วันเวลาปัจจุบัน 27 ก.ค. 2025, 14:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 17:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กฎมนุษย์สร้างระบบเงื่อนไข

ยังมีความเข้าใจผิดกันมาก หลายคนคิดว่า ถ้ากระตุ้นตัณหา ทำให้คนโลภมากๆ จะได้ขยันทำงานกันยกใหญ่ เพื่อจะได้มีใช้มีเสพ ว่ากันให้ฟุ้งเฟ้อเหลือล้นไปเลย แล้วทีนี้ เศรษฐกิจจะดี จะขยายตัวมากมาย

ดูเผินๆที่ว่ามา คล้ายว่าจะเป็นอย่างนั้นจริง แต่ไม่ใช่ ยังดูไม่เป็น จึงได้พลาดกันมา ควรศึกษากันให้ดี

อันนั้น พูดสั้นๆว่า เป็น ความฉลาดในการจัดการตัณหา ในระบบเงื่อนไข แต่ถึงจะฉลาดจัดการเก่งอย่างไร วิธีนี้ก็แทบไม่มีทางจะสร้างคนอย่างไอน์สไตน์ขึ้นมาได้ จะได้ก็แค่นักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานในระบบเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (ซึ่งบางทีก็ทำให้ประชาชนตื่นและเต้นกันไปเต้นกันมา ตามผลการวิจัยผ่านไอที ชนิดที่ไม่ได้แก่นสารจริงจัง ถ้าจะผ่อนเบาปัญหา ก็ต้องเอาฉันทะมาช่วยอีกนั่นแหละ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 17:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูเรื่องง่ายๆก่อน แค่ร่างกายแขนขาหน้าตาของตัวนี่เอง คนหนึ่งมีฉันทะ ก็ใส่ใจดูแลด้วยอยากให้มันแข็งแรงสะอาดหมดจดสดใสอยู่ในภาวะที่ดีงามสมบูรณ์ของมัน
อีกคนหนึ่งอยู่กับตัณหา ตามปกติจึงขี้เกียจ ไม่ดูแลมันเลย ต่อมาเกิดตัณหา จะยั่วยวนล่อตาคนอื่น จึงเป็นเงื่อนไขให้ต้องพยายามแต่งให้สวยที่สุด

ขอให้ดูว่า ใน ๒ รายนี้ อย่างไหนดีกว่ากัน อย่างไหนจะพอดี และให้ผลดีแก่ชีวิตร่างกายมากกว่า นี่คือง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 17:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้ ก็มาดู ระบบเงื่อนไข ในการจัดการตัณหา

เมื่อกี้ ได้บอกให้เห็นความแตกต่างระหว่างกระบวนการของฉันทะ กับ กระบวนการของตัณหา อย่างที่ ๑ แล้ว คือ

ในกระบวนการของตัณหา จะเกิดมีอัตตา หรือตัวตนขึ้นมา

ทีนี้ ก็ถึงความแตกต่างอย่างที่ ๒ คือ กระบวนการของตัณหา ที่ใช้ตัณหาเป็นแรงจูงใจ เป็นตัวขับเคลื่อนอายธรรมด้วยระบบเงื่อนไข (พร้อมกับเป็นกลไกของการพัฒนาที่เรียกกันว่าไม่ยั่งยืน)

พอตัณหาเกิดขึ้น ก็อยากจะเสพ แต่ยังไม่มีของที่จะเสพ ก็หาทางจะได้จะเอามา ตอนนี้มันจะไม่เดินหน้าไปตามกระบวนการของเหตุปัจจัย แต่จะมาเชื่อมต่อต่อเข้ากับกระบวนการแบบเงื่อนไข

ตรงนี้ ขอให้สังเกต เดี๋ยวจะเถียงว่า เออ ตัณหาก็ทำให้อยากทำเหมือนกันนี่ เปล่า ไม่ใช่อยากทำหรอก ตัณหามันอยากเสพ อยากจะได้ อยากจะเอา แต่มันยังไม่มีจะเสพ มันยังไม่ได้ แล้วทำอย่างไรจะได้มาเสพล่ะ ก็เลยมาเข้ากับระบบเงื่อนไขว่า คุณต้องทำนี่ แล้วคุณจะได้นั่น ถ้าคุณไม่ทำอันนี้ คุณก็ไม่ได้อันนั้น

นี่แหละ ตัณหาจึงทำให้เกิดการกระทำในระบบเงื่อนไข

เมื่อทำตามเงื่อนไข ทำเพราะเป็นเงื่อนไข ก็ไม่ใช่ทำเพราะอยากทำ ก็ไม่มีฉันทะ เมื่อการกระทำไม่เป็นการสนองความอยากทำ คนนั้น ก็ไม่มีความสุข เขาไม่อยากทำ เขาก็ไม่เต็มใจทำ การกระทำนั้นก็กลายเป็นความทุกข์

พวกตัณหานั้น ทำแค่ตามเงื่อนไข เพราะถ้าตัวไม่ทำ ก็จะไม่ได้ของมาเสพ และเขาจะสุขต่อเมื่อได้เสพ แต่ตอนทำนี่จำใจ ก็จึงต้องทำไปด้วยความทุกข์ ต้องรอเวลาที่จะได้เสพ อีกตั้งเมื่อไรกว่าจะได้ความสุข ตอนทำนี่ยาว กว่าจะได้สุขสักที ต้องทุกข์ไปตั้งนาน

แถมรอว่าเวลาที่จะได้เสพยังไม่มา รอนานนักหนา ก็พาให้เครียด ไปๆมาๆ กระบวนการพัฒนาก็ไม่ยั่งยืน และคนที่ทำการพัฒนา ก็ได้พัฒนาความเครียด ถ้าอยู่ไปกับการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืนแบบนี้ ก็จะมีผลกำไร คือ ได้ความเครียดอย่างยั่งยืน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 17:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แต่ฝ่ายฉันทะนั้น มีความอยากจะทำให้มันดีอยู่แล้ว ก็ทำงานด้วยความอยากทำอยู่ตลอดเวลา ก็เลยสุขทุกเมื่อ ไม่รู้จักเบื่อ ไม่รู้จักเครียด สุขได้เรื่อยไปตลอดเวลาที่ทำนั้น อันนี้ เป็นความสุขที่เกิดโดยตรงตามเหตุปัจจัย เป็นไปตามกระบวนการของมัน

ไม่ว่าจะเล่าเรียน จะทำงาน หรือจะทำการอะไร ก็เป็นไปตามหลักเดียวกัน ถ้าทำด้วยฉันทะนี้ ก็ทั้งได้ผลดี และมีแต่สุขทุกวัน

คงยอมรับกันได้ว่า หลักที่พูดมานั้นสำคัญมาก ท่านถือว่า ฉันทะเป็นจุดเริ่ม พระพุทธเจ้าตรัสว่า การเกิดขึ้นของฉันทะเป็นเหมือนแสงอรุณ เปรียบเหมือนว่า ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะอุทัย ย่อมมีแสงเงินแสงทองขึ้นมาก่อน ฉันใด ถ้าฉันทะเกิดขึ้นแล้ว ก็หวังได้แน่ใจว่าจะเจริญงอกงามในอริยมรรคาอันมีองค์ ๘ หรือในสิกขา คือ การศึกษา ฉันนั้น

เรื่องของฉันทะนั้น ก็เป็นอย่างนี้ ไม่ต้องชี้แจงมาก เพราะเป็นเรื่องธรรมดาของกระบวนธรรมชาติ ที่เป็นไปของมันเอง ตามแต่เหตุปัจจัย ตอนนี้ เรามีเรื่องซับซ้อน เพราะมาเจอกระบวนการของมนุษย์ ที่ใช้ระบบเงื่อนไข

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 18:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยยกตัวอย่างบ่อยๆ ให้เห็นว่า โลกมนุษย์เวลานี้ อยู่ในระบบเงื่อนไขแทบทั้งนั้น มนุษย์มีความฉลาด ก็จัดตั้งกฎสมมุติซ้อนขึ้นมาบนกฎธรรมชาติ เพื่อให้ได้ผลตามเงื่อนไข

กฎธรรมชาติ คือ กฎแห่งความเป็นไปตามเหตุปัจจัย ที่มีอยู่เป็นธรรมดา

ส่วนกฎสมมุตินั้น มนุษย์ที่ฉลาดจัดตั้งขึ้น โดยมาตกลงกันวางเป็นเงื่อนไข ให้เป็นไปตามเหตุปัจจัยชนิดที่สมมุติขึ้นมาตามตกลง

จะเห็นว่า ในโลกมนุษย์ มีกฎ ๒ กฎนี้ ซ้อนกันอยู่ทั่วไป เป็นองค์ประกอบสำคัญของอารยธรรมปัจจุบัน ตัวอย่าง ซึ่งเห็นได้ง่าย ก็คือในเรื่องของการทำงาน ขอยกมาพูดประกอบไว้

เรามีสถานที่ราชการ หรืออะไรก็แล้วแต่ อาจจะเป็นมหาวิทยาลัยก็ได้ ที่มีบริเวณกว้างขวาง มีอาคารมากมาย สวยงาม เราก็อยากให้สถานที่ร่มรื่น มีสนามหญ้าเขียวขจี มีต้นไม้นานาพรรณ มีใบดกและดอกหลากสี สวยงามบานสะพรั่ง เป็นที่สดชื่นรื่นรมย์

เมื่อต้องการอย่างนี้ เขาจะทำอย่างไร ตอนนี้แหละ มนุษย์มีปัญญาฉลาด รู้จักแบ่งงานกันทำ ก็เลยจัดตั้งเป็นระบบสมมุติขึ้นมา

เขารู้อยู่ถึงกฎธรรมชาติที่ว่า ต้นไม้แม้แต่หญ้า จะงอกงามเขียวขจีสดชื่นได้ ก็ด้วยอาศัยอาหารหล่อเลี้ยง มีเครื่องบำรุงดี มีน้ำ มีปุ๋ย เป็นต้น อันนี้ เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยในธรรมชาติ เป็นกฎที่แน่นอน

เมื่อเรารู้อยู่อย่างนี้ เราก็มาคิดว่า เราจะทำอย่างไร ให้เหมือนกับว่าไปขับเคลื่อนผลักดัน ให้เหตุปัจจัยทั้งหลายดำเนินไปตามกระบวนการของธรรมชาตินั้น

ถึงตรงนี้ เราก็ตั้งกฎมนุษย์ซ้อนขึ้นมา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 18:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยยกตัวอย่างบ่อยๆ ให้เห็นว่า โลกมนุษย์เวลานี้ อยู่ในระบบเงื่อนไขแทบทั้งนั้น มนุษย์มีความฉลาด ก็จัดตั้งกฎสมมุติซ้อนขึ้นมาบนกฎธรรมชาติ เพื่อให้ได้ผลตามเงื่อนไข

กฎธรรมชาติ คือ กฎแห่งความเป็นไปตามเหตุปัจจัย ที่มีอยู่เป็นธรรมดา

ส่วนกฎสมมุตินั้น มนุษย์ที่ฉลาดจัดตั้งขึ้น โดยมาตกลงกันวางเป็นเงื่อนไข ให้เป็นไปตามเหตุปัจจัยชนิดที่สมมุติขึ้นมาตามตกลง


จะเห็นว่า ในโลกมนุษย์ มีกฎ ๒ กฎนี้ ซ้อนกันอยู่ทั่วไป เป็นองค์ประกอบสำคัญของอารยธรรมปัจจุบัน ตัวอย่าง ซึ่งเห็นได้ง่าย ก็คือในเรื่องของการทำงาน ขอยกมาพูดประกอบไว้

เรามีสถานที่ราชการ หรืออะไรก็แล้วแต่ อาจจะเป็นมหาวิทยาลัยก็ได้ ที่มีบริเวณกว้างขวาง มีอาคารมากมาย สวยงาม เราก็อยากให้สถานที่ร่มรื่น มีสนามหญ้าเขียวขจี มีต้นไม้นานาพรรณ มีใบดกและดอกหลากสี สวยงามบานสะพรั่ง เป็นที่สดชื่นรื่นรมย์

เมื่อต้องการอย่างนี้ เขาจะทำอย่างไร ตอนนี้แหละ มนุษย์มีปัญญาฉลาด รู้จักแบ่งงานกันทำ ก็เลยจัดตั้งเป็นระบบสมมุติขึ้นมา

เขารู้อยู่ถึงกฎธรรมชาติที่ว่า ต้นไม้แม้แต่หญ้า จะงอกงามเขียวขจีสดชื่นได้ ก็ด้วยอาศัยอาหารหล่อเลี้ยง มีเครื่องบำรุงดี มีน้ำ มีปุ๋ย เป็นต้น อันนี้ เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยในธรรมชาติ เป็นกฎที่แน่นอน

เมื่อเรารู้อยู่อย่างนี้ เราก็มาคิดว่า เราจะทำอย่างไร ให้เหมือนกับว่าไปขับเคลื่อนผลักดัน ให้เหตุปัจจัยทั้งหลายดำเนินไปตามกระบวนการของธรรมชาตินั้น

ถึงตรงนี้ เราก็ตั้งกฎมนุษย์ซ้อนขึ้นมา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 18:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่างที่ว่าแล้ว กฎมนุษย์เป็นสมมุติ คือเป็นข้อตกลง โดยรู้และยอมรับร่วมกัน “สมมุติ” แปลว่า รู้ร่วมกัน แล้วก็ยอมรับกันตามนั้น ก็คือ ตกลง

กฎสมมุติของมนุษย์นั้น เรียกกันว่า “กฎหมาย” ก็เป็นกฎโดยหมายรู้ คือ ตามสัญญา ว่าไปตามสมมุติ ที่ตกลงกันว่าเอาอย่างนี้นะ

เอาเป็นว่า ฉันจะจ้างคนขึ้นมาละนะ ให้เขาเป็นคนสวน มาทำหน้าที่รดน้ำ พรวนดิน ตัดแต่งต้นไม้ กำจัดวัชพืช เป็นต้น ดูแลบำรุงพืชพันธุ์ให้เป็นสวนที่รื่นรมย์สวยงาม โดยจะให้เงินเดือน ๗,๐๐๐ บาท

นี่ก็คือเป็นกฎขึ้นมาแล้ว ใครมาทำงานนี้ การทำงานนั้นก็เป็นเหตุให้เขาได้ผลตามกฎนี้ คือ ทำสวน ๑ เดือน ได้เงิน ๗,๐๐๐ บาท การทำสวนเป็นเหตุ การได้เงินเดือน ๗,๐๐๐ บาทเป็นผล เป็นเหตุเป็นผล เป็นไปตามเหตุปัจจัยตรงไปตรงมาชัดเจนเลยทีเดียว


เอ้อ มองดูก็จริงนี่ คนต้องทำสวนรดน้ำพรวนดินอยู่ ๑ เดือน แล้วเขาก็ได้เงินเดือน ๗,๐๐๐ บาท เงินเดือน ๗,๐๐๐ บาท เป็นผลของการทำสวน ชัดเลย

แต่ตอนนี้ ที่จริงมี ๒ กฎซ้อนกันอยู่ คือ

๑. กฎธรรมชาติ ว่าต้นไม้จะงอกงามได้เพราะมีปุ๋ย มีน้ำ มีอะไรต่างๆ ที่พรั่งพร้อมสมบูรณ์ อันนี้ คือ กฎธรรมชาติที่แน่นอนเด็ดขาด แล้วก็มี

๒. กฎมนุษย์ ซ้อนเข้ามา เพื่อมาขับเคลื่อนผลักดันเหตุปัจจัยให้เป็นไปตามกฎธรรมชาตินี้ ซึ่งเป็นกฎสมมุติ หรือกฎมนุษย์ หรือกฎหมายก็แล้วแต่ บอกว่า ให้มีคนมาทำงานที่เรียกว่า ทำสวน และเมื่อทำสวนครบ ๑ เดือน จะได้เงิน ที่เรียกว่าเงินเดือน ๗,๐๐๐ บาท เราก็มีกฎที่ว่าด้วยเหตุปัจจัยของมนุษย์ขึ้นมา


เหตุปัจจัยในกฎมนุษย์ ก็มาช่วยขับเคลื่อนผักดันให้เหตุปัจจัยในกฎธรรมชาติดำเนินไป ทำให้เกิดผลออกมาสมความปรารถนาของมนุษย์

แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ กฎมนุษย์นี้เป็นกฎสมมุติ คือเป็นไปตามที่ได้ตกลงกัน มันไม่แน่นอนเด็ดขาดเหมือนอย่างกฎธรรมชาติ คือ อาจจะเบี้ยว หรืออาจจะหลอกกันได้ เช่นว่า

ทำสวนครบ ๑ เดือนแล้ว แต่ผู้จ้างอาจจะไม่ให้เงิน ๗,๐๐๐ บาท บางทีเขาให้แค่ ๕,๐๐๐ บาท ถ้าไม่ยอมก็ต้องทะเลาะหรือฟ้องร้องกัน

หรือในทางตรงข้าม นายคนที่มารับจ้างทำสวนเอาเงินเดือน ตามกฎธรรมชาติ อาจจะไม่ตั้งใจทำงาน แกก็หลบนอน หลบนั่ง แอบดื่มเหล้า อะไรต่างๆ ถึงวันก็มาเอาเงินเดือนไป แต่ไม่ทำเหตุปัจจัยตามกฎธรรมชาติ

ทีนี้ เมื่อเขาไม่ทำตามกฎธรรมชาติ ถึงเขาจะได้เงินเดือน ๗,๐๐๐ บาท หรือเพิ่มเป็นหมื่นหนึ่ง ต้นไม้ก็ไม่งามขึ้นมาได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 18:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นอันว่า ในสองกฎที่มาซ้อนกันอยู่นั้น กฎมนุษย์นี้บิดเบี้ยวได้ หมายความว่า ไม่ทำตามที่ตกลงกันไว้ แล้วพอไม่ทำตาม เป็นอย่างไร มนุษย์ก็ทะเลาะกัน มนุษย์ก็วุ่นวายกันด้วยเรื่องเงื่อนไขในกฎสมมุติของมนุษย์ นี่แหละ ระบบสมมุตินี้ จึงยุ่งยากก่อปัญหามากที่สุด เสร็จแล้วมันก็ไม่ใช่ของจริงสักอย่าง

ในกฎมนุษย์นี้ กลายเป็นว่า ความจริงไม่ได้อยู่ที่กฎ แต่ความจริงมาอยู่ที่คน จะให้ได้ผล จึงต้องฝึกคน ให้ซื่อสัตย์ ไปๆมาๆ ก็เป็นปัญหาในเรื่องของการศึกษา คือ การที่จะพัฒนาตัวคน อย่างน้อยให้เขารักธรรม รักความจริง อยู่กันด้วยสัจจะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 18:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ย้ำอีกทีว่า กฎสมมุติของมนุษย์นี้ เป็นระบบเงื่อนไข คุณต้องทำสวน ๑ เดือน แล้วคุณจึงจะได้เงินเดือน ๗,๐๐๐ บาท มองดูเป็นเหตุผลเหมือนของจริง แต่ดูให้ชัด เป็นเหตุผลจริงหรือ

การทำสวน ๑ เดือน ย่อมไม่ทำให้เงิน ๗,๐๐๐ บาท เกิดขึ้นมาได้ มีที่ไหน ไม่มีหรอก แต่มันเป็นไปโดยเงื่อนไขว่า เมื่อคุณทำสวนครบ ๑ เดือนแล้ว จะมีการให้เงิน ๗,๐๐๐ บาท อันนี้แหละ เรียกว่า “ระบบเงื่อนไข”


ทีนี้ ถ้าคนสวนทำงานเพียงตามระบบเงื่อนไข ก็คือเขาทำสวนเพราะมันเป็นเงื่อนไขที่จะให้เขาได้เงิน ๗,๐๐๐ บาท แต่ในใจของเขานั้น เขาไม่ได้มีความต้องการอะไรกับการที่จะให้ต้นไม้งอกงาม

แล้วคนที่มารับจ้างทำสวน โดยต้องการแต่เงิน ๗,๐๐๐ บาท ไม่ได้ต้องการให้ต้นไม้งามนี้ เป็นไปได้ไหม อ้าว ก็เป็นไปได้ เพราะเขาต้องการได้เงิน เขาจึงมาทำสวน เขาไม่ได้อยากทำให้ต้นไม้เติบโตงอกงามอะไรนี่ เห็นแล้วยังว่าเรื่องมันยุ่งตรงนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 19:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตรงนี้ก็ทวนอีกที ถ้าคนทำสวนต้องการแต่ผลตามกฎของมนุษย์ ไม่ได้ต้องการผลที่ตรงไปตรงมาตามกฎธรรมชาติ ก็คือเขาไม่มีความอยากที่เป็นกุศล คือ ไม่มีความต้องการให้ต้นไม้ดี นี่คือ เขาไม่มีฉันทะ เขามีแต่ตัณหา คือ อยากได้เงิน ๗,๐๐๐ บาท ตัณหาก็จึงทำให้เกิดการทำงานตามระบบเงื่อนไขของกฎสมมุติที่ตกลงกันไว้

ถึงตอนนี้ จุดที่จะเน้นก็คือว่า เมื่อคนไปทำสวน โดยไม่มีฉันทะ คือ ไม่มีความต้องการที่จะให้ต้นไม้เติบโตงอกงาม เขาก็ไม่รักงาน เข้าก็จำใจฝืนใจทำ เพราะฉะนั้น เขาก็จึงทำงานด้วยความทุกข์

นี่คือปัญหาหนึ่งที่สำคัญของคนในโลกปัจจุบัน ที่กลายเป็นว่า อารยธรรมเจริญขึ้นมา คนก็เจริญไปด้วยความทุกข์ คนทำงาน ทำการ เรียนหนังสือกันด้วยความทุกข์ เพราะพากันมาอื้อตื้ออยู่ในระบบเงื่อนไขเสียหมด พูดตรงๆก็คืออยู่ในระบบตัณหานั่นเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 19:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จบตอน พุทธธรรมหน้า ๑๐๘๒

ต่อ

ถ้าให้ระบบเงื่อนไขหนุนกฎธรรมชาติได้ ก็จะมีผลดีจริง

viewtopic.php?f=1&t=56791

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2018, 16:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b12:
กฏของตนเองคือสร้างเงื่อนไขไม่ฟังคำสอนเพราะออกจากปากคนอื่น
ปรโตโฆษะคือเสียงที่ไม่ใช่ออกจากปากของพระพุทธเจ้าไม่ใช่หรือคะ
ก็หัดฟังซะบ้างทำมาเยอะแล้วสร้างแต่เกราะกำบังปัญญาไม่ให้เกิดไง
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2018, 19:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
จบตอน พุทธธรรมหน้า ๑๐๘๒

ต่อ

ถ้าให้ระบบเงื่อนไขหนุนกฎธรรมชาติได้ ก็จะมีผลดีจริง

viewtopic.php?f=1&t=56791

:b12:
กฏของธรรมชาติคือทำอย่างไรย่อมได้อย่างนั้น
คิดให้ตรงปัจจุบันขณะคือเดี๋ยวนี้เลยนะ
ปัญญาเกิดได้ตามลำดับตรงขณะ
ข้ามขั้นไม่ได้ต้องเริ่มที่ข้อ1
ฟังทุกครั้งจนปัญญา1ล้น
จะกลายเป็นปัญญา2
ฟังต่อพิจารณาไป
ฟังไปเจริญขึ้น
อบรมปัญญา2
เพิ่มจนล้น
ไปถึง3
กะพริบตาสัญญาขันธ์เป็นขณะจิตใหม่ตลอดมัวยึดแต่สัญญาอันเก่าที่ท่องจำไว้มากๆมันไม่ตามไปชาติหน้า
ปัจจุบันขณะคือเดี๋ยวนี้ไม่ได้กำลังทำฟังตรงขณะNOWไม่ฟังก็คือไม่ได้ทำปัญญาตามปกติใช้หูฟังตรงจริงๆ
พึ่งเสียงที่กำลังฟังเพื่อรู้ความหมายของเสียงตรงสัจจะที่กายใจมีแล้วที่ไม่เคยรู้ว่ามีแล้วและกำลังเกิดดับอยู่
บ่อแม๊นลัดเอาบ่อฟังฟ้าฟังไฟแล้วก็ข้ามไป3โลดมันเป็นไปบ่อได้เด้อจร้ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดปัญญาเอง
แปลว่าไม่ใช่เดินทางลัดไม่ฟังฟ้าฟังไฟข้ามไปทำ3เลยมันอิมพอสซิเบิ้น555ปัญญาไม่เกิดเพราะลืมทำข้อ1
แล้วองค์ธรรมของฌานมันมีเจตสิกคือสมาธิอย่างเดียวชื่อเอกัคตาเจตสิกมันไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย
เพราะตอนถึงเอกัคตาอันเดียวนั้นน่ะเสียงก็ไม่ได้ยินแล้วปัญญาเกิดตามลำดับเริ่มที่ฟังตาไม่บอดลืมตาฟังน๊า
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2018, 20:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
จบตอน พุทธธรรมหน้า ๑๐๘๒

ต่อ

ถ้าให้ระบบเงื่อนไขหนุนกฎธรรมชาติได้ ก็จะมีผลดีจริง

viewtopic.php?f=1&t=56791

:b12:
กฏของธรรมชาติคือทำอย่างไรย่อมได้อย่างนั้น
คิดให้ตรงปัจจุบันขณะคือเดี๋ยวนี้เลยนะ
ปัญญาเกิดได้ตามลำดับตรงขณะ
ข้ามขั้นไม่ได้ต้องเริ่มที่ข้อ1
ฟังทุกครั้งจนปัญญา1ล้น
จะกลายเป็นปัญญา2
ฟังต่อพิจารณาไป
ฟังไปเจริญขึ้น
อบรมปัญญา2
เพิ่มจนล้น
ไปถึง3
กะพริบตาสัญญาขันธ์เป็นขณะจิตใหม่ตลอดมัวยึดแต่สัญญาอันเก่าที่ท่องจำไว้มากๆมันไม่ตามไปชาติหน้า
ปัจจุบันขณะคือเดี๋ยวนี้ไม่ได้กำลังทำฟังตรงขณะNOWไม่ฟังก็คือไม่ได้ทำปัญญาตามปกติใช้หูฟังตรงจริงๆ
พึ่งเสียงที่กำลังฟังเพื่อรู้ความหมายของเสียงตรงสัจจะที่กายใจมีแล้วที่ไม่เคยรู้ว่ามีแล้วและกำลังเกิดดับอยู่
บ่อแม๊นลัดเอาบ่อฟังฟ้าฟังไฟแล้วก็ข้ามไป3โลดมันเป็นไปบ่อได้เด้อจร้ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดปัญญาเอง
แปลว่าไม่ใช่เดินทางลัดไม่ฟังฟ้าฟังไฟข้ามไปทำ3เลยมันอิมพอสซิเบิ้น555ปัญญาไม่เกิดเพราะลืมทำข้อ1
แล้วองค์ธรรมของฌานมันมีเจตสิกคือสมาธิอย่างเดียวชื่อเอกัคตาเจตสิกมันไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย
เพราะตอนถึงเอกัคตาอันเดียวนั้นน่ะเสียงก็ไม่ได้ยินแล้วปัญญาเกิดตามลำดับเริ่มที่ฟังตาไม่บอดลืมตาฟังน๊า
:b32: :b32: :b32:

ที่สำคัญองค์ธรรมแรกของมรรค8เกิดจากกำลังคิดถูกตรงตามเสียงคำจริงตรงกับที่กายใจมีตอนเห็น+ฟังอยู่
จึงสามารถเกิดมรรคแรกได้คือคิดเห็นถูกเข้าใจถูกรู้ตรงตามเสียงของปรโตโฆสะที่กล่าวให้กำลังคิดถูกตาม
มรรคแรกคือสัมมาทิฏฐิแปลว่ากำลังคิดเห็นถูกเข้าใจถูกตามเสียงที่กำลังระลึกตามคำสอนได้ตรงปัจจุบัน
:b16: :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2018, 08:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
จบตอน พุทธธรรมหน้า ๑๐๘๒

ต่อ

ถ้าให้ระบบเงื่อนไขหนุนกฎธรรมชาติได้ ก็จะมีผลดีจริง

viewtopic.php?f=1&t=56791

:b12:
กฏของธรรมชาติคือทำอย่างไรย่อมได้อย่างนั้น
คิดให้ตรงปัจจุบันขณะคือเดี๋ยวนี้เลยนะ
ปัญญาเกิดได้ตามลำดับตรงขณะ
ข้ามขั้นไม่ได้ต้องเริ่มที่ข้อ1
ฟังทุกครั้งจนปัญญา1ล้น
จะกลายเป็นปัญญา2
ฟังต่อพิจารณาไป
ฟังไปเจริญขึ้น
อบรมปัญญา2
เพิ่มจนล้น
ไปถึง3
กะพริบตาสัญญาขันธ์เป็นขณะจิตใหม่ตลอดมัวยึดแต่สัญญาอันเก่าที่ท่องจำไว้มากๆมันไม่ตามไปชาติหน้า
ปัจจุบันขณะคือเดี๋ยวนี้ไม่ได้กำลังทำฟังตรงขณะNOWไม่ฟังก็คือไม่ได้ทำปัญญาตามปกติใช้หูฟังตรงจริงๆ
พึ่งเสียงที่กำลังฟังเพื่อรู้ความหมายของเสียงตรงสัจจะที่กายใจมีแล้วที่ไม่เคยรู้ว่ามีแล้วและกำลังเกิดดับอยู่
บ่อแม๊นลัดเอาบ่อฟังฟ้าฟังไฟแล้วก็ข้ามไป3โลดมันเป็นไปบ่อได้เด้อจร้ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดปัญญาเอง
แปลว่าไม่ใช่เดินทางลัดไม่ฟังฟ้าฟังไฟข้ามไปทำ3เลยมันอิมพอสซิเบิ้น555ปัญญาไม่เกิดเพราะลืมทำข้อ1
แล้วองค์ธรรมของฌานมันมีเจตสิกคือสมาธิอย่างเดียวชื่อเอกัคตาเจตสิกมันไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย
เพราะตอนถึงเอกัคตาอันเดียวนั้นน่ะเสียงก็ไม่ได้ยินแล้วปัญญาเกิดตามลำดับเริ่มที่ฟังตาไม่บอดลืมตาฟังน๊า
:b32: :b32: :b32:

ที่สำคัญองค์ธรรมแรกของมรรค8เกิดจากกำลังคิดถูกตรงตามเสียงคำจริงตรงกับที่กายใจมีตอนเห็น+ฟังอยู่
จึงสามารถเกิดมรรคแรกได้คือคิดเห็นถูกเข้าใจถูกรู้ตรงตามเสียงของปรโตโฆสะที่กล่าวให้กำลังคิดถูกตาม
มรรคแรกคือสัมมาทิฏฐิแปลว่ากำลังคิดเห็นถูกเข้าใจถูกตามเสียงที่กำลังระลึกตามคำสอนได้ตรงปัจจุบัน


ไม่ไหวจะเคลีย

ย้ำอีกทีว่า พระพุทธศาสนาในเมืองไทยไปไม่รอด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร