต่ำต้อยกว่า ก็ควรคบไว้ทีเดียว จะป่วยกล่าวไปใยถึงมิตรนอกนี้
ในข้อนั้น มีเรื่องนี้เป็นข้ออุปมาเหมือนข้าพเจ้าเป็นเทวดาเกิดที่
ไม้รุจา และเทวดาเกิดที่กอหญ้าคา มีศักดาน้อย ต่างกระทำ
ความสนิทสนมฉันมิตรกันไว้ ถึงในเราสองคนนั้น ข้าพเจ้าแม้
จะมีศักดามาก ก็ไม่อาจบำบัดทุกข์ที่เกิดแก่ตนได้ เพราะเป็น

คนเขลา ไม่ฉลาดในอุบาย แต่ได้อาศัยเทวดาผู้นี้ แม้จะมีศักดา
น้อย ก็เป็นบัณฑิต จึงพ้นจากทุกข์ได้ฉะนั้น. เพราะเหตุนั้น
แม้คนอื่น ๆ ประสงค์จะพ้นทุกข์ ก็ไม่จำต้องคำนึงถึงความ
เสมอกัน และความวิเศษกว่ากัน พึงคบมิตรทั้งต่ำ ทั้งประณีต.

รุจาเทวดา แสดงธรรมแก่หมู่เทวดาด้วยคาถานี้ ดำรงอยู่
ชั่วอายุขัยแล้ว ไปตามยถากรรมพร้อมกับกุสนาฬิเทวดา.
พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกว่า รุจาเทวดาในครั้งนั้น ได้มาเป็นอานนท์ ส่วนกุสนาฬิ-
เทวดา ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถากุสนาฬิชาดกที่ ๑

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ย. 2018, 19:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน ทรง
ปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
ยสํ ลทฺธาน ทุมฺเมโธ ดังนี้ :-

ความโดยย่อว่า ภิกษุทั้งหลายพากันกล่าวโทษของพระ-
เทวทัตในธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระเทวทัตมองดู
พระพักตร์อันทรงสิริ เหมือนดวงจันทร์เต็มดวง และพระอัตภาพ
อันประดับด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ และมหาปุริสลักษณะ ๓๒

ประการ แวดวงด้วยพระรัศมีแผ่ซ่านประมาณ ๑ วา ถึงความงาม
เลิศเป็นยอดเยี่ยม เปล่งพระพุทธรัศมี เป็นแฉกคู่ ๆ กัน โดย
อาการต่าง ๆ สลับกันของพระตถาคตแล้ว ไม่อาจยังจิตให้
เลื่อมใสได้ มิหนำซ้ำยังกระทำความริษยาเอาด้วยไม่อาจจะอดใจ
ได้ในเมื่อมีผู้กล่าวว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงประกอบ

แล้วด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติญาณทัสสนะ เห็นปานนี้
กระทำความริษยาถ่ายเดียว พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่เทวทัตกระทำการ
ริษยาเรา ในเมื่อมีผู้กล่าวถึงคุณของเรา แม้ในปางก่อนก็ได้
เคยกระทำแล้วเหมือนกัน แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก
ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล ครั้งเมื่อพระเจ้ามคธองค์หนึ่ง ครองราชสมบัติ
ในกรุงราชคฤห์ พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดช้าง ได้เป็น
ช้างเผือก ถึงพร้อมด้วยรูปสมบัติ เช่นเดียวกับที่พรรณนา
มาแล้วในหนหลังพระราชาพระองค์นั้นทรงพระดำริว่า ช้างนี้

สมบูรณ์ด้วยลักษณะ จึงได้ทรงแต่งตั้งให้เป็นมงคลหัตถี ครั้น
ถึงวันมหรสพวันหนึ่ง โปรดให้ประดับตกแต่งพระนครทั้งสิ้น
งดงามดังเทพนคร เสด็จขึ้นสู่มงคลหัตถี อันประดับด้วยเครื่อง
อลังการพร้อมสรรพ ทรงกระทำประทักษิณพระนครด้วยราชา-

• ความรู้จะมีมาก หากมิมากไปด้วยความตระหนี่
• แบ่งปันความรู้ด้วยความเมตตา ย่อมนำพาความเจริญสุขมาให้
• ความรู้มีเพื่อแบ่งปัน ก็เราต่างก็เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายเช่นกันนี่
• ความสุขเกิดจากความสามัคคี เมื่อมีดีไม่แบ่งปันแล้วจะเกิดหรือความสามัคคีนั้น?
• อ่านแล้วอ่านอีก หากยังไม่เข้าใจ
• ชีวิตยังเหลือน้อยเต็มที ถามตัวเองว่ามีความดีมากแค่ไหนแล้ว
• โลกก้าวไกลยิ่ง ยิ่งทำใจให้ตกต่ำ (ทำแต่อกุศล)
• เพิ่มความอบอุ่นอีกนิด ด้วยจิตเมตตาต่อคนรอบข้าง
• ความตระหนี่ทำให้ห่างไกล ยังใจให้เกิดอกุศล

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ย. 2018, 19:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
นุภาพอันใหญ่หลวง มหาชนยืนดูในที่นั้น ๆ เห็นสรีระอันถึง
ความงามเลิศด้วยสมบัติของมงคลหัตถี ก็พากันพรรณนาถึง
มงคลหัตถีเท่านั้น ว่ารูปงาม การเดินสง่า ท่าทางองอาจ สมบูรณ์
ด้วยลักษณะอย่างแท้จริง พญาช้างเผือกเห็นปานนี้ สมควรเป็น
คู่บุญบารมีของพระเจ้าจักรพรรดิ์ พระราชาทรงสดับเสียง

สรรเสริญมงคลหัตถี ไม่ทรงสามารถจะอดพระทัยได้ ทรงเกิด
ความริษยา ดำริว่า วันนี้แหละจะให้มันตกเขาถึงความสิ้นชีวิต
ให้จงได้ แล้วรับสั่งให้หานายหัตถาจารย์มา รับสั่งถามว่า ช้างนี้
ต้องทำอย่างไรบ้าง เจ้าให้ศึกษาแล้วหรือ ? นายหัตถาจารย์

กราบทูลว่าข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ให้ศึกษาดีแล้วพระเจ้าข้า
รับสั่งท้วงว่า ยังฝึกไม่ดีนะ กราบทูลยืนยันว่า ฝึกดีแล้ว
พระเจ้าข้า รับสั่งว่า ถ้าฝึกดีแล้ว เจ้าจักอาจให้มันขึ้นสู่ยอดเขา
เวปุลละ ได้หรือ ? กราบทูลว่าพระเจ้าข้า ข้าแต่สมมติเทพ

รับสั่งว่าถ้าเช่นนั้นมาเถิด พระองค์เองเสด็จลงให้นายหัตถาจารย์
ขึ้นนั่งไสไปถึงเชิงเขา เมื่อนายหัตถาจารย์นั่งเหนือหลังช้าง
ไสถึงยอดเขาเวปุลละแล้ว แม้พระองค์เองแวดล้อมด้วยหมู่อำมาตย์
ก็เสด็จขึ้นสู่ยอดเขา แล้วทรงบังคับนายหัตถาจารย์ ให้ไสช้าง

บ่ายหน้าไปทางเหว รับสั่งว่า เจ้าบอกว่าช้างเชือกนี้ฝึกดีแล้ว
จงให้มันยืน ๓ ขา เท่านั้น นายหัตถาจารย์นั่งบนหลัง ได้ให้
สัญญาแก่ช้างด้วยส้นเท้า ให้ช้างรู้ว่า พ่อเอ๋ย จงยืน ๓ ขาเถิด
พระราชารับสั่งว่า ให้มันยืนด้วยเท้าหน้าทั้งสองเท่านั้นเถิด

ช้างผู้มหาสัตว์ ก็ยกเท้าหลังทั้งสองขึ้น ยืนด้วยสองเท้าหน้า
แม้เมื่อพระราชาตรัสว่า ให้มันยืนด้วยสองเท้าหลังเท่านั้น ก็ยก
เท้าทั้งสองข้างหน้าขึ้น ยืนด้วยสองเท้าหลัง แม้เมื่อตรัสสั่งว่า
ให้ยืนขาเดียว ก็ยกเท้าทั้งสามขึ้นเสีย ยืนด้วยเท้าข้างเดียว

เท่านั้น พระราชาครั้นทรงทราบความที่พญาช้างนั้นไม่ตก ก็
ตรัสสั่งว่า ถ้าสามารถจริง ก็จงให้ยืนในอากาศเถิด นาย-

• ความรู้จะมีมาก หากมิมากไปด้วยความตระหนี่
• แบ่งปันความรู้ด้วยความเมตตา ย่อมนำพาความเจริญสุขมาให้
• ความรู้มีเพื่อแบ่งปัน ก็เราต่างก็เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายเช่นกันนี่
• ความสุขเกิดจากความสามัคคี เมื่อมีดีไม่แบ่งปันแล้วจะเกิดหรือความสามัคคีนั้น?
• อ่านแล้วอ่านอีก หากยังไม่เข้าใจ
• ชีวิตยังเหลือน้อยเต็มที ถามตัวเองว่ามีความดีมากแค่ไหนแล้ว
• โลกก้าวไกลยิ่ง ยิ่งทำใจให้ตกต่ำ (ทำแต่อกุศล)
• เพิ่มความอบอุ่นอีกนิด ด้วยจิตเมตตาต่อคนรอบข้าง
• ความตระหนี่ทำให้ห่างไกล ยังใจให้เกิดอกุศล

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ย. 2018, 19:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
หัตถาจารย์คิดว่า ทั่วชมพูทวีป ช้างที่ได้ชื่อว่าฝึกดีแล้ว เช่นกับ
พญาช้างนี้ไม่มีเลย ก็แต่พระราชาพระองค์นี้ มีพระประสงค์
ให้ช้างนั้นตกเขาตายเป็นแน่ไม่ต้องสงสัย คิดแล้วก็กระซิบที่
ใกล้หูว่า พ่อเอ๋ย พระราชานี้ประสงค์จะให้เจ้าตกเขาตายเสีย
เจ้าไม่คู่ควรแก่ท้าวเธอ ถ้าเจ้ามีกำลังพอจะไปทางอากาศได้

ก็จงพาเราผู้นั่งบนหลัง เหาะขึ้นสู่เวหาไปสู่พระนครพาราณส
ีเถิด พระมหาสัตว์ถึงพร้อมด้วยบุญฤทธิ์ ได้ยืนอยู่ในอากาศ
ในขณะนั้นเอง นายหัตถาจารย์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ช้างนี้
ถึงพร้อมด้วยบุญฤทธิ์ ไม่คู่ควรแก่คนมีบุญน้อย ปัญญาทราม

เช่นพระองค์ คู่ควรแก่พระราชาผู้เป็นบัณฑิต ถึงพร้อมด้วยบุญ
ขึ้นชื่อว่า คนบุญน้อยเช่นพระองค์ ถึงได้พาหนะเช่นนี้ ก็มิได้
รู้คุณของมัน รังแต่จะยังพาหนะนั้น และยศสมบัติที่เหลือ ให้
ฉิบหายไปฝ่ายเดียว ทั้ง ๆ ที่นั่งอยู่บนคอช้าง กล่าวคาถานี้
ความว่า :-

"ผู้มีปัญญาทราม ได้ยศแล้ว ย่อม
ประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่ตน ย่อม
ปฏิบัติเพื่อความเบียดเบียนตนและคนอื่น"
ดังนี้.

ในคาถานั้น มีความสังเขปดังนี้ ข้าแต่มหาราชเจ้า คนโง่ ๆ
คือคนที่ไร้ปัญญาเช่นพระองค์ ได้บริวารสมบัติแล้ว ย่อมประพฤติ
ความฉิบหายแก่ตน เพราะเหตุไร ? เพราะเหตุว่า คนโง่ ๆ นั้น
มัวเมาในยศแล้ว มิได้รู้การที่ควรทำและไม่ควรทำ ย่อมปฏิบัติ

เพื่อเบียดเบียนตนและคนอื่น ๆ คือย่อมดำเนินการเพื่อที่ยังความ
ลำบาก และความทุกข์เกิดขึ้น ซึ่งเรียกว่า เบียดเบียนเท่านั้นเอง.

• ความรู้จะมีมาก หากมิมากไปด้วยความตระหนี่
• แบ่งปันความรู้ด้วยความเมตตา ย่อมนำพาความเจริญสุขมาให้
• ความรู้มีเพื่อแบ่งปัน ก็เราต่างก็เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายเช่นกันนี่
• ความสุขเกิดจากความสามัคคี เมื่อมีดีไม่แบ่งปันแล้วจะเกิดหรือความสามัคคีนั้น?
• อ่านแล้วอ่านอีก หากยังไม่เข้าใจ
• ชีวิตยังเหลือน้อยเต็มที ถามตัวเองว่ามีความดีมากแค่ไหนแล้ว
• โลกก้าวไกลยิ่ง ยิ่งทำใจให้ตกต่ำ (ทำแต่อกุศล)
• เพิ่มความอบอุ่นอีกนิด ด้วยจิตเมตตาต่อคนรอบข้าง
• ความตระหนี่ทำให้ห่างไกล ยังใจให้เกิดอกุศล

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ย. 2018, 19:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
นายหัตถาจารย์แสดงธรรมแก่พระราชา ด้วยคาถานี้
ด้วยประการฉะนี้ แล้วกราบทูลว่า คราวนี้เชิญเสด็จประทับ
อยู่เถิด แล้วพรางเหาะขึ้นในอากาศ ตรงไปพระนครพาราณส
ีทีเดียว หยุดอยู่ในอากาศที่ท้องพระลานหลวง ทั่วทั้งพระนคร
อื้อฉาวเอิกเกริกเป็นเสียงเดียวกันว่า ช้างเผือกของพระราชา

แห่งชาวเรามาทางอากาศ หยุดยืนอยู่ที่ท้องพระลานหลวง
ราชบุรุษทั้งหลายรีบกราบทูลพระราชา พระราชาเสด็จมาตรัส
ว่า ถ้าเจ้ามาเพื่อเป็นอุปโภคแก่เรา เชิญเจ้าลงยืนที่พื้นดินเถิด
พระโพธิสัตว์ก็ลงยืนที่แผ่นดิน อาจารย์ก็ก้าวลงถวายบังคม

พระราชา ได้รับพระดำรัสว่า พ่อคุณ พ่อมาจากไหน ? กราบ
ทูลว่า มาจากเมืองราชคฤห์พระเจ้าข้า แล้วกราบทูลเรื่องทั้งปวง
ให้ทรงทราบ พระราชตรัสว่า พ่อคุณ การที่พ่อมาที่นี่ กระทำ
สิ่งที่น่าชื่นชมจริง ๆ ทรงหรรษาและดีพระทัย ตรัสให้ตระเตรียม

พระนคร ทรงตั้งพญาช้างในตำแหน่งมงคลหัตถี ทรงแบ่งราช-
สมบัติทั้งสิ้นออกเป็น ๓ ส่วน ส่วนหนึ่งพระราชทานแก่พระ-
โพธิสัตว์ ส่วนหนึ่งแก่อาจารย์ ส่วนหนึ่งพระองค์ทรงครอบครอง
ก็นับจำเดิมแต่พระโพธิสัตว์มาแล้วนั่นแล ราชสมบัติในชมพูทวีป

ทั้งสิ้น ก็ตกอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ของพระราชา พระองค์เป็น
พระราชาผู้ยิ่งใหญ่ในชมพูทวีป ทรงบำเพ็ญบุญมีทานเป็นต้น
แล้วเสด็จไปตามยถากรรม.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกว่า พระราชามคธในครั้งนั้น ได้มาเป็นเทวทัต พระเจ้า-
กรุงพาราณสีได้มาเป็นพระสารีบุตร นายหัตถาจารย์ได้มาเป็น
อานนท์ ส่วนช้างได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาทุมเมธชาดกที่ ๒

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ย. 2018, 19:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภพระโลลุทายีเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้น
ว่า อสพฺพตฺถคามึ วาจํ ดังนี้.

ได้ยินว่า พระเถระนั้น เมื่อกล่าวธรรม มิได้รู้ข้อที่ควร
และไม่ควรว่า ในที่นี้ ควรกล่าวข้อนี้ ในที่นี้ไม่ควรกล่าวข้อนี้
ในงานมงคล ก็กล่าวอวมงคล กล่าวอนุโมทนาอวมงคล
นี้ว่า เปรตทั้งหลายพากันยืนอยู่ที่นอกฝาเรือน และที่กรอบ

ประตูและเช็ดหน้าเป็นต้น ครั้นถึงงานอวมงคล เมื่อกระทำ
อนุโมทนากลับกล่าวว่า เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมาก
ได้คิดมงคลทั้งหลายกันแล้ว เป็นต้น แล้วกล่าวย้ำว่า ขอให้
พวกท่านสามารถกระทำมงคลเห็นปานนั้น ให้ได้ร้อยเท่า พันเท่า

เถิด ครั้นวันหนึ่งภิกษุทั้งหลาย พากันยกเรื่องนี้ขึ้นสนทนากัน
ในโรงธรรมว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระโลลุทายี มิได้รู้ข้อที่ควร
และไม่ควร กล่าววาจาที่ไม่น่ากล่าวทั่วไป ทุกหนทุกแห่ง พระ-
ศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่ง

ประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ? ครั้นภิกษุทั้งหลายกราบทูล
ให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้
เท่านั้นที่โลลุทายีนี้ มีไหวพริบช้า เมื่อกล่าวก็ไม่รู้ข้อที่ควร
และไม่ควร แม้ในครั้งก่อนก็ได้เป็นอย่างนี้ เธอเป็นผู้เลื่อนเปื้อน
เรื่อยทีเดียว แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

• ความรู้จะมีมาก หากมิมากไปด้วยความตระหนี่
• แบ่งปันความรู้ด้วยความเมตตา ย่อมนำพาความเจริญสุขมาให้
• ความรู้มีเพื่อแบ่งปัน ก็เราต่างก็เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายเช่นกันนี่
• ความสุขเกิดจากความสามัคคี เมื่อมีดีไม่แบ่งปันแล้วจะเกิดหรือความสามัคคีนั้น?
• อ่านแล้วอ่านอีก หากยังไม่เข้าใจ
• ชีวิตยังเหลือน้อยเต็มที ถามตัวเองว่ามีความดีมากแค่ไหนแล้ว
• โลกก้าวไกลยิ่ง ยิ่งทำใจให้ตกต่ำ (ทำแต่อกุศล)
• เพิ่มความอบอุ่นอีกนิด ด้วยจิตเมตตาต่อคนรอบข้าง
• ความตระหนี่ทำให้ห่างไกล ยังใจให้เกิดอกุศล

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ย. 2018, 19:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์มหาศาล
เจริญวัยแล้ว เล่าเรียนสรรพศิลปวิทยาในเมืองตักกสิลา ได้เป็น
อาจารย์ทิศาปาโมกข์ ในพระนครพาราณสี บอกศิลปวิทยาแก่
มาณพ ๕๐๐ ครั้งนั้น ในบรรดามาณพเหล่านั้น มีมาณพผู้หนึ่ง

มีไหวพริบย่อหย่อน (ปัญญาอ่อน) เลื่อนเปื้อน เป็นธัมมันเตวาสิก
เรียนศิลปะ แต่ไม่อาจจะเล่าเรียนได้ เพราะความเป็นคนทึบ
แต่ได้เป็นผู้มีอุปการะต่อพระโพธิสัตว์ ทำกิจทุก ๆ อย่างให้
เหมือนทาส อยู่มาวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์บริโภคอาหารเย็นแล้ว

นอนเหนือเตียงนอน กล่าวกะมาณพนั้น ผู้ทำการนวดมือ เท้า
และหลังให้ แล้วจะไปว่า พ่อคุณ เจ้าช่วยหนุนเท้าเตียงให้ก่อน
แล้วค่อยไปเถิด มาณพหนุนเท้าเตียงข้างหนึ่งแล้ว ไม่ได้อะไร
ที่จะหนุนเท้าเตียงอีกข้างหนึ่ง ก็เลยเอาวางไว้บนขาของตนจน

ตลอดคืน พระโพธิสัตว์ลุกขึ้นในตอนเช้า เห็นเขาแล้ว ถามว่า
พ่อคุณ เจ้านั่งทำไมเล่า ? เขาตอบว่า ท่านอาจารย์ขอรับ ผม
หาอะไรหนุนเท้าเตียงไม่ได้ เลยเอาวางไว้บนขาของตนนั่งอยู่
พระโพธิสัตว์ สลดใจ คิดว่า มาณพมีอุปการคุณแก่เรายิ่งนัก

ในกลุ่มมาณพมีประมาณเท่านี้ เจ้านี้คนเดียวโง่กว่าเพื่อน ไม่
อาจศึกษาศิลปะได้ ทำอย่างไรเล่าหนอ เราจึงจะทำให้เขา
ฉลาดขึ้นได้ ครั้นแล้วก็ได้เกิดความคิดขึ้นว่า มีอุบายอยู่อย่างหนึ่ง
เราต้องคอยถามมาณพนี้ ผู้ไปหาฟืนหาผักมาแล้วว่า วันนี้เจ้า

• ความรู้จะมีมาก หากมิมากไปด้วยความตระหนี่
• แบ่งปันความรู้ด้วยความเมตตา ย่อมนำพาความเจริญสุขมาให้
• ความรู้มีเพื่อแบ่งปัน ก็เราต่างก็เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายเช่นกันนี่
• ความสุขเกิดจากความสามัคคี เมื่อมีดีไม่แบ่งปันแล้วจะเกิดหรือความสามัคคีนั้น?
• อ่านแล้วอ่านอีก หากยังไม่เข้าใจ
• ชีวิตยังเหลือน้อยเต็มที ถามตัวเองว่ามีความดีมากแค่ไหนแล้ว
• โลกก้าวไกลยิ่ง ยิ่งทำใจให้ตกต่ำ (ทำแต่อกุศล)
• เพิ่มความอบอุ่นอีกนิด ด้วยจิตเมตตาต่อคนรอบข้าง
• ความตระหนี่ทำให้ห่างไกล ยังใจให้เกิดอกุศล

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ย. 2018, 19:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
เห็นอะไร เจ้าทำอะไร เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจะต้องบอกเราว่า
วันนี้ผมเห็นสิ่งชื่อนี้ ทำกิจชื่อนี้ ครั้นแล้วเราต้องถามว่า ที่เจ้า
เห็น ที่เจ้าทำเช่นอะไร ? เขาจักบอกโดยอุปมาและโดยเหตุว่า
อย่างนี้ ด้วยวิธีนี้ เราให้เขากล่าวอุปมาและเหตุแล้ว จักทำให้

เขาฉลาดได้ ด้วยอุบายนี้ ท่านจึงเรียกเขามาบอกว่า พ่อมาณพ
ตั้งแต่บัดนี้ไป ในที่ที่เจ้าไปหาฟืนและหาผัก เจ้าได้เห็นได้กิน
ได้ดื่ม หรือได้เคี้ยวสิ่งใดในที่นั้น ครั้นมาแล้ว ต้องบอกสิ่งนั้น
แก่เรา.

เขารับคำว่า ดีละขอรับ วันหนึ่งไปป่าเพื่อหาฟืนกับมาณพ
ทั้งหลาย เห็นงูในป่า ครั้นมาแล้วก็บอกว่า ท่านอาจารย์ครับ
ผมเห็นงู ท่านอาจารย์ถามว่า พ่อคุณขึ้นชื่อว่างู เหมือนอะไร ?
ตอบว่าแม้นเหมือนงอนไถครับ อาจารย์ชมว่า ดีแล้ว ดีแล้ว
พ่อคุณ อุปมาที่เจ้านำมาว่า งูเหมือนงอนไถเป็นที่พอใจละ

ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์ดำริว่า อุปมาน่าพอใจ มาณพนำมาได้
เราคงอาจจะทำให้เขาฉลาดได้ ฝ่ายมาณพวันหนึ่งเห็นช้างในป่า
มาบอกว่า ท่านอาจารย์ครับ ผมเห็นช้าง อาจารย์ซักว่า ช้าง
เหมือนอะไรเล่า พ่อคุณ ? ตอบว่า ก็เหมือนงอนไถนั่นแหละ

พระโพธิสัตว์คิดว่า งวงช้างก็เหมือนงอนไถ อื่น ๆ เช่นงาเป็นต้น
ก็พอจะมีรูปร่างเช่นนั้นได้ แต่มาณพนี้ไม่อาจจำแนกกล่าวได
้เพราะตนโง่ ชะรอยจะพูดหมายเอางวงช้าง แล้วก็นิ่งไว้ อยู่มา
วันหนึ่ง มาณพได้กินอ้อยในที่ที่เขาเชิญไป ก็มาบอกว่า ท่าน-
อาจารย์ครับ วันนี้ผมได้เคี้ยวอ้อย เมื่อถูกซักว่า อ้อยเหมือน

อะไรเล่า ? ก็กล่าวว่า เหมือนงอนไถอย่างไรเล่าครับ อาจารย์
คิดว่า มาณพ กล่าวเหตุผลสมควรหน่อย แล้วคงนิ่งไว้ อีกวันหนึ่ง
ในที่ที่ได้รับเชิญ มาณพบางหมู่บริโภคน้ำอ้อยงบ กับนมส้ม
บางหมู่บริโภคน้ำอ้อยกับนมสด มาณพนั้นมาแล้วกล่าวว่า

ท่านอาจารย์ครับ วันนี้ผมบริโภคทั้งนมส้มและนมสด ครั้นถูก
ซักว่า นมส้ม นมสดเหมือนอะไร ? ก็ตอบว่า เหมือนงอนไถ
อย่างไรเล่าครับ อาจารย์กล่าวว่า มาณพนี้เมื่อกล่าวว่า งูเหมือน
งอนไถ เป็นอันกล่าวถูกต้องก่อนแล้ว แม้กล่าวว่า ช้างเหมือน

• ความรู้จะมีมาก หากมิมากไปด้วยความตระหนี่
• แบ่งปันความรู้ด้วยความเมตตา ย่อมนำพาความเจริญสุขมาให้
• ความรู้มีเพื่อแบ่งปัน ก็เราต่างก็เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายเช่นกันนี่
• ความสุขเกิดจากความสามัคคี เมื่อมีดีไม่แบ่งปันแล้วจะเกิดหรือความสามัคคีนั้น?
• อ่านแล้วอ่านอีก หากยังไม่เข้าใจ
• ชีวิตยังเหลือน้อยเต็มที ถามตัวเองว่ามีความดีมากแค่ไหนแล้ว
• โลกก้าวไกลยิ่ง ยิ่งทำใจให้ตกต่ำ (ทำแต่อกุศล)
• เพิ่มความอบอุ่นอีกนิด ด้วยจิตเมตตาต่อคนรอบข้าง
• ความตระหนี่ทำให้ห่างไกล ยังใจให้เกิดอกุศล

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ย. 2018, 19:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
งอนไถ ก็ยังพอกล่าวได้ด้วยเล่ห์ที่หมายเอางวง แม้ที่กล่าวว่า
อ้อยเหมือนงอนไถ ก็ยังเข้าท่า แต่นมส้ม นมสดขาวอยู่เป็นนิจ
ทรงตัวอยู่ด้วยภาชนะ ไม่น่าจะกล่าวอุปมาในข้อนี้ได้ โดยประการ
ทั้งปวงเลย เราไม่อาจให้คนเลื่อนเปื้อนผู้นี้ศึกษาได้ จึงกล่าว
คาถานี้ ความว่า :-

"คนโง่ ย่อมกล่าวคำที่ไม่ควรกล่าว ทุก
อย่างได้ในที่ทุกแห่ง คนโง่นี้ไม่รู้จักเนยข้น และ
งอนไถ ย่อมสำคัญ เนยข้นและนมสด ว่าเหมือน
งอนไถ" ดังนี้.

ในคาถานั้น มีความสังเขปดังนี้ :- วาจาใดที่ไม่เหมาะ
ในที่ทุกแห่งด้วยสามารถแห่งอุปมา วาจาที่ไม่เหมาะสมในที่
ทุกแห่งนั้น คนโง่พูดได้ทุกแห่ง เช่นถูกถามว่า นมส้มเหมือน
อะไร ? ก็ตอบทันทีว่า เหมือนงอนไถอย่างไรเล่า ? เมื่อพูด

อย่างนี้ เป็นอันไม่รู้จักทั้งนมส้ม ทั้งงอนไถ เหตุไร ? เพราะ
เหตุว่า แม้นมส้มเขายังสำคัญเป็นงอนไถไปได้ อีกนัยหนึ่ง
เพราะเขามาสำคัญทั้งนมส้มและนมสดว่า เหมือนงอนไถเสีย
ได้มาณพนี้ โง่ถึงอย่างนั้น พระโพธิสัตว์คิดว่า ประโยชน์อะไรด้วย
มาณพนี้ จึงบอกกล่าวแก่พวกอันเตวาสิกทั้งหลาย ให้เสบียง
แล้วส่งมาณพนั้นกลับไป.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกว่า มาณพเลื่อนเปื้อนในครั้งนั้นได้มาเป็นโลลุทายี ส่วน
อาจารย์ทิศาปาโมกข์ ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถานังคลีสชาดกที่ ๓

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ย. 2018, 21:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภพราหมณ์ผู้สมบูรณ์ด้วยวัตรคนหนึ่ง ตรัสพระธรรม-
เทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า วายเมเถว ปุริโส ดังนี้.

ได้ยินว่า พราหมณ์นั้นเป็นกุลบุตรชาวพระนครสาวัตถี
บวชถวายชีวิตในพระศาสนา ได้เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวัตร กระทำ
อาจริยวัตร อุปัชฌายวัตร และวัตรมีการตั้งน้ำดื่มและน้ำใช้
ทั้งวัตรในโรงอุโบสถ และวัตรในเรือนไฟเป็นต้น เป็นอันดี
ได้เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในมหาวัตรทั้ง ๑๔ และขันธกวัตร

ทั้ง ๘๐ กวาดวิหาร บริเวณโรงตึกทางไปวิหาร ให้น้ำดื่มแก่
พวกมนุษย์ พวกมนุษย์เลื่อมใสในความสมบูรณ์ด้วยวัตรของ
ท่าน พากันถวายภัตรประจำ ประมาณ ๕๐๐ ราย ลาภและสักการะ
เป็นอันมากบังเกิดขึ้น การอยู่อย่างผาสุข เกิดแล้วแก่ภิกษุเป็น
อันมาก เพราะอาศัยท่าน อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย พากันยก

เรื่องขึ้นสนทนากันในโรงธรรมว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุชื่อโน้น
ยังลาภสักการะอย่างมากมายให้เกิดแก่ตน เพราะถึงพร้อมด้วย
วัตร ความอยู่อย่างผาสุขเกิดแก่ภิกษุเป็นอันมาก เพราะอาศัย
เธอผู้เดียว พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุ
ทั้งหลายพากันกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษ
ุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในปางก่อน ภิกษุนี้ก็เคยเป็น
ผู้ถึงพร้อมด้วยวัตร แม้ในปางก่อน อาศัยเธอผู้เดียว ฤๅษี ๕๐๐

ไม่ต้องไปป่าหาผลาผลกันเลย เลี้ยงชีพด้วยผลาผลที่ภิกษุนี้
นำมา แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลอุทิจจพราหมณ์
เจริญวัยแล้ว บวชเป็นฤๅษี มีฤาษี ๕๐๐ เป็นบริวาร อาศัยอยู่ที่
เชิงเขา ครั้งนั้น ในป่าหิมพานต์ แห้งแล้ง ร้ายแรง น้ำดื่มใน

ที่นั้น ๆ ก็เหือดแห้ง พวกสัตว์เดียรัจฉานเมื่อไม่ได้น้ำดื่ม ก็พากัน
ลำบาก ครั้งนั้น ในบรรดาพระดาบสเหล่านั้น มีดาบสองค์หนึ่ง
เห็นความทุกข์เกิดแต่ความกระวนกระวาย ของพวกเดียรัจฉาน

• ความรู้จะมีมาก หากมิมากไปด้วยความตระหนี่
• แบ่งปันความรู้ด้วยความเมตตา ย่อมนำพาความเจริญสุขมาให้
• ความรู้มีเพื่อแบ่งปัน ก็เราต่างก็เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายเช่นกันนี่
• ความสุขเกิดจากความสามัคคี เมื่อมีดีไม่แบ่งปันแล้วจะเกิดหรือความสามัคคีนั้น?
• อ่านแล้วอ่านอีก หากยังไม่เข้าใจ
• ชีวิตยังเหลือน้อยเต็มที ถามตัวเองว่ามีความดีมากแค่ไหนแล้ว
• โลกก้าวไกลยิ่ง ยิ่งทำใจให้ตกต่ำ (ทำแต่อกุศล)
• เพิ่มความอบอุ่นอีกนิด ด้วยจิตเมตตาต่อคนรอบข้าง
• ความตระหนี่ทำให้ห่างไกล ยังใจให้เกิดอกุศล

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ย. 2018, 21:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
เหล่านั้น จึงตัดต้นไม้ต้นหนึ่งทำราง โพงน้ำใส่ให้เป็นน้ำดื่มแก
่พวกเดียรัจฉานเหล่านั้น เมื่อพวกสัตว์เดียรัจฉานจำนวนมาก
มาประชุมดื่มน้ำ พระดาบสเลยไม่มีโอกาสที่จะไปหา แม้ท่าน
จะอดอาหาร ก็คงให้น้ำดื่มอยู่นั่นเองฝูงเนื้อพากันคิดว่า พระดาบส
นี้ให้น้ำดื่มแก่พวกเรา ไม่ได้โอกาสไปหาผลาผล ลำบากอย่าง

ยวดยิ่ง เพราะอดอาหาร เอาเถิดพวกเราจงมาทำกติกากัน
สัตว์เหล่านั้นจึงตั้งกติกาไว้ว่า ตั้งแต่บัดนี้ ผู้มาดื่มน้ำ ต้องคาบ
ผลไม้มาตามสมควรแก่กำลังของตน ตั้งแต่นั้นมาเดียรัจฉาน
ตัวหนึ่ง ๆ ก็คาบผลไม้มีมะม่วง และขนุนเป็นต้น ที่อร่อย ๆ

นำมาตามสมควรแก่กำลังของตนเรื่อยมา ผลาผลที่พวกเดียรัจฉาน
นำมาเพื่อพระดาบสองค์เดียว ได้มีประมาณบรรทุกเต็มสองเล่ม-
เกวียนครึ่ง พระดาบสทั้ง ๕๐๐ พลอยฉันผลาผลนั้นทั่วกัน ยัง
ต้องทิ้งเสียเป็นอันมาก พระโพธิสัตว์เห็นเหตุนั้นแล้วกล่าวว่า
อาศัยดาบสผู้ถึงพร้อมด้วยวัตรผู้เดียว ดาบสมีประมาณเท่านี้

ยังอัตภาพให้เป็นไปได้ โดยไม่ต้องไปหาผลาผล ขึ้นชื่อว่า
ความเพียรเป็นกิจควรกระทำโดยแท้ แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า :-
"บุรุษผู้เป็นบัณฑิต ควรพยายามร่ำไป
ไม่ควรเบื่อหน่าย จงดูผลแห่งความพยายาม
ผลมะม่วงทั้งหลาย ที่มีให้บริโภคอยู่ ก็ด้วยความ
พยายามทั้งนั้น ไม่ใช่ของที่มีมาได้เอง" ดังนี้.

ในคาถานั้น มีความสังเขปดังนี้ บัณฑิตพึงพยายามเรื่อยไป
ไม่ควรท้อถอยเสีย ในการงานมีการบำเพ็ญวัตรเป็นต้น ของตน
เพราะเหตุไร ? เพราะความพยายามที่ไร้ผล ไม่มีเลย ด้วยเหตุนี้
พระมหาสัตว์เมื่อเตือนคณะฤๅษีว่า ธรรมดาความเพียรย่อม

มีผลเรื่อยไป จึงกล่าวว่า เชิญดูผลแห่งความพยายามเถิด เช่น
อย่างไรเล่า ? เช่นอย่างที่ฤๅษีทั้ง ๕๐๐ ฉันผลไม้มีมะม่วงเป็นต้น
ได้อย่างไม่อั้น ในบรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อัมพ เป็นเพียงยกมา
เป็นตัวอย่าง หมายความว่า ก็ผลาผลที่เดียรัจฉานเหล่านั้นนำมา

• ความรู้จะมีมาก หากมิมากไปด้วยความตระหนี่
• แบ่งปันความรู้ด้วยความเมตตา ย่อมนำพาความเจริญสุขมาให้
• ความรู้มีเพื่อแบ่งปัน ก็เราต่างก็เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายเช่นกันนี่
• ความสุขเกิดจากความสามัคคี เมื่อมีดีไม่แบ่งปันแล้วจะเกิดหรือความสามัคคีนั้น?
• อ่านแล้วอ่านอีก หากยังไม่เข้าใจ
• ชีวิตยังเหลือน้อยเต็มที ถามตัวเองว่ามีความดีมากแค่ไหนแล้ว
• โลกก้าวไกลยิ่ง ยิ่งทำใจให้ตกต่ำ (ทำแต่อกุศล)
• เพิ่มความอบอุ่นอีกนิด ด้วยจิตเมตตาต่อคนรอบข้าง
• ความตระหนี่ทำให้ห่างไกล ยังใจให้เกิดอกุศล

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ย. 2018, 21:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
มีประการต่าง ๆ แต่กล่าวถึงมะม่วงเป็นต้น ด้วยอำนาจเป็นผลไม้
มากมายก่ายกองกว่าผลไม้เหล่านั้น ข้อที่ฤๅษีทั้ง ๕๐๐ ไม่ต้อง
ไปป่าด้วยตนเอง พากันฉันผลมะม่วงทั้งหลาย ซึ่งเดียรัจฉาน
ทั้งหลาย นำมาเพื่อประโยชน์แก่ดาบสนั้น นี้เป็นผลแห่งความ

พยายาม ก็แลการที่ได้ฉันนั้นเล่า รู้กันเองไม่ต้องมีใครบอก หมาย
ความว่า ที่จะต้องถือเอาด้วยการบอกกล่าวว่า นี้ อย่างนี้ ดังนี้
เป็นอันไม่มีกันละ เชิญดูผลไม้นั้น อันประจักษ์ชัดกันเถิด
พระมหาสัตว์ได้ให้โอวาทแก่ฤๅษี ด้วยประการฉะนี้.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกว่า ดาบสผู้ถึงพร้อมด้วยวัตรในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษ
ุนี้ ส่วนศาสดาของคณะ ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอัมพชาดกที่ ๔

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ย. 2018, 21:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภภิกษุผู้มักโอ่รูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำ
เริ่มต้นว่า พหุมฺปิ โส วิกตฺเถยฺย ดังนี้.
เรื่องของภิกษุนั้น เช่นกับเรื่องที่กล่าวแล้วในหนหลัง
นั่นแล.

แปลกแต่ว่า ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราช-
สมบัติ อยู่ใน พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น
เศรษฐีผู้มีสมบัติมาก ภรรยาของท่านคลอดกุมาร แม้ทาสีของ
ท่านก็คลอดบุตรในวันนั้นเหมือนกัน เด็กทั้งสองนั้นเติบโตมา
ด้วยกันทีเดียว เมื่อบุตรท่านเศรษฐีเรียนหนังสือก่อน แม้ลูกทาส

ของท่านก็ถือกระดานชะนวนตามไป พลอยศึกษาหนังสือกับ
บุตรเศรษฐีนั้นด้วย ได้เขียนอ่านสองสามครั้ง ลูกทาสนั้นก็ฉลาด
ในถ้อยคำ ฉลาดในโวหารโดยลำดับ เป็นหนุ่มมีรูปงาม โดยนาม
ชื่อ กฏาหกะ เขาทำหน้าที่เป็นเสมียนคลังพัสดุ ในเรือนของ

ท่านเศรษฐี ดำริว่า คนเหล่านี้คงจะไม่ใช้ให้เรากระทำหน้าที่
เป็นเสมียนคลังพัสดุตลอดไป พอเห็นโทษอะไร ๆ เข้าหน่อย
ก็คงจะเฆี่ยน จองจำ ทำตราเครื่องหมาย แล้วก็ใช้สอยทำนอง
ทาสต่อไป ก็ที่ชายแดนมีเศรษฐี ผู้เป็นสหายของท่านเศรษฐี

อยู่ ถ้ากระไร เราถือหนังสือด้วยถ้อยคำของท่านเศรษฐีไปใน
ที่นั้น บอกว่าเราเป็นลูกท่านเศรษฐี ลวงเศรษฐีนั้นแล้วขอ
ธิดาของท่านเศรษฐีเป็นคู่ครอง พึงอยู่อย่างสบาย เขาถือ
หนังสือไปด้วยตนเอง เขียนว่า ข้าพเจ้าส่งลูกชายของข้าพเจ้า
ชื่อโน้น ไปสู่สำนักของท่าน ขึ้นชื่อว่าความสัมพันธ์ฐาน

• ความรู้จะมีมาก หากมิมากไปด้วยความตระหนี่
• แบ่งปันความรู้ด้วยความเมตตา ย่อมนำพาความเจริญสุขมาให้
• ความรู้มีเพื่อแบ่งปัน ก็เราต่างก็เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายเช่นกันนี่
• ความสุขเกิดจากความสามัคคี เมื่อมีดีไม่แบ่งปันแล้วจะเกิดหรือความสามัคคีนั้น?
• อ่านแล้วอ่านอีก หากยังไม่เข้าใจ
• ชีวิตยังเหลือน้อยเต็มที ถามตัวเองว่ามีความดีมากแค่ไหนแล้ว
• โลกก้าวไกลยิ่ง ยิ่งทำใจให้ตกต่ำ (ทำแต่อกุศล)
• เพิ่มความอบอุ่นอีกนิด ด้วยจิตเมตตาต่อคนรอบข้าง
• ความตระหนี่ทำให้ห่างไกล ยังใจให้เกิดอกุศล

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ย. 2018, 21:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
เกี่ยวดองกัน ระหว่างข้าพเจ้ากับท่าน และระหว่างท่านกับ
ข้าพเจ้า เป็นการสมควร เพราะฉะนั้น ขอท่านได้โปรดยกธิดา
ของท่านให้แก่ทารกนี้ แล้วให้เขาอยู่ในที่นั้นแหละ แม้ข้าพเจ้า
ได้โอกาสแล้ว จึงจะมา ดังนี้ แล้วเอาตราของท่านเศรษฐี
นั่นแหละประทับ ถือเอาเสบียง และของหอม กับผ้าเป็นต้น

ไปตามชอบใจ ไปสู่ปัจจันตชนบท พบท่านเศรษฐี ไหว้แล้วยืนอยู่
ครั้งนั้นท่านเศรษฐีถามเขาว่า มาจากไหนเล่า พ่อคุณ ? ตอบว่า
มาจากพระนครพาราณสี ถามว่า พ่อเป็นลูกใคร ? ตอบว่า
เป็นบุตรของพาราณสีเศรษฐีขอรับ ถามว่า มาด้วยต้องการอะไร

เล่า พ่อคุณ ? ในขณะนั้น กฏาหกะก็ให้หนังสือ พร้อมกับกล่าวว่า
ท่านดูหนังสือนี้แล้วจักทราบ ท่านเศรษฐีอ่านหนังสือแล้ว ดีใจว่า
คราวนี้เราจะอยู่อย่างสบายละจัดแจงยกธิดาแต่งให้ บริวารของ
ท่านเศรษฐีมีเป็นอันมาก ในเมื่อมีผู้น้อมนำยาคูและของเคี้ยว

เป็นต้นเข้าไปให้ หรือน้อมนำผ้าที่อบด้วยของหอมใหม่ ๆ เข้าไป
ให้ ก็ติเตียนข้าวยาคูเป็นต้นว่า โธ่เอ๋ย คนบ้านนอก ต้มยาคู
กันแบบนี้ ทำของเคี้ยวก็อย่างนี้ หุงข้าวกันแบบนี้เอง ติเตียนผ้าและ
กรรมกรเป็นต้นว่า เพราะเป็นคนบ้านนอกนั่นเอง พวกคนเหล่านี้
จึงไม่รู้จักใช้ผ้าใหม่ ๆ ไม่รู้จักอบของหอม ไม่รู้จักร้อยกรอง
ดอกไม้.

พระโพธิสัตว์ เมื่อไม่เห็นทาส ก็ถามว่า กฏาหกะ เราไม่
พบหน้าเลย มันไปไหน ช่วยกันตามมันทีเถิด ดังนี้แล้ว ใช้ให้คน
เที่ยวหาโดยรอบ บรรดาคนเหล่านั้น คนหนึ่งไปที่นั้นเห็นเขาแล้ว
จำเขาได้ เขาไม่รู้ว่าตนมา ไปบอกแก่พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์

ฟังเรื่องนั้นแล้วคิดว่า มันทำไม่สมควรเลย ต้องไปจับมา กราบทูล
พระราชา ออกจากบ้านไปด้วยบริวารเป็นอันมาก ข่าวปรากฏ

• ความรู้จะมีมาก หากมิมากไปด้วยความตระหนี่
• แบ่งปันความรู้ด้วยความเมตตา ย่อมนำพาความเจริญสุขมาให้
• ความรู้มีเพื่อแบ่งปัน ก็เราต่างก็เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายเช่นกันนี่
• ความสุขเกิดจากความสามัคคี เมื่อมีดีไม่แบ่งปันแล้วจะเกิดหรือความสามัคคีนั้น?
• อ่านแล้วอ่านอีก หากยังไม่เข้าใจ
• ชีวิตยังเหลือน้อยเต็มที ถามตัวเองว่ามีความดีมากแค่ไหนแล้ว
• โลกก้าวไกลยิ่ง ยิ่งทำใจให้ตกต่ำ (ทำแต่อกุศล)
• เพิ่มความอบอุ่นอีกนิด ด้วยจิตเมตตาต่อคนรอบข้าง
• ความตระหนี่ทำให้ห่างไกล ยังใจให้เกิดอกุศล

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 16, 17, 18, 19, 20, 21, 22 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร