วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 06:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2018, 09:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


ต่อจาก

viewtopic.php?f=1&t=56745

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2018, 09:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ภาคปฏิบัติการ

ทุกข์มีทุกข์มา อย่าเสียท่าเอาใจรับ แต่จงเรียกปัญญาให้มาจับเอาทุกข์ไปจัดการ



เมื่อจะพัฒนาความสุข ก็ต้องไม่มองข้ามคำว่า “ทุกข์” เพราะรู้อยู่ชัดๆว่า ทุกข์นั้นก็มีอยู่ เหมือนเป็นของคู่กัน แต่ตรงข้าม กับ สุข เมื่อทุกข์เป็นของจริงที่มีอยู่ เมื่อมองจะเอาแต่สุข ก็ต้องไม่มองข้ามความทุกข์ คือ มองอะไร ก็ต้องมองให้ครบ มองให้เต็มตา มองตามความเป็นจริง ไม่ใช่หลีกหลบสายตา แล้วก็เลยไปค้างคาอยู่ในใจ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2018, 09:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ยิ่งกว่านั้น ถ้าบอกว่ามีความสุข แต่ยังมีทุกข์อยู่ ก็เป็นสุขแท้สุขจริงไม่ได้ เพราะฉะนั้น ที่ว่า พัฒนาความสุข ก็หมายถึงลดทุกข์ หมดทุกข์ บำราศทุกข์ ปลอดทุกข์ ดับทุกข์ได้ไปด้วย

ดังนั้น เมื่อพูดถึงกระบวนการพัฒนาความสุขนี้ ก็อาจพูดอีกแนวหนึ่ง โดยเอา “ทุกข์” มาแทนคำว่า “สุข” กลายเป็นกระบวนการดับทุกข์ ก็อันเดียวกันนั่นเอง แต่อันนี้ เด็ดขาดกว่า เพราะว่า ในกระบวนการดับทุกข์นั้น ไม่ว่าจะสุขแค่ไหน ก็ต้องให้ถึงขั้นไม่มีทุกข์เหลืออยู่เลย จึงจะจบ จึงจะครบเต็มความหมาย

ถ้าบอกว่า กระบวนการพัฒนาความสุข ก็เป็นปลายเปิดเรื่อยไป ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะถึงจุดหมาย ด้วยเหตุนั้น เมื่อว่าตามหลักวิชา ท่านจึงใช้สำนวนนี้ หรือในแนวนี้ว่าเป็นการ “ดับทุกข์”

อย่างไรก็ตาม มีแง่ที่ต้องพูดเพิ่มเติมให้เข้าใจชัดขึ้นอีกว่า คำว่า “ดับทุกข์” ที่ถือว่าแปลจากคำพระว่า “นิโรธ” นั้น ได้แฝงปมปัญหาในทางภาษาเอาไว้ด้วย คือปมความไม่ชัด ที่อาจจะทำให้เข้าใจเขว กล่าวคือ เวลาเราพูดว่าดับทุกข์ จะทำให้รู้สึกเหมือนว่า ทุกข์มีอยู่ๆ เราก็คอยดับๆ เราก็เลยจะต้องคอยดับทุกข์กันอยู่เรื่อยไป

ความจริงนั้น “นิโรธ” ในภาวะที่แท้ หมายถึงการไม่มีทุกข์เกิดขึ้น หรือภาวะที่ทุกข์ปราศไร้หายหมดไปเลย นี่คือ ความหมายที่ต้องการ นิโรธ ในขั้นสุดท้าย ก็คือนิพพาน จึงเป็นภาวะที่ไม่มีทุกข์เกิดขึ้นอีก

บางครั้ง ท่านอธิบายด้วยคำว่า “อนุปฺปาทนิโรธ” ก็แปลว่า ความดับไปโดยไม่มีการไม่เกิดขึ้น คือ ดับเด็ดขาด ดังนั้น เพื่อให้สะดวก นิโรธแห่งทุกข์ เราก็แปลว่า ความไม่มีทุกข์เกิดขึ้นอีก หรือภาวะไร้ทุกข์นั่นเอง

สำหรับในที่นี้ ไม่ใช้คำว่ากระบวนการดับทุกข์ คือหลบภาษาที่ใช้คำว่าทุกข์ และคงจะเพื่อให้สะดวกปากคนไทย หรือให้ถนัดใจคนฟัง ก็ใช้คำว่า “สุข” จึงบอกว่าเป็นกระบวนการพัฒนาความสุข

แต่ทั้งนี้ ให้รู้กันว่า เราไม่ได้มองข้ามเรื่องความทุกข์ แต่จะว่าไปด้วยกัน เพราะฉะนั้น ในคำว่า กระบวนการพัฒนาความสุข ก็มีความหมายรวมไปถึงการจัดการในเรื่องความทุกข์ด้วย

ในเรื่องทุกข์นี้ ที่พูดมานั้น ยังไม่ใช่จุดสำคัญที่แท้ ข้อที่มองข้ามไม่ได้ จะต้องไม่พลาด จึงต้องย้ำไว้ก่อนก็คือ ท่าทีต่อความทุกข์ อันนี้ ต้องชัด ถ้าพลาดไปก็จะไม่ได้พัฒนาความสุข

นี่ก็คือ เรื่องที่พระเรียกว่า กิจในอริยสัจ ข้อทุกข์ พูดให้สั้นว่า กิจต่อทุกข์ หรือหน้าที่ต่อทุกข์ ตรงนี้ ถ้าทำผิด ก็พลาดหมด เสียกระบวนตั้งแต่ต้น และคนก็มักจะมองข้ามข้อนี้ไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 28 พ.ย. 2018, 19:01, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2018, 09:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้ เมื่อจะดูว่า ท่าทีหรือวิธีปฏิบัติต่อทุกข์ คืออย่างไร ในฐานะที่ทุกข์เป็นข้อที่ ๑ ในอริยสัจ ๔ ก็ควรพูดให้ครบอริยสัจทั้ง ๔ เพื่อจับให้ถูกว่า เราจะต้องทำอย่างไรต่ออริยสัจแต่ละข้อนั้น ขอให้ดูตามลำดับต่อไปนี้

๑. ทุกข์ สภาพกดดันบีบคั้น เป็นที่ตั้งแห่งปัญหา หรือสิ่งสรรพ์อันมีวิสัยให้เกิดปัญหา กิจ คือ ปริญญา แปลว่า รู้รอบ หรือรู้เท่าทัน

๒. สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ กิจ คือ ปหานะ แปลว่า ละ กำจัด ทำให้หมดสิ้นไป

๓. นิโรธ ภาวะไร้ทุกข์ กิจ คือ สัจฉิกิริยา แปลว่า ทำให้แจ้ง ทำให้ประจักษ์ ทำให้เป็นจริงขึ้นมา หรือให้ได้ให้ถึง

๔. มรรค วิธีปฏิบัติให้ถึงภาวะไร้ทุกข์ กิจ คือ ภาวนา แปลว่า ทำให้เป็นให้เกิดให้มี เจริญ ปฏิบัติ หรือลงมือทำ



กิจต่ออริยสัจ ๔ นั้น วาระนี้มิใช่โอกาสที่จะอธิบาย เพียงแต่ให้รู้ตระหนักไว้ ต้องถือว่าสำคัญอย่างยิ่ง คู่ กับ ตัวอริยสัจ ๔ เองทีเดียว เพราะถ้าปฏิบัติต่ออริยสัจไม่ว่าข้อใดผิดหน้าที่ การที่จะก้าวหน้าไปในธรรม ก็ล้มเหลว หมดความหมาย เป็นอันไม่มีทางได้ตรัสรู้หรือเข้าถึงธรรม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 28 พ.ย. 2018, 19:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2018, 09:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในที่นี้ ย้ำเฉพาะหน้าที่ต่อทุกข์ ซึ่งพูดให้เห็นหลักเป็นคำบาลีว่า “ทุกฺขํ ปริญฺเญยฺยํ” (ทุกข์พึงปริญญา) หมายความว่า ทุกข์เป็นสิ่งที่จะต้องรู้เข้าใจด้วยปัญญา

พูดให้สั้นอีกหน่อยว่า ทุกข์นั้นสำหรับรู้เข้าใจ หรือ ทุกข์นั้นสำหรับปัญญารู้ อย่างน้อยขอให้เข้าใจง่ายๆ ว่า เหมือนเราจะแก้ปัญหา ก็ต้องรู้ปัญหา จึงจะแก้สำเร็จได้

ที่จริง ความหมายของทุกข์ ไม่ใช่แค่ที่คนทั่วไปพูดกัน ไม่ใช่แค่ความรู้สึกเจ็บปวดกายใจไม่สบายเท่านั้น แต่คือสิ่งทั้งหลาย ซึ่งอยู่ในวิสัยที่จะทำให้เกิดความบีบคั้นได้ ในเมื่อปฏิบัติไม่ถูกต้องต่อมัน จึงเป็นเรื่องใหญ่ที่ถึงกับต้องปริญญา ให้รู้เท่าทัน

แต่ร่วมความแล้วก็คือ ทุกข์เป็นเรื่องสำหรับปัญญารู้ ทุกข์เป็นเรื่องของปัญญา สำหรับปัญญาจัดการให้จบไป ไม่ใช่สำหรับเอามาใส่เก็บดองไว้ให้ปูดหรือบูดเน่าอยู่ในหัวใจให้หมดความสดใสเบิกบาน

พูดให้มั่นอีกทีว่า ถ้าทุกข์มา ก็เอาปัญญาออกไปรับหน้ามัน จงเจอกับทุกข์ด้วยปัญญา อย่าเอาจิตใจไปยุ่งกับมัน ด้านที่คนไทยเรียกว่าอารมณ์นั่นแหละ ไม่ต้องไปวุ่นวาย อย่าไปรับมันมาไว้ให้ใจเราถูกบีบคั้น ถ้าใจรับเอามันมาแล้ว ก็อย่าเก็บเอาไว้ให้อัดอั้นในใจ รีบส่งต่อให้ปัญญาเอาไปหาทางจัดการ

ถ้าเอาทุกข์มาเก็บอัดไว้ในใจ นอกจากไม่ได้แก้ไข มีแต่ทุกข์เปล่าๆ แล้วตัวเราก็ไม่พัฒนา แต่ถ้าส่งต่อให้ปัญญา นอกจากมีทางแก้ไข ชีวิตของเราก็จะได้พัฒนา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2018, 09:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จำเป็นหลักไว้เลยว่า ทุกข์ไม่ใช่ธุระของใจ แต่ทุกข์เป็นธุระของปัญญา ใจมีหน้าที่ใช้ปัญญา ใจไม่มีหน้าที่เป็นทุกข์ เจ้าของเรื่องคือปัญญา ที่มีหน้าที่แก้ปัญหาดับทุกข์ ปัญญาดับทุกข์ได้ แถมระหว่างนั้นยังสร้างสุขให้ด้วย

ใจมีหน้าที่ประจักษ์ในความสุข จงพัฒนาใจให้เก่งในการมีสุข และพัฒนาปัญญาให้เก่งในการแก้ปัญหา ดับทุกข์ ใจดี ต้องมีสุขได้ ปัญญาดี ต้องดับทุกข์ได้ แต่ใจจะดีมีสุขจริงแท้ ก็เมื่อมีปัญญาดับทุกข์ให้หมดไปสิ้น

เป็นอันว่า ต้องทำให้ถูก ต้องปฏิบัติให้ตรงตามกิจต่ออริยสัจ
ถ้าเจอทุกข์ ใครเอามาเก็บอัดกดดันบีบคั้น ทำจิตใจให้คับแค้น หมกมุ่น ขุ่นมัว เศร้าหมอง นั่นคือทำหน้าที่ต่อทุกข์ไม่ถูก ปฏิบัติผิดหน้าที่แล้ว ต้องหยุดแล้วหันไปทำให้ถูก เอาปัญญามาจัดการอย่างที่ว่าไปแล้วนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2018, 09:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ส่วนความสุขนั้น ไปเข้าในข้อ ๓ คือ ข้อนิโรธ แต่อยู่ในขั้นสัมพัทธ์ ที่จะต้องเดินหน้าต่อๆไป เป็นขั้นๆ จนกว่าจะถึงขั้นสุดท้ายที่สูงสุด และหน้าที่ของเราต่อข้อนี้ ก็คือสัจฉิกิริยา ที่แปลว่า ทำให้ประจักษ์แจ้งเป็นจริง หรือสำเร็จ บรรลุถึง ควรทำให้ได้ ไม่ว่าเล็ก ไม่ว่าน้อย ให้เป็นประจำทุกวัน

ดังได้กล่าวแล้วว่า สุขนั้นมีมากมาย หลายขั้น หลายประเภท และนี่แหละก็คือเรื่อที่บอกว่า จะได้พัฒนากันต่อไป

ตรงนี้ ถือว่า เป็นต้นทาง เริ่มออกเดินทาง เพราะฉะนั้น อย่าให้พลาด ต้องเริ่มให้ดี เพื่อจะเข้าทางได้ แล้วก็เดินหน้าไปอย่างมั่นใจด้วยกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2018, 09:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จบตอนนี้ พุทธธรรมหน้า ๑๑๐๓

ต่อ "ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่มีทุกข์ทับถม" ที่

viewtopic.php?f=1&t=56735

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2018, 09:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หากเอาคคห.คุณโรสศิษย์บ้านธัมมะเทียบหลักอริยสัจแล้ว ก็จะเห็นว่าสำนักนี้ทำหมันพุทธธรรมเรียบร้อยแล้ว :b32: :b9: แม้แต่คำว่าปฏิบัติ คุณโรสยังเข้าใจผิดว่า ไปทำเพิ่มทำไม มันมีอยู่แล้ว กิเลสมันก็มีอยู่แล้ว เพียงเห็นแค่ แสง สี เสียง วูบวาบๆ 1 ขณะ ที่เหลือนั้นมืดตึดตื๋อว่า onion

อ้างคำพูด:
ไม่ใช่ทำสิ่งที่ต้องการอยากจะไปทำเพิ่ม

เพราะกิเลสมีแล้วที่กายใจตนเองเข้าใจป่าว

เอ้าคิดให้ตรง เห็นแค่สี กระทบตา ดับหมดแล้ว



อ้างคำพูด:
กรัชกาย
ดูๆแล้วพระพุทธศาสนาในเมืองไทยไปไม่รอดดังคำเขาว่าจริงๆ



อ้างคำพูด:
Rosarin

ฟังสิ่งที่จำเป็นต้องฟังเพื่อสะสมปัญญา

ไม่ใช่ทำสิ่งที่ต้องการอยากจะไปทำเพิ่ม

เพราะกิเลสมีแล้วที่กายใจตนเองเข้าใจป่าว

เอ้าคิดให้ตรงเห็นแค่สีกระทบตาดับหมดแล้ว

จึงจะเกิดจิตทางอื่นสลับกันไปมืด 5 ขณะน่ะไม่เห็น

ดังนั้น ตอนคิดนึก ตอนได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้สึกสุขทุกข์จำอะไร

ในเมื่อสว่างวาบ 1 ขณะ คือสี 1 สี กระทบตาแล้ว ดับ มืด ต่อ อีก 5 ขณะ

ทุกอย่างเป็นสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยทีละ 1 ขณะ ไม่ซ้ำ

คิดนึกในความมืด ดังนั้น ไม่เห็นเลยตอนที่คิด ตอนที่ได้ยิน ตอนจำ ตอนรู้สึกต่างๆมืด

ลืมตาดูอยู่นี่ จะไปทำพิธีกรรม หรือจะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน จะสว่างตลอดเวลาได้ไหม

เพราะตถาคตทรงแสดงว่า จิตเกิดดับ สลับกันทีละ 1 ทางทีละ 1 ขณะไม่ปนกัน กิเลสตนหลอกจิตน๊า

คือว่า เห็นแค่สี 1 สี แล้ว ดับหมด ไม่เหลือซาก ที่มีแสงเลย จากนั้น มืดอีก 5 ทาง แต่ละ 1 ขณะ มีเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป

เป็นปกติธรรมดาที่เร็วสุดที่จะประมาณได้แค่กระพริบตาดับครบ6ทางเลยคิดสิบวชรับเงินอาบัติหลงผิดแค่ไหน

คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ใช่พิธีกรรมเพราะไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเลยคร่าาาาาาา...
ฟังบ้างนะจะได้ไม่เสียชาติเกิดที่ได้เกิดมาพบคำสอนของพระพุทธเจ้า
https://youtu.be/JuF9eCSejso


คิดมโนไปถึงขนาดนี้ ถึงได้บอกว่าคุณโรสเป็นต้นทำหมันถาวรพระพุทธศาสนาสิ้นเชิงแล้วแล.

จบข่าว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 51 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร