วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 22:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 82 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2018, 19:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ถ้าจับเอาเวทนา ๓ (สุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนา) ซึ่งเป็นเรื่องของความสุข - ความทุกข์อยู่แล้ว มาจัดเข้าในทุกขตา ๓ ข้อนี้ บางคนจะเข้าใจชัดขึ้นหรือง่ายขึ้น ดังจะเห็นว่า

ทุกขเวทนานั้นเข้าตั้งแต่ข้อแรก คือ เป็นทุกขทุกข์

สุขเวทนาเจอตั้งแต่ข้อ ๒ คือเป็นวิปริณามทุกข์

ส่วนอุเบกขาเวทนารอดมาได้สองข้อ แต่ก็มาเจอที่ข้อ ๓ คือ เป็นสังขารทุกข์ หมายความว่า แม้แต่อุเบกขาก็คงอยู่เรื่อยไปไม่ได้ ต้องแปรปรวนผันแปร ขึ้นต่อเหตุปัจจัยของมัน
ถ้าใครชอบใจติดใจอยากเพลินอยู่กับอุเบกขา ก็พ้นทุกข์ไปไม่ได้ เพราะมาเจอข้อ ๓ คือ สังขารทุกขตานี้ (อรรถกถาไขความว่า อุเบกขาเวทนา และบรรดาสังขารในไตรภูมิ เป็นสังขารทุกข์ เพราะถูกบีบคั้นด้วยการเกิดสลาย)

เป็นอันว่าเวทนา ๓ ไม่ว่าสุข หรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ ก็เป็นทุกข์ในความหมายนี้หมดทั้งนั้น



ต่อ


หลักปฏิจจสมุปบาท แสดงให้เห็นอาการที่กระบวนการของธรรมชาติ เกิดเป็นปัญหาขึ้นแก่คน เพราะอวิชชาตัณหาอุปาทาน ได้อย่างไร และ
ในเวลาเดียวกัน กระบวนการของธรรมชาตินั้น ก็แสดงให้เห็นอาการที่สิ่งทั้งหลายสัมพันธ์เนื่องอาศัยเป็นเหตุปัจจัยต่อกัน เป็นรูปกระแสซึ่งไหลวน


ในภาวะที่เป็นกระแสนี้ ขยายความหมายออกไปให้เห็นแง่ต่างๆได้ คือ
สิ่งทั้งหลาย มีความสัมพันธ์เนื่องอาศัยเป็นปัจจัยแก่กัน
สิ่งทั้งหลายมีอยู่โดยความสัมพันธ์
สิ่งทั้งหลายมีอยู่ด้วยอาศัยปัจจัย
สิ่งทั้งหลายไม่มีความคงที่อยู่อย่างเดิม แม้แต่ขณะเดียว
สิ่งทั้งหลายไม่มีอยู่โดยตัวของมันเอง คือ ไม่มีตัวตนที่แท้จริงของมัน
สิ่งทั้งหลายไม่มีมูลการณ์ หรือต้นกำเนิดเดิมสุด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2018, 20:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"ผู้ใด เห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท"

"ภิกษุทั้งหลาย แท้จริง อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้แล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้ โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ฯลฯ

เมื่อใด อริยสาวกรู้ทั่วถึงความเกิดและความดับของโลกตามที่มันเป็นอย่างนี้ อริยสาวกนี้ เรียกว่าเป็นผู้มีทิฏฐิสมบูรณ์ ก็ได้ ผู้มีทัศนะสมบูรณ์ ก็ได้ ผู้ลุถึงสัทธรรมนี้ ก็ได้ ว่าผู้ประกอบด้วยเสขณาณ ก็ได้ ผู้ประกอบด้วยเสขวิชชา ก็ได้ ผู้บรรลุกระแสธรรมแล้ว ก็ได้ พระอริยะผู้มีปัญญาชำแรกกิเลส ก็ได้ ผู้อยู่ชิดประตูอมตะ ก็ได้" (สํ.นิ.16/184-187/94-96 ฯลฯ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2018, 20:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
"ผู้ใด เห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท"

"ภิกษุทั้งหลาย แท้จริง อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้แล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้ โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ฯลฯ

เมื่อใด อริยสาวกรู้ทั่วถึงความเกิดและความดับของโลกตามที่มันเป็นอย่างนี้ อริยสาวกนี้ เรียกว่าเป็นผู้มีทิฏฐิสมบูรณ์ ก็ได้ ผู้มีทัศนะสมบูรณ์ ก็ได้ ผู้ลุถึงสัทธรรมนี้ ก็ได้ ว่าผู้ประกอบด้วยเสขณาณ ก็ได้ ผู้ประกอบด้วยเสขวิชชา ก็ได้ ผู้บรรลุกระแสธรรมแล้ว ก็ได้ พระอริยะผู้มีปัญญาชำแรกกิเลส ก็ได้ ผู้อยู่ชิดประตูอมตะ ก็ได้" (สํ.นิ.16/184-187/94-96 ฯลฯ)

เขียนไปน่ะจำแต่คำ
รู้รึเปล่าคือมีแล้ว
เดี๋ยวนี้แหละ
อายตนะก็ครบ
สังขารขันธ์ก็มี
วิญญาณก็มีแล้ว
ทั้งหมดดับไปตลอด
ไม่รู้ตลอดมีอวิชชาแล้ว
ครบเลยปฏิจจสมุปบาท
ขาดอย่างเดียวที่ไม่มีคือสุตมยปัญญา
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2018, 09:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
"ผู้ใด เห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท"

"ภิกษุทั้งหลาย แท้จริง อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้แล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้ โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ฯลฯ

เมื่อใด อริยสาวกรู้ทั่วถึงความเกิดและความดับของโลกตามที่มันเป็นอย่างนี้ อริยสาวกนี้ เรียกว่าเป็นผู้มีทิฏฐิสมบูรณ์ ก็ได้ ผู้มีทัศนะสมบูรณ์ ก็ได้ ผู้ลุถึงสัทธรรมนี้ ก็ได้ ว่าผู้ประกอบด้วยเสขณาณ ก็ได้ ผู้ประกอบด้วยเสขวิชชา ก็ได้ ผู้บรรลุกระแสธรรมแล้ว ก็ได้ พระอริยะผู้มีปัญญาชำแรกกิเลส ก็ได้ ผู้อยู่ชิดประตูอมตะ ก็ได้" (สํ.นิ.16/184-187/94-96 ฯลฯ)

เขียนไปน่ะจำแต่คำ
รู้รึเปล่าคือมีแล้ว
เดี๋ยวนี้แหละ
อายตนะก็ครบ
สังขารขันธ์ก็มี
วิญญาณก็มีแล้ว
ทั้งหมดดับไปตลอด
ไม่รู้ตลอดมีอวิชชาแล้ว
ครบเลยปฏิจจสมุปบาท
ขาดอย่างเดียวที่ไม่มีคือสุตมยปัญญา
:b12:
:b4: :b4:

:b12:
ทุกอย่างตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
มีการเพิ่มขึ้นตามลำดับตามที่ทรงเรียงลำดับ
ว่าจิตแต่ละ1ขณะมีตัวธัมมะอะไรบ้างเกิดร่วมด้วย
และทุกอย่างรู้คิดถูกตามได้ตรงปัจจุบันขณะที่กายใจตนเอง
ดังนั้นไม่ว่าเราจะยืนเดินนั่งหรือนอนแบกความไม่รู้คือกิเลสพาไปทำ
ลืมว่าปัญญาเกิดได้ตามลำดับถ้าไม่เริ่มฟังแสดงว่าปัญญาไม่เพิ่มขึ้นเลย
การสดับเสียงเพื่อรู้ตามจากเสียงตรงตัวธัมมะที่กำลังมีตนเท่านั้นที่รู้ถูกตัวตนตามได้
คนอื่นจะคิดแทนเราไม่ได้ดังนั้นการฟังจึงเป็นการเพียรรู้ตรงสัจจะที่กำลังปรากฏที่ตนรู้ชัดที่กายใจตนตามได้
https://youtu.be/xsRHiy3U5Bs
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2018, 16:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
"ผู้ใด เห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท"

"ภิกษุทั้งหลาย แท้จริง อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้แล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้ โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ฯลฯ

เมื่อใด อริยสาวกรู้ทั่วถึงความเกิดและความดับของโลกตามที่มันเป็นอย่างนี้ อริยสาวกนี้ เรียกว่าเป็นผู้มีทิฏฐิสมบูรณ์ ก็ได้ ผู้มีทัศนะสมบูรณ์ ก็ได้ ผู้ลุถึงสัทธรรมนี้ ก็ได้ ว่าผู้ประกอบด้วยเสขณาณ ก็ได้ ผู้ประกอบด้วยเสขวิชชา ก็ได้ ผู้บรรลุกระแสธรรมแล้ว ก็ได้ พระอริยะผู้มีปัญญาชำแรกกิเลส ก็ได้ ผู้อยู่ชิดประตูอมตะ ก็ได้" (สํ.นิ.16/184-187/94-96 ฯลฯ)

เขียนไปน่ะจำแต่คำ
รู้รึเปล่าคือมีแล้ว
เดี๋ยวนี้แหละ
อายตนะก็ครบ
สังขารขันธ์ก็มี
วิญญาณก็มีแล้ว
ทั้งหมดดับไปตลอด
ไม่รู้ตลอดมีอวิชชาแล้ว
ครบเลยปฏิจจสมุปบาท

ขาดอย่างเดียวที่ไม่มีคือสุตมยปัญญา


อ้างคำพูด:
ขาดอย่างเดียวที่ไม่มีคือสุตมยปัญญา


ขาดอย่างเดียวที่ไม่มี คือ ปัญญาที่เกิดจากภาวนา เรียกเป็นคำศัพท์ว่า ภาวนามยปัญญา ดังนี้แล :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2018, 16:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
"ผู้ใด เห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท"

"ภิกษุทั้งหลาย แท้จริง อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้แล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้ โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ฯลฯ

เมื่อใด อริยสาวกรู้ทั่วถึงความเกิดและความดับของโลกตามที่มันเป็นอย่างนี้ อริยสาวกนี้ เรียกว่าเป็นผู้มีทิฏฐิสมบูรณ์ ก็ได้ ผู้มีทัศนะสมบูรณ์ ก็ได้ ผู้ลุถึงสัทธรรมนี้ ก็ได้ ว่าผู้ประกอบด้วยเสขณาณ ก็ได้ ผู้ประกอบด้วยเสขวิชชา ก็ได้ ผู้บรรลุกระแสธรรมแล้ว ก็ได้ พระอริยะผู้มีปัญญาชำแรกกิเลส ก็ได้ ผู้อยู่ชิดประตูอมตะ ก็ได้" (สํ.นิ.16/184-187/94-96 ฯลฯ)

เขียนไปน่ะจำแต่คำ
รู้รึเปล่าคือมีแล้ว
เดี๋ยวนี้แหละ
อายตนะก็ครบ
สังขารขันธ์ก็มี
วิญญาณก็มีแล้ว
ทั้งหมดดับไปตลอด
ไม่รู้ตลอดมีอวิชชาแล้ว
ครบเลยปฏิจจสมุปบาท
ขาดอย่างเดียวที่ไม่มีคือสุตมยปัญญา


ทุกอย่างตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า

มีการเพิ่มขึ้นตามลำดับตามที่ทรงเรียงลำดับ

ว่าจิตแต่ละ1ขณะมีตัวธัมมะอะไรบ้างเกิดร่วมด้วย
และทุกอย่างรู้คิดถูกตามได้ตรงปัจจุบันขณะที่กายใจตนเอง
ดังนั้นไม่ว่าเราจะยืนเดินนั่งหรือนอนแบกความไม่รู้คือกิเลสพาไปทำ
ลืมว่าปัญญาเกิดได้ตามลำดับถ้าไม่เริ่มฟังแสดงว่าปัญญาไม่เพิ่มขึ้นเลย
การสดับเสียงเพื่อรู้ตามจากเสียงตรงตัวธัมมะที่กำลังมีตนเท่านั้นที่รู้ถูกตัวตนตามได้
คนอื่นจะคิดแทนเราไม่ได้ดังนั้นการฟังจึงเป็นการเพียรรู้ตรงสัจจะที่กำลังปรากฏที่ตนรู้ชัดที่กายใจตนตามได้
https://youtu.be/xsRHiy3U5Bs


อ้างคำพูด:
ทุกอย่างตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า

มีการเพิ่มขึ้นตามลำดับตามที่ทรงเรียงลำดับ


อีกแล้วๆ เอาคคห. ของตนที่ฟังแม่สุจินมาไปใส่ปากพระพุทธเจ้าบ้าง ตถาคตบ้างอีกแล้ว

และนั่นก็คือเขาไม่สามารถที่จะทำการภาวนาได้เบยไม่ว่ากรณีใดๆ

มีการเพิ่มขึ้นตามลำดับตามที่ทรงเรียงลำดับ

เช่น ถ้าเขาจะปฏิบัติธรรมแนวสติปัฏฐาน 4 เขาก็จะต้องเริ่มทำข้อ 1 กายานุปัสสนา สมมติว่า ทำไป 50 ปี ครบ 50 ปี เขาก็จะทำข้อ 2 เวทนานุปัสสนา ไป 50 ปี ครบ 50 ปีแล้ว เขาก็เริ่มข้อ 3 จิตตานุปัสสนาไป 50 ปี เรียงลำดับไปอย่างนี้ จนกว่าจะครบ 4 ข้อ

เอาอีกตัวอย่างหนึ่ง ถ้าเขาจะเริ่มปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 เขาก็จะเริ่มข้อที่ 1 สัมมาทิฏฐิไป 25 ปี อิอิ ครบอายุปีแล้ว ก็เริ่มทำข้อ 2 สัมมาสังกัปปะ ไป 25 ปี ตามลำดับเรื่อยไป จนครบ 8 ข้อ ใช้เวลา 200 ปี เป็นอย่างน้อย จึงครบองค์ประกอบของมรรค 8 ข้อ ตามลำดับ


เอาอีกก็ได้ ถ้าสำนักแม่สุจิน จะปฏิบัติโพชฌงค์ 7 ข้อ ตามลำดับ ก็ใช้เวลาร้อยกว่าปี คิกๆๆ กว่าจะครบลำดับ

เอาอีกก็ได้ ถ้าสำนักแม่สุจิน จะทำธรรมมีอุปการะมาก 2 อย่าง คือ สติ กับ สัมปชัญญะ เขาก็จะสอนกันว่า ให้ทำสติ ข้อ 1 ก่อน สัก 60 ปี ครบ 60 ปีแล้ว ก็ทำสัมปชัญญะ 60 ปี จบสองข้อตามลำดับ รวมเวลาอย่างน้อย 120 ปี คิกๆๆ

พอ :b13:

จบข่าว :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2018, 16:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ถ้าจับเอาเวทนา ๓ (สุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนา) ซึ่งเป็นเรื่องของความสุข - ความทุกข์อยู่แล้ว มาจัดเข้าในทุกขตา ๓ ข้อนี้ บางคนจะเข้าใจชัดขึ้นหรือง่ายขึ้น ดังจะเห็นว่า

ทุกขเวทนานั้นเข้าตั้งแต่ข้อแรก คือ เป็นทุกขทุกข์

สุขเวทนาเจอตั้งแต่ข้อ ๒ คือเป็นวิปริณามทุกข์

ส่วนอุเบกขาเวทนารอดมาได้สองข้อ แต่ก็มาเจอที่ข้อ ๓ คือ เป็นสังขารทุกข์ หมายความว่า แม้แต่อุเบกขาก็คงอยู่เรื่อยไปไม่ได้ ต้องแปรปรวนผันแปร ขึ้นต่อเหตุปัจจัยของมัน
ถ้าใครชอบใจติดใจอยากเพลินอยู่กับอุเบกขา ก็พ้นทุกข์ไปไม่ได้ เพราะมาเจอข้อ ๓ คือ สังขารทุกขตานี้ (อรรถกถาไขความว่า อุเบกขาเวทนา และบรรดาสังขารในไตรภูมิ เป็นสังขารทุกข์ เพราะถูกบีบคั้นด้วยการเกิดสลาย)

เป็นอันว่าเวทนา ๓ ไม่ว่าสุข หรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ ก็เป็นทุกข์ในความหมายนี้หมดทั้งนั้น



ต่อ


หลักปฏิจจสมุปบาท แสดงให้เห็นอาการที่กระบวนการของธรรมชาติ เกิดเป็นปัญหาขึ้นแก่คน เพราะอวิชชาตัณหาอุปาทาน ได้อย่างไร และ
ในเวลาเดียวกัน กระบวนการของธรรมชาตินั้น ก็แสดงให้เห็นอาการที่สิ่งทั้งหลายสัมพันธ์เนื่องอาศัยเป็นเหตุปัจจัยต่อกัน เป็นรูปกระแสซึ่งไหลวน


ในภาวะที่เป็นกระแสนี้ ขยายความหมายออกไปให้เห็นแง่ต่างๆได้ คือ
สิ่งทั้งหลาย มีความสัมพันธ์เนื่องอาศัยเป็นปัจจัยแก่กัน
สิ่งทั้งหลายมีอยู่โดยความสัมพันธ์
สิ่งทั้งหลายมีอยู่ด้วยอาศัยปัจจัย
สิ่งทั้งหลายไม่มีความคงที่อยู่อย่างเดิม แม้แต่ขณะเดียว
สิ่งทั้งหลายไม่มีอยู่โดยตัวของมันเอง คือ ไม่มีตัวตนที่แท้จริงของมัน
สิ่งทั้งหลายไม่มีมูลการณ์ หรือต้นกำเนิดเดิมสุด



ต่อ



พูดอีกนัยหนึ่งว่า อาการที่สิ่งทั้งหลายปรากฏรูปเป็นต่างๆ มีความเจริญความเสื่อมเป็นไปต่างๆนั้น แสดงถึงสภาวะที่แท้จริงของมันว่าเป็นกระแส
ความเป็นกระแสแสดงถึงการประกอบขึ้นด้วยองค์ประกอบต่างๆ รูปกระแสปรากฏเพราะองค์ประกอบทั้งหลายสัมพันธ์เนื่องอาศัยกัน
กระแสดำเนินไปแปรรูปได้ เพราะองค์ประกอบต่างๆไม่คงที่อยู่แม้แต่ขณะเดียว
องค์ประกอบทั้งหลายไม่คงที่อยู่แม้แต่ขณะเดียว เพราะไม่มีตัวตนที่แท้จริง ของมัน
ตัวตนที่แท้จริงของมันไม่มี มันจึงขึ้นต่อเหตุปัจจัยต่างๆ
เหตุปัจจัยต่างๆ สัมพันธ์เนื่องอาศัยกัน จึงคุมรูปเป็นกระแสได้
ความเป็นเหตุปัจจัยต่อเนื่องอาศัยกัน แสดงถึงความไม่มีต้นกำเนิดเดิมสุดของสิ่งทั้งหลาย


พูดในทางกลับกันว่า ถ้าสิ่งทั้งหลายมีตัวตนแท้จริง ก็ต้องมีความคงที่
ถ้าสิ่งทั้งหลายคงที่แม้แต่ขณะเดียว ก็เป็นเหตุปัจจัยแก่กันไม่ได้
เมื่อเป็นเหตุปัจจัยแก่กันไม่ได้ ก็ประกอบกันขึ้นเป็นกระแสไม่ได้
เมื่อไม่มีกระแสแห่งปัจจัย ความเป็นไปในธรรมชาติก็มีไม่ได้ และถ้ามีตัวตนที่แท้จริงอย่างใดในท่ามกลางกระแส ความเป็นไปตามเหตุปัจจัยอย่างแท้จริงก็เป็นไปไม่ได้

กระแสแห่งเหตุปัจจัยที่ทำให้สิ่งทั้งหลายปรากฏโดยเป็นไปตามกฎธรรมชาติ ดำเนินไปได้ ก็เพราะสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่คงที่ เกิดแล้วสลายไป ไม่มีตัวตนที่แท้จริงของมัน และสัมพันธ์เนื่องอาศัยกัน

ภาวะที่ไม่เที่ยง ไม่คงอยู่ เกิดแล้วสลายไป เรียกว่า อนิจจตา

ภาวะที่ถูกบีบคั้นด้วยเกิดสลาย มีความกดดันขัดแย้งแฝงอยู่ ไม่สมบูรณ์ในตัว เรียกว่า ทุกขตา

ภาวะที่ไร้อัตตา ไม่มีตัวตนที่แท้จริง ไม่ว่าข้างในหรือข้างนอกของมัน ที่จะเป็นตัวแกนตัวกุมสิงสู่อยู่ครองเป็นเจ้าของควบคุมสั่งบังคับให้เป็นไป อย่างนั้นอย่างนี้ตามที่ปรารถนาได้ เรียก อนัตตตา


ปฏิจจสมุปบาท แสดงให้เห็นภาวะทั้ง ๓ นี้ในสิ่งทั้งหลาย และแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ต่อเนื่องเป็นปัจจัยแก่กันของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น จนปรากฏรูปออกมาเป็นต่างๆ ในธรรมชาติ

ภาวะและความเป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบาทนี้ มีแก่สิ่งทั้งปวง ทั้งที่เป็นรูปธรรม ทั้งที่เป็นนามธรรม ทั้งในโลกฝ่ายวัตถุ ทั้งแก่ชีวิตที่ประกอบพร้อมด้วยรูปธรรมนามธรรม โดยแสดงตัวออกเป็นกฎธรรมชาติต่างๆ คือ
ธรรมนิยาม - กฎความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล
อุตุนิยาม - กฎธรรมชาติฝ่ายอนินทรียวัตถุ
พืชนิยาม - กฎธรรมชาติฝ่ายอินทรียวัตถุรวมทั้งพันธุกรรม
จิตนิยาม - กฎการทำงานของจิต และ
กรรมนิยาม - กฎแห่งกรรม ซึงมีความเกี่ยวข้องเป็นพิเศษกับเรื่องความสุขความทุกข์ของชีวิต และเป็นเรื่องที่จริยธรรมจะต้องเกี่ยวข้องโดยตรง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2018, 17:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
"ผู้ใด เห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท"

"ภิกษุทั้งหลาย แท้จริง อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้แล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้ โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ฯลฯ

เมื่อใด อริยสาวกรู้ทั่วถึงความเกิดและความดับของโลกตามที่มันเป็นอย่างนี้ อริยสาวกนี้ เรียกว่าเป็นผู้มีทิฏฐิสมบูรณ์ ก็ได้ ผู้มีทัศนะสมบูรณ์ ก็ได้ ผู้ลุถึงสัทธรรมนี้ ก็ได้ ว่าผู้ประกอบด้วยเสขณาณ ก็ได้ ผู้ประกอบด้วยเสขวิชชา ก็ได้ ผู้บรรลุกระแสธรรมแล้ว ก็ได้ พระอริยะผู้มีปัญญาชำแรกกิเลส ก็ได้ ผู้อยู่ชิดประตูอมตะ ก็ได้" (สํ.นิ.16/184-187/94-96 ฯลฯ)


เขียนไปน่ะจำแต่คำ
รู้รึเปล่าคือมีแล้ว
เดี๋ยวนี้แหละ
อายตนะก็ครบ
สังขารขันธ์ก็มี
วิญญาณก็มีแล้ว
ทั้งหมดดับไปตลอด
ไม่รู้ตลอดมีอวิชชาแล้ว
ครบเลยปฏิจจสมุปบาท
ขาดอย่างเดียวที่ไม่มีคือสุตมยปัญญา


ทุกอย่างตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
มีการเพิ่มขึ้นตามลำดับตามที่ทรงเรียงลำดับ
ว่าจิตแต่ละ1ขณะมีตัวธัมมะอะไรบ้างเกิดร่วมด้วย
และทุกอย่างรู้คิดถูกตามได้ตรงปัจจุบันขณะที่กายใจตนเอง
ดังนั้นไม่ว่าเราจะยืนเดินนั่งหรือนอนแบกความไม่รู้คือกิเลสพาไปทำ
ลืมว่าปัญญาเกิดได้ตามลำดับถ้าไม่เริ่มฟังแสดงว่าปัญญาไม่เพิ่มขึ้นเลย
การสดับเสียงเพื่อรู้ตามจากเสียงตรงตัวธัมมะที่กำลังมีตนเท่านั้นที่รู้ถูกตัวตนตามได้
คนอื่นจะคิดแทนเราไม่ได้ดังนั้นการฟังจึงเป็นการเพียรรู้ตรงสัจจะที่กำลังปรากฏที่ตนรู้ชัดที่กายใจตนตามได้
https://youtu.be/xsRHiy3U5Bs



ตกตัวอย่างสำคัญซึ่งคุณโรสอ้างอิงบ่อยๆไป คือ ปัญญาสามระดับ เรียกเป็นคำศัพท์ว่า สุตมยปัญญา จิตตามยปัญญา และภาวนามยปัญญา (ว่าตามลำดับ 1, 2, 3) แต่ก็ไม่พึงคิดเข้าข้างตัวเองนะว่า ฟังแล้วจะเกิดปัญญา คิดแล้วจะเกิดปัญญา ภาวนาแล้วจะเกิดปัญญา เหมือนคำศัพท์แน่นอนตายตัวอย่างนั้น
ฟังแล้ว คิดแล้ว ภาวนาแล้วปัญญาไม่เกิดก็ย่อมเป็นไปได้ ตัวอย่าง ก็เช่น คุณโรส ฟังคลิปมา 10 แล้ว ยังไม่เป็นโล้เป็นพายเลย คิกๆๆ

ทีนี้ คุณโรสเข้าใจเอาว่า

อ้างคำพูด:
ทุกอย่างตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า

มีการเพิ่มขึ้นตามลำดับ ตามที่ทรงเรียงลำดับ


เมื่อเรียงตามลำดับอย่างคุณโรสมโน ก็มี 3 ลำดับ 1. สุตะ 2. จินตะ 3. ภาวนา ใช้เวลาอย่างน้อย 135 ปี คือ สุตะ (ฟัง) 45 ปี (เท่ากับพระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย 45 เล่ม :b13: ) ครบ 45 ปีแล้วก็เริ่มข้อ 2 จินตะ (คิด) 45 ปี เมื่อครบ 45 ปีแล้ว ก็เริ่มภาวนา 45 ปี เป็น 45+45+45 = 135 ปี :b35:

แต่ก็ไม่แน่นอนตายอย่างว่าแล้วนะ บางคนฟัง คือสุตะไป 45 ปีแล้ว ปัญญาจากการฟังก็ยังไม่เกิด นั่งคิดจนสมองบวม จินตามยปัญญา ก็ยังไม่เกิด ดังนั้น 135 ปี นี้ว่าโดยประมาณจริงๆอาจเกินนั้น คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2018, 09:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เห็นคุณโรส บอกหลายเทื่อแล้วว่าอากาศเปลี่ยนๆ ให้กินแกงส้มดอกแคกันไข้หัวลม ไม่เชื่อ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2018, 22:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ไม่เห็นคุณโรส บอกหลายเทื่อแล้วว่าอากาศเปลี่ยนๆ ให้กินแกงส้มดอกแคกันไข้หัวลม ไม่เชื่อ :b32:

:b12:
นี่...
รู้จักสีละ...ตามคำสอนไหม
ศีลในภาษาบาลีอ่านว่าสีละแปลว่ามีปกติเป็นปกติ
...เดียวนี้มีจิตครบ6ทางกำลังเกิดดับทีละ1ทางตามปกติเป็นปกติมีความไม่รู้ความจริงไงคะ
:b32: :b32:
จิตเห็นแสงสีกระทบตา1ขณะดับแล้วอีก5ขณะมืดคิดนึกมืดจะเห็นตัวอักษรได้ไหมคริคริคริ
:b32: :b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2018, 22:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ไม่เห็นคุณโรส บอกหลายเทื่อแล้วว่าอากาศเปลี่ยนๆ ให้กินแกงส้มดอกแคกันไข้หัวลม ไม่เชื่อ :b32:

:b12:
นี่...
รู้จักสีละ...ตามคำสอนไหม
ศีลในภาษาบาลีอ่านว่าสีละแปลว่ามีปกติเป็นปกติ
...เดียวนี้มีจิตครบ6ทางกำลังเกิดดับทีละ1ทางตามปกติเป็นปกติมีความไม่รู้ความจริงไงคะ
:b32: :b32:
จิตเห็นแสงสีกระทบตา1ขณะดับแล้วอีก5ขณะมืดคิดนึกมืดจะเห็นตัวอักษรได้ไหมคริคริคริ
:b32: :b32: :b32: :b32:

:b12:
ฟังบ้างนะอย่าหาว่าไม่เตือน555
สุตมยปัญญาแปลว่าเพียรฟังเพื่อเข้าใจถูกตัวตนตามคำสอนได้ไง
เห็นสว่างมีแค่สีกระทบตาดับแล้วมืดอีก5ทางตอนนี้มีครบแล้ว6ทาง
มืดตอนกะพริบตานิดนุงกิเลสน่ะนับไม่ถ้วนแระเอากลับมาแก้ได้ไหม
เกิดเห็นใหม่สลับกับมืดอีก5ทางครบตลอดมืดมากกว่าสว่างตามคำสอน
กำลังเห็นน่ะสว่างคิดนึกได้ยินได้กลิ่นรู้สึกเย็นร้อนสุขทุกข์มืดตาไม่ได้บอด
ดูความจริงที่เห็นเทียบตามคำสอนจิตเกิดดับสลับกันครบ6ทางมืดบอดสนิทเลยก็ไม่รู้ไม่มีคนสัตว์วัตถุจริงๆ
:b32: :b32: :b32:
http://www.dhammahome.com


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2018, 23:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ไม่เห็นคุณโรส บอกหลายเทื่อแล้วว่าอากาศเปลี่ยนๆ ให้กินแกงส้มดอกแคกันไข้หัวลม ไม่เชื่อ :b32:

:b12:
นี่...
รู้จักสีละ...ตามคำสอนไหม
ศีลในภาษาบาลีอ่านว่าสีละแปลว่ามีปกติเป็นปกติ
...เดียวนี้มีจิตครบ6ทางกำลังเกิดดับทีละ1ทางตามปกติเป็นปกติมีความไม่รู้ความจริงไงคะ
:b32: :b32:
จิตเห็นแสงสีกระทบตา1ขณะดับแล้วอีก5ขณะมืดคิดนึกมืดจะเห็นตัวอักษรได้ไหมคริคริคริ
:b32: :b32: :b32: :b32:

:b12:
ฟังบ้างนะอย่าหาว่าไม่เตือน555
สุตมยปัญญาแปลว่าเพียรฟังเพื่อเข้าใจถูกตัวตนตามคำสอนได้ไง
เห็นสว่างมีแค่สีกระทบตาดับแล้วมืดอีก5ทางตอนนี้มีครบแล้ว6ทาง
มืดตอนกะพริบตานิดนุงกิเลสน่ะนับไม่ถ้วนแระเอากลับมาแก้ได้ไหม
เกิดเห็นใหม่สลับกับมืดอีก5ทางครบตลอดมืดมากกว่าสว่างตามคำสอน
กำลังเห็นน่ะสว่างคิดนึกได้ยินได้กลิ่นรู้สึกเย็นร้อนสุขทุกข์มืดตาไม่ได้บอด
ดูความจริงที่เห็นเทียบตามคำสอนจิตเกิดดับสลับกันครบ6ทางมืดบอดสนิทเลยก็ไม่รู้ไม่มีคนสัตว์วัตถุจริงๆ
:b32: :b32: :b32:
http://www.dhammahome.com

พระพุทธเจ้าไม่โกหก
ตาเนื้อตัวเองก็ไม่โกหก
มีแต่กิเลสตัวเองหลอกให้ท่องจำคำสอนไง
คิดนึกมืดคิดอีกทีเห็นตัวอักษรได้หรือสุตมยปัญญาน๊า
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2018, 07:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ไม่เห็นคุณโรส บอกหลายเทื่อแล้วว่าอากาศเปลี่ยนๆ ให้กินแกงส้มดอกแคกันไข้หัวลม ไม่เชื่อ :b32:

:b12:
นี่...
รู้จักสีละ...ตามคำสอนไหม
ศีลในภาษาบาลีอ่านว่าสีละแปลว่ามีปกติเป็นปกติ
...เดียวนี้มีจิตครบ6ทางกำลังเกิดดับทีละ1ทางตามปกติเป็นปกติมีความไม่รู้ความจริงไงคะ
:b32: :b32:
จิตเห็นแสงสีกระทบตา1ขณะดับแล้วอีก5ขณะมืดคิดนึกมืดจะเห็นตัวอักษรได้ไหมคริคริคริ
:b32: :b32: :b32: :b32:

:b12:
ฟังบ้างนะอย่าหาว่าไม่เตือน555
สุตมยปัญญาแปลว่าเพียรฟังเพื่อเข้าใจถูกตัวตนตามคำสอนได้ไง
เห็นสว่างมีแค่สีกระทบตาดับแล้วมืดอีก5ทางตอนนี้มีครบแล้ว6ทาง
มืดตอนกะพริบตานิดนุงกิเลสน่ะนับไม่ถ้วนแระเอากลับมาแก้ได้ไหม
เกิดเห็นใหม่สลับกับมืดอีก5ทางครบตลอดมืดมากกว่าสว่างตามคำสอน
กำลังเห็นน่ะสว่างคิดนึกได้ยินได้กลิ่นรู้สึกเย็นร้อนสุขทุกข์มืดตาไม่ได้บอด
ดูความจริงที่เห็นเทียบตามคำสอนจิตเกิดดับสลับกันครบ6ทางมืดบอดสนิทเลยก็ไม่รู้ไม่มีคนสัตว์วัตถุจริงๆ
:b32: :b32: :b32:
http://www.dhammahome.com

พระพุทธเจ้าไม่โกหก
ตาเนื้อตัวเองก็ไม่โกหก
มีแต่กิเลสตัวเองหลอกให้ท่องจำคำสอนไง
คิดนึกมืดคิดอีกทีเห็นตัวอักษรได้หรือสุตมยปัญญาน๊า
:b32: :b32: :b32:

คลิปนี้มีทีเด็ดให้รู้จักกิเลสของพระธรรมทูตค่ะ
https://youtu.be/iC86h_0Sup4
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2018, 11:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ไม่เห็นคุณโรส บอกหลายเทื่อแล้วว่าอากาศเปลี่ยนๆ ให้กินแกงส้มดอกแคกันไข้หัวลม ไม่เชื่อ :b32:

:b12:
นี่...
รู้จักสีละ...ตามคำสอนไหม
ศีลในภาษาบาลีอ่านว่าสีละแปลว่ามีปกติเป็นปกติ
...เดียวนี้มีจิตครบ6ทางกำลังเกิดดับทีละ1ทางตามปกติเป็นปกติมีความไม่รู้ความจริงไงคะ
:b32: :b32:
จิตเห็นแสงสีกระทบตา1ขณะดับแล้วอีก5ขณะมืดคิดนึกมืดจะเห็นตัวอักษรได้ไหมคริคริคริ
:b32: :b32: :b32: :b32:

:b12:
ฟังบ้างนะอย่าหาว่าไม่เตือน555
สุตมยปัญญาแปลว่าเพียรฟังเพื่อเข้าใจถูกตัวตนตามคำสอนได้ไง
เห็นสว่างมีแค่สีกระทบตาดับแล้วมืดอีก5ทางตอนนี้มีครบแล้ว6ทาง
มืดตอนกะพริบตานิดนุงกิเลสน่ะนับไม่ถ้วนแระเอากลับมาแก้ได้ไหม
เกิดเห็นใหม่สลับกับมืดอีก5ทางครบตลอดมืดมากกว่าสว่างตามคำสอน
กำลังเห็นน่ะสว่างคิดนึกได้ยินได้กลิ่นรู้สึกเย็นร้อนสุขทุกข์มืดตาไม่ได้บอด
ดูความจริงที่เห็นเทียบตามคำสอนจิตเกิดดับสลับกันครบ6ทางมืดบอดสนิทเลยก็ไม่รู้ไม่มีคนสัตว์วัตถุจริงๆ
:b32: :b32: :b32:
http://www.dhammahome.com

พระพุทธเจ้าไม่โกหก
ตาเนื้อตัวเองก็ไม่โกหก
มีแต่กิเลสตัวเองหลอกให้ท่องจำคำสอนไง
คิดนึกมืดคิดอีกทีเห็นตัวอักษรได้หรือสุตมยปัญญาน๊า


คลิปนี้มีทีเด็ดให้รู้จักกิเลสของพระธรรมทูตค่ะ
https://youtu.be/iC86h_0Sup4


อุตส่าห์พูดเขียนมาตั้งหลาย คคห. อะไรนักก็ไม่รู้ ที่พูดนี่นึกว่าถูกดิ

อ้างคำพูด:
คลิปนี้มีทีเด็ดให้รู้จักกิเลสของพระธรรมทูตค่ะ


นั่นคุณโรสศิษย์แม่สุจินคิดผิด ดำริผิด เห็นผิด ที่เห็นว่า กิเลสของพระธรรมทูต คิกๆๆ ไม่ใช่ๆๆ ตราบใดที่ยังไม่พ้นจากความเป็นปุถุชนแล้วละก็ก็ยังมีกิเลสอยู่ตราบนั้น ไม่ว่าจะพระธรรมทูต เทวทูต ขี่้ทูต เทวดา มหากษัตริย์ อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ อย่าไประบุตายตัวอย่างนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2018, 12:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ไม่เห็นคุณโรส บอกหลายเทื่อแล้วว่าอากาศเปลี่ยนๆ ให้กินแกงส้มดอกแคกันไข้หัวลม ไม่เชื่อ :b32:

:b12:
นี่...
รู้จักสีละ...ตามคำสอนไหม
ศีลในภาษาบาลีอ่านว่าสีละแปลว่ามีปกติเป็นปกติ
...เดียวนี้มีจิตครบ6ทางกำลังเกิดดับทีละ1ทางตามปกติเป็นปกติมีความไม่รู้ความจริงไงคะ
:b32: :b32:
จิตเห็นแสงสีกระทบตา1ขณะดับแล้วอีก5ขณะมืดคิดนึกมืดจะเห็นตัวอักษรได้ไหมคริคริคริ
:b32: :b32: :b32: :b32:

:b12:
ฟังบ้างนะอย่าหาว่าไม่เตือน555
สุตมยปัญญาแปลว่าเพียรฟังเพื่อเข้าใจถูกตัวตนตามคำสอนได้ไง
เห็นสว่างมีแค่สีกระทบตาดับแล้วมืดอีก5ทางตอนนี้มีครบแล้ว6ทาง
มืดตอนกะพริบตานิดนุงกิเลสน่ะนับไม่ถ้วนแระเอากลับมาแก้ได้ไหม
เกิดเห็นใหม่สลับกับมืดอีก5ทางครบตลอดมืดมากกว่าสว่างตามคำสอน
กำลังเห็นน่ะสว่างคิดนึกได้ยินได้กลิ่นรู้สึกเย็นร้อนสุขทุกข์มืดตาไม่ได้บอด
ดูความจริงที่เห็นเทียบตามคำสอนจิตเกิดดับสลับกันครบ6ทางมืดบอดสนิทเลยก็ไม่รู้ไม่มีคนสัตว์วัตถุจริงๆ
:b32: :b32: :b32:
http://www.dhammahome.com

พระพุทธเจ้าไม่โกหก
ตาเนื้อตัวเองก็ไม่โกหก
มีแต่กิเลสตัวเองหลอกให้ท่องจำคำสอนไง
คิดนึกมืดคิดอีกทีเห็นตัวอักษรได้หรือสุตมยปัญญาน๊า


คลิปนี้มีทีเด็ดให้รู้จักกิเลสของพระธรรมทูตค่ะ
https://youtu.be/iC86h_0Sup4


อุตส่าห์พูดเขียนมาตั้งหลาย คคห. อะไรนักก็ไม่รู้ ที่พูดนี่นึกว่าถูกดิ

อ้างคำพูด:
คลิปนี้มีทีเด็ดให้รู้จักกิเลสของพระธรรมทูตค่ะ


นั่นคุณโรสศิษย์แม่สุจินคิดผิด ดำริผิด เห็นผิด ที่เห็นว่า กิเลสของพระธรรมทูต คิกๆๆ ไม่ใช่ๆๆ ตราบใดที่ยังไม่พ้นจากความเป็นปุถุชนแล้วละก็ก็ยังมีกิเลสอยู่ตราบนั้น ไม่ว่าจะพระธรรมทูต เทวทูต ขี่้ทูต เทวดา มหากษัตริย์ อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ อย่าไประบุตายตัวอย่างนั้น

:b32:
บวชเพราะสละได้หมดนะเงินทองพ่อแม่ลูกเมียญาติมิตรเพื่อขัดเกลากิเลสไง
แสวงหาแต่กฐินผ้าป่าแบบหิวเงินคือโลภมากขึ้นสร้างทุกข์ให้ชาวบ้านไงคะ
พอสร้างวัตถุเยอะก็มีค่าทำความสะอาดดูแลค่าน้ำค่าไฟฟ้า555ไม่เข้าใจรึ
ตถาคตให้คนที่มีความพร้อมบวชที่รู้จักลดละเลิกทำแบบชาวบ้านไงคะ
พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้บวชเพื่อมาก่อสร้างวัตถุน๊าไม่เข้าใจอะไรเลย
:b32: :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 82 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร