วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 12:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 82 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2018, 10:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
เมื่อตาเนื้อไม่ได้เห็นเพียงสีตรงตามคำสอน
แสดงว่ากำลังมีเห็นผิดคลาดเคลื่อนไปไงคะ
จะไปรู้ตอนไหนว่าตัวเองไม่ใช่พระพุทธเจ้า
จึงเห็นกิเลสของตนที่เป็นคนสัตว์วัตถุนั้นน่ะ
ตถาคตผู้เดียวในจักรวาลที่รู้ความจริงนะคะ
ที่รู้ตามคำสอนน่ะคือเดี๋ยวนี้เห็นมีธัมมะดับไป
เฉพาะเห็นอย่างเดียว1ขณะเนี่ยมีตั้ง8ตัวธัมมะ
ตัวเองก็ไตร่ตรองสิตอนนี้มีครบทั้ง6ทางดับแล้ว
รู้ทันตรงสัจจะทางไหนกันบ้างล่ะคะไม่ทัน1คำคือกิเลสไง
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2018, 17:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
เมื่อตาเนื้อไม่ได้เห็นเพียงสีตรงตามคำสอน
แสดงว่ากำลังมีเห็นผิดคลาดเคลื่อนไปไงคะ
จะไปรู้ตอนไหนว่าตัวเองไม่ใช่พระพุทธเจ้า
จึงเห็นกิเลสของตนที่เป็นคนสัตว์วัตถุนั้นน่ะ
ตถาคตผู้เดียวในจักรวาลที่รู้ความจริงนะคะ
ที่รู้ตามคำสอนน่ะคือเดี๋ยวนี้เห็นมีธัมมะดับไป
เฉพาะเห็นอย่างเดียว1ขณะเนี่ยมีตั้ง8ตัวธัมมะ
ตัวเองก็ไตร่ตรองสิตอนนี้มีครบทั้ง6ทางดับแล้ว
รู้ทันตรงสัจจะทางไหนกันบ้างล่ะคะไม่ทัน1คำคือกิเลสไง
:b12:
:b32: :b32:



อ่ะนะ ดูคุณโรสคิด

อ้างคำพูด:
จะไปรู้ตอนไหนว่าตัวเองไม่ใช่พระพุทธเจ้า


คิกๆ พูดเหมือนคนละเมอ พูดเหมือนว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าอยู่แล้วมารู้ทีหลังว่าไม่ใช่พระพุทธเจ้า :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2018, 07:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
เมื่อตาเนื้อไม่ได้เห็นเพียงสีตรงตามคำสอน
แสดงว่ากำลังมีเห็นผิดคลาดเคลื่อนไปไงคะ
จะไปรู้ตอนไหนว่าตัวเองไม่ใช่พระพุทธเจ้า
จึงเห็นกิเลสของตนที่เป็นคนสัตว์วัตถุนั้นน่ะ
ตถาคตผู้เดียวในจักรวาลที่รู้ความจริงนะคะ
ที่รู้ตามคำสอนน่ะคือเดี๋ยวนี้เห็นมีธัมมะดับไป
เฉพาะเห็นอย่างเดียว1ขณะเนี่ยมีตั้ง8ตัวธัมมะ
ตัวเองก็ไตร่ตรองสิตอนนี้มีครบทั้ง6ทางดับแล้ว
รู้ทันตรงสัจจะทางไหนกันบ้างล่ะคะไม่ทัน1คำคือกิเลสไง
:b12:
:b32: :b32:



อ่ะนะ ดูคุณโรสคิด

อ้างคำพูด:
จะไปรู้ตอนไหนว่าตัวเองไม่ใช่พระพุทธเจ้า


คิกๆ พูดเหมือนคนละเมอ พูดเหมือนว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าอยู่แล้วมารู้ทีหลังว่าไม่ใช่พระพุทธเจ้า :b32:

โฮะๆๆๆ
ตถาคตบอกให้ฟัง
แต่พวกที่อ่านฉลาดไหม
จำคำตถาคตเอาไปท่องจำได้คิดว่ารู้แล้ว
คริคริคริปัญญาเจตสิกเกิดได้ทีละ1คำตรงสัจจะตามปกติ
ที่ไปท่องคำตถาคตได้หลายๆคำนั้นน่ะแค่อ่านปัญญาของตถาคต
ปัญญาตถาคตเท่ามหาสมุทรส่วนปัญญาเจตสิก1ขณะเท่าจงอยปากยุงจุ่มลงมหาสมุทรเกิดได้เท่าจิ้มนิดนุงส์
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2018, 20:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
เมื่อตาเนื้อไม่ได้เห็นเพียงสีตรงตามคำสอน
แสดงว่ากำลังมีเห็นผิดคลาดเคลื่อนไปไงคะ
จะไปรู้ตอนไหนว่าตัวเองไม่ใช่พระพุทธเจ้า
จึงเห็นกิเลสของตนที่เป็นคนสัตว์วัตถุนั้นน่ะ
ตถาคตผู้เดียวในจักรวาลที่รู้ความจริงนะคะ
ที่รู้ตามคำสอนน่ะคือเดี๋ยวนี้เห็นมีธัมมะดับไป
เฉพาะเห็นอย่างเดียว1ขณะเนี่ยมีตั้ง8ตัวธัมมะ
ตัวเองก็ไตร่ตรองสิตอนนี้มีครบทั้ง6ทางดับแล้ว
รู้ทันตรงสัจจะทางไหนกันบ้างล่ะคะไม่ทัน1คำคือกิเลสไง
:b12:
:b32: :b32:



อ่ะนะ ดูคุณโรสคิด

อ้างคำพูด:
จะไปรู้ตอนไหนว่าตัวเองไม่ใช่พระพุทธเจ้า


คิกๆ พูดเหมือนคนละเมอ พูดเหมือนว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าอยู่แล้วมารู้ทีหลังว่าไม่ใช่พระพุทธเจ้า :b32:

โฮะๆๆๆ
ตถาคตบอกให้ฟัง
แต่พวกที่อ่านฉลาดไหม
จำคำตถาคตเอาไปท่องจำได้คิดว่ารู้แล้ว
คริคริคริปัญญาเจตสิกเกิดได้ทีละ1คำตรงสัจจะตามปกติ
ที่ไปท่องคำตถาคตได้หลายๆคำนั้นน่ะแค่อ่านปัญญาของตถาคต

ปัญญาตถาคตเท่ามหาสมุทร ส่วนปัญญาเจตสิก1ขณะเท่าจงอยปากยุงจุ่มลงมหาสมุทรเกิดได้เท่าจิ้มนิดนุงส์



อ่านหนังสือต้องอ่านให้เป็น จับประเด็นให้ได้ ถ้าอ่านแบบคุณโรสนั่นน่าเขาเรียกอ่านหนังสือไม่เป็น จับประเด็นไม่ได้ เขาเรียกว่าอ่านหนังสือไม่แตก :b32:

ดูที่เขียนมาสิน่าสับสนปนเปกันไปหมด ดูสินี่ :b32:

อ้างคำพูด:
ปัญญาตถาคตเท่ามหาสมุทร ส่วนปัญญาเจตสิก1ขณะเท่าจงอยปากยุงจุ่มลงมหาสมุทรเกิดได้เท่าจิ้มนิดนุงส์


อะไรนักก็ไม่รู้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2018, 20:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ




เมืองใดอ่านหนังสือไม่แตก เมืองนั้นทะเลาะแหลกปั่นหัว :b12:

เสียเวลาเปล่า :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2018, 22:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
เมื่อตาเนื้อไม่ได้เห็นเพียงสีตรงตามคำสอน
แสดงว่ากำลังมีเห็นผิดคลาดเคลื่อนไปไงคะ
จะไปรู้ตอนไหนว่าตัวเองไม่ใช่พระพุทธเจ้า
จึงเห็นกิเลสของตนที่เป็นคนสัตว์วัตถุนั้นน่ะ
ตถาคตผู้เดียวในจักรวาลที่รู้ความจริงนะคะ
ที่รู้ตามคำสอนน่ะคือเดี๋ยวนี้เห็นมีธัมมะดับไป
เฉพาะเห็นอย่างเดียว1ขณะเนี่ยมีตั้ง8ตัวธัมมะ
ตัวเองก็ไตร่ตรองสิตอนนี้มีครบทั้ง6ทางดับแล้ว
รู้ทันตรงสัจจะทางไหนกันบ้างล่ะคะไม่ทัน1คำคือกิเลสไง
:b12:
:b32: :b32:



อ่ะนะ ดูคุณโรสคิด

อ้างคำพูด:
จะไปรู้ตอนไหนว่าตัวเองไม่ใช่พระพุทธเจ้า


คิกๆ พูดเหมือนคนละเมอ พูดเหมือนว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าอยู่แล้วมารู้ทีหลังว่าไม่ใช่พระพุทธเจ้า :b32:

โฮะๆๆๆ
ตถาคตบอกให้ฟัง
แต่พวกที่อ่านฉลาดไหม
จำคำตถาคตเอาไปท่องจำได้คิดว่ารู้แล้ว
คริคริคริปัญญาเจตสิกเกิดได้ทีละ1คำตรงสัจจะตามปกติ
ที่ไปท่องคำตถาคตได้หลายๆคำนั้นน่ะแค่อ่านปัญญาของตถาคต

ปัญญาตถาคตเท่ามหาสมุทร ส่วนปัญญาเจตสิก1ขณะเท่าจงอยปากยุงจุ่มลงมหาสมุทรเกิดได้เท่าจิ้มนิดนุงส์



อ่านหนังสือต้องอ่านให้เป็น จับประเด็นให้ได้ ถ้าอ่านแบบคุณโรสนั่นน่าเขาเรียกอ่านหนังสือไม่เป็น จับประเด็นไม่ได้ เขาเรียกว่าอ่านหนังสือไม่แตก :b32:

ดูที่เขียนมาสิน่าสับสนปนเปกันไปหมด ดูสินี่ :b32:

อ้างคำพูด:
ปัญญาตถาคตเท่ามหาสมุทร ส่วนปัญญาเจตสิก1ขณะเท่าจงอยปากยุงจุ่มลงมหาสมุทรเกิดได้เท่าจิ้มนิดนุงส์


อะไรนักก็ไม่รู้

:b12:
พระไตรปิฎกเป็นบันทึกประวัติการแสดงพระธรรม
ให้สาวกฟังไม่ใช่อ่านแบบตำราเรียนแบบชาวโลก
แต่เป็นสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
มีลักษณะเฉพาะตรงสัจจะรู้ตรงเมื่อใดจริงเมื่อนั้น
ไม่ว่าจะไปไหนจะยืนจะเดินจะนั่งจะนอนก็มีจริงๆ
สิกขาเพื่อระลึกความจริงตรงสัจจะที่กำลังมีตามได้
คำสอนเกิดจากตรัสรู้โดยทศพลญาณเข้าใจหรือยัง
ไม่มีใครคิดเองได้และไม่ต้องไปทำเพื่อรู้นอกเหนือสิ่งที่มี
ตถาคตบอกให้ฟังเพื่อรู้ตรงที่ตนมีแล้วที่กายใจตรงสัจจะที่ผ่านไปๆๆๆหมดแล้ว
ทุกขณะสัจจะนั้นมีแล้วที่กายใจตนเองมันเปิดเผยตลอดเวลาแต่ตนไม่รู้เพราะมีอวิชชาขาดสุตะ
:b34:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2018, 09:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
เมื่อตาเนื้อไม่ได้เห็นเพียงสีตรงตามคำสอน
แสดงว่ากำลังมีเห็นผิดคลาดเคลื่อนไปไงคะ
จะไปรู้ตอนไหนว่าตัวเองไม่ใช่พระพุทธเจ้า
จึงเห็นกิเลสของตนที่เป็นคนสัตว์วัตถุนั้นน่ะ
ตถาคตผู้เดียวในจักรวาลที่รู้ความจริงนะคะ
ที่รู้ตามคำสอนน่ะคือเดี๋ยวนี้เห็นมีธัมมะดับไป
เฉพาะเห็นอย่างเดียว1ขณะเนี่ยมีตั้ง8ตัวธัมมะ
ตัวเองก็ไตร่ตรองสิตอนนี้มีครบทั้ง6ทางดับแล้ว
รู้ทันตรงสัจจะทางไหนกันบ้างล่ะคะไม่ทัน1คำคือกิเลสไง
:b12:
:b32: :b32:



อ่ะนะ ดูคุณโรสคิด

อ้างคำพูด:
จะไปรู้ตอนไหนว่าตัวเองไม่ใช่พระพุทธเจ้า


คิกๆ พูดเหมือนคนละเมอ พูดเหมือนว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าอยู่แล้วมารู้ทีหลังว่าไม่ใช่พระพุทธเจ้า :b32:

โฮะๆๆๆ
ตถาคตบอกให้ฟัง
แต่พวกที่อ่านฉลาดไหม
จำคำตถาคตเอาไปท่องจำได้คิดว่ารู้แล้ว
คริคริคริปัญญาเจตสิกเกิดได้ทีละ1คำตรงสัจจะตามปกติ
ที่ไปท่องคำตถาคตได้หลายๆคำนั้นน่ะแค่อ่านปัญญาของตถาคต

ปัญญาตถาคตเท่ามหาสมุทร ส่วนปัญญาเจตสิก1ขณะเท่าจงอยปากยุงจุ่มลงมหาสมุทรเกิดได้เท่าจิ้มนิดนุงส์



อ่านหนังสือต้องอ่านให้เป็น จับประเด็นให้ได้ ถ้าอ่านแบบคุณโรสนั่นน่าเขาเรียกอ่านหนังสือไม่เป็น จับประเด็นไม่ได้ เขาเรียกว่าอ่านหนังสือไม่แตก :b32:

ดูที่เขียนมาสิน่าสับสนปนเปกันไปหมด ดูสินี่ :b32:

อ้างคำพูด:
ปัญญาตถาคตเท่ามหาสมุทร ส่วนปัญญาเจตสิก1ขณะเท่าจงอยปากยุงจุ่มลงมหาสมุทรเกิดได้เท่าจิ้มนิดนุงส์


อะไรนักก็ไม่รู้

:b12:
พระไตรปิฎกเป็นบันทึกประวัติการแสดงพระธรรม

ให้สาวกฟังไม่ใช่อ่านแบบตำราเรียนแบบชาวโลก

แต่เป็นสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
มีลักษณะเฉพาะตรงสัจจะรู้ตรงเมื่อใดจริงเมื่อนั้น
ไม่ว่าจะไปไหนจะยืนจะเดินจะนั่งจะนอนก็มีจริงๆ
สิกขาเพื่อระลึกความจริงตรงสัจจะที่กำลังมีตามได้
คำสอนเกิดจากตรัสรู้โดยทศพลญาณเข้าใจหรือยัง
ไม่มีใครคิดเองได้และไม่ต้องไปทำเพื่อรู้นอกเหนือสิ่งที่มี
ตถาคตบอกให้ฟังเพื่อรู้ตรงที่ตนมีแล้วที่กายใจตรงสัจจะที่ผ่านไปๆๆๆหมดแล้ว
ทุกขณะสัจจะนั้นมีแล้วที่กายใจตนเองมันเปิดเผยตลอดเวลาแต่ตนไม่รู้เพราะมีอวิชชาขาดสุตะ
:b34:
:b32: :b32:



ดูคุณโรสคิด พูดสิ

อ้างคำพูด:
พระไตรปิฎกเป็นบันทึกประวัติการแสดงพระธรรม

ให้สาวกฟังไม่ใช่อ่านแบบตำราเรียนแบบชาวโลก


คิกๆๆ ที่เขาเขียนไว้ในหนังสือนั่นน่า มีเสียงด้วยหรือ ถึงบอกให้ฟัง ไม่ใช่อ่านแบบชาวโลก :b35:

มันจบแล้วครับนาย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2018, 11:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
เมื่อตาเนื้อไม่ได้เห็นเพียงสีตรงตามคำสอน
แสดงว่ากำลังมีเห็นผิดคลาดเคลื่อนไปไงคะ
จะไปรู้ตอนไหนว่าตัวเองไม่ใช่พระพุทธเจ้า
จึงเห็นกิเลสของตนที่เป็นคนสัตว์วัตถุนั้นน่ะ
ตถาคตผู้เดียวในจักรวาลที่รู้ความจริงนะคะ
ที่รู้ตามคำสอนน่ะคือเดี๋ยวนี้เห็นมีธัมมะดับไป
เฉพาะเห็นอย่างเดียว1ขณะเนี่ยมีตั้ง8ตัวธัมมะ
ตัวเองก็ไตร่ตรองสิตอนนี้มีครบทั้ง6ทางดับแล้ว
รู้ทันตรงสัจจะทางไหนกันบ้างล่ะคะไม่ทัน1คำคือกิเลสไง
:b12:
:b32: :b32:



อ่ะนะ ดูคุณโรสคิด

อ้างคำพูด:
จะไปรู้ตอนไหนว่าตัวเองไม่ใช่พระพุทธเจ้า


คิกๆ พูดเหมือนคนละเมอ พูดเหมือนว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าอยู่แล้วมารู้ทีหลังว่าไม่ใช่พระพุทธเจ้า :b32:

โฮะๆๆๆ
ตถาคตบอกให้ฟัง
แต่พวกที่อ่านฉลาดไหม
จำคำตถาคตเอาไปท่องจำได้คิดว่ารู้แล้ว
คริคริคริปัญญาเจตสิกเกิดได้ทีละ1คำตรงสัจจะตามปกติ
ที่ไปท่องคำตถาคตได้หลายๆคำนั้นน่ะแค่อ่านปัญญาของตถาคต

ปัญญาตถาคตเท่ามหาสมุทร ส่วนปัญญาเจตสิก1ขณะเท่าจงอยปากยุงจุ่มลงมหาสมุทรเกิดได้เท่าจิ้มนิดนุงส์



อ่านหนังสือต้องอ่านให้เป็น จับประเด็นให้ได้ ถ้าอ่านแบบคุณโรสนั่นน่าเขาเรียกอ่านหนังสือไม่เป็น จับประเด็นไม่ได้ เขาเรียกว่าอ่านหนังสือไม่แตก :b32:

ดูที่เขียนมาสิน่าสับสนปนเปกันไปหมด ดูสินี่ :b32:

อ้างคำพูด:
ปัญญาตถาคตเท่ามหาสมุทร ส่วนปัญญาเจตสิก1ขณะเท่าจงอยปากยุงจุ่มลงมหาสมุทรเกิดได้เท่าจิ้มนิดนุงส์


อะไรนักก็ไม่รู้

:b12:
พระไตรปิฎกเป็นบันทึกประวัติการแสดงพระธรรม

ให้สาวกฟังไม่ใช่อ่านแบบตำราเรียนแบบชาวโลก

แต่เป็นสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
มีลักษณะเฉพาะตรงสัจจะรู้ตรงเมื่อใดจริงเมื่อนั้น
ไม่ว่าจะไปไหนจะยืนจะเดินจะนั่งจะนอนก็มีจริงๆ
สิกขาเพื่อระลึกความจริงตรงสัจจะที่กำลังมีตามได้
คำสอนเกิดจากตรัสรู้โดยทศพลญาณเข้าใจหรือยัง
ไม่มีใครคิดเองได้และไม่ต้องไปทำเพื่อรู้นอกเหนือสิ่งที่มี
ตถาคตบอกให้ฟังเพื่อรู้ตรงที่ตนมีแล้วที่กายใจตรงสัจจะที่ผ่านไปๆๆๆหมดแล้ว
ทุกขณะสัจจะนั้นมีแล้วที่กายใจตนเองมันเปิดเผยตลอดเวลาแต่ตนไม่รู้เพราะมีอวิชชาขาดสุตะ
:b34:
:b32: :b32:



ดูคุณโรสคิด พูดสิ

อ้างคำพูด:
พระไตรปิฎกเป็นบันทึกประวัติการแสดงพระธรรม

ให้สาวกฟังไม่ใช่อ่านแบบตำราเรียนแบบชาวโลก


คิกๆๆ ที่เขาเขียนไว้ในหนังสือนั่นน่า มีเสียงด้วยหรือ ถึงบอกให้ฟัง ไม่ใช่อ่านแบบชาวโลก :b35:

มันจบแล้วครับนาย

สิกขาสำหรับเสขะบุคคล
สิกขาสำหรับผู้รู้ผู้มีปัญญา
ท่องจำคำสอนไม่ใช่สิกขา
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2018, 13:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
เมื่อตาเนื้อไม่ได้เห็นเพียงสีตรงตามคำสอน
แสดงว่ากำลังมีเห็นผิดคลาดเคลื่อนไปไงคะ
จะไปรู้ตอนไหนว่าตัวเองไม่ใช่พระพุทธเจ้า
จึงเห็นกิเลสของตนที่เป็นคนสัตว์วัตถุนั้นน่ะ
ตถาคตผู้เดียวในจักรวาลที่รู้ความจริงนะคะ
ที่รู้ตามคำสอนน่ะคือเดี๋ยวนี้เห็นมีธัมมะดับไป
เฉพาะเห็นอย่างเดียว1ขณะเนี่ยมีตั้ง8ตัวธัมมะ
ตัวเองก็ไตร่ตรองสิตอนนี้มีครบทั้ง6ทางดับแล้ว
รู้ทันตรงสัจจะทางไหนกันบ้างล่ะคะไม่ทัน1คำคือกิเลสไง
:b12:
:b32: :b32:



อ่ะนะ ดูคุณโรสคิด

อ้างคำพูด:
จะไปรู้ตอนไหนว่าตัวเองไม่ใช่พระพุทธเจ้า


คิกๆ พูดเหมือนคนละเมอ พูดเหมือนว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าอยู่แล้วมารู้ทีหลังว่าไม่ใช่พระพุทธเจ้า :b32:

โฮะๆๆๆ
ตถาคตบอกให้ฟัง
แต่พวกที่อ่านฉลาดไหม
จำคำตถาคตเอาไปท่องจำได้คิดว่ารู้แล้ว
คริคริคริปัญญาเจตสิกเกิดได้ทีละ1คำตรงสัจจะตามปกติ
ที่ไปท่องคำตถาคตได้หลายๆคำนั้นน่ะแค่อ่านปัญญาของตถาคต

ปัญญาตถาคตเท่ามหาสมุทร ส่วนปัญญาเจตสิก1ขณะเท่าจงอยปากยุงจุ่มลงมหาสมุทรเกิดได้เท่าจิ้มนิดนุงส์



อ่านหนังสือต้องอ่านให้เป็น จับประเด็นให้ได้ ถ้าอ่านแบบคุณโรสนั่นน่าเขาเรียกอ่านหนังสือไม่เป็น จับประเด็นไม่ได้ เขาเรียกว่าอ่านหนังสือไม่แตก :b32:

ดูที่เขียนมาสิน่าสับสนปนเปกันไปหมด ดูสินี่ :b32:

อ้างคำพูด:
ปัญญาตถาคตเท่ามหาสมุทร ส่วนปัญญาเจตสิก1ขณะเท่าจงอยปากยุงจุ่มลงมหาสมุทรเกิดได้เท่าจิ้มนิดนุงส์


อะไรนักก็ไม่รู้

:b12:
พระไตรปิฎกเป็นบันทึกประวัติการแสดงพระธรรม

ให้สาวกฟังไม่ใช่อ่านแบบตำราเรียนแบบชาวโลก

แต่เป็นสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
มีลักษณะเฉพาะตรงสัจจะรู้ตรงเมื่อใดจริงเมื่อนั้น
ไม่ว่าจะไปไหนจะยืนจะเดินจะนั่งจะนอนก็มีจริงๆ
สิกขาเพื่อระลึกความจริงตรงสัจจะที่กำลังมีตามได้
คำสอนเกิดจากตรัสรู้โดยทศพลญาณเข้าใจหรือยัง
ไม่มีใครคิดเองได้และไม่ต้องไปทำเพื่อรู้นอกเหนือสิ่งที่มี
ตถาคตบอกให้ฟังเพื่อรู้ตรงที่ตนมีแล้วที่กายใจตรงสัจจะที่ผ่านไปๆๆๆหมดแล้ว
ทุกขณะสัจจะนั้นมีแล้วที่กายใจตนเองมันเปิดเผยตลอดเวลาแต่ตนไม่รู้เพราะมีอวิชชาขาดสุตะ
:b34:
:b32: :b32:



ดูคุณโรสคิด พูดสิ

อ้างคำพูด:
พระไตรปิฎกเป็นบันทึกประวัติการแสดงพระธรรม

ให้สาวกฟังไม่ใช่อ่านแบบตำราเรียนแบบชาวโลก


คิกๆๆ ที่เขาเขียนไว้ในหนังสือนั่นน่า มีเสียงด้วยหรือ ถึงบอกให้ฟัง ไม่ใช่อ่านแบบชาวโลก :b35:

มันจบแล้วครับนาย

สิกขาสำหรับเสขะบุคคล
สิกขาสำหรับผู้รู้ผู้มีปัญญา
ท่องจำคำสอนไม่ใช่สิกขา
:b32: :b32:


ฟังจำคำสอนจากทูปจนขึ้นใจจนเอามาบอกต่อได้ตามทูป

ก็ไม่ต่างจากฟังเพลงแล้วเอามาร้องได้จนขึ้นใจค่ะ
ยังไงมันก็แค่ร้องตามเพลงได้ แต่ยังไงก็เป็นนักร้องไม่ได้
เป็นแค่ร้องได้ ซึ่งร้องออกมาแล้วคนอื่นจะทนฟังได้หรือไม่ได้นั่นอีกเรื่องนึง

เพราะนักร้องอาชีพเขาไม่ได้แค่ร้องตามเพลงได้
เขาก็ต้องได้รับการฝึกฝนจนกระทั่งเกิดทักษะการร้องที่ถูกต้อง
การปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน
จะรับรู้คำสอนมาด้วยวิธีใดก็ตาม ยังไงสิ่งที่ได้รับรู้มานั้น
ต้องนำมาตระหนัก ฝึกฝน ลงมือทำค่ะ ... ถึงจะเริ่มก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ปฏิบัติ

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ย. 2018, 21:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมตามกูทั้ง ๔ ท่านสนทนากัน ทีแรกก็คิดว่าทะเลาะกันทำไม ทำไมไม่คุยกันดีๆ พระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน
แนะนำกันดีๆดูเหมาะสม ทำให้ดูเหมือนพระพุทธศาสนาดูไม่น่ามาศึกษาพระพุทธศาสนาเลย

แต่ตอนนี้พอมาดูดีๆ ก็เลยอ๋อ...นี่พวกท่านเล่นกันมากว่า ต่างคนต่างสนุกเล่นกันแหย่กันมนก็ดูขำๆดีครับ

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ย. 2018, 22:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
ผมตามกูทั้ง ๔ ท่านสนทนากัน ทีแรกก็คิดว่าทะเลาะกันทำไม ทำไมไม่คุยกันดีๆ พระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน
แนะนำกันดีๆดูเหมาะสม ทำให้ดูเหมือนพระพุทธศาสนาดูไม่น่ามาศึกษาพระพุทธศาสนาเลย

แต่ตอนนี้พอมาดูดีๆ ก็เลยอ๋อ...นี่พวกท่านเล่นกันมากว่า ต่างคนต่างสนุกเล่นกันแหย่กันมนก็ดูขำๆดีครับ


:b32: :b32: :b32:

ไม่รู้สิ คือ ตอบยาก

คนเราต่างปฏิบัติมาแตกต่างกันไป

ต่างมีการซึมลึกไปในอารมณ์ธรรมต่างกันไป

วัตถุประสงค์ในการสนทนาธรรมของแต่ละคนก็ต่างกันไป

ซึ่งต่างก็มีความคิดอยู่ในใจต่างกันไปว่าจะเข้ามาสนทนาธรรมเพื่ออะไร

ถ้ามาแบบภาษาที่เอกอนแปลประโยคสไตล์นั้นไม่ออก

เอกอนก็ไม่รู้หรอก ว่าจะสนทนากันรู้เรื่องได้ยังไง :b32: ขำ & งง

เหมือนคู่สนทนาก็เจตนาจะใช้คำสนทนาไม่ให้ฟังกันรู้เรื่องด้วย

ก็เหมือนกับคนบ้ากับคนบ้ามานั่งคุยกันนั่นล่ะ

คนนึงพูดไปทาง อีกคนพูดไปอีกทาง

:b32: :b32: :b32:

ก็ ขำ ขำ ดี ขนาดพูดกันไปคนละเรื่องก็ยังพูดกันมาได้จนป่านนี้

:b32: :b32: :b32:

เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอนี่ล่ะ

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ย. 2018, 08:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เข้าเรื่องที

กรัชกาย เขียน:
นำหลักล้วนๆมาเทียบกันดู

น้ำ +ไอน้ำ + เมฆ + อุณหภูมิ + ฝน (เป็นน้ำขังอยู่ตามห้วยหนองคลองบึง...วน เป็นวัฏฏจักร)

อาสวะ < = (เหลียวหลัง - แลหน้า) = > อวิชชา = > สังขาร = > วิญญาณ = > นามรูป = > สฬายตนะ = >ผัสสะ = > เวทนา = >ตัณหา = > อุปาทาน = > ภพ = > ชาติ = > ชรามรณะ + โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส < = (กองทุกข์ทั้งปวงจึงมีด้วยอาการอย่างนี้ - วนเป็นวัฏฏจักร) = > อาสวะ = > อวิชชา => สังขาร ...



โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ซึ่งเรียกรวมว่า ความทุกข์นั่นเอง คำสรุปของปฏิจจสมุปบาท จึงมีว่า “กองทุกข์ทั้งปวง จึงเกิดมีด้วยอาการอย่างนี้

โสกะ ความแห้งใจ

ปริเทวะ ความร่ำไร

ทุกข์ โทมนัส ความเสียใจ

อุปายาส ความผิดหวังคับแค้นใจ

เป็นอาการสำแดงออกของการมีกิเลสที่เป็นเชื้อหมักดองอยู่ในจิตสันดาน ที่เรียกว่า อาสวะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ย. 2018, 11:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เหลือบดู คคห.บนด้วย

ต่อ


อาสวะนั้น ได้แก่ความใฝ่ใจในสิ่งสนองความอยากทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ (กามาสวะ)

ความเห็นความยึดถือต่างๆ เช่น ยึดถือว่า รูปเป็นเรา รูปเป็นของเรา เป็นต้น (ทิฏฐาสวะ)

ความชื่นชอบอยู่ในใจว่าภาวะแห่งชีวิตอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นสิ่งดีเลิศ ประเสริฐ มีความสุข หวังใจใฝ่ฝันที่จะได้อยู่ครองภาวะชีวิตนั้นเสวยสุขให้นานแสนนาน หรือตลอดไป (ภาวาสวะ) และ

ความไม่รู้สิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็น (อวิชชาสวะ)


ชรามรณะเป็นเครื่องหมายแห่งความเสื่อมสิ้นสลาย ซึ่งขัดกับอาสวะเหล่านี้ เช่น

ในด้านกามาสวะ ชรามรณะ ทำให้ปุถุชนเกิดความรู้สึกว่า ตนกำลังพลัดพราก หรือหมดหวังจากสิ่งที่ชื่นชอบ ที่ปรารถนา

ในด้าน ทิฏฐาสวะ เมื่อยึดถืออยู่ว่าร่างกายเป็นตัวเรา เป็นของเรา พอร่างกายแปรปรวนไป ก็ผิดหวังแห้งใจ

ในด้าน ภวาสวะ ทำให้รู้สึกตัวว่า จะขาด พลาด พราก ผิดหวัง หรือหมดโอกาสที่จะครองภาวะแห่งชีวิตที่ตัวชื่นชอบอย่างนั้นๆ

ในด้าน อวิชชาสวะ ก็คือ ขาดความรู้ความเข้าใจมูลฐานตั้งแต่ว่า ชีวิต คือ อะไร ความแก่ชรา คือ อะไร ควรปฏิบัติอย่างไร ต่อความแก่ชรา เป็นต้น

เมื่อขาดความรู้ ความคิดในทางที่ถูกต้อง พอนึกถึงหรือเข้าเกี่ยวข้องกับชรามรณะ ก็บังเกิด ความรู้สึกและแสดงอาการในทางหลงงมงาย ขลาดกลัว และเกิดความซึมเซาหดหู่ต่างๆ

ดังนั้น อาสวะ จึงเป็นเชื้อ เป็นปัจจัยที่จะให้ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส เกิดขึ้นได้ทันทีที่ชรามรณะเข้ามาเกี่ยวข้อง

อนึ่ง โสกะ เป็นต้นเหล่านี้ แสดงถึงอาการมืดมัวของจิตใจ เวลาใด ความทุกข์เหล่านี้เกิดขึ้น จิตใจ จะพร่า มัว ร้อนรน อับปัญญา เมื่อเกิดอาการเหล่านี้ ก็เท่ากับพ่วงอวิชชาเกิดขึ้นมาด้วย

อย่างที่กล่าวในวิสุทธิมัคค์ว่า “โสกะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ไม่แยกไปจากอวิชชา และธรรมดา ปริเทวะ ก็ย่อมมีแก่คนหลง เหตุนั้น เมื่อโสกะ เป็นต้น สำเร็จแล้ว อวิชชาก็ย่อมเป็นอันสำเร็จแล้ว” (วิสุทธิ.3/192) ว่า “ในเรื่องอวิชชา พึงทราบว่า ย่อมเป็นอันสำเร็จมาแล้วแต่ธรรม มี โสกะ เป็นต้น” (วิสุทธิ.3/193) และว่า “อวิชชา ย่อมยังเป็นไปตลอดเวลาที่ โสกะ เป็นต้น เหล่านั้น ยังเป็นไปอยู่” (วิสุทธิ.3/124)

โดยนัยนี้ ท่านจึงกล่าวว่า “เพราะอาสวะเกิด อวิชชาจึงเกิด” (ม.มู.12/128/100) และสรุปได้ว่า ชรามรณะของปุถุชน ซึ่งพ่วงด้วย โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิด อวิชชา หมุนวงจรต่อไปอีก สัมพันธ์กันไม่ขาดสาย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ย. 2018, 15:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ปัจจุบันขณะคือเดี๋ยวนี้ตรงไหมคะ
ไตร่ตรองให้ตรงกันเป็นไหมคะ
จิตเห็นสีกระทบตาดับแล้ว
ตัวเองน่ะเห็นอะไรดูสิ
รู้ความจริงของเห็น
หรือแค่คิดถูกตาม
เข้าใจถูกตามได้น๊า
ว่าตัวเองไม่ได้เห็นแค่สี
ทบทวนเอาให้ตรงกำลังเห็นสีตรงตามคำสอนหรือเคลื่อนไปตลอดเวลา
จึงมีกิเลสตลอดเวลาจนกว่าจะเริ่มฟังเพื่อคิดถูกตามได้ว่าตนรู้ตรงจริงแค่ไหน
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2018, 10:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
ปัจจุบันขณะคือเดี๋ยวนี้ตรงไหมคะ
ไตร่ตรองให้ตรงกันเป็นไหมคะ
จิตเห็นสีกระทบตาดับแล้ว
ตัวเองน่ะเห็นอะไรดูสิ
รู้ความจริงของเห็น
หรือแค่คิดถูกตาม
เข้าใจถูกตามได้น๊า
ว่าตัวเองไม่ได้เห็นแค่สี
ทบทวนเอาให้ตรงกำลังเห็นสีตรงตามคำสอนหรือเคลื่อนไปตลอดเวลา
จึงมีกิเลสตลอดเวลาจนกว่าจะเริ่มฟังเพื่อคิดถูกตามได้ว่าตนรู้ตรงจริงแค่ไหน


เพิ่งอ่านข่าวคนเสพยา+ดื่มเหล้า รำคาญเสียงเครื่องขยายในงานศพแล้วใช้อาวุธปืนยิงเด็กอกทะลุเสียชีวิต ตย.ข่าว

อ้างคำพูด:
เจ้าหน้าที่ได้ทำการสอบสวน มือปืน ที่ให้การวกวน มีอาการคลุ้มคลั่ง ซึ่งเกิดจากการเสพยาเสพติด และดื่มเหล้าเข้าไป
เจ้าหน้าที่ได้พยายามเกลี้ยกล่อมให้รู้สติ จนยอมเปิดปากสาเหตุของการยิงอย่างบ้าคลั่งในครั้งนี้ว่า แค่ไม่พอใจช่างไฟฟ้าที่มาติดตั้งงานศพ เป็นคนนอกพื้นที่ จึงได้กินเหล้าย้อมใจก่อนนำปืนเข้ามายิงกราดภายในงานจนกระสุนหมด รีบนำปืนไปซ่อน และเตรียมขี่รถจักรยานยนต์หลบหนี


ได้อ่าน คคห.คุณโรสนั่นแล้วนำมาเทียบกัน คคห.คุณโรสก็วกวนสับสนเหมือนเมาอะไรสักอย่าง หรือหลายๆอย่างรวมๆกัน ที่เห็นๆก็เมาปัจจุบันขณะ เมาสี เป็นต้น คิกๆๆ :b32:

ถ้าถามให้คิดต่ออีกว่า คุณโรสจะเมาอย่างว่าไปอีกนานเท่าใด ? ตอบไม่ยาก เมาไปจนตายนั่นแล.

จบข่าว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 82 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร