วันเวลาปัจจุบัน 20 มิ.ย. 2025, 17:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 85 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2018, 17:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สติปัฏฐานในฐานะสัมมาสติ จบ

รูปภาพ



ต่อ สาระสำคัญของสติปัฏฐาน

viewtopic.php?f=1&t=56661&p=428607#p428607

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2018, 05:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
เฮ้อ หนูคุณลุงกรัชกาย อธิบายมั่วไปหมด
เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนปริยัติให้ตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอน

รู้มาผิด เดาไปผิดๆ ปฎิบัติไปผิดๆ อีกแระหล่ะค่ะ

การไปจดจำเอาภาพเท้า ภาพศพ ของสัณฐานร่างกาย น่ะ มันเป็นสันฐานบัญญัติ ไม่ใข่ปรมัตถสภาวะค่ะ

ถ้าจะปฎิบัติ ให้เป็นสติปัฎฐาน ตรงตามที่พระพุทธองค์สอน

ต้องอาศัยสติ คือความระลึกได้ ระลึกไปที่ความรู้สึก ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ในส่วนของร่างกาย
ในขณะที่กระทบ ในขณะที่กำลังเคลื่อนไหว

โดยไม่ต้องไปมีภาพการกระทบ ว่า กระทบตรงไหนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา หรือมั่วไปจนศพ

ให้เป็นสัมปชัญญะ คือความรู้สึก ล้วนๆๆๆๆ

ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ให้ รู้ตรง เข้าไปใน สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานั้น ให้รู้ โดยไม่มีเท้า หรือ สัณฐานบัญญัติเข้าไป
ไปปนกะความรู้สึก

และอีกอย่าง ความคิดต่างๆ ทุกความคิด ที่ออกมาปนมั่ว จะไปซื้อโอเลี้ยง หรือหนอๆๆ
ก็รีบถอยออกมา

อยู่แต่ ที่ความรู้สึกตัว


สติ และสัมปชัญญะต้องควบคู่ไป ในตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่เดิน 30นาที 40 นาที แล้วว่าแจ๋ว

เพราะวันนึงมี ตั้ง 1440 นาที

ทำได้แค่นี้ สอบตกยกชั้นเรยจ๊ะหนูๆ
เวลาลงเรียนไม่พอนะจ๊ะ






อ้างคำพูด:
สติ และสัมปชัญญะต้องควบคู่ไป ในตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่เดิน 30นาที 40 นาที แล้วว่าแจ๋ว

เพราะวันนึงมี ตั้ง 1440 นาที

ทำได้แค่นี้ สอบตกยกชั้นเรยจ๊ะหนูๆ
เวลาลงเรียนไม่พอนะจ๊ะ


พูดกับพี่เมโลกสวย กับ คุณโรสนอกจากเมื่อยมือแล้ว ยังเมื่อยสมองอีกต่างหาก คิดต่อยอดเองไม่เป็น ต้องบอกให้ทุกเม็ด

ที่ว่า เดิน 30 หรือ 40 นาที นั้น เป็นหนังตัวอย่าง วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง ใครจะเดิน จะนั่ง สักกี่ชั่วโมง ก็ไม่มีใครว่า วันหนึ่งทำสัก 10 กว่าชั่วโมงขึ้นไปยิ่งดี
เดินจงกรม กับ นั่งกำหนดอารมณ์ใช้เวลาให้ใกล้เคียงกัน เช่น จงกรม ซ้าย ย่างหนอ ขวา ย่าง หนอ 1 ชม. ก็นั่งพองหนอ ยุบหนอ หรือ พุท - โธ เป็นต้น 1 ชม.


อ้างคำพูด:
โดยไม่ต้องไปมีภาพการกระทบ ว่า กระทบตรงไหนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา หรือมั่วไปจนศพ

ให้เป็นสัมปชัญญะ คือความรู้สึก ล้วนๆๆๆๆ

ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ให้ รู้ตรง เข้าไปใน สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานั้น ให้รู้ โดยไม่มีเท้า หรือ สัณฐานบัญญัติเข้าไป
ไปปนกะความรู้สึก


มาอีกแระ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง บอกให้วางตำราไว้หน้าประตู บอกไม่เชื่อ คิกๆๆ

:b32:

ยังคิดไม่ได้อีกหรือ
สิ่งที่กำลังมีขณะนี้
มีอะไรคะ1คำตรงๆ
ที่รู้จริง1ความรู้สึกชัด
น่านแหละดับตัวคุณทั้งตัวแล้ว
ไม่ทันก็ไม่รู้ไงจะไปรู้อะไรปัจจุบันคืออะไรคะ



อ้อ นึกออกแระ ทีละคำๆ ของคุณโรส ก็คือ รู้ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้ทีละ 1 คำตามนั้น
ตัวอย่าง เช่น เรากำลังเดินๆไป เหยียบก้นบุหรี่ โอ๊ย "ร้อน" รู้ว่า "ร้อน"
เดินอยู่กลางแดด แดดร้อน รู้สึกร้อนๆ รู้ว่า “ร้อน” เดินเข้าร่มรู้สึกว่ามันเย็นๆ รู้ว่า “เย็น”
เข้าหน้าหนาว ลมเหนือพัดมากระทบผิวกาย รู้สึกเย็นๆ รู้ว่า “เย็น”
เหยียบพื้นบ้านรู้สึกแข็งๆ รู้ว่า “แข็ง”
เดินเหยียบโคลนตม รู้สึกอ่อนๆนิ่มๆ รู้ว่า “อ่อน” รู้ว่า “นิ่ม”

คนสองคนกำลังขึงเชือกกันอยู่ เชือกยังไม่ตึง ก็บอกว่า ดึงอีกๆ ยังหย่อนอยู่ รู้ว่า "หย่อน" ดึงอีกๆ พอๆ พอแล้ว ตึงแล้ว รู้ว่า "ตึง" เป็นต้นดังนี้ แบบนี้นะขอรับ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้ธัมมะทีละ 1 คำ

นึกได้อีกหน่อย ศิษย์สำนักอภิธรรมเดียวกับแม่แห่งบ้านธัมมะ ซึ่ง ไปตั้งสำนักวิปัสสนาอยู่ เวลาจงกรม ก็แนะนำกันและกัน เดินไปๆๆ ขณะเดินไป ให้ดูความรู้สึกที่เท้า ซึ่งกระทบกับพื้น ว่ามันแข็ง หรือ มันเย็น หรือมันอ่อนๆ สังเกตดู ก้าวไปที ก็ยืนดูความรู้สึกแบบว่า เพื่ออะไร ? เพื่อหาธัมมะ คือ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ทีละ 1 คำ ตามหนังสืออภิธรรมว่าไว้

:b32:
ลองทบทวนประโยคนี้เอาให้ชัดเจนตรงขณะก่อนดับครบ6ทางเพราะ
หลังกะพริบตามันเกิดดับเกิน6ทางไปแล้วคำว่ารู้ทันปัจจุบันขณะคืออะไร
และต้องรู้ตรงสัจจะที่กายใจตนกำลังมีปัญญาเท่านั้นที่รู้เท่าเอาทันเดี๋ยวนี้เอง
กำลังมีสภาพธรรมเกิดดับนับตัวธัมมะไม่ถ้วนและหมายเหตุตามรู้ได้แต่สิ่งที่เกิดแล้วเท่านั้น
:b12:
:b32: :b32:


ตอบคำถามก่อนดิ ที่ยกตัวอย่าง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ทีละ 1 คำ นั่นใช่ไหมธัมมะแห่งบ้านธัมมะ



คุณโรสศิษย์บ้านธัมมะ ถามอะไรไม่เคยตอบสักที จริงๆนะ ไม่เคยเลย ทั้งๆที่ถามเรื่อง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง (พร้อมยกตัวอย่างให้ดู) ที่ตนเองพูดแท้ๆ ถามตรงนี้ ก็เลี่ยงเมือง ไม่ตอบ แต่ไพล่ไปพร่ำรำพรรณอะไรอยู่ที่โน่นแหละ ถ้ายังงั้น จะเอาไปถามที่โน่น คิกๆๆ ดูสิจะหนีไปไหน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2018, 04:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
เฮ้อ หนูคุณลุงกรัชกาย อธิบายมั่วไปหมด
เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนปริยัติให้ตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอน

รู้มาผิด เดาไปผิดๆ ปฎิบัติไปผิดๆ อีกแระหล่ะค่ะ

การไปจดจำเอาภาพเท้า ภาพศพ ของสัณฐานร่างกาย น่ะ มันเป็นสันฐานบัญญัติ ไม่ใข่ปรมัตถสภาวะค่ะ

ถ้าจะปฎิบัติ ให้เป็นสติปัฎฐาน ตรงตามที่พระพุทธองค์สอน

ต้องอาศัยสติ คือความระลึกได้ ระลึกไปที่ความรู้สึก ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ในส่วนของร่างกาย
ในขณะที่กระทบ ในขณะที่กำลังเคลื่อนไหว

โดยไม่ต้องไปมีภาพการกระทบ ว่า กระทบตรงไหนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา หรือมั่วไปจนศพ

ให้เป็นสัมปชัญญะ คือความรู้สึก ล้วนๆๆๆๆ

ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ให้ รู้ตรง เข้าไปใน สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานั้น ให้รู้ โดยไม่มีเท้า หรือ สัณฐานบัญญัติเข้าไป
ไปปนกะความรู้สึก

และอีกอย่าง ความคิดต่างๆ ทุกความคิด ที่ออกมาปนมั่ว จะไปซื้อโอเลี้ยง หรือหนอๆๆ
ก็รีบถอยออกมา

อยู่แต่ ที่ความรู้สึกตัว


สติ และสัมปชัญญะต้องควบคู่ไป ในตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่เดิน 30นาที 40 นาที แล้วว่าแจ๋ว

เพราะวันนึงมี ตั้ง 1440 นาที

ทำได้แค่นี้ สอบตกยกชั้นเรยจ๊ะหนูๆ
เวลาลงเรียนไม่พอนะจ๊ะ






อ้างคำพูด:
สติ และสัมปชัญญะต้องควบคู่ไป ในตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่เดิน 30นาที 40 นาที แล้วว่าแจ๋ว

เพราะวันนึงมี ตั้ง 1440 นาที

ทำได้แค่นี้ สอบตกยกชั้นเรยจ๊ะหนูๆ
เวลาลงเรียนไม่พอนะจ๊ะ


พูดกับพี่เมโลกสวย กับ คุณโรสนอกจากเมื่อยมือแล้ว ยังเมื่อยสมองอีกต่างหาก คิดต่อยอดเองไม่เป็น ต้องบอกให้ทุกเม็ด

ที่ว่า เดิน 30 หรือ 40 นาที นั้น เป็นหนังตัวอย่าง วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง ใครจะเดิน จะนั่ง สักกี่ชั่วโมง ก็ไม่มีใครว่า วันหนึ่งทำสัก 10 กว่าชั่วโมงขึ้นไปยิ่งดี
เดินจงกรม กับ นั่งกำหนดอารมณ์ใช้เวลาให้ใกล้เคียงกัน เช่น จงกรม ซ้าย ย่างหนอ ขวา ย่าง หนอ 1 ชม. ก็นั่งพองหนอ ยุบหนอ หรือ พุท - โธ เป็นต้น 1 ชม.


อ้างคำพูด:
โดยไม่ต้องไปมีภาพการกระทบ ว่า กระทบตรงไหนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา หรือมั่วไปจนศพ

ให้เป็นสัมปชัญญะ คือความรู้สึก ล้วนๆๆๆๆ

ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ให้ รู้ตรง เข้าไปใน สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานั้น ให้รู้ โดยไม่มีเท้า หรือ สัณฐานบัญญัติเข้าไป
ไปปนกะความรู้สึก


มาอีกแระ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง บอกให้วางตำราไว้หน้าประตู บอกไม่เชื่อ คิกๆๆ



555 ลุงกรัชกาย นี่แหละตัวอย่าง คนเขลาเบาปัญญา
ปฎิบัติไม่ตรงตามปริยัติที่พระพุทธองค์ทรงสอน
เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนปริยัติ
สอบทานกะปริยัติไม่ได้

ปฎิบัติแบบกรู ปริยัติไม่เอา วางๆๆๆ ไว้หน้าประตู คิกๆๆๆ

เรยเป็นมิจฉาปฎิบัติ ปฎิบัติแบบกรู ไม่ใช่แบบที่พระพุทธอวงค์สอน

คริคริ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2018, 04:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เมื่อพูดถึงบทเดิน เดินจงกรมแล้ว เอาตัวอย่างประกอบสะหน่อย เด๋วจะคิดว่ากรัชกายตัวปลอม

อ้างคำพูด:
เดินจงกรมเห็นเท้าไม่ใช่ตัวเอง

เดินจงกรมซักพัก แว้บนึงก้มไปมองที่เท้า เห็นว่าเท้าที่เดินอยู่ไม่ใช่ตัวเรา ความรู้สึกเหมือนเรามองศพคนอื่น แต่ว่าพอเห็นเช่นนั้นความกลัวผุดขึ้น จิตมันก็เลยถอยออกมาจากความรู้สึกนั้น

ที่เห็นเช่นนี้ ปฏิบัติถูกต้องไหมครับ?
ถ้าผิด/ถูก ควรทำอย่างไรต่อไป?


นี่ทำถูก ไม่ผิดอะไรเลย แต่อย่างที่ว่าแล้วว่า เมื่อภาวนามัยจนจิตเริ่มเชื่องความฟุ้งซ่านลดลงแล้ว ก็ถึงตอนนี้แหละ ให้กำหนดต่อไปอีก ไปอีก

นี่สติยังไม่ชัด คือ มีลักษณะเบลอๆ เหมือนคนเห็นตอไม้ตอนกลางคืนเป็นผี ฉะนั้น เดี๋ยวได้วิ่งกันป่าราบ สติมันต้องชัด แต่เป็นธรรมดาของผู้ฝึกใหม่ๆนะ เมื่อเห็นยังงั้นแล้ว ให้กำหนดเห็นหนอๆๆ สะ อิอิ วิธีนี้แหละทำสติสัมปชัญญะค่อยๆชัดขึ้่นตามลำดับ แค่นี้เอ ง โฟกัสที่ความรู้สึก ไม่ใช่ไปจ้องที่หนอ

เห็นไหมพอรู้สึกกลัวเท่านั้น จิตมันหลุดจากความรู้สึกนั้นเลย นี่แหละจิตมันเกิด แล้วมันดับ


โอ๊ยๆๆ เดินจงกรม ฟุ้งซ่านไปแระหล่ะค่ะ ไปเห็นแต่บัญญัติ เห็นเท้า

ไปฟุ้งซ่านอีก ว่าเท้าไม่ใช่เท้าตัวเอง เป็นเท้าศพ

เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม เรยไม่รู้ว่า มีแต่จิต เจต สิก รูป ที่ดำเนินไป




นั่นเขาเรียกว่า รู้ตามแบบ ตามตำราเด๊เรย จิต เจตสิก รูป คิกๆๆๆ แบบคุณโรสเซดเรย

ดูเดินจงกรมแล้วง่วงมั่ง


อ้างคำพูด:
ทำอย่างไรกับความง่วง

มีปัญหากับความง่วงมาก ปกติไม่ชอบนอนเลย วันนึงนอน 5 ชม. แต่มักโดนนิวรณ์ตัวนี้ ขณะปฏิบัติ เช่นเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา และไม่สามารถผ่านไปได้ ทำให้การภาวนาไม่ดีขึ้น ซึ่งเป็นมานานแล้วค่ะ

ลองทำตามวิธิที่พระพุทธเจ้าสอนก็ไม่รอด..กรุณา แนะนำด้วยค่ะ ไม่ทราบว่าระหว่างวันมันไปเผลอตอนไหน หรือควร ระวังอะไรในการภาวนาในชีวิตประจำวันค่ะ



คนๆคนเดียวกัน

อ้างคำพูด:
ลองแก้หลายวิธีไม่หาย เดินจงกรมจะง่วง แต่พอหันมาทำอย่างอื่น อย่างเข้าเว้ป...ตอนนี้ มันหายทันที เป็นอารมณ์ที่แพ้มานานแล้ว ทำอย่างไรดี



วิธีปรับอินทรีย์ ถ้าง่วงท่านให้เดินระยะต่ำๆ (ระยะที่ 1) เดินเร็วๆหน่อย ตัดหนอออก ซ้าย ขวา ๆๆๆๆๆๆ หรือ วิ่งเลย ซ้าย ซ้าย ขวา ซ้าย อย่างกับฝึกทหารใหม่เลย คิกๆๆ นี่วิธีปลุกจิตที่ซึมเซาให้ตื่น เพิ่มเวลาเดินให้มากกว่านั่ง เช่น นั่ง 1 ชม. เดิน ชั่วโมงครึ่ง นี่ๆ อิอิ

ไม่ใช่ง่วงแล้วนอนเลย จิตมันต้องฝึก ไม่ใช่ปล่อยไปตามเรื่อง


อ้างคำพูด
"นั่นเขาเรียกว่า รู้ตามแบบ ตามตำราเด๊เรย จิต เจตสิก รูป คิกๆๆๆ แบบคุณโรสเซดเรย "

ดูเดินจงกรมแล้วง่วงมั่ง......

555 ลุงกรัชกายนี่แหละตัวอย่าง คนไม่เอาไหนในตำรา เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนปริยัติตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน

เรย รู้แบบของกรู ๆๆๆ ไม่ตรงตามตำราที่พระพุทธองค์สอน


มิจาทิฎฐิโดยแท้ค่ะ

คริคริ





โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2018, 04:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
เฮ้อ หนูคุณลุงกรัชกาย อธิบายมั่วไปหมด
เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนปริยัติให้ตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอน

รู้มาผิด เดาไปผิดๆ ปฎิบัติไปผิดๆ อีกแระหล่ะค่ะ

การไปจดจำเอาภาพเท้า ภาพศพ ของสัณฐานร่างกาย น่ะ มันเป็นสันฐานบัญญัติ ไม่ใข่ปรมัตถสภาวะค่ะ

ถ้าจะปฎิบัติ ให้เป็นสติปัฎฐาน ตรงตามที่พระพุทธองค์สอน

ต้องอาศัยสติ คือความระลึกได้ ระลึกไปที่ความรู้สึก ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ในส่วนของร่างกาย
ในขณะที่กระทบ ในขณะที่กำลังเคลื่อนไหว

โดยไม่ต้องไปมีภาพการกระทบ ว่า กระทบตรงไหนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา หรือมั่วไปจนศพ

ให้เป็นสัมปชัญญะ คือความรู้สึก ล้วนๆๆๆๆ

ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ให้ รู้ตรง เข้าไปใน สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานั้น ให้รู้ โดยไม่มีเท้า หรือ สัณฐานบัญญัติเข้าไป
ไปปนกะความรู้สึก

และอีกอย่าง ความคิดต่างๆ ทุกความคิด ที่ออกมาปนมั่ว จะไปซื้อโอเลี้ยง หรือหนอๆๆ
ก็รีบถอยออกมา

อยู่แต่ ที่ความรู้สึกตัว


สติ และสัมปชัญญะต้องควบคู่ไป ในตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่เดิน 30นาที 40 นาที แล้วว่าแจ๋ว

เพราะวันนึงมี ตั้ง 1440 นาที

ทำได้แค่นี้ สอบตกยกชั้นเรยจ๊ะหนูๆ
เวลาลงเรียนไม่พอนะจ๊ะ






อ้างคำพูด:
สติ และสัมปชัญญะต้องควบคู่ไป ในตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่เดิน 30นาที 40 นาที แล้วว่าแจ๋ว

เพราะวันนึงมี ตั้ง 1440 นาที

ทำได้แค่นี้ สอบตกยกชั้นเรยจ๊ะหนูๆ
เวลาลงเรียนไม่พอนะจ๊ะ


พูดกับพี่เมโลกสวย กับ คุณโรสนอกจากเมื่อยมือแล้ว ยังเมื่อยสมองอีกต่างหาก คิดต่อยอดเองไม่เป็น ต้องบอกให้ทุกเม็ด

ที่ว่า เดิน 30 หรือ 40 นาที นั้น เป็นหนังตัวอย่าง วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง ใครจะเดิน จะนั่ง สักกี่ชั่วโมง ก็ไม่มีใครว่า วันหนึ่งทำสัก 10 กว่าชั่วโมงขึ้นไปยิ่งดี
เดินจงกรม กับ นั่งกำหนดอารมณ์ใช้เวลาให้ใกล้เคียงกัน เช่น จงกรม ซ้าย ย่างหนอ ขวา ย่าง หนอ 1 ชม. ก็นั่งพองหนอ ยุบหนอ หรือ พุท - โธ เป็นต้น 1 ชม.


อ้างคำพูด:
โดยไม่ต้องไปมีภาพการกระทบ ว่า กระทบตรงไหนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา หรือมั่วไปจนศพ

ให้เป็นสัมปชัญญะ คือความรู้สึก ล้วนๆๆๆๆ

ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ให้ รู้ตรง เข้าไปใน สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานั้น ให้รู้ โดยไม่มีเท้า หรือ สัณฐานบัญญัติเข้าไป
ไปปนกะความรู้สึก


มาอีกแระ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง บอกให้วางตำราไว้หน้าประตู บอกไม่เชื่อ คิกๆๆ

:b32:

ยังคิดไม่ได้อีกหรือ
สิ่งที่กำลังมีขณะนี้
มีอะไรคะ1คำตรงๆ
ที่รู้จริง1ความรู้สึกชัด
น่านแหละดับตัวคุณทั้งตัวแล้ว
ไม่ทันก็ไม่รู้ไงจะไปรู้อะไรปัจจุบันคืออะไรคะ



อ้อ นึกออกแระ ทีละคำๆ ของคุณโรส ก็คือ รู้ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้ทีละ 1 คำตามนั้น
ตัวอย่าง เช่น เรากำลังเดินๆไป เหยียบก้นบุหรี่ โอ๊ย "ร้อน" รู้ว่า "ร้อน"
เดินอยู่กลางแดด แดดร้อน รู้สึกร้อนๆ รู้ว่า “ร้อน” เดินเข้าร่มรู้สึกว่ามันเย็นๆ รู้ว่า “เย็น”
เข้าหน้าหนาว ลมเหนือพัดมากระทบผิวกาย รู้สึกเย็นๆ รู้ว่า “เย็น”
เหยียบพื้นบ้านรู้สึกแข็งๆ รู้ว่า “แข็ง”
เดินเหยียบโคลนตม รู้สึกอ่อนๆนิ่มๆ รู้ว่า “อ่อน” รู้ว่า “นิ่ม”

คนสองคนกำลังขึงเชือกกันอยู่ เชือกยังไม่ตึง ก็บอกว่า ดึงอีกๆ ยังหย่อนอยู่ รู้ว่า "หย่อน" ดึงอีกๆ พอๆ พอแล้ว ตึงแล้ว รู้ว่า "ตึง" เป็นต้นดังนี้ แบบนี้นะขอรับ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้ธัมมะทีละ 1 คำ

นึกได้อีกหน่อย ศิษย์สำนักอภิธรรมเดียวกับแม่แห่งบ้านธัมมะ ซึ่ง ไปตั้งสำนักวิปัสสนาอยู่ เวลาจงกรม ก็แนะนำกันและกัน เดินไปๆๆ ขณะเดินไป ให้ดูความรู้สึกที่เท้า ซึ่งกระทบกับพื้น ว่ามันแข็ง หรือ มันเย็น หรือมันอ่อนๆ สังเกตดู ก้าวไปที ก็ยืนดูความรู้สึกแบบว่า เพื่ออะไร ? เพื่อหาธัมมะ คือ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ทีละ 1 คำ ตามหนังสืออภิธรรมว่าไว้

:b32:
ลองทบทวนประโยคนี้เอาให้ชัดเจนตรงขณะก่อนดับครบ6ทางเพราะ
หลังกะพริบตามันเกิดดับเกิน6ทางไปแล้วคำว่ารู้ทันปัจจุบันขณะคืออะไร
และต้องรู้ตรงสัจจะที่กายใจตนกำลังมีปัญญาเท่านั้นที่รู้เท่าเอาทันเดี๋ยวนี้เอง
กำลังมีสภาพธรรมเกิดดับนับตัวธัมมะไม่ถ้วนและหมายเหตุตามรู้ได้แต่สิ่งที่เกิดแล้วเท่านั้น
:b12:
:b32: :b32:


ตอบคำถามก่อนดิ ที่ยกตัวอย่าง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ทีละ 1 คำ นั่นใช่ไหมธัมมะแห่งบ้านธัมมะ



555

นี่เป็นความโง่เขลาเบาปัญญา ของลุงกรัชกายอีก ที่ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม เรยไม่รู้ว่า
ปรมัตถ์ธรรมในพระอภิธรรม ว่าไว้ ถูกต้อง ไม่มีผิดเพี้ยน

มีแต่คนเขลาเบาปัญญา แบบลุงกรัชกาย ปฎิบัติแบบกรู ของกรู
ไม่เหมือนที่พระพุทธองค์สอน

คริคริ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2018, 05:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
เฮ้อ หนูคุณลุงกรัชกาย อธิบายมั่วไปหมด
เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนปริยัติให้ตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอน

รู้มาผิด เดาไปผิดๆ ปฎิบัติไปผิดๆ อีกแระหล่ะค่ะ

การไปจดจำเอาภาพเท้า ภาพศพ ของสัณฐานร่างกาย น่ะ มันเป็นสันฐานบัญญัติ ไม่ใข่ปรมัตถสภาวะค่ะ

ถ้าจะปฎิบัติ ให้เป็นสติปัฎฐาน ตรงตามที่พระพุทธองค์สอน

ต้องอาศัยสติ คือความระลึกได้ ระลึกไปที่ความรู้สึก ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ในส่วนของร่างกาย
ในขณะที่กระทบ ในขณะที่กำลังเคลื่อนไหว

โดยไม่ต้องไปมีภาพการกระทบ ว่า กระทบตรงไหนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา หรือมั่วไปจนศพ

ให้เป็นสัมปชัญญะ คือความรู้สึก ล้วนๆๆๆๆ

ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ให้ รู้ตรง เข้าไปใน สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานั้น ให้รู้ โดยไม่มีเท้า หรือ สัณฐานบัญญัติเข้าไป
ไปปนกะความรู้สึก

และอีกอย่าง ความคิดต่างๆ ทุกความคิด ที่ออกมาปนมั่ว จะไปซื้อโอเลี้ยง หรือหนอๆๆ
ก็รีบถอยออกมา

อยู่แต่ ที่ความรู้สึกตัว


สติ และสัมปชัญญะต้องควบคู่ไป ในตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่เดิน 30นาที 40 นาที แล้วว่าแจ๋ว

เพราะวันนึงมี ตั้ง 1440 นาที

ทำได้แค่นี้ สอบตกยกชั้นเรยจ๊ะหนูๆ
เวลาลงเรียนไม่พอนะจ๊ะ






อ้างคำพูด:
สติ และสัมปชัญญะต้องควบคู่ไป ในตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่เดิน 30นาที 40 นาที แล้วว่าแจ๋ว

เพราะวันนึงมี ตั้ง 1440 นาที

ทำได้แค่นี้ สอบตกยกชั้นเรยจ๊ะหนูๆ
เวลาลงเรียนไม่พอนะจ๊ะ


พูดกับพี่เมโลกสวย กับ คุณโรสนอกจากเมื่อยมือแล้ว ยังเมื่อยสมองอีกต่างหาก คิดต่อยอดเองไม่เป็น ต้องบอกให้ทุกเม็ด

ที่ว่า เดิน 30 หรือ 40 นาที นั้น เป็นหนังตัวอย่าง วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง ใครจะเดิน จะนั่ง สักกี่ชั่วโมง ก็ไม่มีใครว่า วันหนึ่งทำสัก 10 กว่าชั่วโมงขึ้นไปยิ่งดี
เดินจงกรม กับ นั่งกำหนดอารมณ์ใช้เวลาให้ใกล้เคียงกัน เช่น จงกรม ซ้าย ย่างหนอ ขวา ย่าง หนอ 1 ชม. ก็นั่งพองหนอ ยุบหนอ หรือ พุท - โธ เป็นต้น 1 ชม.


อ้างคำพูด:
โดยไม่ต้องไปมีภาพการกระทบ ว่า กระทบตรงไหนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา หรือมั่วไปจนศพ

ให้เป็นสัมปชัญญะ คือความรู้สึก ล้วนๆๆๆๆ

ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ให้ รู้ตรง เข้าไปใน สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานั้น ให้รู้ โดยไม่มีเท้า หรือ สัณฐานบัญญัติเข้าไป
ไปปนกะความรู้สึก


มาอีกแระ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง บอกให้วางตำราไว้หน้าประตู บอกไม่เชื่อ คิกๆๆ

:b32:

ยังคิดไม่ได้อีกหรือ
สิ่งที่กำลังมีขณะนี้
มีอะไรคะ1คำตรงๆ
ที่รู้จริง1ความรู้สึกชัด
น่านแหละดับตัวคุณทั้งตัวแล้ว
ไม่ทันก็ไม่รู้ไงจะไปรู้อะไรปัจจุบันคืออะไรคะ



อ้อ นึกออกแระ ทีละคำๆ ของคุณโรส ก็คือ รู้ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้ทีละ 1 คำตามนั้น
ตัวอย่าง เช่น เรากำลังเดินๆไป เหยียบก้นบุหรี่ โอ๊ย "ร้อน" รู้ว่า "ร้อน"
เดินอยู่กลางแดด แดดร้อน รู้สึกร้อนๆ รู้ว่า “ร้อน” เดินเข้าร่มรู้สึกว่ามันเย็นๆ รู้ว่า “เย็น”
เข้าหน้าหนาว ลมเหนือพัดมากระทบผิวกาย รู้สึกเย็นๆ รู้ว่า “เย็น”
เหยียบพื้นบ้านรู้สึกแข็งๆ รู้ว่า “แข็ง”
เดินเหยียบโคลนตม รู้สึกอ่อนๆนิ่มๆ รู้ว่า “อ่อน” รู้ว่า “นิ่ม”

คนสองคนกำลังขึงเชือกกันอยู่ เชือกยังไม่ตึง ก็บอกว่า ดึงอีกๆ ยังหย่อนอยู่ รู้ว่า "หย่อน" ดึงอีกๆ พอๆ พอแล้ว ตึงแล้ว รู้ว่า "ตึง" เป็นต้นดังนี้ แบบนี้นะขอรับ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้ธัมมะทีละ 1 คำ

นึกได้อีกหน่อย ศิษย์สำนักอภิธรรมเดียวกับแม่แห่งบ้านธัมมะ ซึ่ง ไปตั้งสำนักวิปัสสนาอยู่ เวลาจงกรม ก็แนะนำกันและกัน เดินไปๆๆ ขณะเดินไป ให้ดูความรู้สึกที่เท้า ซึ่งกระทบกับพื้น ว่ามันแข็ง หรือ มันเย็น หรือมันอ่อนๆ สังเกตดู ก้าวไปที ก็ยืนดูความรู้สึกแบบว่า เพื่ออะไร ? เพื่อหาธัมมะ คือ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ทีละ 1 คำ ตามหนังสืออภิธรรมว่าไว้

:b32:
ลองทบทวนประโยคนี้เอาให้ชัดเจนตรงขณะก่อนดับครบ6ทางเพราะ
หลังกะพริบตามันเกิดดับเกิน6ทางไปแล้วคำว่ารู้ทันปัจจุบันขณะคืออะไร
และต้องรู้ตรงสัจจะที่กายใจตนกำลังมีปัญญาเท่านั้นที่รู้เท่าเอาทันเดี๋ยวนี้เอง
กำลังมีสภาพธรรมเกิดดับนับตัวธัมมะไม่ถ้วนและหมายเหตุตามรู้ได้แต่สิ่งที่เกิดแล้วเท่านั้น
:b12:
:b32: :b32:


ตอบคำถามก่อนดิ ที่ยกตัวอย่าง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ทีละ 1 คำ นั่นใช่ไหมธัมมะแห่งบ้านธัมมะ



555

นี่เป็นความโง่เขลาเบาปัญญา ของลุงกรัชกายอีก ที่ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม เรยไม่รู้ว่า
ปรมัตถ์ธรรมในพระอภิธรรม ว่าไว้ ถูกต้อง ไม่มีผิดเพี้ยน

มีแต่คนเขลาเบาปัญญา แบบลุงกรัชกาย ปฎิบัติแบบกรู ของกรู
ไม่เหมือนที่พระพุทธองค์สอน

คริคริ


ไม่ได้เถียงสักคำ เพียงแต่ยกตัวอย่างนั้นแล้วถามว่า ถูกไหม ทำอย่างนั้นปฏิบัติอย่างนั้น ถูกธัมมะไหม เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง

ยกตัวอย่างตึงหน่อย เช่น เราเอามือลูบๆหนังกลอง รู้สึกตึงๆ เป็นธัมมะยัง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2018, 05:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
เฮ้อ หนูคุณลุงกรัชกาย อธิบายมั่วไปหมด
เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนปริยัติให้ตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอน

รู้มาผิด เดาไปผิดๆ ปฎิบัติไปผิดๆ อีกแระหล่ะค่ะ

การไปจดจำเอาภาพเท้า ภาพศพ ของสัณฐานร่างกาย น่ะ มันเป็นสันฐานบัญญัติ ไม่ใข่ปรมัตถสภาวะค่ะ

ถ้าจะปฎิบัติ ให้เป็นสติปัฎฐาน ตรงตามที่พระพุทธองค์สอน

ต้องอาศัยสติ คือความระลึกได้ ระลึกไปที่ความรู้สึก ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ในส่วนของร่างกาย
ในขณะที่กระทบ ในขณะที่กำลังเคลื่อนไหว

โดยไม่ต้องไปมีภาพการกระทบ ว่า กระทบตรงไหนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา หรือมั่วไปจนศพ

ให้เป็นสัมปชัญญะ คือความรู้สึก ล้วนๆๆๆๆ

ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ให้ รู้ตรง เข้าไปใน สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานั้น ให้รู้ โดยไม่มีเท้า หรือ สัณฐานบัญญัติเข้าไป
ไปปนกะความรู้สึก

และอีกอย่าง ความคิดต่างๆ ทุกความคิด ที่ออกมาปนมั่ว จะไปซื้อโอเลี้ยง หรือหนอๆๆ
ก็รีบถอยออกมา

อยู่แต่ ที่ความรู้สึกตัว


สติ และสัมปชัญญะต้องควบคู่ไป ในตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่เดิน 30นาที 40 นาที แล้วว่าแจ๋ว

เพราะวันนึงมี ตั้ง 1440 นาที

ทำได้แค่นี้ สอบตกยกชั้นเรยจ๊ะหนูๆ
เวลาลงเรียนไม่พอนะจ๊ะ






อ้างคำพูด:
สติ และสัมปชัญญะต้องควบคู่ไป ในตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่เดิน 30นาที 40 นาที แล้วว่าแจ๋ว

เพราะวันนึงมี ตั้ง 1440 นาที

ทำได้แค่นี้ สอบตกยกชั้นเรยจ๊ะหนูๆ
เวลาลงเรียนไม่พอนะจ๊ะ


พูดกับพี่เมโลกสวย กับ คุณโรสนอกจากเมื่อยมือแล้ว ยังเมื่อยสมองอีกต่างหาก คิดต่อยอดเองไม่เป็น ต้องบอกให้ทุกเม็ด

ที่ว่า เดิน 30 หรือ 40 นาที นั้น เป็นหนังตัวอย่าง วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง ใครจะเดิน จะนั่ง สักกี่ชั่วโมง ก็ไม่มีใครว่า วันหนึ่งทำสัก 10 กว่าชั่วโมงขึ้นไปยิ่งดี
เดินจงกรม กับ นั่งกำหนดอารมณ์ใช้เวลาให้ใกล้เคียงกัน เช่น จงกรม ซ้าย ย่างหนอ ขวา ย่าง หนอ 1 ชม. ก็นั่งพองหนอ ยุบหนอ หรือ พุท - โธ เป็นต้น 1 ชม.


อ้างคำพูด:
โดยไม่ต้องไปมีภาพการกระทบ ว่า กระทบตรงไหนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา หรือมั่วไปจนศพ

ให้เป็นสัมปชัญญะ คือความรู้สึก ล้วนๆๆๆๆ

ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ให้ รู้ตรง เข้าไปใน สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานั้น ให้รู้ โดยไม่มีเท้า หรือ สัณฐานบัญญัติเข้าไป
ไปปนกะความรู้สึก


มาอีกแระ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง บอกให้วางตำราไว้หน้าประตู บอกไม่เชื่อ คิกๆๆ

:b32:

ยังคิดไม่ได้อีกหรือ
สิ่งที่กำลังมีขณะนี้
มีอะไรคะ1คำตรงๆ
ที่รู้จริง1ความรู้สึกชัด
น่านแหละดับตัวคุณทั้งตัวแล้ว
ไม่ทันก็ไม่รู้ไงจะไปรู้อะไรปัจจุบันคืออะไรคะ



อ้อ นึกออกแระ ทีละคำๆ ของคุณโรส ก็คือ รู้ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้ทีละ 1 คำตามนั้น
ตัวอย่าง เช่น เรากำลังเดินๆไป เหยียบก้นบุหรี่ โอ๊ย "ร้อน" รู้ว่า "ร้อน"
เดินอยู่กลางแดด แดดร้อน รู้สึกร้อนๆ รู้ว่า “ร้อน” เดินเข้าร่มรู้สึกว่ามันเย็นๆ รู้ว่า “เย็น”
เข้าหน้าหนาว ลมเหนือพัดมากระทบผิวกาย รู้สึกเย็นๆ รู้ว่า “เย็น”
เหยียบพื้นบ้านรู้สึกแข็งๆ รู้ว่า “แข็ง”
เดินเหยียบโคลนตม รู้สึกอ่อนๆนิ่มๆ รู้ว่า “อ่อน” รู้ว่า “นิ่ม”

คนสองคนกำลังขึงเชือกกันอยู่ เชือกยังไม่ตึง ก็บอกว่า ดึงอีกๆ ยังหย่อนอยู่ รู้ว่า "หย่อน" ดึงอีกๆ พอๆ พอแล้ว ตึงแล้ว รู้ว่า "ตึง" เป็นต้นดังนี้ แบบนี้นะขอรับ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้ธัมมะทีละ 1 คำ

นึกได้อีกหน่อย ศิษย์สำนักอภิธรรมเดียวกับแม่แห่งบ้านธัมมะ ซึ่ง ไปตั้งสำนักวิปัสสนาอยู่ เวลาจงกรม ก็แนะนำกันและกัน เดินไปๆๆ ขณะเดินไป ให้ดูความรู้สึกที่เท้า ซึ่งกระทบกับพื้น ว่ามันแข็ง หรือ มันเย็น หรือมันอ่อนๆ สังเกตดู ก้าวไปที ก็ยืนดูความรู้สึกแบบว่า เพื่ออะไร ? เพื่อหาธัมมะ คือ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ทีละ 1 คำ ตามหนังสืออภิธรรมว่าไว้

:b32:
ลองทบทวนประโยคนี้เอาให้ชัดเจนตรงขณะก่อนดับครบ6ทางเพราะ
หลังกะพริบตามันเกิดดับเกิน6ทางไปแล้วคำว่ารู้ทันปัจจุบันขณะคืออะไร
และต้องรู้ตรงสัจจะที่กายใจตนกำลังมีปัญญาเท่านั้นที่รู้เท่าเอาทันเดี๋ยวนี้เอง
กำลังมีสภาพธรรมเกิดดับนับตัวธัมมะไม่ถ้วนและหมายเหตุตามรู้ได้แต่สิ่งที่เกิดแล้วเท่านั้น
:b12:
:b32: :b32:


ตอบคำถามก่อนดิ ที่ยกตัวอย่าง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ทีละ 1 คำ นั่นใช่ไหมธัมมะแห่งบ้านธัมมะ



555

นี่เป็นความโง่เขลาเบาปัญญา ของลุงกรัชกายอีก ที่ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม เรยไม่รู้ว่า
ปรมัตถ์ธรรมในพระอภิธรรม ว่าไว้ ถูกต้อง ไม่มีผิดเพี้ยน

มีแต่คนเขลาเบาปัญญา แบบลุงกรัชกาย ปฎิบัติแบบกรู ของกรู
ไม่เหมือนที่พระพุทธองค์สอน

คริคริ


ไม่ได้เถียงสักคำ เพียงแต่ยกตัวอย่างนั้นแล้วถามว่า ถูกไหม ทำอย่างนั้นปฏิบัติอย่างนั้น ถูกธัมมะไหม เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง

ยกตัวอย่างตึงหน่อย เช่น เราเอามือลูบๆหนังกลอง รู้สึกตึงๆ เป็นธัมมะยัง

คริๆ

นี่เป็นต้วอย่างคนปฎิบัติสติปัฎฐานไม่เป็น
เรยไม่รู้ว่า กาย เวทนา จิต ธรรม ควรปำิบัติยังไง

ดันไปดูที่กลองว่าตึงหรือหย่อน

ถ้าดูหูตัวเอง แล้วรู้ว่าหูตึง เตรียมไปป่าช้าได้ เป็นมรณานุสติ
อย่างนี้ค่อยเข้าท่าหน่อยหล่ะค่ะ

คริคริ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2018, 06:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
หนูลุงกรัชกายคะ หนูไม่ได้เรียนพระปริยัติ ไม่ได้ศึกษาพระอภิธรรม ไม่ได้ปฎิบัติเป็นชิ้นเป็นอัน
หนูเรยไม่รู้ เข้าใจผิดๆๆ ร้องแต่หนอๆๆ ทั้งๆที่เดินอยู่ กลับไม่รู้ว่าเดิน

พี่เมจะสอนหนูลุงกรัชกายให้นะคะ

ว่า เดินจงกรมน่ะ
เดินเงียบๆนะคะ อย่าเดินเสียงดัง อย่าเที่ยวตะโกนหนอๆๆ

ควรจะกำหนดรู้ยังไง ไม่ใช่ร้องหนอๆๆ
เดินในโลก ก็ร้องโลกหนอๆๆ เดินในรูปโลก ก็ร้องรูปโลกหนอๆๆ
ติดแหง๊กอยู่ในอรูปโลกก็ร้องหนักเรย อรูปโลกหนอๆๆๆ

ม่ายใช่ๆๆ หรอกค่ะ

ง่ายๆๆเรยนะคะ ว่ากำหนดรู้ยังไง ระหว่างก้าวเดิน

ขนะที่จะก้าวเดินนะ ให้รู้ว่า แต่ละก้าวซ้าย ขวา ซ้าย...
นี่เดินตามอริยะมรรคหรือเปล่า หรือเดินไปไหน
เดินไปนรก ไปสวรรค์ ไปรูปพรหม หรือ อรูปพรหม
หรือจะเดินไปหนอๆๆๆๆ แต่ไม่รู้เดินไปไหน


ขนะที่ก้าวเดินนะคะ สิ่งที่กระทบ ที่เกิด ในขณะเฉพาะหน้า
รู้ว่า เสื่อมสลายลงได้หรือเปล่า เวทนาลักษณะ ไปเสวยอารมณ์ป่าว

ขนะที่ก้าวเดินนะคะ อยู่ในไตรลักษณะ และ สามัญลักษณะหรือเปล่า

ขนะที่ก้าวเดินนะคะ ละความหมายรู้ไปตลอด หรือเปล่า


เดินแบบนี้นะหนู จะได้ปริญญา คือ

ญาตปริญญา
ตีรณปริญญา
และปหานปริญญา

นะคะๆๆ



อ้างคำพูด:
พี่เมจะสอนหนูลุงกรัชกายให้นะคะ

ว่า เดินจงกรมน่ะ
เดินเงียบๆนะคะ อย่าเดินเสียงดัง อย่าเที่ยวตะโกนหนอๆๆ

ควรจะกำหนดรู้ยังไง ไม่ใช่ร้องหนอๆๆ
เดินในโลก ก็ร้องโลกหนอๆๆ เดินในรูปโลก ก็ร้องรูปโลกหนอๆๆ
ติดแหง๊กอยู่ในอรูปโลกก็ร้องหนักเรย อรูปโลกหนอๆๆๆ

ม่ายใช่ๆๆ หรอกค่ะ



บอกไม่จำว่าอย่ายึดติดหนอ ติดพุทโธ ธัมมโม ติดสังโฆ ม่ายอาวไม่ใช่

และแล้วก็ไม่ได้บอกให้กะโกนโวกเวก หนอเจ้าข้าเอ้ยๆๆๆ ม่ายช่ายๆ ไม่ใช่เลย ให้นึกว่าในใจพร้อมไปกับการก้าวไป คิกๆๆๆ

ไม่ให้ติดหนอ แต่ให้โฟกัสที่สิ่งที่กำลังกระทำ สมมติกำลังเดินใช่ปะ การเดินนั่นแหละคือสิ่งที่กำลังทำ ก้าวเท้าซ้ายออกไป ว่าในใจ ซ้าย ย่าง หนอ ก้าวเท้าขวาไป ขวา ย่าง หนอ (หนอถึงพื้น) อิอิ เดินไปซี่ 30 นาที 40 นาที ก็ว่าไปตามระยะที่เดิน อ้อ ไม่ต้องตะโกนบอกใครนะ ว่าในใจ :b32: เดินไปซื้อโอเลี้ยงหน้าปากซอยก็ปฏิบัติได้ทำได้ :b13: :b13: นี่บทเดิน

บททำงานอย่างอื่น เช่น ล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำ ถูตัว ซักผ้า รีดผ้า กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างถ้วยล้างจาน เขียนหนังสือ อ่านหนังสือ จิปาถะ ปฏิบัติได้ทำได้หมด

ทำบนโลกมนุษย์ ซึ่งกิน ถ่าย อิอิ นอน กันอยู่บนผืนปฐพีนี้แหละ ไม่ต้องเหาะไปยังดาวอังคาร (ไม่ใช่ไปขายยาง) พรหมโลก เป็นต้นอะไรเลย เข้าใจไหมขอรับ :b13:


ลุงกรัชกายมั่วอีกแล้วหล่ะค่ะ

ทำส่งเดชไป
เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้ศึกษาพระปริยัติ เรยปฎิบัตมั่ว ส่งเดชไป
จำเป็นต้องแยกสภาวะให้ได้

เพราะไม่รู้ว่า อันไหนเป็นสภาวะ ไม่สามารถแยกสภาวะ 72
โดย นาม โดย รูปได้ ค่ะ



อ้างคำพูด:
จำเป็นต้องแยกสภาวะให้ได้


นั่นแน่ๆๆ จะนั่งแยกสภาวะเอง คิกๆๆ

จะแยกให้ดูตามตำรานะ รูป ก็ได้แก่ ร่างกายซึ่งเห็นๆนี่แหละ นี่รูปธรรม นามคือความรู้สึกนึกคิด นี่นามธรรม นี่แยกให้แล้ว อิอิ

ก็บอกแล้วนั่นเขาเรียนเอาไว้สอบ แต่ภาคปฏิบัติต้องรู้เห็นจากความรู้สึกภายใน ดูตัวอย่างข้างล่าง

คริคริ

การแยกสภาวะน่ะคะ คนที่เรียนพระอภิธรรม และเรียนพระปริยัติมาอย่างดี
สามารถแยกได้ง่ายๆ สติปัฎฐาน 44 บรรพ

สามารถแยกได้โดยง่ายดาย เหมือนคนที่รุ้จักกับข้าว 44 ชนิด มาก่อนแล้ว
พอเห็นปุ๊ป ได้กลิ่นปั๊ป ก็รู้ได้ทันที ว่า ปลาเค็ม

ไม่ได้ให้ไปนั่งนับ ว่า มีกับข้าวอะไรบ้าง 44 แบบ

อย่างที่ลุงกรัชกายเข้าใจผิดๆๆๆ ว่าต้องไปนั่งนับ ค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2018, 11:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
เฮ้อ หนูคุณลุงกรัชกาย อธิบายมั่วไปหมด
เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนปริยัติให้ตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอน

รู้มาผิด เดาไปผิดๆ ปฎิบัติไปผิดๆ อีกแระหล่ะค่ะ

การไปจดจำเอาภาพเท้า ภาพศพ ของสัณฐานร่างกาย น่ะ มันเป็นสันฐานบัญญัติ ไม่ใข่ปรมัตถสภาวะค่ะ

ถ้าจะปฎิบัติ ให้เป็นสติปัฎฐาน ตรงตามที่พระพุทธองค์สอน

ต้องอาศัยสติ คือความระลึกได้ ระลึกไปที่ความรู้สึก ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ในส่วนของร่างกาย
ในขณะที่กระทบ ในขณะที่กำลังเคลื่อนไหว

โดยไม่ต้องไปมีภาพการกระทบ ว่า กระทบตรงไหนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา หรือมั่วไปจนศพ

ให้เป็นสัมปชัญญะ คือความรู้สึก ล้วนๆๆๆๆ

ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ให้ รู้ตรง เข้าไปใน สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานั้น ให้รู้ โดยไม่มีเท้า หรือ สัณฐานบัญญัติเข้าไป
ไปปนกะความรู้สึก

และอีกอย่าง ความคิดต่างๆ ทุกความคิด ที่ออกมาปนมั่ว จะไปซื้อโอเลี้ยง หรือหนอๆๆ
ก็รีบถอยออกมา

อยู่แต่ ที่ความรู้สึกตัว


สติ และสัมปชัญญะต้องควบคู่ไป ในตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่เดิน 30นาที 40 นาที แล้วว่าแจ๋ว

เพราะวันนึงมี ตั้ง 1440 นาที

ทำได้แค่นี้ สอบตกยกชั้นเรยจ๊ะหนูๆ
เวลาลงเรียนไม่พอนะจ๊ะ






อ้างคำพูด:
สติ และสัมปชัญญะต้องควบคู่ไป ในตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่เดิน 30นาที 40 นาที แล้วว่าแจ๋ว

เพราะวันนึงมี ตั้ง 1440 นาที

ทำได้แค่นี้ สอบตกยกชั้นเรยจ๊ะหนูๆ
เวลาลงเรียนไม่พอนะจ๊ะ


พูดกับพี่เมโลกสวย กับ คุณโรสนอกจากเมื่อยมือแล้ว ยังเมื่อยสมองอีกต่างหาก คิดต่อยอดเองไม่เป็น ต้องบอกให้ทุกเม็ด

ที่ว่า เดิน 30 หรือ 40 นาที นั้น เป็นหนังตัวอย่าง วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง ใครจะเดิน จะนั่ง สักกี่ชั่วโมง ก็ไม่มีใครว่า วันหนึ่งทำสัก 10 กว่าชั่วโมงขึ้นไปยิ่งดี
เดินจงกรม กับ นั่งกำหนดอารมณ์ใช้เวลาให้ใกล้เคียงกัน เช่น จงกรม ซ้าย ย่างหนอ ขวา ย่าง หนอ 1 ชม. ก็นั่งพองหนอ ยุบหนอ หรือ พุท - โธ เป็นต้น 1 ชม.


อ้างคำพูด:
โดยไม่ต้องไปมีภาพการกระทบ ว่า กระทบตรงไหนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา หรือมั่วไปจนศพ

ให้เป็นสัมปชัญญะ คือความรู้สึก ล้วนๆๆๆๆ

ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ให้ รู้ตรง เข้าไปใน สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานั้น ให้รู้ โดยไม่มีเท้า หรือ สัณฐานบัญญัติเข้าไป
ไปปนกะความรู้สึก


มาอีกแระ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง บอกให้วางตำราไว้หน้าประตู บอกไม่เชื่อ คิกๆๆ

:b32:

ยังคิดไม่ได้อีกหรือ
สิ่งที่กำลังมีขณะนี้
มีอะไรคะ1คำตรงๆ
ที่รู้จริง1ความรู้สึกชัด
น่านแหละดับตัวคุณทั้งตัวแล้ว
ไม่ทันก็ไม่รู้ไงจะไปรู้อะไรปัจจุบันคืออะไรคะ



อ้อ นึกออกแระ ทีละคำๆ ของคุณโรส ก็คือ รู้ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้ทีละ 1 คำตามนั้น
ตัวอย่าง เช่น เรากำลังเดินๆไป เหยียบก้นบุหรี่ โอ๊ย "ร้อน" รู้ว่า "ร้อน"
เดินอยู่กลางแดด แดดร้อน รู้สึกร้อนๆ รู้ว่า “ร้อน” เดินเข้าร่มรู้สึกว่ามันเย็นๆ รู้ว่า “เย็น”
เข้าหน้าหนาว ลมเหนือพัดมากระทบผิวกาย รู้สึกเย็นๆ รู้ว่า “เย็น”
เหยียบพื้นบ้านรู้สึกแข็งๆ รู้ว่า “แข็ง”
เดินเหยียบโคลนตม รู้สึกอ่อนๆนิ่มๆ รู้ว่า “อ่อน” รู้ว่า “นิ่ม”

คนสองคนกำลังขึงเชือกกันอยู่ เชือกยังไม่ตึง ก็บอกว่า ดึงอีกๆ ยังหย่อนอยู่ รู้ว่า "หย่อน" ดึงอีกๆ พอๆ พอแล้ว ตึงแล้ว รู้ว่า "ตึง" เป็นต้นดังนี้ แบบนี้นะขอรับ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้ธัมมะทีละ 1 คำ

นึกได้อีกหน่อย ศิษย์สำนักอภิธรรมเดียวกับแม่แห่งบ้านธัมมะ ซึ่ง ไปตั้งสำนักวิปัสสนาอยู่ เวลาจงกรม ก็แนะนำกันและกัน เดินไปๆๆ ขณะเดินไป ให้ดูความรู้สึกที่เท้า ซึ่งกระทบกับพื้น ว่ามันแข็ง หรือ มันเย็น หรือมันอ่อนๆ สังเกตดู ก้าวไปที ก็ยืนดูความรู้สึกแบบว่า เพื่ออะไร ? เพื่อหาธัมมะ คือ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ทีละ 1 คำ ตามหนังสืออภิธรรมว่าไว้

:b32:
ลองทบทวนประโยคนี้เอาให้ชัดเจนตรงขณะก่อนดับครบ6ทางเพราะ
หลังกะพริบตามันเกิดดับเกิน6ทางไปแล้วคำว่ารู้ทันปัจจุบันขณะคืออะไร
และต้องรู้ตรงสัจจะที่กายใจตนกำลังมีปัญญาเท่านั้นที่รู้เท่าเอาทันเดี๋ยวนี้เอง
กำลังมีสภาพธรรมเกิดดับนับตัวธัมมะไม่ถ้วนและหมายเหตุตามรู้ได้แต่สิ่งที่เกิดแล้วเท่านั้น
:b12:
:b32: :b32:


ตอบคำถามก่อนดิ ที่ยกตัวอย่าง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ทีละ 1 คำ นั่นใช่ไหมธัมมะแห่งบ้านธัมมะ



555

นี่เป็นความโง่เขลาเบาปัญญา ของลุงกรัชกายอีก ที่ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม เรยไม่รู้ว่า
ปรมัตถ์ธรรมในพระอภิธรรม ว่าไว้ ถูกต้อง ไม่มีผิดเพี้ยน

มีแต่คนเขลาเบาปัญญา แบบลุงกรัชกาย ปฎิบัติแบบกรู ของกรู
ไม่เหมือนที่พระพุทธองค์สอน

คริคริ


ไม่ได้เถียงสักคำ เพียงแต่ยกตัวอย่างนั้นแล้วถามว่า ถูกไหม ทำอย่างนั้นปฏิบัติอย่างนั้น ถูกธัมมะไหม เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง

ยกตัวอย่างตึงหน่อย เช่น เราเอามือลูบๆหนังกลอง รู้สึกตึงๆ เป็นธัมมะยัง

คริๆ

นี่เป็นต้วอย่างคนปฎิบัติสติปัฎฐานไม่เป็น
เรยไม่รู้ว่า กาย เวทนา จิต ธรรม ควรปำิบัติยังไง

ดันไปดูที่กลองว่าตึงหรือหย่อน

ถ้าดูหูตัวเอง แล้วรู้ว่าหูตึง เตรียมไปป่าช้าได้ เป็นมรณานุสติ
อย่างนี้ค่อยเข้าท่าหน่อยหล่ะค่ะ

คริคริ



ถ้ายังงั้นก็นี่เป็นสติปัฏฐานไหม

นั่งสมาธิแล้วมีอาการหมุนเหวี่ยงจะอ้วก

ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพักประมาณสิบนาทีเริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัวจึงนั่งต่อไม่ได้ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามาก็เริ่มมาหาอ่านเองจนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณาว่าเป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืนหมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว
เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนาทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่างมีเกิดดับของมันเป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด
แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้วจะทำไปเพื่ออะไร หรือ
ว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2018, 14:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
ความคิดเห็นใดๆก็ตามคือเรื่องนอกเหนือสัจจะ
ไม่อยู่ในการควบคุมกำกับของคุณดังนั้น
ภาระต่างๆภายนอกกายใจคุณไม่ใช่
สิ่งที่คุณจะไปควบคุมกำกับ
เพราะความจริงมี
ที่กายใจคุณ
ควรฟังเพื่อให้คำที่ได้ยินควบคุมกำกับจิตคุณให้อยู่ที่กายตรงคำนั้นๆตรงจริงคือพึ่งคิดตามคำสัจจะ
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2018, 15:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
เฮ้อ หนูคุณลุงกรัชกาย อธิบายมั่วไปหมด
เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนปริยัติให้ตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอน

รู้มาผิด เดาไปผิดๆ ปฎิบัติไปผิดๆ อีกแระหล่ะค่ะ

การไปจดจำเอาภาพเท้า ภาพศพ ของสัณฐานร่างกาย น่ะ มันเป็นสันฐานบัญญัติ ไม่ใข่ปรมัตถสภาวะค่ะ

ถ้าจะปฎิบัติ ให้เป็นสติปัฎฐาน ตรงตามที่พระพุทธองค์สอน

ต้องอาศัยสติ คือความระลึกได้ ระลึกไปที่ความรู้สึก ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ในส่วนของร่างกาย
ในขณะที่กระทบ ในขณะที่กำลังเคลื่อนไหว

โดยไม่ต้องไปมีภาพการกระทบ ว่า กระทบตรงไหนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา หรือมั่วไปจนศพ

ให้เป็นสัมปชัญญะ คือความรู้สึก ล้วนๆๆๆๆ

ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ให้ รู้ตรง เข้าไปใน สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานั้น ให้รู้ โดยไม่มีเท้า หรือ สัณฐานบัญญัติเข้าไป
ไปปนกะความรู้สึก

และอีกอย่าง ความคิดต่างๆ ทุกความคิด ที่ออกมาปนมั่ว จะไปซื้อโอเลี้ยง หรือหนอๆๆ
ก็รีบถอยออกมา

อยู่แต่ ที่ความรู้สึกตัว


สติ และสัมปชัญญะต้องควบคู่ไป ในตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่เดิน 30นาที 40 นาที แล้วว่าแจ๋ว

เพราะวันนึงมี ตั้ง 1440 นาที

ทำได้แค่นี้ สอบตกยกชั้นเรยจ๊ะหนูๆ
เวลาลงเรียนไม่พอนะจ๊ะ






อ้างคำพูด:
สติ และสัมปชัญญะต้องควบคู่ไป ในตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่เดิน 30นาที 40 นาที แล้วว่าแจ๋ว

เพราะวันนึงมี ตั้ง 1440 นาที

ทำได้แค่นี้ สอบตกยกชั้นเรยจ๊ะหนูๆ
เวลาลงเรียนไม่พอนะจ๊ะ


พูดกับพี่เมโลกสวย กับ คุณโรสนอกจากเมื่อยมือแล้ว ยังเมื่อยสมองอีกต่างหาก คิดต่อยอดเองไม่เป็น ต้องบอกให้ทุกเม็ด

ที่ว่า เดิน 30 หรือ 40 นาที นั้น เป็นหนังตัวอย่าง วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง ใครจะเดิน จะนั่ง สักกี่ชั่วโมง ก็ไม่มีใครว่า วันหนึ่งทำสัก 10 กว่าชั่วโมงขึ้นไปยิ่งดี
เดินจงกรม กับ นั่งกำหนดอารมณ์ใช้เวลาให้ใกล้เคียงกัน เช่น จงกรม ซ้าย ย่างหนอ ขวา ย่าง หนอ 1 ชม. ก็นั่งพองหนอ ยุบหนอ หรือ พุท - โธ เป็นต้น 1 ชม.


อ้างคำพูด:
โดยไม่ต้องไปมีภาพการกระทบ ว่า กระทบตรงไหนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา หรือมั่วไปจนศพ

ให้เป็นสัมปชัญญะ คือความรู้สึก ล้วนๆๆๆๆ

ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ให้ รู้ตรง เข้าไปใน สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานั้น ให้รู้ โดยไม่มีเท้า หรือ สัณฐานบัญญัติเข้าไป
ไปปนกะความรู้สึก


มาอีกแระ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง บอกให้วางตำราไว้หน้าประตู บอกไม่เชื่อ คิกๆๆ

:b32:

ยังคิดไม่ได้อีกหรือ
สิ่งที่กำลังมีขณะนี้
มีอะไรคะ1คำตรงๆ
ที่รู้จริง1ความรู้สึกชัด
น่านแหละดับตัวคุณทั้งตัวแล้ว
ไม่ทันก็ไม่รู้ไงจะไปรู้อะไรปัจจุบันคืออะไรคะ



อ้อ นึกออกแระ ทีละคำๆ ของคุณโรส ก็คือ รู้ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้ทีละ 1 คำตามนั้น
ตัวอย่าง เช่น เรากำลังเดินๆไป เหยียบก้นบุหรี่ โอ๊ย "ร้อน" รู้ว่า "ร้อน"
เดินอยู่กลางแดด แดดร้อน รู้สึกร้อนๆ รู้ว่า “ร้อน” เดินเข้าร่มรู้สึกว่ามันเย็นๆ รู้ว่า “เย็น”
เข้าหน้าหนาว ลมเหนือพัดมากระทบผิวกาย รู้สึกเย็นๆ รู้ว่า “เย็น”
เหยียบพื้นบ้านรู้สึกแข็งๆ รู้ว่า “แข็ง”
เดินเหยียบโคลนตม รู้สึกอ่อนๆนิ่มๆ รู้ว่า “อ่อน” รู้ว่า “นิ่ม”

คนสองคนกำลังขึงเชือกกันอยู่ เชือกยังไม่ตึง ก็บอกว่า ดึงอีกๆ ยังหย่อนอยู่ รู้ว่า "หย่อน" ดึงอีกๆ พอๆ พอแล้ว ตึงแล้ว รู้ว่า "ตึง" เป็นต้นดังนี้ แบบนี้นะขอรับ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้ธัมมะทีละ 1 คำ

นึกได้อีกหน่อย ศิษย์สำนักอภิธรรมเดียวกับแม่แห่งบ้านธัมมะ ซึ่ง ไปตั้งสำนักวิปัสสนาอยู่ เวลาจงกรม ก็แนะนำกันและกัน เดินไปๆๆ ขณะเดินไป ให้ดูความรู้สึกที่เท้า ซึ่งกระทบกับพื้น ว่ามันแข็ง หรือ มันเย็น หรือมันอ่อนๆ สังเกตดู ก้าวไปที ก็ยืนดูความรู้สึกแบบว่า เพื่ออะไร ? เพื่อหาธัมมะ คือ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ทีละ 1 คำ ตามหนังสืออภิธรรมว่าไว้

:b32:
ลองทบทวนประโยคนี้เอาให้ชัดเจนตรงขณะก่อนดับครบ6ทางเพราะ
หลังกะพริบตามันเกิดดับเกิน6ทางไปแล้วคำว่ารู้ทันปัจจุบันขณะคืออะไร
และต้องรู้ตรงสัจจะที่กายใจตนกำลังมีปัญญาเท่านั้นที่รู้เท่าเอาทันเดี๋ยวนี้เอง
กำลังมีสภาพธรรมเกิดดับนับตัวธัมมะไม่ถ้วนและหมายเหตุตามรู้ได้แต่สิ่งที่เกิดแล้วเท่านั้น
:b12:
:b32: :b32:


ตอบคำถามก่อนดิ ที่ยกตัวอย่าง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ทีละ 1 คำ นั่นใช่ไหมธัมมะแห่งบ้านธัมมะ



555

นี่เป็นความโง่เขลาเบาปัญญา ของลุงกรัชกายอีก ที่ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม เรยไม่รู้ว่า
ปรมัตถ์ธรรมในพระอภิธรรม ว่าไว้ ถูกต้อง ไม่มีผิดเพี้ยน

มีแต่คนเขลาเบาปัญญา แบบลุงกรัชกาย ปฎิบัติแบบกรู ของกรู
ไม่เหมือนที่พระพุทธองค์สอน

คริคริ


ไม่ได้เถียงสักคำ เพียงแต่ยกตัวอย่างนั้นแล้วถามว่า ถูกไหม ทำอย่างนั้นปฏิบัติอย่างนั้น ถูกธัมมะไหม เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง

ยกตัวอย่างตึงหน่อย เช่น เราเอามือลูบๆหนังกลอง รู้สึกตึงๆ เป็นธัมมะยัง

คริๆ

นี่เป็นต้วอย่างคนปฎิบัติสติปัฎฐานไม่เป็น
เรยไม่รู้ว่า กาย เวทนา จิต ธรรม ควรปำิบัติยังไง

ดันไปดูที่กลองว่าตึงหรือหย่อน

ถ้าดูหูตัวเอง แล้วรู้ว่าหูตึง เตรียมไปป่าช้าได้ เป็นมรณานุสติ
อย่างนี้ค่อยเข้าท่าหน่อยหล่ะค่ะ

คริคริ



ถ้ายังงั้นก็นี่เป็นสติปัฏฐานไหม

นั่งสมาธิแล้วมีอาการหมุนเหวี่ยงจะอ้วก

ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพักประมาณสิบนาทีเริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัวจึงนั่งต่อไม่ได้ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามาก็เริ่มมาหาอ่านเองจนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณาว่าเป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืนหมุนจนจะอ้วก จนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว
เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนาทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่างมีเกิดดับของมันเป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด
แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้วจะทำไปเพื่ออะไร หรือ
ว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน



แก้ที่ให้รู้ว่า

1 คำสอนพระสังฆราชองค์ไหนๆ ถ้าสอบลงพระปริยัติ สอบลงพระธรรม พระวินัยไม่ได้ ไม่ตรง ไม่ใช่คำ
สอนพระ ตถาคตค่ะ


2 เลิกอวดว่าเรียนแพทย์แหละค่ะ

เพราะ ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนปริยัติ เรยเขลาเบาปัญญา ไม่รู้ว่า
ว่า ปฎิบัติผิดแระหละ สติปัฎฐาน ไม่ได้สอนให้จดจำสรีะร่างกายมนุษย์ค่ะ

แต่ให้เห็น ความคิด ความรู้สึกและอารมณ์ ที่เกิดขึ้นประจักษ์ โดยเฉพาะหน้าค่ะ



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2018, 18:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
บอร์ดเป็นอารัย คลิกกิ๊กเดียวขึ้น 2 คคห.เลย
บางครั้งกดส่งข้อความขึ้นแล้ว แต่ข้อความที่ขึ้นไปแล้วยังมีค้างอยู่ กดส่งอีกที ตัวแดงบอกว่า คุณไม่สามารถโพสต์ในระยะเวลารวดเร็วได้ (ประมาณนี้)

:b32:
อ่านแล้วมีหลายอันก็ลบออกไปสิคะ
กดแล้ว1ครั้งไม่ไปกดซ้ำใจร้อนไปป่าว
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2018, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ให้พี่เมโลกสวย สังเกตระหว่างความรู้จากหนังสือ กับ การบอกเล่า 90 มา เช่น สติปัฏฐาน กาย เวทนา จิต ธรรม เรื่องร่างกายนี่เขาก็รู้ดี เพราะเป็นนักศึกษาแพทย์ วิปัสสะนง วิปัสสนา ขันธ์ 5 ก็รู้ว่าไม่ให้ยึดติดมัน เกิดดับเขาก็รู้นะ :b12:
แต่พอมาประสบกับของแท้ของจริงมันเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาทำเอาเกือบรากแตกรากแตน ที่รู้ๆมาศึกษามา ช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย สังเกตดู


นั่งสมาธิแล้วมีอาการหมุนเหวี่ยงจะอ้วก

ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพักประมาณสิบนาที เริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจนเวียนหัว จึงนั่งต่อไม่ได้ ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามา ก็เริ่มมาหาอ่านเอง จนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฏฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณาว่าเป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืนหมุนจนจะอ้วกจนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีก ซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว
เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรม พิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนาทำให้เราเข้าใจว่า ทุกอย่างมีเกิดดับของมันเป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด

แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้วจะทำไปเพื่ออะไร หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ

หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุด บ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน

มองออกไหมฮะ

รูปภาพ

ไปนั่งคิดเองเลยไม่ได้ฟังเพื่อสะสมสุตมยปัญญาเพื่อเจริญปัญญารู้เพิ่มขึ้นที่ละ1ตัวธัมมะตรงสัจจะที่มีไงคะ
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2018, 18:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
Rosarin เขียน:
โลกสวย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
"ทางสายเอก" คนชอบพูดๆกัน ไม่ว่าที่นี่หรือที่ไหนๆ บาลีเป็น เอกมคฺโค แปลว่า ทางสายเดียว,มรรคาเอก,ทางสายเอก (เอกะ. หนึ่ง, เดียว) อะไรว่ากันไป :b16:

รูปภาพ

เห็นชอบพูดกันเลยจัดให้ พูดๆสะก่อนจะละโลกนี้ไป ตายแล้วจะไม่ได้พูด :b32: ยังหายใจเข้า-ออกอยู่จะได้ทำกันหรือไม่, ทำทำถูกไหม ทำแล้วถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่ หรือทำแล้วเข้ารกเข้าพงกันไป (อยากพูดตรงๆอีกประโยคหนึ่ง แต่กลัวว่าจะแรงไปเลยเก็บไว้ในใจ) :b32: เป็นอีกขั้นหนึ่งตอนหนึ่ง

มีคนร้องอ๋อแน่ๆ :b35:

:b12:
ยังอีกยังไม่เข้าใจกันอีกบอกว่า
ไปนั่งเดาสภาพธรรมเองโดยไม่ฟัง
มันเดาส่งเดชไปเองขาดพึ่งคำตถาคต
ต้องมีปรโตโฆสะกล่าวคำสัจจะให้คิดถูกตาม
เดี๋ยวนี้เป็นปัจจุบันขณะตามปกติเป็นปกติเข้าใจไหมคะ
จิรกาลภาวนากล่าวตรงสัจจะเพื่อเข้าใจถูกตามและถ่ายทอดได้ตรงตามคำตถาคต
ทุกคำในพระไตรปิฎกมีแล้วที่กายใจตนเองยังไม่ทำอะไรก็กำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยไม่มีใครเลือกทำ
:b32: :b32: :b32: :b32: :b32:


แน้ๆๆ คุณยายโรสคะ

เห็นพูดปกติๆๆๆๆๆๆ มาซ้ำๆ บ่อยๆ
แต่ไม่เข้าใจว่า

ปกติแบบ ของคุณยายนั่นแหละคือความผิดปกติค่ะ
ไม่ใช่ความปกติ ไม่ควรแก่การงานเรยหละค่ะ

เพราะ คุณยายโรส ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฎก และไม่ได้ปฎิบัติ
จำแค่คำยูทูปมาพูด

ก็เรยเข้าใจผิดๆๆ ไม่เข้าใจ ปกติ ความปกติที่เต็มไปด้วยความโลภอยากฟังแบบนั้น
ตั้งใจอยากฟังแต่ยูทูป น่ะไม่ปกติหรอกค่ะ

ฟังมาเจ็ดปี ไม่ได้อะไรเรย เพราะฟังด้วยปกติ ที่ไม่เป็นปกติ ไงคะ

คุณยายโรส จึงไม่รู้ว่า

การตั้งกายไว้ในจิต หรือตั้งจิตลงไว้ที่กาย
ลงสู่สุขสัญญาและลหุสัญญาในกาย
ย่อมเบากว่าปกติ อ่อนกว่า
ปกติ ควรแก่การงานกว่าปกติ และผุดผ่องกว่าปกติ
จึงต้องมีบาทฐานในสมาธิด้วยค่ะ
และนี่คือความปกติ ที่ควรค่า ค่ะ



เม แนะนำนะคะ ว่า คุณยายโรส ทำปกติที่ควรค่า แบบนี้ให้ได้เสียก่อนนะคะ
แล้วไปเรียนพระธรรมให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียก่อนนะคะ



:b12:
รู้สึกว่าจะแสดงความฉลาดน้อยเสียเหลือเกินไงคะ
ไม่มีเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ไงคะฟังใช้หูฟังเงี่ยโสตลงสดับ
และใช้ตาดูโลกตามปกติอยากเป็นแบบพระอาจารย์2ดาบสก็ตามใจ
ตายไปก่อนไม่ได้ฟังความจริงตามคำสอนที่งดงามลึกซึ้งไงชวนคนฟังธรรมยากที่สุดในโลกเลยค่ะ555
:b32: :b32: :b32:


แน้ๆๆ

เพราะคุณยายโรส ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ทำกัมฐานไม่เป็น
เรยไม่รู้จัก ว่าพระพุทธองค์กล่าวถึงบาทฐานของสมาธิ ในมหาสติปัฎฐาน
ว่า ทำให้ปกติ ยิ่งกว่าปกติ ควรแก่การงาน

ไม่ใช่เพื่อหวัง อิทธปาฎิหารย์

แต่สามารถทำความปกติ ยิ่งกว่าปกติของคุณยาย ที่โลภะไปอยากฟังแต่ยูทูป นะคะ

คริคริ

และแถมจะบอกให้นะคะ ว่าพระพุทธเจ้า ต้องสำเร็จด้วยพระองค์เอง
พระอาจารย์ดาบส ไม่สอน ให้ไปต่อยอดเอาเอง
ไม่งั้น อดเป็นพระพุทธเจ้าค่ะ

ท่านดาบส ท่านเรยไม่สอนต่อให้ไงคะ

คริคริ


:b32:
แค่ชาตินี้ที่ดูสิ่งที่เธอสนทนา
ก็รู้แล้วว่าเธอไม่รู้ว่าเธอไม่รู้
มีแต่ส่งไปคิดเรื่องราวที่ตนไม่มี
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2018, 18:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
"เมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศลหรือมีโทษเมื่อนั้นพึงละเสีย และเมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นกุศลหรือไม่มีโทษ เมื่อนั้นพึงถือปฏิบัติ"

ข้อความสำคัญ ในเกสปุตตสูตร


เห็นคุณยายโรส ชอบอ้างกาละมสูตรหนักหนา
แต่ไม่ อ่านให้จบครบถ้วน ไม่รู้ความหมาย ในข้อความสำคัญ

ข้อความนี้ แสดงนัยยะ อีกด้าน ต่อ ผู้คนที่ยังคิดใช้กาลามะสูตรอยู่ด้วยซ้ำ

ว่า สอบสวนลงพระธรรม พระวินัย พระปริยัติในพระไตรปิฎกไม่ได้
ไม่มีปัญญาพอ ที่จะแยกแยะได้ว่า
พระธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงแสดง นั้น ในพระไตรปิฎกทั้งหมด
ไม่มีโทษ เป็นกุศลทั้งหมด เป็นปรมัตถ์ธรรมทั้งหมด ไม่มีโทษ และควรถือปฎิบัติ อย่างยิ่งค่ะ

และที่สำคัญ ในพระไตรปิฎก ได้ทรงแสดงวิธีปฎิบัติไว้ต่างๆนาๆครบถ้วน ทุกด้าน
ไม่ใช่แค่วิธีเดียว ของคนกลุ่มเดียวค่ะ
คนกลุ่มเดียว มันไม่ใช่สาธารณะค่ะ ขอเข้าใจไว้ด้วยนะคุณยายโรส
ว่า คนกลุ่มเดียว ไม่ใช่สาธารณะค่ะ อย่างที่คุณยาย คิดผิดๆๆ เข้าใจผิดๆๆ

ซึ่งหลังจากที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเกสปุตตสูตร จบลง
ให้รู้ว่า ไม่มีชาวกาลามะ คนใดแม้นสักคนเดียวที่หลงเหลือ
ที่ยังใช้กาละมะสูตรอีก ในพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ดีแล้ว

แต่ในเมืองไทย หลายกลุ่มหลายลัทธิ

ยังมี คนที่ใช้กาลามะสูตร ต่อพระปริยัติ ที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎก
อย่างล้นหลาม มากหน้าหลายตา

หนึ่งในนั้น คือ คุณยายโรสน่ะเองค่ะ


เมก็ขอ แนะนำนะคะ ให้หัดเรียนพระอภิธรรม พระปริยัติให้เป็นเรื่องเป็นราว ก่อนนะคะ

บ๊ายบายนะคะ จุ๊ฟๆๆ

:b32:
ทุกคำในพระไตรปิฎกรู้เองไม่ได้แม้แต่คำเดียวเพราะเป็นสาวก
สาวกแปลว่ารู้ตามการฟังคำสอนเข้าใจถูกตามตรงปัจจุบันขณะ
เดี๋ยวนี้ไม่ได้ฟังอะไรเลยแปลว่าคิดเองตามเห็นผิดตามที่เธอเห็นไง
เธอไม่ได้กำลังเห็นตัวจริงของสีตรงสัจจะดังนั้นยอมรับความจริงก่อน
ว่าไม่ได้รู้ความจริงตรงสัจจะเลยแต่พยายามบอกให้คนอื่นทำตามเธอสั่ง
แต่ตถาคตบอกว่าจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมด้วยการฟังตถาคตทำได้แค่บอกให้ฟังไงคะ
:b32: :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 85 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร