วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 18:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2018, 11:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อจาก หัวข้อ นี้

viewtopic.php?f=1&t=56668

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2018, 11:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุใดสติที่ตามทันขณะปัจจุบัน จึงเป็นหลักสำคัญของวิปัสสนา ?

กิจกรรมสามัญที่สุดของทุกๆคน ซึ่งเป็นไปอยู่ตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน ก็คือ การรับรู้อารมณ์ต่างๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ

เมื่อมีการรับรู้ ก็มีความรู้สึกพร้อมไปด้วย คือ สุขสบายบ้าง ทุกข์ระคายเจ็บปวด ไม่สบายบ้าง เฉยๆ บ้าง

เมื่อมีความรู้สึกสุข ทุกข์ ก็มีปฏิกิริยาเกิดขึ้นในใจด้วย คือ ถ้าสุขสบายที่สิ่งใด ก็ชอบใจติดใจสิ่งนั้น

ถ้าไม่สบายได้ทุกข์ที่สิ่งใด ก็ขัดใจไม่ชอบสิ่งนั้น

เมื่อชอบ ก็อยากรับรู้อีก อยากเสพซ้ำ หรืออยากได้ อยากเอา

เมื่อไม่ชอบ ก็เลี่ยงหนี หรืออยากกำจัด อยากทำลาย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2018, 11:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระบวนการดังกล่าวนี้ ดำเนินไปอยู่ตลอดเวลา มีทั้งอย่างแผ่วๆ ที่ผ่านไปโดยไม่ได้สังเกต และที่แรงเข้มสังเกตได้เด่นชัด มีผลต่อจิตใจอย่างชัดเจน และสืบเนื่องไปนาน

ส่วนใดแรงเข้ม หรือสะดุดชัด ก็มักชักให้มีความคิดปรุงแต่งยึดเยื้อเยิ่นเย้อออกไป ถ้าไม่สิ้นสุดที่ในใจ ก็ผลักดันให้แสดงออกมาเป็นการพูด การกระทำต่างๆ ทั้งน้อยและใหญ่

ชีวิตของบุคคล บทบาทของเขาในโลก และการกระทำต่อกันระหว่างมนุษย์ ย่อมสืบเนื่องออกมาจากกระบวนธรรม น้อยๆ ที่เป็นไปในชีวิตแต่ละขณะๆ นี้เป็นสำคัญ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2018, 17:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


ในทางปัญญา การปล่อยจิตใจให้เป็นไปตามระบวนธรรมข้างต้นนั้น คือ
เมื่อรับรู้แล้ว รู้สึกสุขสบาย ก็ชอบใจ ติดใจ
เมื่อรับรู้แล้ว รู้สึกทุกข์ ไม่สบายก็ขัดใจ ไม่ชอบใจ
ข้อนี้ จะเป็นเครื่องกีดกั้นปิดบัง ทำให้ไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่มองเห็นสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง หรือตามสภาวะที่แท้ของมัน
ทั้งนี้เพราะจิตใจที่เป็นไปเช่นนั้น จะมีสภาพต่อไปนี้

@ ข้องอยู่ที่ความชอบใจ หรือความขัดใจ ตกอยู่ในอำนาจของความติดใจ หรือขัดใจนั้น ถูกความชอบใจ หรือความไม่ชอบใจนั้นเคลือบคลุม ทำให้มองเห็นเอนเอียงไปอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ตรงตามที่มันเป็นจริง

@ ตกอดีต หรือลอยอนาคต กล่าวคือ เมื่อคนรับรู้แล้ว เกิดความชอบใจหรือไม่ชอบใจ จิตของเขาจะข้องหรือขัด ณ ส่วน หรือจุด หรือแง่ ที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจ ของอารมณ์นั้น และจับเอาภาพของอารมณ์นั้น ณ จุด หรือส่วน หรือแง่ ที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจนั้น เก็บค้างไว้ หรือเอาไปทะนุถนอม และคิดปรุงแต่งหรือฝันฟ่ามต่อไป

การข้องอยู่ที่ส่วนใดก็ตาม ซึ่งชอบใจหรือไม่ชอบใจ และการจับอยู่กับภาพของสิ่งนั้นซึ่งปรากฏอยู่ในใจของตน คือการเลื่อนไหลลงสู่อดีต การคิดปรุงแต่งต่อไปเกี่ยวกับสิ่งนั้น คือการเลื่อนลอยไปในอนาคต


ความรู้ความเข้าใจของเขา เกี่ยวกับสิ่งนั้น ก็คือภาพของสิ่งนั้น ณ จุด หรือตอน ที่ชอบใจ หรือไม่ชอบใจ หรือซึ่งเขาได้คิดปรุงแต่งต่อไปแล้ว ไม่ใช่สิ่งนั้น ตามที่มันเป็นของมันเอง ในขณะนั้นๆ

@ ตกอยู่ในอำนาจคิดปรุงแต่ง จึงแปลความหมายของสิ่งที่รับรู้ หรือประสบการณ์นั้นๆ ไปตามแนวทางของภูมิหลัง หรือความเคยชินที่ได้สั่งสมไว้ เช่น ค่านิยม ทัศนคติ หรือทิฐิ ที่ตนยึดถือนิยมเชิดชู เรียกว่า จิตตกอยู่ในภาวะถูกปรุงแต่ง ไม่อาจมองอย่างเป็นกลางให้เห็นประสบการณ์ล้วนๆ ตามที่มันเป็น

@ นอกจากถูกปรุงแต่งแล้ว ก็จะนำเอาภาพปรุงแต่งของประสบการณ์ใหม่นั้น เข้าไปร่วมในการปรุงแต่งต่อไปอีก เป็นการเสริมซ้ำการสั่งสมนิสัยความเคยชินของจิตให้แน่นหนายิ่งขึ้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2018, 17:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเป็นเช่นนี้ มิใช่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องหยาบๆ ตื้นๆในการดำเนินชีวิต และทำกิจการทั่วไปเท่านั้น
แต่ท่านมุ่งเน้นกระบวนของจิตในระดับละเอียดลึกซึ้ง ที่ทำให้ปุถุชนมองเห็นสิ่งทั้งหลายเป็นของคงที่ เป็นชิ้น เป็นอัน มีสวยงาม น่าเกลียด ติดในสมมติต่างๆ ไม่เห็นความเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ดำเนินอยู่ตลอดเวลา

อย่างไรก็ดี กระบวนการเช่นนี้ เป็นความเคยชิน หรือนิสัยของจิต ที่คนทั่วไปได้สั่งสมกันมาคนละนานๆเกือบจะว่าตั้งแต่เกิดทีเดียว ๒๐-๓๐ ปีบ้าง ๔๐-๕๐ ปีบ้าง เกินกว่านั้นบ้าง และไม่เคยหัดตัดวงจร ลบกระบวนกันมาเลย การจัดการแก้ไขจึงมิใช่จะทำได้ง่ายนัก
ในทันทีที่รับรู้อารมณ์ หรือมีประสบการณ์ ยังไม่ทันตั้งตัวที่จะยั้งกระบวน จิตก็แล่นไปตามความเคยชินของมันเสียก่อน

ดังนั้น การแก้ไขในเรื่องนี้ จึงมิใช่จะเพียงตัดวงจรล้างกระบวนธรรมนั้นลงเท่านั้น แต่จะต้องแก้ไขความเคยชิน หรือนิสัยที่ไหลแรงไปข้างเดียวของจิตอีกด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2018, 17:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


องค์ธรรมสำคัญ ที่จะใช้เป็นตัวเบิกทาง และเป็นหลักรวมพลทั้งสองกรณีนั้น ก็คือ สติ การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐานก็มีวัตถุประสงค์อย่างนี้
กล่าวคือ เมื่อมีสติตามทันขณะปัจจุบัน และมองดูสิ่งนั้นๆ ตามที่มันเป็นอยู่ในขณะนั้นๆตลอดเวลา ย่อมสามารถตัดวงจรทำลายกระบวนธรรมฝ่ายอกุศลลงได้ด้วย ค่อยๆแก้ไขความเคยชินเก่าๆ พร้อมกับสร้างแนวนิสัยใหม่ให้แก่จิตได้ด้วย


จิตที่มีสติช่วยกำกับให้ตามทันอยู่กับขณะปัจจุบัน จะมีสภาพตรงข้ามกับจิตที่เป็นไปตามกระบวนธรรมข้างต้น คือ

@ ความชอบใจ หรือขัดใจ ไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลย เพราะการที่จะชอบใจ หรือขัดใจ จิตจะต้องข้องขัดอยู่ ณ จุด หรือส่วนใดส่วนหนึ่ง และชะงักค้างอยู่ คือตกลงในอดีต

@ ไม่เลื่อนไหลลงไปในอดีต ไม่เลื่อนลอยไปในอนาคต ความชอบใจ ไม่ชอบใจกับการตกอดีต เป็นอาการที่เป็นไปด้วยกัน เมื่อไม่ติด ไม่ข้อง ไม่ค้างอยู่ ตามดูทันอยู่กับสภาวะ ที่กำลังเป็นไปอยู่ การตกอดีต ลอยอนาคตก็ไม่มี

@ ไม่ถูกความคิดปรุงแต่งเนื่องด้วยภูมิหลังที่ ได้สั่งสมไว้ ชักจูงให้แปลประสบการณ์ หรือสิ่งที่รับรู้ให้เอนเอียงบิดเบือน หรือย้อมสี ไปตามอำนาจของมัน พร้อมที่จะมองไปตามสภาวะของสิ่งนั้นๆ

@ ไม่ปรุงแต่งเสริมซ้ำหรือเพิ่มกำลังแก่ความเคยชินผิดๆที่จิตได้สั่งสมเรื่อยมา

@ เมื่อตามรู้ดูทันทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันทุกขณะ ก็ย่อมได้รู้เห็นสภาพจิตนิสัย เป็นต้น ของตนเอง ที่ไม่พึงปรารถนา หรือที่ตนเองไม่ยอมรับปรากฏออกมาด้วย ทำให้ได้รับรู้สู้หน้าเผชิญสภาพที่เป็นจริงของตนเอง ตามที่มันเป็น ไม่เลี่ยงหนี ไม่หลอกลวงตนเอง และทำให้สามารถชำระล้างกิเลสเหล่านั้น แก้ปัญหาในตนเองได้ด้วย

นอกจากนั้นในด้านคุณภาพจิต ก็จะบริสุทธิ์ผ่องใส โปร่ง เบิกบาน เป็นอิสระ ไม่ถูกบีบจำกัดให้คับแคบและไม่ถูกเคลือบคลุมให้หมองมัว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2018, 19:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งทั้งหลายตั้งอยู่ตามสภาพของมัน และเป็นไปตามธรรมดาของมัน

พูดเป็นภาพพจน์ว่า ความจริงเปิดเผยตัวเองอยู่ตลอดเวลา แต่มนุษย์ปิดบังตนเองจากมัน หรือไม่ก็มองภาพของมันบิดเบือนไป หรือไม่ก็ถึงกับหลอกลวงตัวของมนุษย์เอง

ตัวการที่ปิดบังบิดเบือน หรือหลอกลวงก็คือการตกลงไปในกระแสของกระบวนธรรมดังได้กล่าวข้างต้น
เครื่องปิดบังบิดเบือนหรือหลอก ก็มีอยู่แล้ว ยิ่งความเคยชินคอยชักลากให้เขวไปเสียอีก โอกาสที่จะรู้ความจริงก็แทบไม่มี

ในเมื่อความเคยชินหรือติดนิสัยนี้ มนุษย์ได้สั่งสมต่อเนื่องกันมานานนักหนา การปฏิบัติเพื่อแก้ไข และสร้างนิสัยใหม่ก็ควรจะต้องอาศัยเวลามากเช่นเดียวกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2018, 19:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อใด สติตามทัน ทำงานสม่ำเสมอต่อเนื่องอย่างชำนาญ คนไม่ปิดบังตัวเอง ไม่บิดเบือนภาพที่มองและพ้นจากอำนาจความเคยชิน หรือนิสัยเก่าของจิตแล้ว
เมื่อนั้น ก็พร้อมที่จะมองเห็นสิ่งทั้งหลายตามสภาวะของมัน และรู้เข้าใจความจริง


ถึงตอนนี้ ถ้าอินทรีย์อื่นๆโดยเฉพาะปัญญาแก่กล้าพร้อมดีอยู่แล้ว ก็จะร่วมงานโดยอาศัยสติคอยเปิดทางให้ทำงานได้เต็มที่ ทำให้เกิดญาณทัศนะ ความหยั่งรู้หยั่งเห็นตามเป็นจริง ที่เป็นจุดหมายของวิปัสสนา


แต่การที่ปัญญินทรีย์ เป็นต้น จะพร้อมหรือแก่กล้าได้นั้น ย่อมอาศัยการฝึกฝนอบรมมาโดยลำดับ รวมทั้งเล่าเรียนสดับฟังในเบื้องต้นด้วย การเล่าเรียนสดับฟัง และการคิดเหตุผล เป็นต้น จึงมีส่วนเกื้อกูลแก่การรู้แจ้งสัจธรรมได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2018, 19:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุใด สติที่ตามทันขณะปัจจุบัน จึงเป็นหลักสำคัญของวิปัสสนา จบเท่านี้

รูปภาพ


ตอนต่อไป "สติปัฏฐาน เป็นอาหารของโพชฌงค์" ที่

viewtopic.php?f=1&t=56664&p=428900#p428900

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 29 ต.ค. 2018, 08:36, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2018, 19:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโรส มองออกไหมขอรับโผม เห็นภาพการกำหนดอารมณ์กรรมฐานไหม คิดว่าไม่ ไม่เชื่อลองเถียงดิครับนะ :b14: :b35:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2018, 19:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวอย่างเบาๆ

อ้างคำพูด:
เริ่มสงบจะมีอาการคันคอ

เวลานั่งสมาธิกำหนดคำภาวนา พร้อมไปกับลมหายใจ นั่งทำสมาธิไปสักพัก จะต้องเริ่มมีอาการคันคอ ทุกครั้ง พยามยามฝืนไม่สนใจ แต่จะคันคอจนต้องไอออกมาทุกครั้ง
บางครั้งน้ำลายกระเด็นออกมาเลอะปาก พร้อมน้ำตาไหล พอไอออกมาสักครั้ง สองครั้ง แล้วจะหายไป แล้วไม่คันคออีกเลย
อยากรบกวนสอบถามถึงอาการที่เกิด และทำอย่างไรถึงจะไม่ให้เกิดอาการคันคอได้ เพราะตอนนั่งพอจะเริ่มสงบนิ่งจะเป็นทุกครั้ง ทำให้เกิดความรำคาญ


กล่าวคือผู้ปฏิบัติเนี่ย น่าจะร้อยทั้งร้อย เบียนหน้าหนีเลี่ยงหนีความจริง ไม่กล้าสู้หน้าสภาวธรรมที่ปรากฏตรงหน้า ณ ขณะนั้น นี่แบบเบาๆยังเลี่ยงหนีเลย
ผู้ปฏิบัติร้อยทั้งร้อยจะเอาแต่สิ่งที่ชอบใจสิ่งที่ถูกใจเท่าทัน อารมณ์ใดไม่ชอบใจ ไม่พอใจก็ขัดใจหลีกหลบ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2018, 15:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ตัวอย่างเบาๆ

อ้างคำพูด:
เริ่มสงบจะมีอาการคันคอ

เวลานั่งสมาธิกำหนดคำภาวนา พร้อมไปกับลมหายใจ นั่งทำสมาธิไปสักพัก จะต้องเริ่มมีอาการคันคอ ทุกครั้ง พยามยามฝืนไม่สนใจ แต่จะคันคอจนต้องไอออกมาทุกครั้ง
บางครั้งน้ำลายกระเด็นออกมาเลอะปาก พร้อมน้ำตาไหล พอไอออกมาสักครั้ง สองครั้ง แล้วจะหายไป แล้วไม่คันคออีกเลย
อยากรบกวนสอบถามถึงอาการที่เกิด และทำอย่างไรถึงจะไม่ให้เกิดอาการคันคอได้ เพราะตอนนั่งพอจะเริ่มสงบนิ่งจะเป็นทุกครั้ง ทำให้เกิดความรำคาญ


กล่าวคือผู้ปฏิบัติเนี่ย น่าจะร้อยทั้งร้อย เบียนหน้าหนีเลี่ยงหนีความจริง ไม่กล้าสู้หน้าสภาวธรรมที่ปรากฏตรงหน้า ณ ขณะนั้น นี่แบบเบาๆยังเลี่ยงหนีเลย
ผู้ปฏิบัติร้อยทั้งร้อยจะเอาแต่สิ่งที่ชอบใจสิ่งที่ถูกใจเท่าทัน อารมณ์ใดไม่ชอบใจ ไม่พอใจก็ขัดใจหลีกหลบ



คริๆ

ก็คงแต่ผู้ปฎิบัติ แบบพุทธธรรมฉบับ 6 ตุลา หละมั๊งคะ
ที่ฆ่านักศึกษาประชาชนพี่น้องคนไทย
เพราะไม่พอใจในอารมณ์ตัวเอง

แต่คนที่ปฎิบัติตามคำสอนพระพุทธองค์ ตรงตามพระปริยัติ ไม่มีหรอกค่ะ แบบนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2018, 19:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ตัวอย่างเบาๆ

อ้างคำพูด:
เริ่มสงบจะมีอาการคันคอ

เวลานั่งสมาธิกำหนดคำภาวนา พร้อมไปกับลมหายใจ นั่งทำสมาธิไปสักพัก จะต้องเริ่มมีอาการคันคอ ทุกครั้ง พยามยามฝืนไม่สนใจ แต่จะคันคอจนต้องไอออกมาทุกครั้ง
บางครั้งน้ำลายกระเด็นออกมาเลอะปาก พร้อมน้ำตาไหล พอไอออกมาสักครั้ง สองครั้ง แล้วจะหายไป แล้วไม่คันคออีกเลย
อยากรบกวนสอบถามถึงอาการที่เกิด และทำอย่างไรถึงจะไม่ให้เกิดอาการคันคอได้ เพราะตอนนั่งพอจะเริ่มสงบนิ่งจะเป็นทุกครั้ง ทำให้เกิดความรำคาญ


กล่าวคือผู้ปฏิบัติเนี่ย น่าจะร้อยทั้งร้อย เบียนหน้าหนีเลี่ยงหนีความจริง ไม่กล้าสู้หน้าสภาวธรรมที่ปรากฏตรงหน้า ณ ขณะนั้น นี่แบบเบาๆยังเลี่ยงหนีเลย
ผู้ปฏิบัติร้อยทั้งร้อยจะเอาแต่สิ่งที่ชอบใจสิ่งที่ถูกใจเท่าทัน อารมณ์ใดไม่ชอบใจ ไม่พอใจก็ขัดใจหลีกหลบ



คริๆ

ก็คงแต่ผู้ปฎิบัติ แบบพุทธธรรมฉบับ 6 ตุลา หละมั๊งคะ
ที่ฆ่านักศึกษาประชาชนพี่น้องคนไทย
เพราะไม่พอใจในอารมณ์ตัวเอง

แต่คนที่ปฎิบัติตามคำสอนพระพุทธองค์ ตรงตามพระปริยัติ ไม่มีหรอกค่ะ แบบนั้น


คุณพี่เมโลกสวยก็ดี คุณโรส ก็ดี ปฏิบัติไม่ได้หรอกขอรับ เอาคือเล่นอย่างที่เล่นที่ทำนี่แหละพอได้ ถ้าทำเกินกว่านี้ไม่เหมาะไม่ควรแล้ว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2018, 19:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ตัวอย่างเบาๆ

อ้างคำพูด:
เริ่มสงบจะมีอาการคันคอ

เวลานั่งสมาธิกำหนดคำภาวนา พร้อมไปกับลมหายใจ นั่งทำสมาธิไปสักพัก จะต้องเริ่มมีอาการคันคอ ทุกครั้ง พยามยามฝืนไม่สนใจ แต่จะคันคอจนต้องไอออกมาทุกครั้ง
บางครั้งน้ำลายกระเด็นออกมาเลอะปาก พร้อมน้ำตาไหล พอไอออกมาสักครั้ง สองครั้ง แล้วจะหายไป แล้วไม่คันคออีกเลย
อยากรบกวนสอบถามถึงอาการที่เกิด และทำอย่างไรถึงจะไม่ให้เกิดอาการคันคอได้ เพราะตอนนั่งพอจะเริ่มสงบนิ่งจะเป็นทุกครั้ง ทำให้เกิดความรำคาญ


กล่าวคือผู้ปฏิบัติเนี่ย น่าจะร้อยทั้งร้อย เบียนหน้าหนีเลี่ยงหนีความจริง ไม่กล้าสู้หน้าสภาวธรรมที่ปรากฏตรงหน้า ณ ขณะนั้น นี่แบบเบาๆยังเลี่ยงหนีเลย
ผู้ปฏิบัติร้อยทั้งร้อยจะเอาแต่สิ่งที่ชอบใจสิ่งที่ถูกใจเท่าทัน อารมณ์ใดไม่ชอบใจ ไม่พอใจก็ขัดใจหลีกหลบ



คริๆ

ก็คงแต่ผู้ปฎิบัติ แบบพุทธธรรมฉบับ 6 ตุลา หละมั๊งคะ
ที่ฆ่านักศึกษาประชาชนพี่น้องคนไทย
เพราะไม่พอใจในอารมณ์ตัวเอง

แต่คนที่ปฎิบัติตามคำสอนพระพุทธองค์ ตรงตามพระปริยัติ ไม่มีหรอกค่ะ แบบนั้น



หลังจากปรี๊ดๆๆๆ ปิดกทม. สำเร็จแล้ว 25 ตุลา นี้พวกเขาเดินคารวะแผ่นดิน กทม.กันแล้วนะ คิกๆๆ

http://g-picture2.wunjun.com/6/full/c61 ... ?s=960x639

http://g-picture2.wunjun.com/6/full/230 ... ?s=549x395

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2018, 19:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ตัวอย่างเบาๆ

อ้างคำพูด:
เริ่มสงบจะมีอาการคันคอ

เวลานั่งสมาธิกำหนดคำภาวนา พร้อมไปกับลมหายใจ นั่งทำสมาธิไปสักพัก จะต้องเริ่มมีอาการคันคอ ทุกครั้ง พยามยามฝืนไม่สนใจ แต่จะคันคอจนต้องไอออกมาทุกครั้ง
บางครั้งน้ำลายกระเด็นออกมาเลอะปาก พร้อมน้ำตาไหล พอไอออกมาสักครั้ง สองครั้ง แล้วจะหายไป แล้วไม่คันคออีกเลย
อยากรบกวนสอบถามถึงอาการที่เกิด และทำอย่างไรถึงจะไม่ให้เกิดอาการคันคอได้ เพราะตอนนั่งพอจะเริ่มสงบนิ่งจะเป็นทุกครั้ง ทำให้เกิดความรำคาญ


กล่าวคือผู้ปฏิบัติเนี่ย น่าจะร้อยทั้งร้อย เบียนหน้าหนีเลี่ยงหนีความจริง ไม่กล้าสู้หน้าสภาวธรรมที่ปรากฏตรงหน้า ณ ขณะนั้น นี่แบบเบาๆยังเลี่ยงหนีเลย
ผู้ปฏิบัติร้อยทั้งร้อยจะเอาแต่สิ่งที่ชอบใจสิ่งที่ถูกใจเท่าทัน อารมณ์ใดไม่ชอบใจ ไม่พอใจก็ขัดใจหลีกหลบ



คริๆ

ก็คงแต่ผู้ปฎิบัติ แบบพุทธธรรมฉบับ 6 ตุลา หละมั๊งคะ
ที่ฆ่านักศึกษาประชาชนพี่น้องคนไทย
เพราะไม่พอใจในอารมณ์ตัวเอง

แต่คนที่ปฎิบัติตามคำสอนพระพุทธองค์ ตรงตามพระปริยัติ ไม่มีหรอกค่ะ แบบนั้น


คุณพี่เมโลกสวยก็ดี คุณโรส ก็ดี ปฏิบัติไม่ได้หรอกขอรับ เอาคือเล่นอย่างที่เล่นที่ทำนี่แหละพอได้ ถ้าทำเกินกว่านี้ไม่เหมาะไม่ควรแล้ว

คริคริ
สำหรับเม เรียกว่า แทบไม่ต้องปฎิบัติน่ะ จะชัดกว่าค่ะ



แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร