วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 05:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ย. 2018, 08:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าเกาะติดติดชื่อกระทู้นัก ให้ดูเนื้อหาบทความ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ย. 2018, 08:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สองทางสายใหญ่ ที่จะเลือกไปสู่ความสุข

เรื่องความต้องการนี้สำคัญมาก ถึงแม้ตั้งหลักไว้ให้เห็นกันแล้ว ก็ยังมีแง่มุมปลีกย่อยที่ควรพูดเพิ่มเติมอีก ให้เกิดความคุ้นเคยไว้

อย่างง่ายตามปกติ คนทั่วไป ก็มีทั้งฉันทะ และตัณหา เป็นต้นทุนอยู่ด้วยกัน ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า คนผู้มีหน้าที่รับผิดชอบต่อสังคม หรือผู้อยู่ในฐานะที่ควรเป็นกัลยาณมิตร จะต้องเข้าใจหลักความต้องการนี้ และรู้จักส่งเสริมความต้องการฝ่ายฉันทะขึ้นไป พร้อมกับรู้จักควบคุม และขัดเกลาความต้องการฝ่ายตัณหา อย่างน้อยให้เป็นกระแสรองอยู่เรื่อยไป

ด้านฉันทะที่เป็นทุน ก็เช่นว่า คนทั่วไป อยู่ไหน ไปไหน ก็อยากเห็นสภาพแวดล้อมที่เป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดตา เมื่อได้สัมผัสธรรมชาติที่งดงามรื่นรมย์ ก็ชื่นชมสบายใจ มีความสุข และอยากให้สิ่งทั้งหลายโดยรอบอยู่ในสภาวะที่ดีงามสมบูรณ์อย่างนั้น อยากให้ผู้คน สัตว์ ต้นไม้ แม้กระทั่งหญ้า ขึ้นไปถึงท้องฟ้า สดชื่น งาม น่าอิ่มตาอิ่มใจ

แม้แต่ร่างกาย แขน ขา หน้าตาของตน ก็อยากให้แข็งแรงสะอาดหมดจดสดใส อยู่ในภาวะที่ดีงามสมบูรณ์ของมัน (ตรงนี้ เป็นจุดสังเกต ที่ใช้ได้ดี ในการฝึกแยกฉันทะ กับ ตัณหา)

พร้อมกันนั้น อีกด้านหนึ่ง คนทั่วไป ก็ต้องการสนองความต้องการทางผัสสะของตน ต้องการเสพ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสกาย ที่เป็นอารมณ์อันน่าพอใจ ที่ชอบใจ ที่ท่านใช้คำรวมๆ เรียกว่า อามิส บ้าง กาม บ้าง

เนื่องจากพวกกามอามิสนี้ มีสัมผัสที่หยาบ มีการกระตุ้นเร้าที่แรง จึงมีกำลังล่อเร้าชักพาไปได้มาก ความรู้เท่าทันที่จะไม่หลงตามเหยื่อล่อจึงต้องได้รับการย้ำเน้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ย. 2018, 14:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้ มาดูความอยาก ๒ อย่างนั้นเทียบกัน ให้เห็นความหมายชัดขึ้นไปอีก

บอกแล้วว่า ความอยากอย่างที่ ๒ ที่เป็นกุศล คือฉันทะนั้น เริ่มอย่างง่ายๆ ด้วยความรู้สึกชื่นชม ยินดี พอใจ ในความดี ความงาม ความสมบูรณ์ของสิ่งนั้นๆ

ทีนี้ เมื่อมีความพอใจ มีความต้องการที่จะได้รับความพอใจอย่างนั้น แต่ถ้าสิ่งนั้นๆ ตลอดจนคนนั้นๆ ยังไม่มีความดีงามสมบูรณ์ หรือมี แต่ยังไม่เต็มที่ ก็แล้วแต่ ก็อยากให้มันดี อยากให้มันงาม อยากให้มันสมบูรณ์

เมื่ออยากให้มันดีงามสมบูรณ์ แต่มันยังไม่เป็นเช่นนั้น จะต่อไปอย่างไร นี่ก็คือมาถึงขั้นที่ อยากทำ สิ่งนั้นๆ ให้มันดีงามสมบูรณ์ ตรงนี้แหละที่จะได้เจอตัวฉันทะจริงๆ ที่ท่านเรียกว่า “กัตตุกัมยตาฉันทะ(ฉันทะคือความอยากทำ)

พอพูดมาถึงตรงนี้ ก็คงมองเห็นแนวทางของการที่จะพัฒนาความต้องการที่เป็นฉันทะนั้นต่อไป

ทีนี้ เพื่อเทียบกันต่อไป ก็หันมาดูความอยากประเภทตัณหา ที่เป็นอกุศล คือ ความพอใจใครอยากใน รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสกาย ที่มาสนองความต้องการในการเสพ อันนี้ เรียกง่ายๆว่า ความอยากเสพ พออยากเสพขึ้นมา มันก็คือ การอยากได้อยากเอาเพื่อตัวเรา ตรงนี้ ข้อแตกต่างอย่างพิเศษที่โผล่ออกมา

อะไรที่โผล่ขึ้นมาตอนนี้ นั่นก็คือ พอความอยากแบบนี้เกิดขึ้น ก็ต้องมีตัวเจ้าของเรื่องขึ้นมา คือมีตัวที่จะเป็นผู้ได้ ผู้เอา ผู้เสพ แม้แต่เป็นผู้อยาก มีตัวผู้อยาก ตัวผู้ได้ ตัวผู้เสพ ชัดขึ้นมาเลย คืออยากได้ อยากเอามาให้แก่ตัว เพื่อตัวจะได้เสพ นี่คือจุดกำเนิดของ “ตัวตน”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ย. 2018, 19:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แต่ถ้าเป็นความอยากประเภทที่ ๒ คือ ฉันทะ ก็มีลำดับการทำงานต่างออกไปอีกแบบหนึ่งเลย อย่างที่ว่าแล้ว คือ พออยากในความดี ความงาม พอใจ ชื่นชมในความงามความสมบูรณ์ของสิ่งนั้นๆ

พอเห็นอย่างนั้น ก็มีความสุขอยู่ขั้นหนึ่งแล้ว โดยยังไม่ต้องทำอะไร พร้อมกันนั้น ก็อยากให้สิ่งนั้นมันดีของมัน ให้มันงามของมัน ให้มันสมบูรณ์ของมันต่อไป

ทีนี้ ถ้ามันยังไม่ดี ยังไม่งาม ยังไม่สมบูรณ์ ก็อยากให้มันดีมันงามมันสมบูรณ์ ทีนี้ ทำอย่างไร เมื่ออยากให้มีดีมันงาม แต่มันยังไม่ดีไม่งาม ไม่สมบูรณ์ ก็อยากทำ ให้มันดี ให้มันงาม ให้มันสมบูรณ์

เมื่อจะทำ ให้มันดี ให้มันงาม ให้มันสมบูรณ์ แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร มันจึงจะดีจึงจะงามจึงจะสมบูรณ์

ถึงตอนนี้ ระบบเหตุปัจจัยก็มาเรียกร้องเอง คือก็เลยอยากรู้ว่าจะต้องทำอะไรอย่างไร เพื่อให้ดีงามสมบูรณ์ ถึงตรงนี้ ก็คือเกิดความอยากรู้ หรือความใฝ่ที่จะรู้

ตามลำดับนี้ เห็นได้ว่า ความหมายของ “ฉันทะ” นั้น กว้างมาก ตั้งแต่ชื่นชม (มีความสุข) ด้วยความยินดีพอใจในความดีความงามความสมบูรณ์ของสิ่งนั้นๆ คนนั้นๆ แล้วก็อยากให้สิ่งนั้นๆ คนนั้นๆ ดีงามสมบูรณ์ สดใสมีความสุขต่อไป หรือไม่ก็อยากทำให้สิ่งนั้นๆ คนนั้นๆ มีความดีงามสมบูรณ์สดใสมีความสุข แล้วก็อยากรู้ว่าจะทำอย่างไร สิ่งนั้นๆ คนนั้นๆ จึงจะดีงามสมบูรณ์มีความสุขได้อย่างนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ย. 2018, 19:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จุดต่างอย่างแรกที่ควรสังเกตไว้ คือ ฉันทะต้องการให้คนให้ของนั้นๆ ดีงามสมบูรณ์เต็มตามสภาวะของเขาของมัน เมื่อเราพบคนหรือของที่ดีงามสมบูรณ์ตามสภาวะ ความต้องการของเราก็ได้รับการสนองเดี๋ยวนั้นเลย เราจึงมีความสุขได้ทันที เช่น มีความสุขกับธรรมชาติ ต่าง กับ ตัณหา ซึ่งต้องรอสนองด้วยการได้เสพจึงมีความสุข

จุดต่างอย่างสำคัญยิ่งก็คือ ตลอดกระบวนการของความอยากแบบฉันทะนี้ มีแต่ความอยาก แต่ไม่เกิดตัวผู้อยาก หรือตัวตนที่จะทำอะไรๆ (ตรงข้ามกับกระบวนการของตัณหา ที่จะต้องเกิดมีอัตตาตัวตนขึ้นมาเป็นผู้เสพ เป็นเจ้าของ เป็นผู้ครอบครอง)


ถ้าระหว่างมีฉันทะ หรือทำอะไรอยู่ด้วยฉันทะ เกิดมีความรู้สึก ตัวตน ขึ้นมา ก็แสดงว่า กิเลสสังกัดอัตตาได้โอกาสแฝงตัวเข้ามาแล้ว และตัวที่มักเข้ามาแบบอ่อนๆ ก็คือ มานะ (ความถือตัว, ความรู้สึกอยากให้ตัวสำคัญ)

ตัวแท้ของฉันทะที่อยากโดยไม่ต้องเกิดมีตัวผู้อยากนี้ ก็คือ อยากทำ เพราะฉะนั้น คำว่า ฉันทะ หรือความอยากที่เป็นกุศลนี้ ท่านจึงให้ความหมายว่า ได้แก่ กัตตุกัมยตาฉันทะ

ไม่ว่าที่ไหน พอแสดงความหมาย หรือจำกัดความ ก็บอกว่า “ฉนฺโทติ กตฺตุกมฺยตาฉนฺโท” ฉันทะ คือ ความต้องการที่เป็นความอยากจะทำ (ให้มันดี ให้มันงาม ให้มันสมบูรณ์)

ที่พูดซ้ำบ่อยนี้ ก็เพราะเป็นเรื่องสำคัญมาก มันเป็นต้นทางของการที่จะพัฒนามนุษย์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ย. 2018, 19:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พอเรามีฉันทะ อยากให้อะไรๆ ดี งาม สมบูรณ์ ถ้าเห็นแม้แต่พื้นบ้านพื้นบริเวณวัดว่ามันสะอาดดีงาม เราก็ชื่นชม สบายใจ
แต่ถ้าเห็นมันสกปรก ยังไม่สะอาด เราก็อยากให้มันสะอาดให้มันเรียบร้อยดี แล้วเราก็อยากจะทำให้มันสะอาด เราก็ไปฉวยไม้กวาดมา แล้วก็ทำงานกวาดไป
ถ้าเราไม่รู้ว่าจะกวาดอย่างไร เราก็อยากรู้วิธีที่จะกวาด แล้วเราก็ไปหาเรียนวิธีกวาดเอามา เมื่อเรารู้วิธีแล้ว เราก็มาทำการกวาด แล้วเราก็พัฒนาความเป็นนักกวาดขึ้นมา ก็เชี่ยวชาญชำนาญ กวาดได้เก่งขึ้นๆ พร้อมทั้งมีความสุขไปด้วยตลอดเวลาที่กวาด

นี่ก็คือกระบวนการที่เรียกว่าการศึกษา เพราะฉะนั้น ฉันทะนี้ จึงเป็นต้นรากของกระบวนการศึกษา หรือ การพัฒนามนุษย์

แต่ถ้าตัณหามา จะไม่เกิดกระบวนการของการศึกษาอย่างนี้ พอตัณหามา อยากจะได้ เอามาให้ตัวเสพ พอได้มา พอได้เสพ ก็จบ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ย. 2018, 19:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จบตอน พุทธธรรมหน้า ๑๐๗๘

ต่อหัวข้อ

ถ้าการศึกษาพัฒนาคนให้มีความสุขด้วยฉันทะได้ จริยธรรมไม่หนีไปไหน

ที่

viewtopic.php?f=1&t=56793

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ย. 2018, 21:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อย่าเกาะติดติดชื่อกระทู้นัก ให้ดูเนื้อหาบทความ

ไม่รู้จักความอยาก
จะพัฒนาความอยาก
ไปในทางที่ถูกที่ควรได้หรือ
ความอยากคือตัณหามีเดี๋ยวนี้
กำลังมีตัณหา3อยากคนละแบบ
กามตัณหา/ภวตัณหา/วิภวตัณหา
เห็นสีแต่ติดในรูปเสียงรสกลิ่นเสียงสัมผัสในความมืด
:b12:
:b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 25 พ.ย. 2018, 05:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อย่าเกาะติดติดชื่อกระทู้นัก ให้ดูเนื้อหาบทความ

ไม่รู้จักความอยาก
จะพัฒนาความอยาก
ไปในทางที่ถูกที่ควรได้หรือ
ความอยากคือตัณหามีเดี๋ยวนี้
กำลังมีตัณหา3อยากคนละแบบ
กามตัณหา/ภวตัณหา/วิภวตัณหา

เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัสในความมืด


อ้างคำพูด:
เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัส ในความมืด


คุณโรสว่า "เห็นสี" ทีไรก็คิดทุกที ทั้งที่มืดที่สว่าง แต่ก็คิดไม่ออก ว่าหมายถึง สี อะไร เห็นสี เห็นสี

หรือหมายถึงสีเลอะ คือ คนทาสี ก็เลอะสี เห็นสีเลอะเทอะติดเสื้อผ้า คิกๆๆ

หรือคุณโรสพยายามจะสื่ออะไร ยังไง ไม่เข้าใจ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 25 พ.ย. 2018, 07:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อย่าเกาะติดติดชื่อกระทู้นัก ให้ดูเนื้อหาบทความ

ไม่รู้จักความอยาก
จะพัฒนาความอยาก
ไปในทางที่ถูกที่ควรได้หรือ
ความอยากคือตัณหามีเดี๋ยวนี้
กำลังมีตัณหา3อยากคนละแบบ
กามตัณหา/ภวตัณหา/วิภวตัณหา

เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัสในความมืด


อ้างคำพูด:
เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัส ในความมืด


คุณโรสว่า "เห็นสี" ทีไรก็คิดทุกที ทั้งที่มืดที่สว่าง แต่ก็คิดไม่ออก ว่าหมายถึง สี อะไร เห็นสี เห็นสี

หรือหมายถึงสีเลอะ คือ คนทาสี ก็เลอะสี เห็นสีเลอะเทอะติดเสื้อผ้า คิกๆๆ

หรือคุณโรสพยายามจะสื่ออะไร ยังไง ไม่เข้าใจ

:b12:
สีกระทบตาดับทันทียังไม่คิด
เพราะเป็นคนละขณะไม่ปนกัน
เอากระดาษเปล่ามาแผ่นนึงมาดู
เอามามองใกล้ๆเห็นอะไรไหมล่ะ
จิตเห็นสีแค่แสงวับไม่ใช่ตาเห็นก็ตาไม่เห็น
3ประสานจึงเกิดจิตเห็น=ตา+จักขุปสาท+สีและแสง
คนตาบอดก็มีตาแต่ไม่มีจักขุปสาทรูปจึงไม่เห็นไงคะ
:b20: :b20:


โพสต์ เมื่อ: 25 พ.ย. 2018, 08:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นแต่สี..แต่เห็นไม่จริง..

จะพูดไปใย?..


:b32: :b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 25 พ.ย. 2018, 08:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อย่าเกาะติดติดชื่อกระทู้นัก ให้ดูเนื้อหาบทความ

ไม่รู้จักความอยาก
จะพัฒนาความอยาก
ไปในทางที่ถูกที่ควรได้หรือ
ความอยากคือตัณหามีเดี๋ยวนี้
กำลังมีตัณหา3อยากคนละแบบ
กามตัณหา/ภวตัณหา/วิภวตัณหา

เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัสในความมืด


อ้างคำพูด:
เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัส ในความมืด


คุณโรสว่า "เห็นสี" ทีไรก็คิดทุกที ทั้งที่มืดที่สว่าง แต่ก็คิดไม่ออก ว่าหมายถึง สี อะไร เห็นสี เห็นสี

หรือหมายถึงสีเลอะ คือ คนทาสี ก็เลอะสี เห็นสีเลอะเทอะติดเสื้อผ้า คิกๆๆ

หรือคุณโรสพยายามจะสื่ออะไร ยังไง ไม่เข้าใจ

:b12:
สีกระทบตาดับทันทียังไม่คิด
เพราะเป็นคนละขณะไม่ปนกัน
เอากระดาษเปล่ามาแผ่นนึงมาดู
เอามามองใกล้ๆเห็นอะไรไหมล่ะ
จิตเห็นสีแค่แสงวับไม่ใช่ตาเห็นก็ตาไม่เห็น
3ประสานจึงเกิดจิตเห็น=ตา+จักขุปสาท+สีและแสง

คนตาบอดก็มีตาแต่ไม่มีจักขุปสาทรูปจึงไม่เห็นไงคะ


ถ้ายังงั้นคนตาบอดก็ปราศจากกิเลส ถูกไหม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 25 พ.ย. 2018, 08:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อย่าเกาะติดติดชื่อกระทู้นัก ให้ดูเนื้อหาบทความ

ไม่รู้จักความอยาก
จะพัฒนาความอยาก
ไปในทางที่ถูกที่ควรได้หรือ
ความอยากคือตัณหามีเดี๋ยวนี้
กำลังมีตัณหา3อยากคนละแบบ
กามตัณหา/ภวตัณหา/วิภวตัณหา

เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัสในความมืด


อ้างคำพูด:
เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัส ในความมืด


คุณโรสว่า "เห็นสี" ทีไรก็คิดทุกที ทั้งที่มืดที่สว่าง แต่ก็คิดไม่ออก ว่าหมายถึง สี อะไร เห็นสี เห็นสี

หรือหมายถึงสีเลอะ คือ คนทาสี ก็เลอะสี เห็นสีเลอะเทอะติดเสื้อผ้า คิกๆๆ

หรือคุณโรสพยายามจะสื่ออะไร ยังไง ไม่เข้าใจ

:b12:
สีกระทบตาดับทันทียังไม่คิด
เพราะเป็นคนละขณะไม่ปนกัน
เอากระดาษเปล่ามาแผ่นนึงมาดู
เอามามองใกล้ๆเห็นอะไรไหมล่ะ
จิตเห็นสีแค่แสงวับไม่ใช่ตาเห็นก็ตาไม่เห็น

3ประสานจึงเกิดจิตเห็น=ตา+จักขุปสาท+สีและแสง

คนตาบอดก็มีตาแต่ไม่มีจักขุปสาทรูปจึงไม่เห็นไงคะ


คุณโรส เอาศัพท์ทางธรรมมามโนโยงกับความคิดของตน นี่ชัดเจนที่สุดตั้งแต่มีประเทศไทยมา คิกๆๆ

จักขุ + รูป (สี) + จักขุวิญญาณ

แต่คุณโรสฟังแม่สุจินนักอภิธรรมไปเน้นที่สี คือ "เห็นสี" (สีในวงเล็บในหนังสือเรียนอภิธรรมมี สี ในวงเล็บด้วย) มันก็รูปนั่นแหละ เห็นรูป แต่แม่สุจิน เห็นสี ต่อจากนั้นแม่มโนไปใหญ่ ไปที่มืดที่สว่างไปใหญ่เลย :b32: พุทโธ ธัมโม สังโฆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 25 พ.ย. 2018, 08:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อย่าเกาะติดติดชื่อกระทู้นัก ให้ดูเนื้อหาบทความ

ไม่รู้จักความอยาก
จะพัฒนาความอยาก
ไปในทางที่ถูกที่ควรได้หรือ
ความอยากคือตัณหามีเดี๋ยวนี้
กำลังมีตัณหา3อยากคนละแบบ
กามตัณหา/ภวตัณหา/วิภวตัณหา

เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัสในความมืด


อ้างคำพูด:
เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัส ในความมืด


คุณโรสว่า "เห็นสี" ทีไรก็คิดทุกที ทั้งที่มืดที่สว่าง แต่ก็คิดไม่ออก ว่าหมายถึง สี อะไร เห็นสี เห็นสี

หรือหมายถึงสีเลอะ คือ คนทาสี ก็เลอะสี เห็นสีเลอะเทอะติดเสื้อผ้า คิกๆๆ

หรือคุณโรสพยายามจะสื่ออะไร ยังไง ไม่เข้าใจ

:b12:
สีกระทบตาดับทันทียังไม่คิด
เพราะเป็นคนละขณะไม่ปนกัน
เอากระดาษเปล่ามาแผ่นนึงมาดู
เอามามองใกล้ๆเห็นอะไรไหมล่ะ
จิตเห็นสีแค่แสงวับไม่ใช่ตาเห็นก็ตาไม่เห็น
3ประสานจึงเกิดจิตเห็น=ตา+จักขุปสาท+สีและแสง
คนตาบอดก็มีตาแต่ไม่มีจักขุปสาทรูปจึงไม่เห็นไงคะ
:b20: :b20:


อ้างคำพูด:
3 ประสานจึงเกิดจิตเห็น=ตา+จักขุปสาท+สีและแสง


หลักเขาเรียงอย่างนี้

จักขุ + รูป + จักขุวิญญาณ - (จักขุ + รูป (สีต่างๆ) + จักขุวิญญาณ)

โสต + สัทท + โสตวิญญาณ

ฆาน + คันธ + ฆานวิญญาณ

ชิวหา + รส + ชิวหาวิญญาณ

กาย + โผฏฐัพพ + กายวิญญาณ

มโน + ธัมมารมณ์ + มโนวิญญาณ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 25 พ.ย. 2018, 10:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อย่าเกาะติดติดชื่อกระทู้นัก ให้ดูเนื้อหาบทความ

ไม่รู้จักความอยาก
จะพัฒนาความอยาก
ไปในทางที่ถูกที่ควรได้หรือ
ความอยากคือตัณหามีเดี๋ยวนี้
กำลังมีตัณหา3อยากคนละแบบ
กามตัณหา/ภวตัณหา/วิภวตัณหา

เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัสในความมืด


อ้างคำพูด:
เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัส ในความมืด


คุณโรสว่า "เห็นสี" ทีไรก็คิดทุกที ทั้งที่มืดที่สว่าง แต่ก็คิดไม่ออก ว่าหมายถึง สี อะไร เห็นสี เห็นสี

หรือหมายถึงสีเลอะ คือ คนทาสี ก็เลอะสี เห็นสีเลอะเทอะติดเสื้อผ้า คิกๆๆ

หรือคุณโรสพยายามจะสื่ออะไร ยังไง ไม่เข้าใจ

:b12:
สีกระทบตาดับทันทียังไม่คิด
เพราะเป็นคนละขณะไม่ปนกัน
เอากระดาษเปล่ามาแผ่นนึงมาดู
เอามามองใกล้ๆเห็นอะไรไหมล่ะ
จิตเห็นสีแค่แสงวับไม่ใช่ตาเห็นก็ตาไม่เห็น
3ประสานจึงเกิดจิตเห็น=ตา+จักขุปสาท+สีและแสง

คนตาบอดก็มีตาแต่ไม่มีจักขุปสาทรูปจึงไม่เห็นไงคะ


ถ้ายังงั้นคนตาบอดก็ปราศจากกิเลส ถูกไหม

:b32:
กิเลสนอนในจิต555
มาตั้งแต่ก่อนเกิดนู่นนะ
ทำไมไม่บัญญัติว่าจักษุมยปัญญา
:b32: :b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 25 พ.ย. 2018, 10:56, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร